PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

"ศิษย์เอกเณรคำ" เตรียมซวย! กกต.จ่อสอบใช้ปริญญาเท็จสมัครชิงผู้ว่าฯ กทม. ด้าน"สงกรานต์"เร่งป.ออกหมายจับ "เณรคำ".

กกต.จ่อสอบประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม ใช้ปริญญาบัตรดุษฎีบัณฑิต ม.สันติภาพโลก สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หากพบตั้งมหาวิทยาลัยมิชอบด้วยกฏหมาย ด้าน"สงกรานต์"ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นำหลักฐานเพิ่มเติมให้กองปราบเร่งออกหมายจับ "เณรคำ" เชื่อหลักฐานเพียงพอแล้วไม่รต้องรอออกหมายเรียก นอกจากนี้ยังแจ้งความเอาผิดผู้เกี่ยววข้องฐานรับยของโจรด้วย ชี้โทษคุก 5 ปี!

วันนี้ (5 ก.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รายงานข่าวจากกกต. แจ้งว่า จากกรณีที่นายสุขุม วงประสิทธิ์ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม และ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ครั้งที่ผ่านมา ได้ใช้ปริญญาบัตร ระดับด๊อกเตอร์ จากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก มาใช้เป็นเอกสารประกอบการสมัครผู้ว่าฯกทม. นั้น ทางกกต.เตรียมนำข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณา ว่า หากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกจัดตั้งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปริญญาบัตรย่อมต้องไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยเช่นกัน และการนำหลักฐานดังกล่าวมายื่นสมัครต่อเจ้าพนักงานตามกฎหมายจะถือว่า เข้าข่ายแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานที่เป็นความผิดทางอาญาซึ่งกกต.ในฐานะเจ้าพนักงานการเลือกตั้ง หรือสำนักงานปลัดกรุงเทพมหานครในฐานะผู้เสียหาย ต้องดำเนินการส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีได้ แม้ว่าการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจะเสร็จสิ้นไปแล้วและนายสุขุมไม่ได้เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งก็ตาม

เมื่อเวลา 14.30 น.วันนี้ (5 ก.ค.) ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.โดยนำหลักฐานเพิ่มเติมมามอบให้พนักงานสอบสวน บก.ป.เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินคดีกับ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก หรือพระวิรพล สุขผล อายุ 34 ปี ประธานสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ภายหลังได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษไว้แล้วก่อนหน้านี้

นายสงกรานต์ กล่าวว่าได้มายื่นเอกสารเพิ่มเติมเพื่อให้ทางพนักงานสอบสวนใช้ประกอบเป็นหลักฐานในการขออนุมัติศาลออกหมายจับหลวงปู่เณรคำ หรือพระวิรพล ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องเนื่องจากน่าจะมีพยานหลักฐานต่างๆ เพียงพอแล้ว โดยไม่ต้องออกหมายเรียก นอกจากนี้ได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ได้รับทรัพย์สินจากหลวงปู่เณรคำในข้อหารับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายสงกรานต์ กล่าวต่อว่า หลังจากมีกรณีของหญิงสาวและเด็ก 3-4 คน ที่เข้ามาเกี่ยวพันกับหลวงปู่เณรคำ นั้น ตนได้ประสานไปยัง นางปวีณา หงสกุล รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เพื่อช่วยเหลือและให้ความคุ้มครองหญิงสาวที่ออกมาเปิดเผยข้อมูล ว่ามีความสัมพันธ์กับหลวงปู่เณรคำรวมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ให้การดูแลเรื่องความปลอดภัยด้วย

“ส่วนการตรวจสอบเรื่องเงินที่มีอยู่เป็นจำนวนมากนั้นมีการส่งเรื่องให้กับทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) ได้ร่วมพิจารณาแล้วโดยภายในสัปดาห์หน้า ตนพร้อมด้วย พนักงานสอบสวน บก.ป.และเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) จะเข้าพบ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการ ปปส.ซึ่งในรายละเอียดต่างๆ ขอข้อมูลที่จะประสาน ปปส.นั้น ยังไม่สามารถแถลงให้ทราบในขณะนี้"นายสงกรานต์ ระบุ

ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า เนื่องจากกรณีของหลวงปุ่เณรคำ มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงต้องมีการประสานข้อมูลในการทำงานร่วมกันในชั้นนี้ตนได้ตั้งคณะพนักงานสอบสวนจากทั้ง กก.1 กก.3 และ กก.4 บก.ป.ขึ้นมารับผิดชอบเพื่อให้เกิดความครอบคลุมในทุกพื้นที่ และเร่งรัดรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับต่อไป

ภาพ ซ้าย นายสุขุม วงประสิทธิ์ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม(เสื้อขาว)
ขวา สงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ (เสื้อดำ)
http://astv.mobi/AowWoqW และ http://astv.mobi/Azm4mA1

"บังคับใช้กฎหมายควบคุมตัวมือระเบิด ซอยรามคำแหง๔๓ รับสารภาพ สาธิต วิธีการทำระเบิด"

สืบเนื่องจาก เหตุระเบิดบริเวณหน้ามหาวิทยาลัย รามคำแหง กรุงเทพมหานคร และได้จับกุมผู้ต้องสงสัยจำนวน ๒ คน เมื่อ ๑๗ มิ.ย.๕๖ ที่ผ่านมา

จากการขยายผล ฉก.ทพ.๔๘ ร่วมกับ ฉก.ทพ.๔๑,ชุดสืบสวนคดีสำคัญ ศชต.และ จนท.ตร.สภ.เจาะไอร้อง ปิดล้อมตรวจค้น บริเวณบ้านเลขที่ ๙๙/๑ บ.เจาะไอร้อง ม.๑ ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส และควบคุมตัว นายอับดุลฮากิม ดอนิแม ดำเนินการตามกฏหมายต่อไป

ผลการสอบสวน นายอับดุลฮากิม ดอนิแม รับสารภาพ
ว่าเป็นผู้ลอบวางระเบิดพร้อมกับพวกที่ถูกจับไปก่อนหน้าแล้ว จำนวน ๓ คน โดยมีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม ผู้ก่อเหตุรุนแรง และได้ไปเรียนวิธีการทำระเบิดจากประเทศเพื่อนบ้าน ใกล้ๆเรานี่เอง



ทบทวนข่าว3นโยบายสหรัฐในเอเซีย

โอบามาเผย 3 นโยบายสหรัฐในเอเชีย”ลงทุน-รักษาเถียรภาพ-พัฒนาทรัพยากรมนุษย์”

  
โอบามาเยือนไทยบอกรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้าเฝ้าในหลวงทรงเป็นผู้นำทางด้านสติปัญญา ถือเป็นเอกลักษณ์และศูนย์รวมจิตใจของประเทศ  เผย 3 นโยบายต่อเอเชีย ขยายการลงทุนของสหรัฐ-ร่วมรักษาเสถียรภาพและดูแลภัยพิบัติ ตลอดจนพัฒนาทรัพยาการมนุษย์และสาธารณสุข
เมื่อวันที่ 18 พ.ย.เวลา 18.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วย นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เดินทางมายังทำเนียบรัฐบาลเพื่อร่วมพิธีต้อนรับงานเลี้ยงที่รัฐบาลไทยจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายน โดยมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ศึกษาธิการ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข
นอกจากนี้ยังมีนายทหาร ตำรวจ ทั้ง 4 เหล่าทัพ ให้การต้อนรับ โดยนายกรัฐมนตรีไทย นำประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เดินตรวจแถวกองทหารเกียรติยศที่บริเวณสนามหน้าตึกไทยคู่ฟ้า
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ลงนามในสมุดเยี่ยม (REUTERS/Jason Reed )
ลงนามในสมุดเยี่ยม      
ต่อมานายโอบามา ได้ลงนามในสมุดเยี่ยม พร้อมทั้งหารือระดับทวิภาคี ซึ่งมีประเด็นหลักที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ คือ เรื่องของการประกาศเจตนารมณ์เข้าร่วมเจรจาความต้องการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือทีพีพี (TPP) ซึ่งไทยจะได้ประโยชน์ทั้งภาคการเกษตรและอิเลกทรอนิกส์ ที่ไทยสามารถส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯโดยไม่เสียภาษี แต่จำเป็นต้องมีความพร้อมในเรื่องของมาตรฐานที่สูงกว่ากรอบการค้าเสรีทั่วไป
จากนั้นประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีไทย จะแถลงข่าวร่วมกัน และฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพในการเลี้ยงอาหารค่ำแก่ประธานาธิบดีสหรัฐฯและคณะ
ตรวจเข้มรักษาความปลอดภัย
ทั้งนี้ ก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ประมาณ 3 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสหรัฐอเมริกาได้ตรวจเข้มพื้นที่ทั้งในและนอกทำเนียบรัฐบาล พร้อมนำอุปกรณ์ตรวจวัตถุระเบิด และสุนัขดมกลิ่นสแกนทุกพื้นที่ รวมถึงห้องทำงานของสื่อมวลชน กระเป๋าสัมภาระและอุปกรณ์ทำข่าวทุกชนิด
โดยมีการเชิญให้สื่อมวลชนทั้งไทย และต่างประเทศ ตลอดจนเจ้าหน้าที่กองงานโฆษกทำเนียบรัฐบาล ที่ทำหน้าที่ตรวจสแกนบัตรและกล้องถ่ายภาพ ออกจากรั้วทำเนียบรัฐบาลทั้งหมด ในระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนจะอนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าพื้นที่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อ นอกจากนี้มีการจัดชุดปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจนอกเครื่องแบบหน่วยดูแลพื้นที่สูงข่ม ระวังอาวุธวิถีตรงและโค้ง ชุดต่อต้านการซุ่มยิงและการซุ่มโจมตี อยู่ประจำตึกสูงโดยรอบทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งปิดการจราจรถนนพิษณุโลกในระหว่างที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปฏิบัตภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล
วางตัวนักข่าวไทย-ต่างประเทศถามคำถาม 
U.S. President Barack Obama (L) and Thailand’s Prime Minister Yingluck Shinawatra participate in a joint news conference at the Government House in Bangkok November 18, 2012. (Photo By SUKREE SUKPLANG/REUTERS)
ภายในตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ได้มีสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างชาติต่างรอการแถลงข่าว ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวจากประเทศไทย 2 คน สำนักข่าวต่างประเทศ 2 คนถามคำถามถึงนายโอบามา และพบว่าเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลได้สกรีนคำถาม
ในที่สุดมีผู้สื่อข่าวของไทยได้มีโอกาสถามคำถามถึงนายโอบามา 2 สำนัก คือผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์มติชน-ข่าวสด ต่อมาได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เป็นผู้สื่อข่าวประจำโต๊ะต่างประเทศ ไม่ค่อยได้ออกมาทำข่าวภายนอก ยอมสารภาพว่าบรรณาธิการเป็นผู้เขียนคำถามให้ และเนื่องจากภาษาอังกฤษดี จึงถูกส่งให้มาถามคำถาม
ภายหลังการแถลงข่าวร่วมกันระหว่างนายโอบามา กับนางสาวยิ่งลักษณ์ แล้ว เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ จะมาหารือกับผู้สื่อข่าวทั้ง 2 สำนัก
โอบามาถือเป็นภารกิจเร่งด่วนฟื้นสัมพันธ์
จากนั้นเวลา 20.00 น. นายโอบามา แถลงภายหลังหารือทวิภาคีกับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า ไม่ใช่เรื่องบังเอิญในการเยือนอาเซียนแปซิฟิก ถือเป็นภูมิภาคที่ขยายตัวรวดเร็วที่สุด จะเป็นตัวกำหนดความมั่นคงและความมั่นคั่งในศตวรรษต่อไป มีส่วนสำคัญในการสร้างงานให้คนอเมริกัน นี่คือเหตุผลในการฟื้นฟูสัมพันธ์ในภูมิภาค เป็นภารกิจเร่งด่วน และกระชับความเข้มแข็งของประชาธิปไตย
นายโอบามากล่าวว่ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้นำทางด้านสติปัญญา ความมีศักดิ์ศรี ถือเป็นเอกลักษณ์และศูนย์รวมจิตใจของประเทศนี้
นอกจากนี้ยังภูมิใจที่ได้ยืนเคียงข้างกับผู้นำที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตย ซึ่งประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่หยุดนิ่งไม่ได้ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ซึ่งประชาธิปไตยในไทยให้ความสำคัญโดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา หรือสื่อมวลชน
นายโอบามากล่าวยืนยันที่จะค้ำจุนหลักธรรมาภิบาล ความเป็นประชาธิปไตย หลักนิติธรรม โดยเฉพาะเรื่องสิทธิมนุษยชน รวมถึงความร่วมมือด้านกองทัพและการเป็นหุ้นส่วนการป้องกันการก่อการร้าย ยาเสพติด และบรรเทาภัยพิบัติ
U.S. President Barack Obama delivers remarks during a toast alongside Thailand’s Prime Minister Yingluck Shinawatra (2nd R) at a dinner at Government House in Bangkok, November 18, 2012. (Photo By Jason Reed/Reuters)
“ขอชื่นชมไทยที่เข้าร่วมการป้องกันการแพร่ขยายอาวุธทำลายล้างสูง เพื่อส่งเสริมความมั่นคงในแปซิฟิก การขยายการค้า หลังจากที่ไทยวางพื้นฐานในการเข้าร่วมการตกลงการค้าเสรีที่มีมาตรฐานสูง ขอขอบคุณไทยที่ให้ความร่วมมืออย่างดีในการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์และเรื่องผู้ลี้ภัย”โอบามากล่าว
ฉลองความสัมพันธ์ 180 ปี
ทางด้าน นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ไทยยินดีที่นายโอบามาเดินทางมาเยือนไทย และเป็นการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต180 ปี ไทย-สหรัฐ และถือเป็นเกียรติได้ร่วมเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ย้ำความสัมพันธ์ใกล้ชิดของ 2 ประเทศ รวมถึงการหารือทวิภาคี ที่เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวาง เพราะเชื่อมั่นในสิ่งเดียวกันคือประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและตลาดเสรีนี่คือความมุ่งมั่นของรัฐบาลนี้ในการปกป้องประชาธิปไตยในประเทศ
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวขอบคุณนายโอบามาที่ส่งเสริมประชาธิปไตยในไทย รวมถึงการมองอนาคตในการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ทั้งในอาเซียนแปซิฟิกในการสร้างงาน และตกลงในการเพิ่มความพยายามสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุน ความมั่นคงทางพลังงานและอาหาร เราตกลงร่วมกันว่าไทยเป็นยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจประชาคมอาเซียน เพื่อทำให้ภูมิภาคนี้เป็นเครื่องโยงในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก
มติชน-ข่าวสดจับกุมตัวคนสลายการชุมนุมปี 2553
จากนั้นได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ตั้งคำถามโดยจากไทย 2 คำถามและสื่อต่างประเทศ 2 คำถาม โดยสื่อมวลชนฝ่ายไทยจากเครือมติชน-ข่าวสดถามว่า ในการหารือของสองประเทศได้มีการพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยแล้วพอใจหรือไม่กับสถานการณ์ประชาธิปไตยในประเทศไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะยังไม่มีการจับกุมตัวผู้กระทำผิดจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ทำให้มีผู้ล้มตายมากมาย
นางสาวยิ่งลักษณ์ตอบว่า เรื่องประชาธิปไตยตอนนี้ความตั้งใจของเราคือเสถียรภาพ เพราะในประชาธิปไตยเราเชื่อว่าเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ดังนั้นการที่เราจะต้องเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจคือจะต้องมีความปรองดองในชาติและในประเทศไทยนั้นเราจะต้องยึดมั่นเกี่ยวกับประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยยึดหลักกฎหมายและต้องมีการปฏิบัติอย่างทั่วถึง ซึ่งในประเทศไทยเราต้องการที่จะเห็นความปรองดองในชาติ เราจะต้องมีวิธีการที่สงบ โดยใช้สันติวิธี
โอบามายึดหลักประชาธิปไตยจากเสรีภาพทุกด้าน  
ด้านนายโอบามา กล่าวว่า ประการแรกประชาธิปไตยมันไม่ใช่อะไรที่อยู่นิ่งๆ แต่เป็นอะไรที่เราต้องทำงานเพื่อให้ได้มา สหรัฐฯในฐานะที่เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเราคงต้องทำงานในฐานะที่เป็นพลเมือง เพื่อทำให้แน่ใจว่าประชาธิปไตยเป็นไปได้และให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมได้ เพื่อให้แน่ใจว่าเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพการนับถือศาสนาได้รับการปกป้อง ซึ่งก็สามารถทำได้และได้รับการยอมรับ ฉะนั้นคำว่าการทำงานเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยจะไม่หยุดยั้ง
“ฉะนั้นสถานการณ์ในเมืองไทยคือมีนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตยและมีความผูกพันในเรื่องหลักนิติธรรมในหลักประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก สื่อมวลชน และของการรวมตัว ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่เป็นจริงในประเทศไทยและสหรัฐฯเหมือนกัน ประชาชนทุกคนจะต้องมีความระแวดระวังและช่วยกัน เพราะสามารถที่จะปรับปรุงได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ขอแสดงความยินดีกับนายกฯในเรื่องของความผูกพันที่นายกฯมีเรื่องของประชาธิปไตยและตนเองรู้ว่าเรื่องการปฏิรูปต่างๆที่นายกฯให้ความสนใจเป็นเรื่องที่จะช่วยให้ประชาธิปไตยเข้มแข็งมากขึ้นในประเทศไทยและจะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับภูมิภาคนี้ด้วย”นายโอบามา กล่าว
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศจี้สิทธิมนุษยชนในพม่า
คำถามที่สองจากสื่อต่างประเทศ ถามว่า ในฐานะที่เป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ที่จะไปเยือนพม่า แต่บรรดานักต่อสู้สิทธิมนุษยชนบอกว่าการเยือนครั้งนี้เร็วเกินไป เพราะยังมีนักโทษการเมือง และชาวพม่ายังหวาดกลัวทำไมถึงดำเนินการเร็วเกินไปที่สนับสนุนเรื่องผู้นำพม่า และทำไมคิดว่าพม่าจะดำเนินการเรื่องการปฏิรูปได้และนายกรัฐมนตรีไทยในฐานะเป็นพันธมิตรสหรัฐฯและพม่า คิดว่าประธานาธิบดีพม่าอย่างเพียงพอหรือยังในเรื่องของสิทธิมนุษยชน และการเยือนของประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ไปพม่าเร็วเกินไปหรือไม่
นายโอบามาตอบว่า อันนี้ไม่ใช่เรื่องการรับรองรัฐบาลพม่า แต่เป็นเรื่องการการยอมรับว่ามีกระบวนการที่กำลังดำเนินการในพม่า แม้ปีสองปีที่ผ่านมาไม่มีคนคิดว่าจะเกิดขึ้น ประธานาธิบดีพม่าได้ดำเนินการขั้นตอนต่างๆ ซึ่งทำให้เราเห็นว่าขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ถูกต้อง นางอองซาน ซูจี ตอนนี้เป็น ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง ได้เห็นนักโทษการเมืองได้รับการปล่อยตัวและมีเรื่องการปฏิรูปการเมือง ซึ่งตนเองไม่คิดว่าไม่มีใครคิดหรือคาดหวังในทางที่ผิดว่าพม่าไปถึงจุดที่ควรจะเป็นแล้ว
นายโอบามากล่าวว่าอีกด้านหนึ่งถ้าเรารอพม่าบรรลุสภาพที่สมบูรณ์ของประชาธิปไตย เราคงต้องรออย่างนานทีเดียว
สำหรับเป้าหมายการเยือนพม่าครั้งนี้เพื่อที่จะเน้นให้เห็นถึงความคืบหน้าที่ได้เกิดขึ้นมาและให้พยายามหลีกเลี่ยงและให้แน่ใจว่าจะมีการดำเนินการให้คืบหน้าต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ในโอกาสที่จะมีโอกาสไปกล่าวปราศรัยต่อประชาชนพม่าเขาได้ยินว่าเราแสดงความยินดีต่อพม่าที่ได้เปิดประตูนำไปสู่ประเทศที่เคารพสิทธิมนุษยชนและเคารพสิทธิเสรีภาพทางการเมือง มุ่งไปสู่รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น สหรัฐฯจะยืนข้างๆแต่ไม่อยากเข้าไปคลุกคลีและนี่คือโอกาสที่ดีในขณะนี้ที่จะช่วยกระตุ้นส่งเสริมในพม่า
นายโอบามากล่าวว่าเมื่อนางอองซาน ซูจี ไปพบตนที่ทำเนียบขาว เขารู้สึกมีกำลังใจกับกระบวนการประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในพม่า และประเทศต่างๆทั่วโลกเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งหนึ่งที่เราจะทำได้ในฐานะประชาคมระหว่างประเทศคือเราต้องทำให้แน่ใจว่าชาวพม่ารู้เราให้ความสนใจและฟังคนเหล่านี้ และหวังว่าเราจะสามารถดำเนินการไปในทิศทางที่เป็นทางบวก
ยิ่งลักษณ์บอกเศรษฐกิจเติบโตจะช่วยพม่า
นางสาวยิ่งลักษณ์ตอบคำถามนี้ว่า จากการสังเกตการณ์และเยือนพม่ามาหลายครั้ง เราเชื่อว่าพื้นฐานความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะเป็นพื้นฐานของประชาธิปไตย เศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรืองจะเป็นการลดช่องว่างระหว่างประชาชน
ดังนั้นกรณีพม่าประเทศไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านต้องการที่จะช่วยเพื่อบ้านด้วยความจริงใจและเราต้องการที่จะเห็นชาวพม่ามีชีวิตความเป็นอยู่และการศึกษาที่ดีขึ้น ถ้าเราสามารถปิดช่องว่างนั้นได้เราจะสามารถเพื่อศักยภาพในภูมิภาคได้ สำหรับเราต้องการความช่วยเหลือจากประชาชากรนานาชาติ เพราะพม่าเริ่มเปิดประตูแล้ว ดังนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนานประเทศที่จะทำงานร่วมกันพม่าที่จะช่วยให้พม่ากลับคืนสู่ประชาธิปไตยตามกฎหมายของต่างประเทศ
นโยบายสหรัฐต่อเอเชียคืออะไร
คำถามที่สามเป็นคำถามจากนางสาวณัฐฐา โกมลวาทิน พิธีกรข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยบีพีเอสถามว่า นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯที่มีต่อเอเชียเป็นอย่างไร นายโอบามา กล่าวว่า วันที่ประกาศเบนเข็มมาที่เอเชียแปซิฟิกเพราะต้องการตอบสนองเรื่องทศวรรษต่างๆ
ประการแรกคือขยายด้านการลงทุนในเอเชีย ซึ่งเชื่อว่าการทำงานกับประเทศในภูมิภาคนี้จะสามารถสร้างงานและโอกาสต่างๆมากขึ้นสำหรับคนในอเมริกาและสำหรับคนในภูมิภาคนี้ โดยเรามีความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนที่ดีๆกับประเทศไทยอยู่แล้ว และเราจะทำมากขึ้นได้
พร้อมกันนี้จะขยายและมองหาช่องทางต่างๆที่เราจะสามารถประสานเศรษฐกิจของเราให้เข้าร่วมกันเพื่อให้นักธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่สามารถทำการค้าผลิตสินค้าต่างๆเข้ามาใช้ประโยชน์ได้
ประการที่สองคือ รักษาเสถียรภาพที่จะทำให้เกิดความมั่งคั่ง การดูแลเรื่องอุทกภัย ซึ่งไทยถือเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญาที่สำคัญของสหรัฐฯในเอเชีย ซึ่งประเทศไทยที่ไม่เพียงแต่จะทำงานกับเราในภูมิภาคนี้เท่านั้น แต่ยังทำงานอย่างเยี่ยมยอดในการรักษาสันติภาพทั่วโลกด้วย และอยากให้แน่ใจว่าเราสามารถกระชับความสัมพันธ์กันต่อไป ไม่เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์เรื่องการรับมือกับด้านความมั่นคงเท่านั้น แต่ต้องตอบสนองด้านมนุษยธรรมด้วย
นายโอบามากล่าวต่อว่าเราเห็นในภูมิภาคแถบนี้แล้วว่า ได้มีเหตุการณ์สร้างภัยพิบัติมากมายที่เป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติ เมื่อเรามีความร่วมมืออย่างแข็งแกร่งและฝึกอบรมระหว่างประเทศของเราทั้งสอง เราก็อยู่ในฐานะที่ดีที่จะตอบสนอง และไทยมีประสบการณ์เรื่องน้ำท่วมเข้าใจเรื่องนี้ดี
ประการที่สามคือ เรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เรามีการหารือกันในเรื่องการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงาน เชื่อว่าถ้าเด็กได้รับการศึกษาที่ดี ระบบสาธารณสุขได้รับการจัดตั้ง เหล่านี้คือประเด็นปัญหาต่างๆที่ประเทศของเราสามารถทำงานร่วมกันได้มากกว่าที่จะทำเองประเทศเดียว
ดังนั้น การแลกเปลี่ยนวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์จะเป็นเรื่องสำคัญ และประเทศไทยประสบความสำเร็จเรื่องเศรษฐกิจมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ถือว่าอยู่ในฐานะที่ดีที่จะเป็นประเทศผู้ให้บริการ โดยเราจะร่วมมือกับประเทศไทยได้ในการรับมือด้านสาธารณสุข
ประธานาธิบดีโอบามาและน.ส.ยิ่งลักษณ์ร่วมกันดื่มอวยพรที่ตึกทำเนียบรัฐบาล(Photo By Jason Reed/Reuters)
จ่อเข้าร่วมหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ
ในช่วงสุดท้าย นางสาวยิ่งลักษณ์กล่าวเสริมว่า ในการหารือซึ่งได้มีการพูดถึงเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก ตนได้อธิบายให้นายโอบามาฟังว่าไทยจะพยายามเข้าถึงในการเจรจาเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ทีพีพี) เพราะในการเจรจานั้นจะต้องมีความมีส่วนร่วมของทุกคนในประเทศ รวมไปถึงผ่านกระบวนการทางรัฐสภาในประเทศเพื่อทำให้ทีพีพีเกิดขึ้นจริง เพราะไทยเห็นว่าทีพีพีเป็นความพยายามเพื่อให้ความเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกัน และเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้เกิดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามต้องคำนึงความพร้อมของประเทศที่เข้าร่วมด้วย
งานเลี้ยงอาหารค่ำ
ต่อจากนั้นนางสาวยิ่งลักษณ์ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติ โดยมีการเชิญแขกพิเศษร่วมด้วย โดยมีการจัดเตรียมไว้ทั้งหมด 10 โต๊ะ ซึ่งแต่ละโต๊ะได้ตั้งชื่อ ประกอบด้วยวอชิงตัน ดีซีแบงค็อก เชียงใหม่ ภูเก็ต ฮอนโนลูลู ชิคาโก ขอนแก่น อยุธยา ลอสแองเจลิส และนิวยอร์ก   
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว นายโอบามาเดินทางไปที่สปอร์ตคอมเพล็กซ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อพบปะกับชาวสหรัฐอเมริกาในไทย ก่อนเดินทางกลับไปพักที่โรงแรม ซึ่งไม่มีการระบุชื่อโรงแรมเอาไว้ในกำหนดการ แต่คาดว่าน่าจะเป็นโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ถนนราชดำริ เนื่องจากอยู่ใกล้สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
โอบามาบินไปพนมเปญประชุมอาเซียน
U.S. Secretary of State Hillary Clinton and Thailand’s Prime Minister Yingluck Shinawatra toast at a dinner at Government House in Bangkok, November 18, 2012.( REUTERS/Jason Reed )
ส่วนกำหนดการวันที่ 19 พ.ย. ช่วงเช้าประธานาธิบดีสหรัฐจะเดินทางไปที่สนามบิน บน.6 ขึ้นเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน ไปยังท่าอากาศยานกรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 21 ทั้งนี้ประเทศสมาชิกทั้ง 10 ชาติของอาเซียนประกอบด้วยบรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม
ในโอกาสประชุมสุดยอดครั้งนี้ ผู้นำอาเซียนจะพบเจรจาอย่างไม่เป็นทางการกับนายโอบามา,นายกรัฐมนตรีจีน เวินเจียเป่า,ประธานาธิบดีลี เมียงบั๊ก แห่งเกาหลี และนายโยชิฮิโกะโนดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ภายใต้กรอบอาเซียน+1 และอาเซียน+3

รู้จักยัง!! นายแบบหนุ่มน้อย 5 ขวบ ลุคเท่! ดังกระฉ่อน!!โลกออนไลน์..


05-07-13 15:54   อ่าน : 0
คอลัมน์ : ต่างประเทศ

โลกออนไลน์สร้างเซเลบฯออนไลน์มานักต่อนัก ล่าสุดดาวรุ่งอีกคนที่มีภาพถ่ายถูกไวรัลไม่แพ้นายแบบดังๆยามนี้ คือเด็กชายวัย 5 ปี ที่ชื่อ "อลอนโซ่ มาทิโอ" เป็นไอคอนสไตล์ในเฟซบุ๊ค และอินสตราแกรม ด้วยวัย 5 ขวบกับการรับตำแหน่ง "แฟชั่นนิสต้า" ตัวน้อย โพสท่าพอๆกับนายแบบผู้ใหญ่มืออาชีพ ในสถานะอาชีพ นายแบบออนไลน์ใส่เสื้อผ้าสั่งตัดรวมทั้งแบรนด์ดังๆ
แต่ละรูปของแฟชั่นเสื้อผ้าที่หนูน้อย อลอนโซ่ สวมใส่และถูกแชร์ไปมากมาย ล้วนเป็นเสื้อผ้าสั่งตัดพอดีตัว ปัจจุบันมีแฟนคลับหลายพันคนเข้ามาชมอัลบั้มแฟชั่นเซ็ทของหนูน้อยในแต่ละวัน รวมทั้งสไตลิสต์ดังอย่าง อูโก้ โมซี่ ซึ่งทำงานให้กับซุปเปอร์สตาร์ทั้งคริส บราวน์ บียอนเซ่ เคลลี่ โรว์แลนด์ยังแสดงความเห็นว่า เด็กชายวัย 5 ขวบ คนนี้ โพสท่าเก่งกาจ
แม้จะมีคนไม่น้อยวิจารณ์ว่าการให้เด็ก 5 ขวบ แต่งตัวโพสท่าทางต่างๆทำให้แก่กว่าวัยที่ควรจะเป็นเช่นเด็กทั่วไป แต่แม่ของหนูน้อย "ลุยซ่า เฟอร์นันโด เอสปิโนซ่า" สไตลิสต์อิสระ บอกว่า เธอไม่เคยบังคับลูกให้เป็นนายแบบละอ่อนสำหรับเสื้อผ้าเด็ก แต่อลอนโซ่สนใจเองมากกว่า ตั้งแต่หยิบผ้าพันคอมาลองพันเอง หรือช่วง 3-4 ขวบ ก็เริ่มถามแม่เกี่ยวกับโบว์ และเสื้อผ้าต่างๆ
ที่มาของอาชีพนายแบบ(น้อย) ออนไลน์ เริ่มจากผู้เป็นแม่อัพโหลดภาพบางภาพของลูกชายที่แต่งตัว โพสท่านายแบบลงอินสตราแกรม ปรากฎว่าได้รับเสียงตอบรับดี จึงมีการอัพโหลดเพิ่มเข้าไปอีกจนปัจจุบันแอคเคานท์อินสตราแกรมของเธอมีจำนวนผู้ติดตามกว่า 130,000 คน และมีแฟนคลับบนเว็บไซต์จำนวนหลักหมื่น
ส่วนอลอนโซ่ บอกว่า เสื้อผ้าที่ชอบคือสูท รองเท้าผ้าใบ และแว่นกันแดด รวมทั้งชอบแต่งตัวเหมือนพ่อของเขา เพราะพ่อมีเสื้อผ้าเจ๋งๆหลายชุด
แต่ละวันการแต่งตัวประจำวันแม้ไปโรงเรียนอลอนโซ่ก็จะเป็นคนเลือกเสื้อผ้าเก๋ๆใส่ไปเรียนเอง โดยแม่ของเขาระบุว่า แม้หลายแบรนด์ที่ลูกชื่นชอบจะมีราคาสูง หากคำนวณแล้วจ่ายไหวก็จะซื้อให้ลูกชายตราบใดที่สินค้าเหล่านี้มีคุณภาพดีได้มาตรฐาน เพราะส่วนหนึ่งต้องคำนึงว่าลูกชายก็มีคนรู้จักและบางครั้งคนเหล่านี้อยากจะถ่ายรูปของอลอนโซ่ในที่สาธารณะ
ขอบคุณข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจ

-ในหลวง กับ หลวงพ่อคูณ- เรื่อง..."ผมเป็นคนไทย......"

ประมาณปี 35 หรือปี 36 ผมไม่แน่ใจ ตอนนั้นผมยังรับใช้หลวงพ่อคูณที่วัด หลวงพ่อจะถวายเงิน 72 ล้านตามอายุของในหลวง ซึ่งก็มี ข้าราชการมาเตรียม คำพูด สอน คำราชาศัพท์มากมาย จนวันหนึ่งพระเทพฯ ก็ได้มาหาหลวงพ่อ แล้วก็ทรงถามอะไรมากมาย แต่หลวงพ่อคูณไม่ได้ตอบอะไร จนในที่สุดพระเทพฯท่านก็ทรงถามว่า ทำไม หลวงพ่อ ไม่พูดกับหนูล่ะคะ หลวงพ่อคูณก็ตอบ แล้วก็พรางชี้ไปที่ นายอำเภอะว่า ............ ก็ไอ้นี่ มัน ไม่ให้ กู พูดคำว่า กู กับมึง 55555
พระเทพ ขำ น้ำตาซึม .............

แล้วพอ มา ถึงวันงาน ที่ในหลวงเสด็จมา เหล่าบรรดา สส. สว. สจ. นายอำเภอ หน้าแหยๆกัน เพราะกล้วว่า หลวงพ่อคูณจะพูด กู มึง กับในหลวง....

แล้วหลวงพ่อคูณท่านพูดว่า กูก็เคยเรียน ภาษาไทยเนอะ รู้น่า ไม่ต้องห่วงด๊อก ...ไอ้นาย (หลวงพ่อคูณ พูดกับ ราชการผู้ใหญ่) จนในที่สุด ............ ในหลวงท่านเสด็จมา ผมเองก็มีโอกาสเห็นในหลวง ใกล้ที่สุดๆๆๆๆ ชิด พระวรกาย เลย
ซึ่งในหลวงท่านถามว่า .............. หากิน ลำบากไหม (ผมน้ำตาไหล พราก) แล้วพระองค์ก็เดินจากไป..........คนแน่นวัด ท่านถามแบบบนี้ ทุกคน ถามถึงเรื่องการทำมาหากิน และความลำบาก พอท่านเสด็จกลับ....

หลวงพ่อคูณท่านก็เข้าวัด ท่านยิ้มแก้มปริ จนเวลาผ่านไป ผมก็ แอบไปถามท่านว่า ... ตอนที่เดินบนโบสถ์ ผมถามจริงเถอะหลวงพ่อ คุยอะไรเล่าให้ผมฟังหน่อย ...
แล้วคำแรก ที่หลวงพ่อ กล่าวคือ... มึงรู้ไหม มือพระองค์ เป็นมือ คนทำงาน อย่างก๊ะ ชาวไร่ ชาวนา ..แข็งกะด้าง มากๆ

แล้วผมก็ถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อใช้คำ เรียกว่าอะไร ... หลวงพ่อท่านเงียบ แล้วก็ตอบว่า ................ พระองค์ พูดประโยคแรกว่า ........ "หลวงพ่อครับ พูดตามปกติ นะครับ ผมเป็นคนไทย"....................................

"แสนสิริทุบสถิติครึ่งปีกวาดยอดขาย 2.9 หมื่นล้าน"..

“แสนสิริ” ทุบสถิติยอดขาย 6 เดือนแรก ทะลุ 2.9 หมื่นล้าน ฟุ้งแบล็กลอคตุนในมือแล้ว 6.3 หมื่นล้าน ทยอยรับรู้ภายใน 4 ปี เปิดแผนครึ่งปีหลังลงทุนเปิด 23 โครงการใหม่ ค่า 2.6 หมื่นล้านบาท ชู “ดีคอนโด” บุกตลาดต่างจังหวัด เปิดตัว 6 โครงการรวดเดือนสิงหาคมนี้

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยถึงสรุปผลการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 ว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขาย (พรีเซล) ได้ 29,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ที่สูงที่สุดตั้งแต่บริษัทเริ่มดำเนินธุรกิจ หรือคิดเป็นกว่า 60% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 48,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายในช่วงครึ่งปีแรกที่20,600 ล้านบาท จากการเปิด 27 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 38,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสแรก มูลค่ารวมกว่า 21,000 ล้านบาท รวมทั้งยอดขายในช่วงไตรมาส 2 ที่สามารถปิดการขายได้ประมาณ 8,000 ล้านบาท

ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ 63,000 ล้านบาท สามารถรองรับการรับรู้รายได้ไปอีก 4 ปีข้างหน้า รวมทั้งบริษัทยังมีความมั่นใจกับเป้าหมายการรับรู้รายได้ในปีนี้ที่ตั้งไว้ 35,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมีสัดส่วนการรับรู้รายได้ไปแล้วประมาณ 30% ส่วนอีก 70% จะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง และบริษัทยังมีกำหนดการโอนส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมอีกกว่า 11 โครงการ

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 บริษัทจะมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ อีกประมาณ 23 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 26,000 ล้านบาท โดยบริษัทได้วางแผนรุกธุรกิจในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อขยายฐานในตลาดต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยใช้แบรนด์ “ดีคอนโด” เป็นหัวหอก ซึ่งบริษัทเตรียมเปิด 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,400 ล้านบาท ใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ บางแสน หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และเชียงใหม่ โดยจะเปิดตัวพร้อมกันในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทคาดว่าจะยังคงเติบโตได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเงินบาทที่อ่อนตัวลงนั้นจะทำให้ภาคการส่งออกสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดี ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์เอง ยังคงมีปัญหาเรื่องแรงงานตึงตัวเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงกดดันอยู่ และอาจทำให้ไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อบ้านได้ทันตามกำหนดเวลา

“ในส่วนของบริษัทนั้นยอมรับว่า ได้รับผลกระทบจากในเรื่องดังกล่าวบ้างเช่นกัน อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทก็ยังคงสามารถบริหารจัดการการก่อสร้างได้ตามแผนที่วางไว้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทได้มีการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 17 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท ซึ่งการโอนกรรมสิทธิ์ก็ยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดคอนโดมิเนียมระดับล่าง ซึ่งหลายฝ่ายมีความเห็นว่า เป็นตลาดที่มีการเก็งกำไรสูง เนื่องจากที่ผ่านมา ลูกค้าของแสนสิริในตลาดนี้ มีการโอนกรรมสิทธิ์ และย้ายเข้าอยู่อย่างรวดเร็ว โดยมียอดเข้าอยู่ถึงกว่า 80-90% ภายในระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่โอนกรรมสิทธิ์” นายเศรษฐากล่าว

http://astv.mobi/Ai6YInl


ว.5???..."แสนสิริทุบสถิติครึ่งปีกวาดยอดขาย 2.9 หมื่นล้าน"..//**“แสนสิริ” ทุบสถิติยอดขาย 6 เดือนแรก ทะลุ 2.9 หมื่นล้าน ฟุ้งแบล็กลอคตุนในมือแล้ว 6.3 หมื่นล้าน ทยอยรับรู้ภายใน 4 ปี เปิดแผนครึ่งปีหลังลงทุนเปิด 23 โครงการใหม่ ค่า 2.6 หมื่นล้านบาท ชู “ดีคอนโด” บุกตลาดต่างจังหวัด เปิดตัว 6 โครงการรวดเดือนสิงหาคมนี้
       
        นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยถึงสรุปผลการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 ว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขาย (พรีเซล) ได้ 29,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ที่สูงที่สุดตั้งแต่บริษัทเริ่มดำเนินธุรกิจ หรือคิดเป็นกว่า 60% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 48,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายในช่วงครึ่งปีแรกที่ 20,600 ล้านบาท จากการเปิด 27 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 38,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสแรก มูลค่ารวมกว่า 21,000 ล้านบาท รวมทั้งยอดขายในช่วงไตรมาส 2 ที่สามารถปิดการขายได้ประมาณ 8,000 ล้านบาท
       
        ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ 63,000 ล้านบาท สามารถรองรับการรับรู้รายได้ไปอีก 4 ปีข้างหน้า รวมทั้งบริษัทยังมีความมั่นใจกับเป้าหมายการรับรู้รายได้ในปีนี้ที่ตั้งไว้ 35,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมีสัดส่วนการรับรู้รายได้ไปแล้วประมาณ 30% ส่วนอีก 70% จะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง และบริษัทยังมีกำหนดการโอนส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมอีกกว่า 11 โครงการ
       
        สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 บริษัทจะมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ อีกประมาณ 23 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 26,000 ล้านบาท โดยบริษัทได้วางแผนรุกธุรกิจในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อขยายฐานในตลาดต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยใช้แบรนด์ “ดีคอนโด” เป็นหัวหอก ซึ่งบริษัทเตรียมเปิด 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,400 ล้านบาท ใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ บางแสน หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และเชียงใหม่ โดยจะเปิดตัวพร้อมกันในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้
       
        นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทคาดว่าจะยังคงเติบโตได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเงินบาทที่อ่อนตัวลงนั้นจะทำให้ภาคการส่งออกสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดี ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์เอง ยังคงมีปัญหาเรื่องแรงงานตึงตัวเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงกดดันอยู่ และอาจทำให้ไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อบ้านได้ทันตามกำหนดเวลา
       
        “ในส่วนของบริษัทนั้นยอมรับว่า ได้รับผลกระทบจากในเรื่องดังกล่าวบ้างเช่นกัน อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทก็ยังคงสามารถบริหารจัดการการก่อสร้างได้ตามแผนที่วางไว้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทได้มีการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 17 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท ซึ่งการโอนกรรมสิทธิ์ก็ยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดคอนโดมิเนียมระดับล่าง ซึ่งหลายฝ่ายมีความเห็นว่า เป็นตลาดที่มีการเก็งกำไรสูง เนื่องจากที่ผ่านมา ลูกค้าของแสนสิริในตลาดนี้ มีการโอนกรรมสิทธิ์ และย้ายเข้าอยู่อย่างรวดเร็ว โดยมียอดเข้าอยู่ถึงกว่า 80-90% ภายในระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่โอนกรรมสิทธิ์” นายเศรษฐากล่าว

http://astv.mobi/Ai6YInl

แนะแนวอาชีพนักข่าว

ผู้สื่อข่าว-ผู้รายงานข่าว-นักข่าว-Reporter


ชื่ออาชีพ
 ผู้สื่อข่าว , ผู้รายงานข่าว ,นักข่าว Reporter

นิยามอาชีพ
 ผู้สื่อข่าวคือผู้เสาะแสวงหาข่าวและส่งข่าวตามระบบสื่อสารมวลชนโดยให้ข่าวสารที่เสนอเป็นประโยชน์แก่ผู้รับข่าวสาร หรือสาธารณชน ภายใต้จรรยาบรรณทางวิชาชีพ จริยธรรมและกฎหมาย
ลักษณะของงานที่ทำ
 ผู้สื่อข่าวหรือนักข่าวที่สังกัดอยู่กับสื่อมวลชนใดก็ตามต้องปฏิบัติหน้าที่หลักอย่างเดียวกัน คือ เสาะแสวงหาข่าว เจาะข่าว และทำข่าวด้วยวิธีการสัมภาษณ์ สอบถาม เข้าร่วมฟังในที่ประชุมแถลงข่าว การสัมมนา ติดตามเหตุการณ์ คดีต่างๆ หรือปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายให้ทำข่าว หรือสารคดี เฉพาะเรื่อง จดบันทึกข้อเท็จจริงจากการสังเกต การสัมภาษณ์ การสอบถาม การถ่ายภาพ การบันทึกเทปเสียง เทปโทรทัศน์ วิดีโอเทป เขียนข่าวตามรูปแบบของการเสนอข่าวที่ถูกต้องชัดเจน โปร่งใส และมี รายละเอียดตามความเหมาะสมสำหรับเรื่องหรือเหตุการณ์ที่เป็นข่าว ส่งข่าวให้กับกองบรรณาธิการ เพื่อพิจารณาก่อนเผยแพร่โดยการออกอากาศหรือลงพิมพ์ ในสิ่งพิมพ์ตามวัตถุประสงค์ ของการเสนอข่าวแก่ สาธารณชน
การรายงานข่าวอาจรายงานสดตรงมา หรือสถานที่ที่เป็นข่าว เช่นผลของการเลือกตั้ง สงครามใน พื้นที่จริงที่อยู่ในที่ห่างไกลในประเทศ ต่างประเทศ มุมใดมุมหนึ่งของโลก โดยผ่านอุปกรณ์การสื่อสาร เช่น โทรศัพท์ วิทยุสื่อสาร เครื่องโทรสาร และอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวที่เชี่ยวชาญหรือได้รับมอบหมายให้ทำข่าวด้านใดด้านหนึ่งอาจได้รับการเรียกชื่อหรือว่าจ้างตามสายงานที่ปฏิบัติ เช่น ผู้สื่อข่าวสายการเมือง ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจ ผู้สื่อข่าวสายสิ่งแวดล้อม ผู้สื่อข่าวสารอาชญากรรม หรืออาจได้รับการเรียกตามสถานที่ที่ไปทำข่าวเป็นประจำ ได้แก่ ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวประจำกระทรวงก็ได้
ผู้สื่อข่าวจะต้องรับผิดชอบในการทำข่าวให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 ชิ้นงาน แต่ถ้าเป็นข่าวที่ต้องวิเคราะห์เจาะลึกอาจต้องใช้เวลา 3 - 4 วันในการทำข่าว
สภาพการจ้างงาน
 ผู้สื่อข่าวที่ทำงานในองค์กรสื่อสารมวลชนของรัฐบาลจะได้รับค่าจ้างอัตราตามวุฒิการศึกษา ส่วนองค์กรสื่อมวลชนภาคเอกชน ค่าตอบแทน สวัสดิการสูง เนื่องจากมีชั่วโมงทำงานที่ยาวนานกว่าผู้สื่อข่าวในหน่วยงานของรัฐ
ผู้สื่อข่าวสื่อมวลชนในสื่อของเอกชนจะได้รับค่าตอบแทนขั้นต่ำประมาณ 8,500 บาท ถึง 10,000 บาท ไม่รวมค่ายานพาหนะประจำเดือนเดือนละประมาณ 2,000 - 4,000 บาท เพราะมีความคล่องตัวในการทำงานมากกว่าผู้สื่อข่าวขององค์กรสื่อสารมวลชนในความดูแลของรัฐ สามารถเบิกค่าเลี้ยงรับรอง ค่าใช้จ่ายในการหาซื้อและค้นคว้าหาข้อมูล นอกเหนือจากสวัสดิการที่ได้รับตามหลักเกณฑ์ที่แต่ละองค์กรกำหนด
นักข่าวอิสระจะต้องมีประสบการณ์และสายสัมพันธ์มากอย่างน้อย 3 ปี และจะได้ค่าตอบแทนการเขียนข่าวเรื่องละประมาณ 2,000 ถึง10,000 บาท ตามความสำคัญและความยากง่ายของข่าว
ระยะเวลาทำงานของผู้สื่อข่าวไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับเหตุการณ์และความจำเป็นที่ต้องหาข่าว จึงอาจกล่าวได้ว่าผู้สื่อข่าวต้องทำงาน 24 ชั่วโมง
สภาพการทำงาน
 เนื่องจากมีการแข่งขันในการนำเสนอข่าวสารจากสื่อมวลชนอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน การรายงานข่าวในปัจจุบัน จึงต้องดำเนินการตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีผลัดของเวลาการทำงาน เพราะอาจได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเพียงผู้เดียว ผู้สื่อข่าว หรือนักข่าวต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ ทันตามกำหนดเวลาของการปิดข่าวหรือส่งต้นฉบับข่าว เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการในความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการที่ต้องตรวจ ความถูกต้องของเนื้อหาข่าวก่อนการส่งเพื่อการแพร่ภาพ และกระจายเสียงหรือออกอากาศ ทางสถานีวิทยุ โทรทัศน์ เคเบิ้ลทีวี และทางสื่ออินเตอร์เน็ต ดังนั้น สภาพการทำงานจึง มีความกดดันสูง เพราะเร่งรีบดำเนินการเพื่อให้มีโอกาสเสนอข่าวเป็นแหล่งแรก ข่าวสารที่เสนอจะต้องมี ความถูกต้องแม่นยำในเนื้อหาของข่าวที่นำเสนอและต้อง เจาะลึกเพื่อให้ได้ข่าวที่แท้จริง
ผู้สื่อข่าวที่ดีนอกเหนือจากปฏิบัติตนเป็นที่ น่าเชื่อถือในทางวิชาชีพแล้ว ยังต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่คือ มีการเตรียมตัวหาข้อมูลของแหล่งข่าวที่จะไปสัมภาษณ์ หรือเรียกกันว่าทำการบ้านล่วงหน้า โดยปรึกษา ผู้มีความรู้ อย่างเช่น บรรณาธิการ นักวิชาการ การค้นคว้า อีกทั้งต้องเป็นผู้ที่สนใจ หาความรู้มากกว่าสายงาน ที่ตนเองรับผิดชอบ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล ครอบคลุมทุกประเด็นในการนำเสนอข่าว
ผู้สื่อข่าวอาจจะต้องนัดหมายสัมภาษณ์ผู้ที่เห็นเหตุการณ์หรือเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ผู้สื่อข่าวอาจจะต้องระมัดระวัง และมีความรอบคอบในการทำงาน พราะในบางครั้งอาจจะเสี่ยงอันตรายจากอิทธิพลจาก ตัวบุคคลหรือในท้องที่ทุรกันดารบางแห่งอาจจะไม่มีความปลอดภัย เช่น การทำข่าวเกี่ยวกับสงครามหรือเรื่องที่มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง
ผู้สื่อข่าวค่อนข้างมีอิสระในการทำงานสูงมีเงื่อนไขที่ต้องรับผิดชอบสูงในผลงานที่ต้องทำให้เสร็จตามกำหนดส่ง
เนื่องจากสื่อมวลชน มีอิทธิพลในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค สามารถโน้มน้าวและชี้นำหรือชักจูงผู้รับข่าวสาร หรือสาธารณชนได้ ผู้สื่อข่าวจึงควรคำนึงถึงบทบาทในการรับผิดชอบต่อสังคมเช่นเดียวกับสื่อมวลชน และทุกวันนี้ทั้งผู้ส่งข่าวสารและผู้รับข่าวสารได้ตระหนักถึงอิทธิพลเหล่านี้เช่นกัน จึงได้จัดตั้งกลุ่มขึ้นมาตรวจข้อมูลข่าวสารทั้งจากทางธุรกิจและเนื้อหาสาระที่นำเสนอ อย่างเช่น สมาคมคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สมาพันธ์ ผู้สื่อข่าวแห่งประเทศไทย ฯลฯ
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
 1. ควรมีความสนใจความเคลื่อนไหวของข่าวสารทั่วโลก เป็นนักสังเกตการณ์ที่สามารถเข้าใจสถานการณ์นั้นๆ และสามารถสื่อสารรายงานข้อมูลข่าวสารได้ถูกต้องและเแม่นยำ
2. ต้องมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงมีความอดทน ระมัดระวังและรอบคอบ สุขุม
3. ทำงานเป็นทีมได้พร้อมปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ ขณะปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี มีความรับผิดชอบสูงต่อทั้งแหล่งข่าว และต่อวิชาชีพ
4. สามารถทำงานให้ลุล่วงตามหน้าที่รับผิดชอบให้ทันตามกำหนดเวลา ซึ่งอาจต้องใช้เวลามากกว่าบุคลากรในอาชีพอื่น ๆ
5. มีความกล้าในการปฏิบัติการ หรือการนำเสนอข่าว ที่บางครั้งอาจเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต
6. สามารถถ่ายภาพและใช้อุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารได้ทุกชนิด
7. มีความเข้าใจในเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างถ่องแท้
ผู้ประกอบผู้สื่อข่าว-ผู้รายงานข่าว-นักข่าว-Reporterควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : เมื่อจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า ควรศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา สาขาวิชาใดก็ได้หรือ เลือกศึกษา สาขาวารสารศาสตร์ นิเทศศาสตร์ หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องเช่นเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์
นอกเหนือสิ่งอื่นใด การเป็นผู้สื่อข่าวจะต้องเสนอข่าวข้อเท็จจริงอันเป็นสาระประโยชน์ ไม่บิดเบือน ข้อเท็จจริง ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ในการปฏิบัติหน้าที่ ซื่อสัตย์ มีอุดมการณ์ ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง
โอกาสในการมีงานทำ
 ปัจจุบันสื่อสารมวลชนได้เปลี่ยนเข้าสู่ยุคของทางด่วนข้อมูลข่าวสารในระบบดิจิตอล ทำให้มีการขยายตัวทางธุรกิจ และการควบรวมกิจการเช่าช่วง หรือสัมปทานในการประมูลสื่อมวลชนจากภาครัฐบาล เพื่อมาดำเนินการเผยแพร่ข่าวสารครบวงจร เช่น เจ้าของสื่อธุรกิจ โทรทัศน์ จะมีสถานีวิทยุ นิตยสาร และหนังสือพิมพ์ ครอบคลุมไปถึงการเสนอข่าวทางอินเตอร์เน็ตเพื่อเสนอข่าวสู่ชุมชนหรือผู้รับข่าวสารทุกกลุ่มทุกวัยให้ครบทุกรูปแบบ โดยครอบคลุมทั้งเนื้อหา สาระทางภูมิปัญญา และบันเทิง จึงทำให้มีการแข่งขันกันสูงในการรายงานข่าว ซึ่งต้องการความรวดเร็วทันเวลา และใกล้ชิดกับเหตุการณ์ ทำให้แนวโน้มตลาดแรงงานด้านการรับสมัครผู้สื่อข่าว ผู้รายงานข่าว หรือนักข่าว ของวิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และวารสาร
จึงมีมากขึ้นกว่าในอดีต โดยเฉพาะกลุ่มผู้สื่อข่าวกลุ่มใหม่คือ ผู้สื่อข่าวอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-reporter ที่ต้องการความชำนาญทาง ด้านอินเทอร์เน็ตในการสื่อสาร โดยผู้รับข่าวสารจะมีบทบาทมากขึ้นในการโต้ตอบแสดงความคิดเห็นต่อข่าวที่ได้รับกับสื่อมวลชนและผู้สื่อข่าวประเภทนี้ได้ทันที
ส่วนผู้สื่อข่าวที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และมีความน่าเชื่อถือสามารถทำงานเป็นอิสระให้กับ สื่อมวลชนต่างๆ ได้ ในพื้นที่ภูมิประเทศที่ไกลๆ ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวที่ไม่ประจำ หรือเรียกว่าผู้สื่อข่าวอิสระ (Freelance reporter) ซึ่งสามารถทำข่าวเสนอให้กับองค์กรสื่อสารมวลชน สำนักข่าว ต่างๆ ทั่วโลกได้
ถ้ามีความสามารถด้านภาษาต่างประเทศจะเป็นส่วนที่ช่วยส่งเสริมหรือ ได้รับการว่าจ้างจากสื่อ ต่างประเทศ ที่มีสำนักข่าว หรือกองบรรณาธิการอยู่ในประเทศ หรืออาจประจำอยู่ในภูมิภาคด้วยอัตรา ค่าจ้างและผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นๆ ที่ค่อนข้างสูง
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
 ผู้ปฏิบัติงานในอาชีพผู้สื่อข่าว เมื่อชำนาญในการหาข่าว สร้างแหล่งข่าว และพัฒนาการทำข่าวจนเป็นที่น่าเชื่อถือของกองบรรณาธิการ ประมาณ 1 - 2 ปี ก็จะได้รับการ เลื่อนตำแหน่ง หรือมีโอกาสไปศึกษาหรือดูงานสัมมนาร่วมกับสื่อมวลชนจากต่างประเทศ หรือได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อจากเจ้าขององค์กรสื่อนั้นๆ จากนั้นจะได้เป็นหัวหน้าข่าว นักข่าวอาวุโส ผู้ช่วยบรรณาธิการ จนถึงบรรณาธิการ หรือเลื่อนขึ้นเป็นฝ่ายบริหารจัดการ หรือสามารถเลือกทำงานกับสื่อแขนงอื่นๆได้ ตามความสามารถและความต้องการ และความมั่นคงของงาน ขึ้นอยู่กับความสามารถและการพัฒนาตนเองของผู้สื่อข่าว
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
 นักประชาสัมพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ ผู้จัดรายการวิทยุ โทรทัศน์ พิธีกรผู้ดำเนินรายการวิทยุโทรทัศน์ ผู้เขียนบทโทรทัศน์ คอลัมน์นิสต์ ช่างภาพ ผู้ผลิตรายการวิทยุโทรทัศน์
แหล่งข้อมูลอื่น ๆ
 ประกาศโฆษณารับสมัครงานทางหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต สโมสรผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ สมาคมผู้สื่อข่าวแห่งประเทศไทย องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ การจัดประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย)

ศก.ไทยครึ่งปีหลัง 56 อาจชะลอตัว เมกะโปรเจกต์ภาครัฐเริ่มมีความเสี่ยง

"แนวโน้ม ศก.ไทยครึ่งปีหลัง 56 อาจชะลอตัว เมกะโปรเจกต์ภาครัฐเริ่มมีความเสี่ยง ด้านคลังลั่นมั่นใจการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลเดินหน้าได้ ยันทำตาม กม. ทุกขั้นตอน"..

ศูนย์วิจัยกสิกร มองแนวโน้ม ศก.ไทยครึ่งปีหลัง 56 อาจชะลอตัว เตรียมหั่น “จีดีพี” เหลือแค่ 4% พร้อมห่วงความไม่แน่นอนในการลงทุนทางภาครัฐ ทั้งในเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน และการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ด้าน“กิตติรัตน์” มั่นใจการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาล ทั้งเมกะโปรเจกต์ 2.2 ล้านล้าน และโครงการน้ำ 3.5 แสนล้าน สามารถเดินหน้าได้ แม้จะมีข้อท้วงติงทางกฎหมายจากหลายฝ่าย ยันรัฐบาลปฎิบัติตามกรอบ กม. ทุกขั้นตอน


นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยในการสัมมนา CEO Survey - Economic outlook ครึ่งปีหลัง 2556 ดยมองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปียังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากสถานการณ์ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนทางเศรษฐกิจจากยุโรป และสหรัฐอเมริกา

สำหรับสิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดในช่วงนี้ คือ เรื่องของเศรษฐกิจจีน ที่มีตัวเลขอ่อนตัวลงจนสู่ระดับที่ต่ำสุด รวมถึงความไม่แน่นอนในการลงทุนทางภาครัฐในเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน และการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ที่จะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกร ได้ปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) จากเดิมที่อยู่ที่ 4.8% ลดลงเหลือ 4.0% ส่วนภาคการส่งออกประเมินว่าจะลดลงจากเป้าที่ 9% เหลือเพียง 4%

ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายครึ่งปีหลังของไทย มองว่า ยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 2.5% ขณะที่ กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศยังหาผลตอบแทนก่อนที่สหรัฐฯ จะมีการชะลอมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (คิวอี) ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยครึ่งปีหลังจะมีความผันผวนตามปัจจัยระยะสั้นที่เข้ามากระทบ โดยคาดว่าค่าเงินจะอยู่ที่ประมาณ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายมีความเป็นห่วงโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาล ทั้งการลงทุนระบบบริหารจัดการน้ำวงเงิน 3.5 แสนล้านบาท หรือการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมวงเงิน 2 ล้านล้านบาท โดยยืนยันว่า โครงการขนาดใหญ่ดังกล่าวจะสามารถเดินหน้าได้ แม้จะมีข้อร้องเรียนทางกฎหมายจากหลายฝ่าย พร้อมระบุว่า กระบวนการของการลงทุนดังกล่าวนั้นเป็นไปตามกรอบขั้นตอนทางกฎหมายทุกประการ

ทั้งนี้ อาจจะมีผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงกฎหมายที่มีความเป็นห่วง แต่เราก็มีสำนักงานกฤษฎีกาที่พิจารณาว่าต้องทำอะไร โดยกรณีการลงทุน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเราเสนอเป็นพระราชบัญญัตินั้น ก็สอดคล้องกับสมาชิกสภาฯ ทั้งฝ่ายค้าน และรัฐบาล และจะเห็นได้ว่าฝ่ายค้านก็เคยบอกว่าให้เสนอเป็นพระราชบัญญัติ เราก็ทำอย่างนั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อหลายฝ่ายยังมีความเป็นห่วง ทางรัฐบาลก็จำเป็นต้องสร้างความเข้าใจให้ตรงกัน โดยตนได้หารือกับทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมว่า จะต้องจัดทีมเจ้าหน้าที่ เพื่ออธิบายให้ทุกฝ่ายได้เห็นภาพของตัวกฎหมายว่ามีความคลอบคลุมในด้านใด โดยอาจชี้แจงในขั้นตอนของการปฏิบัติในเชิงลึกด้วย เพื่อให้เกิดความสบายใจ ซึ่งตนเชื่อว่าจะสามารถสร้างความเข้าใจที่ตรงกันได้

http://astv.mobi/AU9kh79 และ http://astv.mobi/Ae4SWbI


“จริยธรรมสื่อมวลชน”:เกษม วัฒนชัย

ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “จริยธรรมสื่อมวลชน” ในงานครบรอบ 16 ปีสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติว่า การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีดิจิตอลในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาทำให้สื่อมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ เนื้อหา และ การเข้าถึงผู้รับสื่ออย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้รูปแบบพฤติกรรมของสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากสื่อมีอิธิพลต่อวิธีคิดของคน

วิวัฒนาการของสื่อที่เดิมทีรูปแบบของข้อมูลมีลักษณะเป็นชุดเดียวกัน(Commuization) ได้พัฒนาสู่การมีข่าวสารแยกเฉพาะกลุ่ม(Customization) และ ล่าสุดผู้รับสื่อก็สามารถเป็นผู้นำเสนอข่าวสารเองได้ด้วย(Individualzation)โดยใช้ดิจิตอลมีเดียเป็นสื่อ ทั้ง 3 ลักษณะนี้กำลังเกิดขึ้นร่วมกันในสังคมปัจจุบัน ซึ่งคำถามที่ตามมาก็คือขอบเขตและการควบคุมดิจิตอลมีเดียอยู่ที่ใดถึงจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ หรือจะต้องปล่อยให้เกิดเรื่องยุ่งเหยิงเดือดร้อนแบบในต่างประเทศก่อนจึงค่อยมีระบบตรวจสอบควบคุม อย่างเช่นการขโมยความลับทางวิชาการจากมหาวิทยาลัยชื่อดังมาเปิดเผยในโลกออนไลน์ รวมถึงการขโมยข้อมูลระบบข้อมูลทางความมั่นคงของสหรัฐฯมาเปิดเผยต่อสาธารณะชน เนื่องจากคนที่เอาข้อมูลเหล่านี้มาเปิดเผยไม่รู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ผิด

ทั้งนี้ลักษณะของสังคมไทยในปัจจุบันเป็นผลมาจากการที่สื่อโทรทัศน์และวิทยุเข้าถึงครอบคลุมครัวเรือนไทยจำนวนมากเป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่อง ทำให้วิธีคิด คุณธรรม มรรยาท วัฒนธรรมของครอบครัวสู่เด็กมีการเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ครูก็จะเน้นสอนแต่ด้านวิชาการ ส่งผลให้เด็กเรียนรู้จากโทรทัศน์ ละคร และสื่อดิจิตอล จนถูกกระแสเปลี่ยนแปลงและทำให้เด็กสร้างค่านิยมใหม่ๆขึ้นมาเอง สร้างการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ซึ่งถือว่าน่าเป็นห่วง เพราะลักษระเช่นนี้ถึงจะมีด้านที่เป็นบวกแต่ก็มีด้านที่เป็นลบเช่นกัน ปัจจุบันเฉพาะแค่โทรทัศน์ก็มีเป็นร้อยๆช่องแล้วและคนก็เลือกดูตามใจชอบ แม้ว่าจะมีบางข่าวที่ช่วยสร้างปัญญาแก้ผู้รับสื่อบ้างก็ตาม แต่เมื่อมีสื่อมากมายหลากหลาย ดังนั้นสิ่งที่จะกำกับเนื้อหาการนำเสนอก็คือจิตสำนึกของสื่อมวลชน

ศ.นพ.เกษม กล่าวต่อว่าไป หากจะมีการตั้งองค์กรสื่อของภูมิภาคอาเซียนในอนาคตที่ไทยจะเป็นแกนนำ คำถามที่ตามมาคือจะต้องทำอย่างไรให้การนำเสนอมีความอิสระ(Free) และ เป็นธรรม(Fair) เพราะมีบางประเทศสมาชิกอาเซียนที่การนำเสนอของสื่อยังถูกควบคุมจากรัฐบาล ขณะที่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปแม้จะมีนายทุนที่เป็นเจ้าของสื่ออยู่ก็ตามจิตสำนึกของผู้นำเสนอสื่อมีสูงมากเพราะมีตัวอย่างให้เห็นและอ้างอิงได้จึงมีการตรวจสอบข้อมูลก่อนนำเสนออย่างเป็นอิสระก่อนนำเสนอออกไป ซึ่งหากสื่อของไทยมีจิตสำนึกในการนำเสนอและการตรวจสอบข้อมูลก่อนนำเสนอมากกว่าปัจจุบันสื่อของไทยก็จะเปลี่ยนแปลงได้อีกมาก ซึ่งสื่ออาจจะต้องเลือกระหว่างความถูกต้อง มีจริยธรรม หรือ การมีผลประโยชน์กำไร การเอาใจผู้มีอำนาจทางการเมือง

ขณะที่ปัญหาสำคัญของประเทศที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศมีอยู่ 3 เรื่องหลักด้วยกันคือ การมีความเหลื่อมล้ำที่สูงระหว่างคนรวยและคนจน ปัญหาความน่าเชื่อถือของรัฐในการเป็นที่พึ่งด้านต่างๆของประชาชน และ ทำอย่างไรภาคเอกชนจะสามารถร่วมมือกับภาครัฐเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้เครื่องจักรแทนแรงงานมนุษย์ ซึ่งสื่อจะต้องนำเสนอปัญหาดังกล่าวเพื่อให้ปัญหาดังกล่าวเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะสื่อเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนในสังคมรับรู้ได้ง่ายที่สุด ส่วนคณะนิเทศศาสตร์นั้นก็ต้องช่วยสอนนักศึกษาให้มีการตรวจสอบตรวจค้นข้อมูลก่อนจะนำเสนอ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผู้รับสื่อรู้เรื่องที่เป็นจริงรอบด้าน ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญมากเช่นกัน

เผยแพร่โดยสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ