PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2558

(ย้อนหลัง)สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง

วันพุธ ที่ 20 สิงหาคม 2557
Posted by ปกรณ์ , ผู้อ่าน : 10561 , 12:25:18 น.  
หมวด : การเมือง 

 พิมพ์หน้านี้ 
  โหวต 2 คน BlueHill , ลูกเสือหมายเลข9 โหวตเรื่องนี้ 


          เป็นกระแสที่กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้งสำหรับการชิงเก้าอี้เบอร์ 1 กรมปทุมวัน เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะผู้ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ต.ช.ในช่วงสายวันนี้ (20 ส.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) เพื่อพิจารณาแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนใหม่
          ถือเป็น ผบ.ตร.คนที่ 10 นับตั้งแต่มีการโอนกรมตำรวจ สังกัดกระทรวงมหาดไทย มาจัดตั้งเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขึ้นบังคับบัญชาโดยตรงกับนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2541
          การประชุม ก.ต.ช.วันนี้ จะเป็นครั้งแรกของ ก.ต.ช.โครงสร้างใหม่ ตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 88/2557 ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ซึ่งมีสาระสำคัญที่เปลี่ยนไป 2 ประการ คือ จำนวนกรรมการ ก.ต.ช.ลดลงแต่มีตำแหน่งใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา เช่น ปลัดกระทรวงกลาโหม กับผู้มีอำนาจเสนอชื่อ ผบ.ตร.คนใหม่ เปลี่ยนจากนายกรัฐมนตรี เป็น ผบ.ตร.คนปัจจุบัน
          งานนี้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. (รรท.ผบ.ตร.) จึงต้องรับบทเสนอชื่อ "ว่าที่ผู้นำสีกากี"
          และนั่นคือ 1 ใน 3 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนในวงการตำรวจแทงหวยกันว่า ผู้ที่จะขึ้นเป็น ผบ.ตร.คนที่ 10 น่าจะเป็น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผบ.ตร.มค. (รับผิดชอบงานความมั่นคง) อาวุโสอันดับ 3 เบียดแซงคู่แข่งสำคัญอย่าง พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร.ปป.1 (รับผิดชอบงานป้องกันและปราบปราม) ไปได้สำเร็จ แม้รายหลังจะมีอาวุโสอันดับ 1 ก็ตาม 
          สามปัจจัยที่เป็นแรงหนุนของ พล.ต.อ.สมยศ ประกอบด้วย
          1.ผลงาน โดยเฉพาะการคลี่คลายคดีความมั่นคงในช่วงชุมนุมทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นคดีชายชุดดำ แก๊งยิงเอ็ม 79 ตามยึดอาวุธสงคราม ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของ คสช. ปรากฏว่า พล.ต.อ.สมยศ โชว์ผลงานได้สวยงาม และทำงานเข้าขากับฝ่ายทหารได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ตร.) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 15 (ตท.15) 
          ขณะที่ พล.ต.อ.เอก แม้จะมีผลงานด้านปราบปรามอาชญากรรมอย่างต่อเนื่อง เพราะได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบคดีสำคัญๆ มาตั้งแต่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ยังนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.เต็มก้น แต่นั่นก็เป็นคดีอาชญากรรมทั่วไป ซึ่งเป็นหน้างานหลักของตำรวจอยู่แล้ว ประกอบกับระยะหลังๆ เริ่มมีอาการ "หลุด" ให้เห็น เช่น คดีข่มขืนเด็กหญิงอายุ 13 ปีบนรถไฟ มีข่าวเรื่องจัดฉากให้แม่ของเด็กเข้ามอบดอกไม้ขอบคุณทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจ
          จะว่าไปเหตุการณ์อื้อฉาวนี้ก็เป็นผลมาจากการเป็นคู่แคนดิเดตเบียดชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.กันอย่างดุเดือดนั่นเอง...
          2.สายสัมพันธ์ หรือคอนเนคชั่น พล.ต.อ.สมยศ มีจุดเด่นในแง่เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 31 ทำให้มีเพื่อนฝูงในแวดวงคนในเครื่องแบบมาก เช่น พล.อ.ไพบูลย์ ดังที่กล่าวแล้ว ซึ่ง พล.อ.ไพบูลย์ ก็มีบทบาทอย่างสูงใน คสช. และมีชื่อเป็นแคนดิเดต ผบ.ทบ.คู่กับ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผบ.ทบ. รวมทั้งมีชื่อในโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมด้วย
          ยิ่งไปกว่านั้น พล.ต.อ.สมยศ ยังมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับคนในตระกูล "วงษ์สุวรรณ" โดยเฉพาะสองพี่น้อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะที่ปรึกษา คสช. กับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ถึงขนาดมีคนเห็นร่วมโต๊ะอาหารกันบ่อยๆ
          แล้ว พล.อ.ประวิตร มีอิทธิพลต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขนาดนั้น? คงไม่ต้องจาระไนให้มากความ ตัวอย่างง่ายๆ คือกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลงนามในคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 93/2557 ยกโทษปลดออกจากราชการให้กับ พล.ต.อ.พัชรวาท (เกษียณอายุราชการแล้ว) ตามคำสั่งศาลปกครอง อันสืบเนื่องจากคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อปี 2551 ซึ่ง พล.ต.อ.พัชรวาท ร้องเรียนและร้องขอความเป็นธรรมมาถึง 2 รัฐบาล (รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) แต่มาสมหวังในยุค คสช.
          ขณะที่สายใยแห่งความแนบแน่นยังแผ่ไปถึง "หลังบ้าน" ด้วย เพราะในงานเลี้ยงครบรอบ 28 ปีการสถาปนาสมาคมแม่บ้านตำรวจ ซึ่งมี รศ.ปิยานันต์ ประสารราชกิจ อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ปฏิบัติหน้าที่นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เป็นประธาน เมื่อไม่กี่วันมานี้นั้น มีคนเห็น สมถวิล วงษ์สุวรรณ ภรรยาของ พล.ต.อ.พัชรวาท แสดงความสนิทสนมกับ พจมาน พุ่มพันธุ์ม่วง ภรรยาของ พล.ต.อ.สมยศ เป็นพิเศษ ทำให้ลือกันไปอีกยกหนึ่งว่าหลังบ้านยังขนาดนี้ หน้าบ้านมิต้องเรียกว่า "แบเบอร์" แล้วหรือ
          อย่างไรก็ดี ในรายของ พล.ต.อ.เอก แม้จะไม่ได้มีสายสัมพันธ์ซับซ้อนเหมือน พล.ต.อ.สมยศ และเป็นนายร้อยอบรม ไม่ใช่ นรต. แต่ประวัติชีวิตและผลงานที่ผ่านมาก็ไม่ได้ขี้เหร่ โดยเฉพาะการมีดีกรีนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง (ปริญญาโทสาขาเดียวกันจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ทำให้มีความสามารถในเรื่องงานสอบสวน มีเพื่อนพ้องและได้รับการยอมรับจากคนในแวดวงกระบวนการยุติธรรมค่อนข้างมาก ซ้ำยังเป็นศิษย์เก่าวัดนวลนรดิศ โรงเรียนเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 ผู้เป็นน้องชายด้วย
          แต่ที่ผ่านมายังไม่ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญกับ "วัดนวลฯคอนเนคชั่น" เป็นกรณีพิเศษ
          3.ขั้นตอนการเสนอชื่อ ผบ.ตร.คนใหม่ เมื่อ พล.ต.อ.วัชรพล กลายเป็นผู้เสนอชื่อ ผบ.ตร. ก็ต้องย้อนไปดูประวัติว่า พล.ต.อ.วัชรพล คือ มือขวาของ พล.ต.อ.พัชรวาท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ฉะนั้นจากสายสัมพันธ์ที่ยกมาอธิบายข้างต้น จึงค่อนข้างชัดเจนว่า พล.ต.อ.วัชรพล จะเลือกเสนอชื่อใคร
          กระแสข่าววงในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุด้วยซ้ำว่า พล.ต.อ.วัชรพล เสนอชื่อไปยังหัวหน้า คสช.เรียบร้อยแล้ว และเสนอเพียงชื่อเดียว!
          โอกาสของ พล.ต.อ.สมยศ ที่น่าจะผงาดขึ้นเป็น ผบ.ตร.คนที่ 10 นั้น ยังวัดจากกระแสโจมตีเขาที่มีมาอย่างต่อเนื่องในระยะหลังด้วย โดยเฉพาะเรื่องการใช้เงินจำนวนมหาศาลจองซื้อหุ้นในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เพราะการถูกโจมตีหรือเตะตัดขา ย่อมหมายถึงว่าเขากำลังจะเข้าวิน
          ส่วนที่มีข่าวกระเซ็นกระสายว่า คสช.อาจเลือกแนวทางรอมชอม ด้วยการแบ่งให้คู่ชิง ผบ.ตร.ได้สมหวังกันคนละปี โดยให้ พล.ต.อ.สมยศ เป็นก่อน เพราะจะเกษียณอายุราชการในปี 2558 จากนั้นจึงตามด้วย พล.ต.อ.เอก ที่จะเกษียณอายุราชการในปี 2559 นั้น ในความเป็นจริงแล้ว"สัญญาใจ" ลักษณะนี้เกิดขึ้นยากมากในวงการตำรวจ เพราะตำแหน่ง ผบ.ตร.พลิกผันไปตามทิศทางการเมือง 
          ประกอบกับหาก พล.ต.อ.สมยศ ได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.จริงๆ เขาจะมีสิทธิ์เสนอชื่อ ผบ.ตร.คนใหม่ในปีหน้า แล้วเขาจะเสนอชื่อคนที่เบียดแย่งตำแหน่งกันมาดุเดือดอย่าง พล.ต.อ.เอก หรือ
          ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้จึงเข้าสู่โหมดแตกหัก และอาจมีโอกาสพลิกผันได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะคนที่ตัดสินใจขั้นสุดท้ายคือคนที่นั่งหัวโต๊ะอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ 
          แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือ รอยร้าวในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งยิ่งนานยิ่งยากจะประสานมากขึ้นทุกที ไม่ว่าใครขึ้นมาเป็นผู้นำสีกากีคนใหม่ก็ตาม!

//////////////////////////////////////////////////////////////
รายงานโดย : ขวัญหทัย มาลากาญจน์ / วิศิษฏ์ ชวนพิพัฒน์พงศ์
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หน้าโฟกัส ฉบับวันพุธที่ 20 ส.ค.2557

สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง


สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง

สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
อยู่ในวาระ
เริ่มดำรงตำแหน่ง
31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
สมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
อยู่ในวาระ
เริ่มดำรงตำแหน่ง
11 กันยายน พ.ศ. 2557
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
อยู่ในวาระ
เริ่มดำรงตำแหน่ง
1 ตุลาคม พ.ศ. 2557
สมัยก่อนหน้า พล.ต.อ.ดร.วัชรพล ประสารราชกิจ
(รักษาราชการแทน)
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด 27 ธันวาคม พ.ศ. 2497 (60 ปี)
คู่สมรส พจมาน พุ่มพันธุ์ม่วง
ศาสนา พุทธ
สังกัด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ปีที่ปฏิบัติหน้าที่ พ.ศ. 2518 - ปัจจุบัน
ชั้นยศ Thai police O9.png พลตำรวจเอก
พลตำรวจเอก ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (27 ธันวาคม พ.ศ. 2497 - ) ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 10 ของประเทศไทย

ชีวิตส่วนตัว[แก้]
พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ชื่อเล่นชื่อ อ๊อด สื่อมวลชนมักเรียกท่านว่า บิ๊กอ๊อด เกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2497 ที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่ โรงเรียนท่าเรือนิตยานุกูล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเข้าศึกษาต่อใน รุ่น 15 (ตท.15) ก่อนจะเข้าศึกษาต่อที่ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 31 (นรต.31) จบปริญญาตรีสาขา นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง จบปริญญาโท รัฐศาสตร์การเมือง มหาวิทยาลัยปูนา จากอินเดีย จบปริญาเอกปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาการบริหารงานยุติธรรมและสังคม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

ชีวิตครอบครัว สมรสกับพจมาน พุ่มพันธุ์ม่วง มีบุตรด้วยกัน 2 คน ได้แก่ ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง และ ร้อยตำรวจตรี รชต พุ่มพันธุ์ม่วง

ราชการตำรวจ[แก้]
พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รับราชการตำรวจครั้งแรก ในตำแหน่ง รองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลพระโขนง และได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ในกรมตำรวจดังต่อไปนี้

16 ธันวาคม พ.ศ. 2532 รองผู้กำกับการ (ทำหน้าที่นายตำรวจปฏิบัติราชการพิเศษ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน) สำนักงานกำลังพล
1 มีนาคม พ.ศ. 2538 - ผู้กำกับการกองวิชาการ
25 ตุลาคม พ.ศ. 2539 - รองผู้บังคับการชุดตรวจงานอำนวยการ ส่วนตรวจราชการ 1 สำนักงานจเรตำรวจ
16 ธันวาคม พ.ศ. 2540 - รองผู้บังคับการ กองบังคับการอำนวยการ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
1 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 - รองผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมือง 1
14 ตุลาคม พ.ศ. 2542 - ผู้บังคับการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
1 ตุลาคม พ.ศ. 2544 - ผู้บังคับการ กองแผนงาน 2
11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 - ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานแผนงานและงบประมาณ
1 ตุลาคม พ.ศ. 2546 - ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
1 ตุลาคม พ.ศ. 2547 - รองจเรตำรวจแห่งชาติ
1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 - ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ทำหน้าที่ประสานงานสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย)
30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 - ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ทำหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสืบสวน)
7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 - จเรตำรวจแห่งชาติ (สบ 8)
31 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 - ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 - ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - ที่ปรึกษา (สบ 10) ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ
1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
1 ตุลาคม พ.ศ. 2557 - ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ในส่วนของภาคสังคม เป็นอดีตกรรมการองค์กรสวนสัตว์ ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนท่าเรือ นิตยานุกูล[1]

คดีพันธมิตรฯ[แก้]
พลตำรวจเอกสมยศ ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต่อมาได้ยื่นขอลาออกจากการเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ชายชุดดำ[แก้]
วันที่ 11 กันยายน 2557 เขานำแถลงข่าวตำรวจจับกุมกลุ่มคนชุดดำที่ก่อเหตุใช้อาวุธสงครามระหว่างการชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 10 เมษายน 2553 จำนวน 5 คน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของพลเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม ผู้ต้องหารับสารภาพ และว่ายังมีผู้ต้องหาหลบหนีอีก 2 คน พลตำรวจเอกสมยศว่า "ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มีคำถามจากสังคมมาโดยตลอดว่าชายชุดดำมีจริงหรือไม่ วันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่ามีจริง"[2] ต่อมา วันที่ 14 ตุลาคม 2557 ผู้ต้องหา 5 คนกลับคำรับสารภาพ ระบุว่าถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกายอย่างต่อเนื่อง และทนต่อการถูกทำร้ายร่างกายไม่ไหวจึงยอมรับสารภาพ[3]

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ[แก้]
วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557 ที่กองบัญชาการกองทัพบก คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ได้ประชุมเพื่อแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่ง พล.ต.อ.ดร.วัชรพล ประสารราชกิจ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เสนอชื่อ พล.ต.อ.สมยศ เพียงคนเดียวซึ่งคณะกรรมการ ก.ต.ช. ก็ลงมติเลือก พล.ต.อ.สมยศ เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นับเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 10 ของประเทศไทย

วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพลตำรวจเอกสมยศเป็น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนใหม่ [4] โดยให้เริ่มดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เป็นต้นไป

คดีความ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์[แก้]
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 631/2557 ลงวันที่ 21 พ.ย. 2557 ให้ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น.ขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก., พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผบก.รน., พ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล ผกก.ตม.สมุทรสาคร ตำรวจชั้นประทวน 1 นาย และพลเรือนอีก 4 ราย ในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเป็นเจ้าพนักงาน เรียกรับสินบนหรือประโยชน์อื่นใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ 149 ล่าสุดวันเดียวกันนี้ศาลได้อนุมัติหมายจับบุคคลทั้งหมดตามคำร้องของผบช.น.แล้ว

คสช.ย้าย “อดุลย์-ธาริต-นิพัทธ์” เข้ากรุสำนักนายกฯ-ยุบวุฒิสภา

คสช. ออกคำสั่งให้ “พล.ต.อ.อดุลย์-ธาริต-พล.อ.นิพัทธ์” เข้าปฏิบัติราชการสำนักนายกฯ ตั้งแต่บัดนี้ ให้ “พล.ต.อ.วัชรพล” รักษาการ ผบ.ตร. “พล.ต.อ.ชัชวาลย์” ทำหน้าที่อธิบดีดีเอสไอ “พล.อ.สุรศักดิ์” รักษาการปลัดกลาโหม พร้อมยุบวุฒิสภา ให้อำนาจรัฐสภาเป็นของหัวหน้า คสช.
       
       
คำสั่ง คสช. ฉบับที่ 7/25557      


       
       เมื่อเวลา 18.50 น.(24/5/57) คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกคำสั่งที่ 7/2557 ให้ พล.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และให้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รอง ผบ.ตร. มารักษาราชการในตำแหน่ง ผบ.ตร. แทน มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
       
       หลังจากนั้น คสช. ได้ออกคำสั่งที่ 8/2557 ให้ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี แล้วให้ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ รอง ผบ.ตร. ปฏิบัติหน้าที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษอีกหน้าที่หนึ่ง มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
       
       ขณะเดียวกัน คสช. ได้ออกคำสั่งที่ 9/2557 ให้ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงกลาโหม
       
       ต่อมา คสช. ได้ออกประกาศ ฉบับที่ 30/2557 ให้วุฒิสภาสิ้นสุดลง และให้เป็นอำนาจหน้าที่ใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ให้เป็นของรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เป็นอำนาจหน้าที่ของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแทน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
       
       รายละเอียดคำสั่ง คสช.
       
       
คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 7/2557
       เรื่อง การแต่งตั้งให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่และให้รักษาราชการแทน

       
       เพื่อให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเหมาะสมยิ่งขึ้น หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้
       
       1. ให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ได้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน โดยยังคงเป็นรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 6/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
       2. ให้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
       
       ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
       
       สั่ง ณ วันที่ 24 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557
       
       พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
       หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
       
       
คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 8/2557
       เรื่อง การแต่งตั้งให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่

       
       เพื่อให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเหมาะสมยิ่งขึ้น หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้
       
       1. ให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ได้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน
       2. ให้ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาปฏิบัติหน้าที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษอีกหน้าที่หนึ่ง โดยให้ได้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน
       
       ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
       
       สั่ง ณ วันที่ 24 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557
       
       พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
       หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
       
       
คำสั่ง คสช. ฉบับที่ 8/25557     


       
       
คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 9/2557
       เรื่อง การแต่งตั้งให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่และให้รักษาราชการแทน

       
       เพื่อให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเหมาะสมยิ่งขึ้น หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้
       
       1. ให้ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ได้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน
       2. ให้ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงกลาโหม
       
       ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
       
       สั่ง ณ วันที่ 24 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557
       
       พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
       หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
       
       
คำสั่ง คสช. ฉบับที่ 9/25557     

       
       ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 30/2557
       เรื่อง ให้วุฒิสภาสิ้นสุดลง

       
       ตามที่ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ให้วุฒิสภาที่มีอยู่ ณ วันที่ประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปนั้น เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีประกาศดังต่อไปนี้
       
       ข้อ 1. ให้วุฒิสภาที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ ณ วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ สิ้นสุดลง
       
       ข้อ 2. ในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้การดำเนินการเรื่องใดต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ให้เป็นอำนาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในการให้ความเห็นชอบแทนรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ในเรื่องนั้น
       
       ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
       
       ประกาศ ณ วันที่ 24 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557
       
       พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
       หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
       

แฉ"แม้ว"จ้างลอบบียิสต์ถล่ม"บิกตู่" แนะรัฐบาลสวาไส้ทุจริตข้าวโต้

แฉ"แม้ว"จ้างลอบบียิสต์ถล่ม"บิกตู่" แนะรัฐบาลสวาไส้ทุจริตข้าวโต้
6 เม.ย.58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวอิศรา เผยแพร่สัมภาษณ์พิเศษนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และบุตรชาย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีที่ทั้ง “สหรัฐอเมริกา-สหภาพยุโรป-องค์กรระหว่างประเทศ” โจมตีการใช้มาตรา 44 แทนกฎอัยการศึก กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ออกมาระบุว่า มีคนนอกประเทศจ้างล็อบบี้ยิสต์มาทำร้ายประเทศไทย ก่อนที่จะส่งนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงการใช้มาตรา 44 กับสื่อมวลชนต่างประเทศในวันที่ 7 เม.ย.นี้ โดยมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าเชื่อมโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษชายคดีอาญาที่หลบหนีคำพิพากษาศาลจำคุก 2 ปี ไปต่างประเทศ
โดยนายไกรศักดิ์ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีเงินมากพอที่จะจ้างล็อบบี้ยิสต์ได้หลายบริษัท ซึ่งแต่ละบริษัทมักจะเป็นระดับชั้นนำที่มีเครือข่ายในองค์กรระหว่างประเทศมากมาย จึงทำให้พ.ต.ท.ทักษิณเลือกใช้สอยบรรดาล็อบบี้ยิสต์ให้ได้ผลกับตัวเองได้มาก รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์จะเจอแรงกดดันจากต่างประเทศ ผ่านการให้ข้อมูลของล็อบบี้ยิสต์ไปตลอด เพราะถ้าเงินถึงบริษัทพวกนี้พร้อมทำงานให้ตลอดเวลา เพราะมันคืออาชีพของพวกเขา
นายไกรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณได้จ้างบริษัทที่กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อบริษัท เบเคอร์ แอนด์ เบเคอร์ ของ “นายเจมส์ เอ. เบเกอร์” อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธานาธิบดีจอร์จ บุช (ผู้พ่อ) ในช่วงปี 2549 จ้างบริษัท เอเดอร์แมน ซึ่งเป็นบริษัทของมาร์ก เพน เพื่อรณรงค์ทางสื่อ ทำโพล เคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งบนดินและใต้ดิน พ.ต.ท.ทักษิณ มีเครือข่ายมากมาย การหาบริษัทล็อบบี้ยิสต์ที่มีอิทธิพลกับต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยาก แค่ยกหูทีเดียวก็ตกลงกันได้แล้ว
“ครั้งหนึ่งมีบริษัทล็อบบี้ยิสต์ของประเทศอังกฤษมาคุยกับผม บอกว่าคุณทักษิณเคยมาจ้าง เขาก็อธิบายหมดว่าคุณทักษิณต้องการอะไร แต่เขายอมรับคุณทักษิณไม่ได้ เลยไม่ตอบรับว่าจ้างไป แล้วเขียนบทความตั้งคำถามว่าการซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ว่า เป็นการนำเงินเปรอะเลือดมาซื้อหรือไม่ สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ควรทำอย่างยิ่งคือหาประเด็นที่จะสร้างความเชื่อมั่นกับต่างประเทศมาตอบโต้การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี”
นายไกรศักดิ์ ระบุว่า สมัยรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งมาจากรัฐประหารเหมือนกัน แต่ไม่โดนตอบโต้จากต่างประเทศมากเท่านี้ เพราะรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์พูดถึงการฆ่าตัดตอนสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ เหตุการณ์ตากใบ เหตุการณ์หรือเซะ และมีการสอบสวนดำเนินการ ล็อบบี้ยิสต์ก็ไม่สามารถพูดสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณได้ ส่วนเรื่องน.ส.ยิ่งลักษณ์ รัฐบาลก็ต้องอธิบายเรื่องโครงการรับจำนำข้าวว่า มีการทุจริตอย่างไร สร้างเสียหายอย่างไร รวมถึงการนิรโทษกรรมซึ่งนำมาสู่ความขัดแย้ง เชื่อมโยงไปยังพ.ต.ท.ทักษิณ เรื่องประชาธิปไตยของไทยที่ยังมีช่องโหว่ที่ต้องแก้ปัญหา เชื่อว่าต่างประเทศรับฟัง เพียงแต่ถ้าไม่จ้างล็อบบี้ยิสต์ก็จะไม่มีปากเสีย แต่มันอาจจะช้าหน่อย


บิ๊กตู่ลอยเคราะห์ โหรระบุ ดวงอยู่ยาวอีก3ปี! คสช.ทำพิธีที่เชียงใหม่

บิ๊กตู่ลอยเคราะห์ โหรระบุ ดวงอยู่ยาวอีก3ปี! คสช.ทำพิธีที่เชียงใหม่ โพลผวาอำนาจม.44 

ไก่อูโต้ดุเสียงวิจารณ์ วิษณุให้3ฝ่ายตัดสินใจ ทำเอ็มโอยูยุติขัดแย้ง

"บิ๊กตู่"แอ่วเหนือ แจกที่ดินทำกินชาวเชียงใหม่ ลั่นรักทุกคนทั้งประเทศ ไม่เคยแบ่งแยกฝักฝ่าย พร้อมทำพิธีลอยเรือสำเภาจำลอง แก้เคล็ดสะเดาะเคราะห์ โหรคมช.ฟันธง นายกฯ อาจต้องขยายเวลาโรดแม็ป เหตุจากหลายโครงการยังไม่เสร็จสิ้น สวนดุสิตโพลชี้คนห่วงการใช้อำนาจตามมาตรา 44 "ไก่อู" โต้เดือดเสียงวิจารณ์ "วิษณุ"พร้อมแจงทูต ต่างชาติ 7 เม.ย. ชี้นิรโทษกรรมทำได้แต่ต้องไม่สองมาตรฐาน หนุนข้อเสนอทำ"เอ็มโอยู" ยุติขัดแย้ง แต่ต้องผ่านความเห็น 3 ฝ่าย

"บิ๊กตู่"รูดซิปปาก

เวลา 12.30 น. วันที่ 5 เม.ย. ที่ท่านอากาศ ยานทหารกรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) ดอนเมือง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ ขึ้นเครื่องบินไปปฏิบัติภารกิจที่จ.เชียงใหม่ โดยปฏิเสธให้สัมภาษณ์ ตามที่เคยพูดว่าช่วงนี้จะลดการให้สัมภาษณ์ลง แต่ทักทายอย่างอารมณ์ดี พร้อมระบุให้พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พูดแทนแล้วขอไปปฏิบัติภารกิจก่อน



พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า นายกฯไม่ใช่จะงดให้สัมภาษณ์เพียงแต่จะลดปริมาณลงบ้าง ที่ผ่านมานายกฯพยายามลดการให้สัมภาษณ์ แต่ด้วยความตั้งใจจริงและบุคลิกของนายกฯต้องการให้สังคมมีความเข้าใจ เพราะที่ผ่านมามักจะได้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือได้ข้อมูลคนละฝั่งไม่ตรงกับความเป็นจริง นายกฯจึงพยายามอธิบายเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองว่าแต่ละเรื่องที่ทำคืออะไรและมีปัญหาอย่างไร แต่ระยะหลังเมื่อได้รับฟังเสียงสะท้อนและมีสื่อเสนอแนะเข้ามาจำนวนมากจึงพยายามปรับตัวและลดปริมาณการให้สัมภาษณ์และการให้ข้อมูลข่าวสารลง แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะละเลยและไม่ให้ข้อมูลอะไรเลย เพียงแต่จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยชี้แจงงานที่รับผิดชอบมากขึ้น



โต้สอบโบนันซ่าตัดน้ำเลี้ยงแดง 



พล.ต.สรรเสริญกล่าวถึงการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า งานแรก พล.อ. ประยุทธ์ จะไปมอบที่ดินให้กับเกษตรกรที่มีที่ทำกินน้อย ไม่เพียงพอ หรือไม่มีที่ทำกิน ตามที่ รัฐบาลประกาศจะพยายามให้เกษตรกรมีต้นทุนการทำมาหากิน ที่ดินถือเป็นแหล่งทุนที่สำคัญ การมอบที่ดินครั้งนี้จะเป็นการแก้ปัญหาในอดีตที่ผ่านมาที่เป็นลักษณะโอนสิทธิ์ให้เลย ซึ่งอาจมีผลเสียหากเจ้าของที่ดินเดือดร้อนจะนำไปจำนองหรือขายต่อ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่นายทุนจะเข้ามาถือครอง รัฐบาลนี้จึงมอบที่ดินให้ในลักษณะเป็นที่ดินทำกินไม่ได้มอบเอกสารสิทธิให้ หากสามารถรวมตัวเป็นรูปแบบของสหกรณ์ได้ก็จะยิ่งดี



พล.ต.สรรเสริญกล่าวถึงการตรวจสอบที่ดินโบนันซ่า เขาใหญ่ ของนายไพวงษ์ เตชะณรงค์ ว่า จะตรวจสอบทุกพื้นที่ไม่เลือกปฏิบัติ นายกฯมีนโยบายชัดเจนหากเป็นพื้นที่ของรัฐโดยเฉพาะพื้นที่ป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ หรือป่าอนุรักษ์ต่างๆ จะไม่ยอมให้นายทุนหรือใครก็ตามไปทำประโยชน์ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เราต้องการสงวนพื้นที่ที่เป็นทรัพยากรของประเทศไว้ ยืนยันไม่ใช่เป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของพรรคการ เมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ขอร้องว่าอย่านำประเด็นเรื่องการเมืองมาเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับการแก้ปัญหา



อ้างโพลหนุนม.44 



พล.ต.สรรเสริญกล่าวถึงการใช้อำนาจ คำสั่งคสช. มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว 2557 ว่า หลังมีคำสั่งคสช. ฉบับใหม่ออกมาก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่องแต่หากตรวจสอบตามผลโพลทั่วไปหลายสำนักจะเห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ให้ความเชื่อมั่น เชื่อถือกับทางคสช. และรัฐบาลรวมทั้งตัวนายกฯว่าจะใช้อำนาจตามมาตรา 44 อย่างสร้างสรรค์ ไม่เฉพาะเรื่องการควบคุมสถานการณ์ ความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง แต่จะใช้แก้ปัญหาระบบการบริหารที่เป็นปัญหาแต่เก่าก่อน ถ้าแก้ปัญหาโดยขั้นตอนปกติอาจจะทำไม่ทัน ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและภาคประชาชน จึงจะใช้อำนาจตามมาตรา 44 ตามประกาศของคสช.



พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่านายกฯ ห่วงเรื่องความเข้าใจของคนไทยด้วยกันเองเรื่องการใช้อำนาจตามมาตรา 44 แต่วันนี้จากผลโพลเห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่เข้าใจมากขึ้น ยกเว้น สื่อต่างประเทศที่อาจไม่เข้าใจในบริบทของประเทศไทยมากนัก นายกฯเชื่อมั่นเอาคนในประเทศเป็นหลักแต่ไม่ละเลยเรื่องของต่างประเทศ พยายามชี้แจงทำความเข้าใจอย่างสร้างสรรค์ โดยวันอังคารที่ 7 เม.ย.นี้ มอบหมายคสช.และฝ่ายรัฐบาล นำโดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และพ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคสช. เป็นผู้ชี้แจงทำความเข้าใจกับทางตัวแทนสำนักข่าวต่างประเทศ ที่กระทรวงต่างประเทศ และจะเชิญเอกอัครราชทูตแต่ละประเทศมารับฟังบ้าง



ยันไม่ละเมิดเสรีภาพสื่อ 



พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่านายกฯต้องการ ให้ทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนด้วยว่า ตามประกาศคำสั่งของคสช.ที่มีการกล่าวถึงสื่อมวลชนที่ระบุว่าคสช.มีอำนาจสามารถระงับยับยั้งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นภัย หรือเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ยืนยัน ที่ผ่านมาคสช. และรัฐบาลไม่เคยทำอะไรลักษณะเช่นนั้น เพียงแต่เขียนครอบคลุมไว้ก่อน ปัจจุบันสื่อส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติในการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งคสช. ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะมาตรา 44 ไม่สามารถไปจับใครมาลงโทษจำคุกหรือดำเนินคดีได้ เพียงแต่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนตรวจสอบในพื้นที่ต่างๆ โดยไม่ต้องขอหมายศาล เมื่อได้ตัวเรียบร้อยก็ต้องส่งให้พนักงานสอบ สวนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ถ้าผิดก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ถ้าไม่ผิดก็คือไม่ผิด จึงขอให้มั่นใจว่าคสช. จะไม่ไปละเมิดสิทธิหน้าที่ของสื่อแต่อย่างใด



พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า ที่ผ่านมาการใช้กฎอัยการศึกเราทำเพียงไม่กี่ประการ เช่นการห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน คดีความที่เกี่ยวข้องกับภัยร้ายแรงต่อชาติ และเพื่อให้สังคมเกิดความสบายใจ จึงนำเฉพาะสิ่งที่ปฏิบัติมาเขียนใหม่ตามอำนาจมาตรา 44 จึงไม่ควรมีความกังวลใดๆ



คดีปี 53 ยังเดินหน้าต่อ



พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า ต่างประเทศที่ยังมีข้อสงสัย ที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์บาดเจ็บล้มตาย ทุจริต มีการบุกรุกป่าไม่รู้กี่คดีก็ไม่เคยจับกุมได้ รัฐบาลปกติดูแลได้หรือไม่ อย่างในปี 2553 ก็มีปัญหาใช้ทั้งพ.ร.บ.ความมั่นคง และพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ยังบิดเบือนไม่รับผิดชอบ เรื่องอย่างนี้อย่ามาอ้างประชาชน หรือประชาธิปไตยกันอีกเลยเพราะคงไม่มีใครอยากให้กลับไปเป็นเหมือนเก่า อย่าลืมเหตุการณ์การทำลายการประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา จ.ชลบุรี กันเร็วนัก



พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า นายกฯและคสช.รู้ดีว่าควรใช้กฎหมายนี้แค่ไหนและจะใช้อำนาจอย่างระมัดระวัง น่าจะดีกว่าคนที่เคยมีอำนาจที่อ้างประชาชนและมาทำผิดเสียเอง แล้วทำไมที่ผ่านมาไม่เห็นพูดถึงเผด็จการรัฐสภากันบ้าง อ้างประชาชนส่วนใหญ่ปลุกระดมให้เกิดความเข้าใจผิด ที่ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย ทหาร ตำรวจ เจ็บและตายคนเหล่านี้ไม่ใช่คนไทยหรือ มีการอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับชุดดำ ทั้งที่มีภาพปรากฏอยู่ทุกอย่างพอจับได้ก็อ้างว่าสร้างสถานการณ์ ยืนยันว่ารัฐบาล และคสช.จะดำเนินการทุกอย่างจะไม่ท้อแท้ตามหลักฐานและกฎหมายที่มีอยู่คนไม่ผิดไม่ต้องร้อนตัว แต่จะเปิดในทุกคดีก็ขอให้เตรียมสู้กันในชั้นศาลและจะพยายามทำกันให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะการรุกป่า การทุจริตและการโกง ส่วนคดีที่เกิดในปี 53 ก็จะเดินไปตามขั้นตอน ตามพยานหลักฐาน



พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ ต้องการให้ทุกคนในประเทศเข้าใจว่าประเทศ ไทยจะเดินต่อไปได้ ไม่ใช่เฉพาะจะมีแต่เรื่องของรัฐธรรมนูญและเรื่องการเมือง ยังมีการแก้ไขปัญหาในด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการบริหารราชการแผ่นดิน และการแก้ไขปัญหาในอดีตที่ผ่านมา จึงต้องการให้ทุกคนให้ความสำคัญกับเรื่องต่างๆ ไม่ใช่เพ่งเล็งแต่เรื่องรัฐธรรมนูญแต่เพียงอย่างเดียว ถ้ามองมุมแคบเช่นนี้บ้านเมืองคงเดินต่อไปไม่ได้



โพลหนุนม.44-แต่ห่วงใช้อำนาจ



สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง ประชาชนคิดอย่างไร?กับการประกาศใช้ "มาตรา 44" สำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 1,262 คน วันที่ 1-4 เม.ย. 2558 พบว่าร้อยละ 84.23 ขอให้ทำเพื่อส่วนรวมและความสงบสุขของบ้านเมืองอย่างแท้จริง ร้อยละ 82.41 เป็นห่วงเรื่องการใช้อำนาจ อาจเป็นเผด็จการมากเกินไป และร้อยละ 78.84 ระบุว่าทำให้ต่างชาติรู้สึกมั่นใจมากขึ้นโดยการยกเลิกกฎอัยการศึก



ถามถึง"ผลดี"ที่คาดว่าจะได้รับจากการประกาศใช้ มาตรา 44 ร้อยละ 85.58 จะทำให้บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย ควบคุมดูแลได้ง่าย ร้อยละ 74.80 แก้ปัญหาได้รวดเร็วเด็ดขาด และร้อยละ 66.56 ทำให้คนเกรงกลัว ไม่กล้าทำผิดกฎหมาย ถามถึง"ผลเสีย" ร้อยละ 79.79 ไม่มีการตรวจสอบ ถ่วงดุลอำนาจ ร้อยละ 76.86 อาจเกิดความขัดแย้ง มีการคัดค้านต่อต้านจากผู้ที่ไม่เห็น



ถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะใช้ มาตรา 44 ร้อยละ 51.58 เห็นควรใช้ ร้อยละ 32.33 ไม่ควรใช้ ร้อยละ 16.09 ใช้ก็ได้ไม่ใช้ก็ได้ ส่วนเรื่องที่อยากฝากบอก คสช.เมื่อใช้มาตรา 44 คือ ร้อยละ 77.81 ใช้อำนาจในทางที่ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม ทำเพื่อประเทศชาติประชาชน ร้อยละ 71.16 ปราบปรามจับกุม ผู้กระทำผิด ทุจริตคอร์รัปชั่น ร้อยละ 69.57 เร่งแก้ปัญหาปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ ร้อยละ 65.21 อดทนตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ร้อยละ 61.41% ให้รับฟังความคิดเห็นของประชาชนนำไปแก้ปัญหาได้ตรงจุด



"วิษณุ"ปาฐกหลักนิติธรรม



ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต คณะนิติศาสตร์ โดยกองทุนศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ และสมาคมศิษย์เก่า จัดงานวันสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2558 โดยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี เป็นประธานในพิธี ซึ่งมีทั้งพิธีสงฆ์ พิธีสักการะอนุสาวรีย์ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ การชมวีดิทัศน์ชีวประวัติและผลงาน และพิธีมอบรางวัล นักศึกษากฎหมายดีเด่น และพิธีมอบรางวัลเรียนดี"ธรรมศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์"



ที่ห้องประชุมสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ปาฐกถาหัวข้อ "หลักนิติธรรมของการบริหารบ้านเมือง กับการลดความขัดแย้งทางอุดม การณ์" ตอนหนึ่งว่า คำว่าหลักนิติธรรมใช้ครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ 50 ส่วนร่างรัฐธรรม นูญที่กำลังดำเนินการอยู่ได้นำคำว่าหลักนิติธรรมมาใช้อีกครั้ง หลักนิติธรรมเป็นหลักสำคัญและเป็นคนละเรื่องกับกฎหมาย เปรียบกฎหมายเป็นเหมือนฝน หลักนิติธรรมเหมือนเมฆย่อมลอยอยู่เหนือฝน เกี่ยวเนื่องกันแต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน หลักนิติธรรมจึงเป็นกฎที่ควบคุมกฎหมายไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งหลักนิติธรรมเกิดขึ้นจากความจำเป็นเพื่อจำกัดอำนาจผู้ปกครองให้อยู่ในกรอบหรือเรียกว่า "การปกครองที่กฎหมายเป็นใหญ่"



4 แนวทางแก้ขัดแย้ง 



นายวิษณุกล่าวว่า เนื้อหาของหลักนิติ ธรรมในบริบทของประเทศไทยในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประกอบด้วย 1.ต้องใช้กฎหมายเป็นใหญ่เหนืออำเภอใจ 2.ต้องเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาค 3.ต้องยึดหลักการแบ่งแยกอำนาจ การตรวจสอบการใช้อำนาจ การป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนกัน 4.ต้องยึดหลักนิติกระบวน ได้แก่ การไม่ออกกฎหมายย้อนหลังมาลงโทษทางอาญา สันนิษฐานว่าทุกคนบริสุทธิ์จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ บุคคลต้องไม่ถูกพิจารณาคดีซ้ำสอง ต้องไม่บังคับให้บุคคลต้องมาให้การปรักปรำตนเอง และ 5.ต้องมีศาลที่อิสระเป็นกลาง ซึ่งหลักนิติธรรมผูกมัดทุกองค์กร



"เมื่อครั้งนายสัญญาเป็นนายกฯก็มีเสียงเรียกร้องให้ใช้มาตรา 17 เพื่อยึดทรัพย์จากอดีตนายกฯมาเป็นของแผ่นดิน แต่นายสัญญา ไม่ทำ เพราะถือว่าไม่เป็นหลักนิติธรรม ไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีการดำเนินคดี แต่ สนช.ในขณะนั้นได้ออกกฎหมายบังคับให้นายกฯ ใช้อำนาจตามมาตรา 17 ทำให้นายสัญญา ต้องลาออกจากตำแหน่ง เพราะไม่ต้องการใช้อำนาจตามมาตรา 17" นายวิษณุกล่าว



นายวิษณุกล่าวว่า ในสังคมมีความแตกต่างขัดแย้งกันมาทุกยุคทุกสมัย เป็นปกติธรรมดาไม่มีทางที่จะทำให้ทุกคนมีความคิดเห็นลงรอยกันได้ทุกเรื่อง เพราะความขัดแย้งของมนุษย์ออกมาได้ใน 3 รูปแบบ คือ 1.ความขัดแย้งอันเนื่องมาจากผลประโยชน์ 2.ความขัดแย้งอันเกิดจากความเหลื่อมล้ำหรือความรู้สึกไม่เป็นธรรม และ3.ความขัดแย้งที่เกิดจากอุดมการณ์ ซึ่งหลักนิติธรรมสามารถนำมากำกับสิ่งเหล่านี้ แม้แต่ความแตกต่างทางอุดมการณ์ หากนำหลักนิติธรรมมาควบคุมก็จะแก้ปัญหาได้ ซึ่งหนทางแก้ไขความขัดแย้งมี 4 แนวทาง คือ 1.ป้องกัน 2.ประนีประนอม 3.แก้ไขต้นเหตุ และ4.ทำให้ยุติ



นิรโทษกรรมมาตรฐานเดียว



นายวิษณุกล่าวว่า เคยถามผู้ใหญ่ท่านหนึ่งว่าความขัดแย้งของเสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือกลุ่มต่างๆ ทำอย่างไรจึงจะระงับได้ ได้รับคำตอบว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่นานไปมันเหนื่อยเอง ทำไม่รู้ไม่ชี้บ้าง บางครั้งความขัดแย้งก็สงบ หรือความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยา ทะเลาะกันบางครั้งไม่ต้องพูดถึง รื้อฟื้นว่าใครผิดใครถูก เพราะจะให้ใครยอมรับผิดคงเสียเชิง ก็ให้เงียบแล้วนอนตื่นมาก็ลืมให้กาลเวลาเป็นตัวช่วยความขัดแย้งก็ระงับลงได้



นายวิษณุกล่าวว่า วันนี้มีคนพูดว่าที่ผ่านมามีความขัดแย้งเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง น่าจะจบลงด้วยการอภัยโทษหรือนิรโทษกรรม ซึ่งก็ทำได้ แต่ต้องให้ชัดเจนว่าจะนิรโทษกรรมอย่างไร เพราะหากจะนิรโทษกรรมโดยไม่ให้คนทำผิดรับผิดเลยอีกฝ่ายก็ไม่ยอม ดังนั้นต้องย้อนนึกถึงหลักนิติธรรมด้วย ยิ่งคนที่เป็นผู้ปกครองก็ยิ่งจะต้องยึดหลักนิติธรรมเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาว่า 2 มาตรฐาน ลำเอียง หรือเลือกปฏิบัติ



วิษณุพร้อมแจงต่างประเทศ



นายวิษณุให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมชี้แจงการใช้มาตรา 44 ต่อคณะทูตและสื่อมวลชนต่างประเทศในวันที่ 7 เม.ย.ว่า ส่วนตัวไม่ได้เตรียมการอะไรเป็นพิเศษ เพราะไม่ทราบว่ารูปแบบการแถลงเป็นอย่างไร เชื่อว่ามีผู้พร้อมชี้แจงอยู่แล้วโดยเป็นการตอบตามที่สื่อต่างชาติสงสัย เพราะผู้ที่ควรต้องตอบคำถามมีหลายฝ่าย ในคำสั่งคสช.ที่ 3/2558 เป็นคำสั่งของหัวหน้า คสช.ไม่ใช่ครม.เป็นผู้ออก ดังนั้นผู้รับผิดชอบคือคสช. ครม.ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง กระบวนการใช้มาตรา 44 ไม่ใช่เรื่องของ ครม.ดังนั้นการชี้แจงจะเป็นเรื่องของ คสช.และกระทรวงการต่างประเทศมากกว่า เชื่อว่าชาวต่างชาติอาจเข้าใจต่างไปจากคนไทยเพราะมองด้วยสายตาที่ไม่เหมือนกัน



เมื่อถามว่าต่างชาติมองว่าการใช้มาตรา 44 เป็นการให้อำนาจแก่คนคนเดียว นายวิษณุกล่าวว่า แน่นอนว่าด้วยบริบทและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน คนไทยมองกฎอัยการศึกอย่างหนึ่งต่างประเทศมองอีกอย่างหนึ่ง เมื่อมาถึงมาตรา 44 คนไทยอาจเจอมาแล้วหลายครั้งแม้เด็กรุ่นหลังจะไม่ชิน แต่ต่างชาติไม่เคยมีแบบนี้จึงอาจแปลกใจ ยิ่งเมื่อมีการแปลมาตรา 44 ก็อาจได้เห็นว่าเราเอาไปใช้มากมายสารพัด เพราะเมื่ออ่านแล้วก็ต้องแปลอย่างนั้นจริงๆ แต่มาตรา 44 กระโดดไปเล่นงานใครไม่ได้จนกว่าจะหยิบเอามาใช้



ตปท.เห็นต่างเพราะไม่มีดาบ



"ถ้ามาตรา 44 เป็นเหมือนดาบ ก็เป็นดาบที่วางไว้อยู่ในฝักด้วยซ้ำไป ดังนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ต่อเมื่อไปชักมันออกมาจากฝักแล้วเอามาใช้ แต่ตอนนี้มันอยู่ในฝักอยู่นิ่งๆ เรามีดาบนี้แต่ต่างประเทศเขาไม่มีเลย แต่ของเราก็ใช่ว่าจะหยิบเอามาใช้ได้ทันที อยู่ที่ว่าจะหยิบมาเมื่อไร เราเคยชักออกมาใช้แล้วเมื่อเดือนม.ค. ในเรื่องท้องถิ่น และชักออกมาอีกครั้งเพื่อรองรับการยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึก" นายวิษณุกล่าว



เมื่อถามว่าอะไรจะเป็นตัวชี้วัดว่าการใช้มาตรา 44 ดีกว่ายกเลิกกฎอัยการศึก นายวิษณุกล่าวว่า ตัวชี้วัดต้องดูเหตุการณ์จริงตั้งแต่นี้ต่อไป ตอนเป็นมาตรา 44 ยังไม่มีอะไร ตอนเป็นคำสั่งก็ยังไม่มีอะไร แต่เมื่อไปใช้กับใครแล้วจึงจะรู้ว่าออกฤทธิ์อย่างไร ต้องดูเป็นรายๆ ไปว่าถูกต้องชอบธรรมประการใด เมื่อถามถึงข่าวระบุว่ายังมีกลุ่ม 5 กลุ่มที่เป็นภัยต่อความมั่นคง นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคง คาดว่าฝ่ายความมั่นคงกำลังดูอยู่



ทำเอ็มโอยูต้องผ่าน 3 ด่าน



เมื่อถามกรณีนายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส. สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เสนอเซ็นเอ็มโอยูเพื่อยุติความขัดแย้ง นายวิษณุกล่าวว่า เป็นข้อเสนอที่ดี แต่ฝ่ายความมั่นคงต้องพิจารณา สุดท้ายก็จะต้องมีอะไรมาแลกกัน เรื่องนี้อาจต้องถาม 3 ฝ่ายคือ 1.ผู้ที่จะเข้ามาเซ็นว่ามีเงื่อนไขอะไรแลกเปลี่ยน 2.ฝ่ายความมั่นคง ว่าประเมินสถานการณ์แล้วรับได้หรือไม่ 3.ต้องถามใจประชาชนว่าเป็นการซูเอี๋ยกันหรือไม่ ถ้าได้คำตอบในเชิงบวกทั้งหมดก็น่าจะไปได้



ปปช.หนุนย้ายขรก.ทุจริต 



นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์กรณีพล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เตรียมส่งรายชื่อข้าราชการ กว่า 100 รายชื่อให้พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(คตช.) พิจารณาปรับย้ายข้าราชการคน ดังกล่าวออกจากจุดที่มีปัญหาในขณะที่ดำเนินคดีทางอาญาและวินัย ว่า ในเรื่องดังกล่าวนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. ในฐานะกรรมการอำนวยการร่วมอยู่ในศอตช. รายงานให้ตนทราบแล้วว่า คตช.ต้องการดำเนินงานเพื่อให้เห็นผลการปราบปรามข้าราชการที่มีความผิดทุจริตต่อหน้าที่ เบื้องต้นนี้อาจต้องให้ย้ายออกจากจุดที่มีปัญหาก่อน เพราะหลักการในการเอาผิดข้าราชการที่มีความผิดนั้นจะต้องใช้เวลา เนื่องจากมีขั้นตอนเยอะมาก คตช.ต้องการทำงานให้เร็วจึงมีการให้รวบรวมรายชื่อเพื่อให้ย้ายออกจากแต่ละจุดที่มีปัญหาก่อน ป.ป.ช.เองก็ส่งรายชื่อจำนวนหนึ่งไปให้แล้วเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นรายชื่อข้าราชการในระดับท้องถิ่นที่ถูกชี้มูลความผิดแล้ว มีความผิดจริง เพื่อป้องกันข้อกล่าวหาว่าถูกกลั่นแกล้ง



นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวว่า ศอตช.ดูแลเรื่องการปราบปรามทุจริตให้คตช. ซึ่งพล.อ.ไพบูลย์มีนโยบายว่าหากเป็นเรื่องที่ข้าราชการที่อยู่ระหว่างดำเนินการสอบสวนหรือคดียังไม่สิ้นสุด หรืออย่างน้อยระหว่างการสอบสวนพบว่ามีหลักฐานก็ขอให้มีการย้ายออกจากจุดที่กำลังทำงานอยู่นั้นก่อน ส่วนการสอบวินัย หรืออาญาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกัน



เสนอย้าย 5-10 ผู้บริหารท้องถิ่น



นายสรรเสริญกล่าวว่า ศอตช.จึงให้ 4 หน่วยงานโดยคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้งบประมาณภาครัฐ(คตร.) และ สำนักงานป.ป.ช. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) สำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) ช่วยกันรวบรวมข้อมูลและประมวลส่งเข้าที่ประชุม เบื้องต้นทราบว่าได้ 100 กว่าราย ตั้งแต่ข้าราชการระดับเล็กจนถึงระดับใหญ่ ในส่วนที่ป.ป.ช.เสนอไปประมาณ 5-10 รายชื่อ ซึ่งเป็นรายชื่อที่ได้ไต่สวนพบหลักฐานชัดเจนเพียงพอและได้ไปดำเนินการจับสดมาแล้ว ซึ่งเป็นข้าราชการระดับผู้บริหารท้องถิ่น อาทิ นายกอบต. นายกอบจ. ปลัดอบต. ปลัดอบจ.



เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวว่า การที่พล.อ. ไพบูลย์นัดประชุมหารือเดือนละครั้งก็เพื่อสรุปข้อมูลร่วมกัน แต่ถ้ามีเหตุด่วนเป็นการเฉพาะก็สามารถเรียกประชุมด่วนได้ เพื่อพิจารณาปรับย้ายให้ออกจากพื้นที่จุดนั้นๆ ไปก่อน ส่วนสอบวินัยและอาญาก็ว่ากันไป ทั้งนี้เพื่อให้ข้าราชการเกิดความเกรงกลัว ต่อการกระทำผิด ไม่ใช่ว่าถูกจับแล้วยังนั่งทำงานต่อไปได้



เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวว่า ทางสำนักงานป.ป.ช.ได้เตรียมรายงานเพื่อหารือกับที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ว่า สำหรับเรื่องปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐนั้น ควรดำเนินการรวบรวมเรื่องทั้งหมดที่กำลังดำเนินการไต่สวน เพื่อแจ้งต่อศอชต.หรือไม่เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ของแผ่นดิน



"บิ๊กตู่"สักขีพยานมอบที่ดินทำกิน



เวลา 15.30 น. ที่โรงเรียนห้วยทราย ต.แม่ทา อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. เป็นประธานสักขีพยานมอบหนังสืออนุญาต ให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ภายใต้โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมด้วยพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์และนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา โดยมีนายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผวจ.เชียงใหม่ ต้อนรับ มีนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ อธิบดีกรมป่าไม้ นำเยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการ ระหว่างการชมนิทรรศการนายกฯ เน้นย้ำให้ใช้พื้นที่ที่จะมอบให้ในการทำกินจริง อย่านำไปขายต่อ และหากตนใช้อำนาจจริงผู้ที่บุกรุกป่าต้องออกจากพื้นที่ทุกคน



จากนั้นรมว.ทส. กล่าวรายงานว่า ที่ดินของรัฐที่นำมาจัดสรรตามนโยบายและผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.) แล้ว ได้แก่ โครงการระยะที่ 1 ประกอบด้วย 6 พื้นที่ ใน 4 จังหวัดได้แก่ เชียงใหม่ นครพนม มุกดาหารและชุมพร จำนวน 53,697 ไร่ โครงการระยะที่ 2 ใน 8 พื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี ลำปาง อุตรดิตถ์ เชียงราย พะเยา ยโสธร และอุบลราชธานี จำนวน 51,929 ไร่ ทั้งนี้ชุมชนแม่ทาเป็นพื้นที่แรกของโครงการระยะที่ 1 ที่ได้ดำเนินการตามโครงการเรียบร้อยแล้ว จึงมีการจัดที่ดินทำกินชุมชนในพื้นที่ดังกล่าวจำนวน 7,282 ไร่ ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์ จำนวน 1,235 ครอบครัว



อ้อนรักทุกคนเท่ากัน



พล.อ.ประยุทธ์กล่าวมอบนโยบายว่า ไม่ว่าจะเป็นคนที่ไหนก็รักทุกคนทั้งประเทศ ไม่มีแบ่งแยกอย่างเด็ดขาด และพร้อมทำทุกอย่างอย่างเป็นธรรม ลดการเหลื่อมล้ำ ที่มาวันนี้ก็เป็นไปตามมติของรัฐบาลที่จะทำให้ทุกคนมีที่ดินทำกิน ที่ผ่านมาก็อยู่กันอย่างไม่ถูกต้อง ตนก็ได้มาทำให้เห็นในหมู่บ้านนี้ก่อน ถ้าไม่นำไปขายก็ไม่มีปัญหาซึ่งก็เห็นได้อยู่แล้วว่าตนได้ใช้มาตรา 44 มาทำเรื่องนี้เพื่อให้ทุกคนมีที่ทำกินแต่ไม่ได้คิดมาจับพี่น้องประชาชน ถ้าหากมีอะไรก็ให้มาพูดคุยกันประนีประนอมไม่มีปัญหา และตราบใดที่ตนยังยืนอยู่ตรงนี้ให้จำในสิ่งที่พูดไว้



นายกฯ กล่าวว่า ขอให้จำหน้าตนไว้ ตนไม่เคยทำผิดอะไร มาเชียงใหม่บ่อยได้นำแนวทางตามพระราชดำริมาใช้ มาทำให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวมโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ พอเพียง ใครให้ปลามาก็ต้องระมัดระวัง ที่ผ่านมาให้ปลามาแล้วก็ติดคอ ตนจริงใจในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง วันนี้มีพรรคการ เมืองบางพรรคออกมาบอกว่าตนเอาที่ดินหลวงมาแจกให้ชาวบ้าน ขอยืนยันว่าสิ่งที่ทำวันนี้มาทำให้ทุกคนมีที่ดินทำกินไม่ได้ให้ไปขาย และตราบใดที่ตนยังอยู่จะไม่มีใครมาไล่แต่ขอเพียงอย่างเดียวว่าอย่าบุกรุกป่ากันอีก



ให้งบ 7 ล้านสร้างอ่างเก็บน้ำ 



พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนทำหน้าที่เพื่อประเทศ แก้ไขความขัดแย้ง สร้างความสงบสุขภายใต้กฎหมายที่มีวันนี้เราจะเลือกตั้งอย่างเดียวไม่ได้ และไม่ได้ปฏิเสธประชาธิปไตย แต่ต้องแก้ไขปรับปรุงและก็ไม่ใช่จะมาใช้อำนาจอย่างเดียว ทุกคนต้องมีหน้าที่ร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อทำให้เกิดประโยชน์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านก็ต้องเข้าใจตนมาไม่ได้ให้เกลียดใคร ที่ต้องพูดทุกวันก็จะได้รู้และช่วยกันแก้ปัญหา วันนี้ทางอำเภอได้ของบประมาณเพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำ 7 ล้านบาทตนก็ให้เลย แล้วก็ไม่ต้องเลือกตนเพราะไม่ลงเลือกตั้ง ที่เข้ามาก็เพราะเป็นห่วงประชาชน



พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขณะนี้กำลังคุยกับรมว.พาณิชย์ว่ามีอะไรจะแจกและแถมได้อีกบ้าง อย่างเรื่องภาษีตอนนี้ก็ยังไม่ได้ออกอะไรมาอย่าเพิ่งไปกลัวอะไร เก็บเงินมาได้ก็เอาเงินมาพัฒนาประเทศ ภาษีมูลค่าเพิ่มก็ยังไม่ได้ปรับขึ้น เรื่องป่าไม้ก็คงต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาต้องเร่งกันปลูกป่าและต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพราะคนเพิ่มขึ้น อีกหน่อยสงสัยต้องมีกฎหมายคุมกำเนิด ทั้งหมดต้องช่วยกันเช่นเดียวกับการแก้ไขปัญหาไฟป่า ความจริงก็คือไฟที่เกิดจากเรา ตนต้องคุยกับ 10 ประเทศอาเซียนว่าต้องเลิกเผาป่า



จนท. 2 พันนายคุมเข้ม



จากนั้นนายกฯได้ปลูกต้นพะยูง เนื่องจากมีชื่อที่เป็นสิริมงคลและเป็นพืชที่ได้รับการประกาศเป็นพืชเศรษฐกิจในรัฐบาลชุดนี้ และปลูกต้นทองกวาว ต้นไม้ประจำจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมมอบกล้าไม้ พันธุ์ปลาให้ตัวแทนราษฎรและพบปะประชาชนก่อน จะเดินทางไปยังเฮือนข่วงพระเจ้าล้านนา ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เพื่อร่วมงาน"ฮีตฮอย...ป๋าเวณี 100 ปี๋เจียงใหม"



ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการรักษาความปลอด ภัยบริเวณโรงเรียนวัดห้วยทรายว่า มีการดำเนินการอย่างเข้มงวด เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ หน่วยทำลายล้างวัตถุระเบิด(อีโอดี) อาสารักษาดินแดน(อส.) จำนวน 2,000 นาย ตลอดจุดการลงพื้นที่ ผู้ร่วมงานทุกคนต้องผ่านเครื่องสแกนวัตถุต้องสงสัยและต้องลงทะเบียนมีสติ๊กเกอร์ติดให้เห็นอย่างชัดเจนก่อนร่วมงาน



นั่งเกวียนเปิดงาน



เวลา 17.20 น. พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมคณะ เดินทางมาถึงหมู่บ้าน"ฮีตฮอยคนเมือง" อยู่ติดกับข่วงพระเจ้าล้านนา โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร 500 นาย ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบอารักขาทหารยืนอยู่รอบๆ รั้วข่วงพระเจ้าล้านนาและหมู่บ้าน ส่วนเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจะปะปนและคุ้มกันแบบใกล้ชิด นายกฯนั่งเกวียนล้อเป็นประธานเปิดงาน"ฮีตฮอย...ป๋าเวณี 100 ปี๋ คนเมือง ข่วงพระเจ้าล้านนา" ที่ข่วงพระเจ้าล้านนา ปากทางเข้าห้วยตึงเฒ่า ถ.คันคลองชลประทาน อ.แม่ริม มีคณะรัฐมนตรี นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ประธานมูลนิธิข่วงพระเจ้า ล้านนา ข้าราชการในพื้นที่ ภาคเอกชนและภาคประชาชนร่วมงานจำนวนมาก



นักเรียนโรงเรียนคำเที่ยงอนุสรณ์ร้องเพลงประสานเสียง "วันพรุ่งนี้" เป็นภาษาพื้นเมืองต้อนรับ มีการจุดพลุเสียงแบบล้านนา 7 นัด การแสดงกลองสะบัดชัยบรรเลงเพลงชนะศึกฟ้อนดาบ ไม้พลอง ฟ้อนเจิงประกอบเพลง จากนั้นนายกฯ มอบยอดตุง (ฉัตรธง) ให้ ผู้แทนนำไปประดิษฐานที่พระเจดีย์ทรายในบริเวณงาน มีขบวนแห่เข้านมัสการสรงน้ำองค์พระเจดีย์ทราย เสร็จแล้วนายกฯ ปลูกต้นทองกวาว สัญลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ ผบ.ทบ.ปลูกต้นสารภี ก่อนเยี่ยมชมการแสดงทางวัฒนธรรมพื้นบ้านเฉลิมฉลององค์พระเจดีย์ทราย อาทิ ขบวนศรัทธาหัววัด (9 วัด) เคลื่อนขบวนแห่เข้านมัสการสรงน้ำองค์พระเจดีย์ทราย แบบล้านนา มีกิจกรรมวิถีชีวิตคนพื้นเมือง หมู่บ้านฮีตฮอยคนเมือง ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านต่างๆ



โหรคมช.ฟันธงยืดโรดแม็ป 



นายวารินทร์กล่าวว่า งานฮีตฮอยป๋าเวณี 100 ปี๋ฯ กำหนดจัดระหว่างวันที่ 4-10 เม.ย. เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่เน้นการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ตลอดจนการสืบสานศาสนา รักษาแผ่นดินที่เชื่อมโยงระหว่างบ้าน วัด โรงเรียน วันนี้ก็เป็นการเปิดการท่องเที่ยวแห่งใหม่ เชิงวัฒนธรรมและเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล



นายวารินทร์กล่าวว่า เรื่องสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ยังไม่มีอะไร แต่เนื่องจากตอนนี้โครงการต่างๆ ที่ทำคงจะทำไม่ทันเพราะมีอีกหลายอย่างต้องขยายเวลาออกไป และคิดว่ารัฐบาลไม่อยากอยู่นาน แต่ก็มีเหตุการณ์ต่างๆ เข้ามา ปัจจัยหลายๆ ปัจจัยเลยทำให้ต้องขยายเวลาออกไปอีกสักระยะหนึ่ง และนายกฯ มาวันนี้ก็มาเปิดแหล่งท่องเที่ยวไม่ได้มาเรื่องอื่น เพราะตอนนี้ทุกอย่างไม่มีอะไร เหตุการณ์บ้านเมืองปกติ พวกเราขอเป็นกำลังใจให้ บ้านเมืองสงบเพราะใคร ดังนั้นเราก็ต้องเป็นขวัญกำลังใจขับเคลื่อนประเทศไทยตามนายกฯ ดวงของประเทศไทยตอนนี้ก็ยังเป็นนายกฯอยู่



นายกฯต้องอยู่ต่อ 3 ปี 



"ตามที่ได้ดูผ่านหลวงปู่เห็นว่านายกฯจะอยู่บริหารประเทศไปอีก 3 ปีขึ้นไป โดยไม่มีการเคลื่อนไหวหรือแรงกระเพื่อมใดๆ เพราะดวงเมืองไม่น่าห่วง" นายวารินทร์กล่าวและว่า ดวงเมือง การเลือกตั้งปี 2559 ต้องเลื่อนออกไป เนื่องจากปัญหาบ้านเมืองยังไม่คลี่คลาย ต้องใช้เวลาฟื้นฟูรักษาบ้านเมือง ที่เสมือนล่มสลายมาแล้วประมาณ 2-3 ปี ส่วนพล.อ.ประยุทธ์ ดวงหน้าที่ยังตกอยู่ เรื่องหน้าที่จะมาเหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวง ไม่มีใครสามารถเข้ามากีดกั้นหรือยุติให้จบลงก่อน ได้ นอกจากภาระหน้าที่ของพล.อ.ประยุทธ์ จะหมดลง ซึ่งดวงนี้มีภาระต้องอยู่ดูแลรักษาบ้านเมืองต่อไปอย่างน้อย 2-3 ปี จากการตรวจดูศาสตร์บุญและกรรมของเมือง ยังไม่มีเหตุการณ์นองเลือด ในปี 2558-2559



นายกฯหนุนเที่ยวเชิงอนุรักษ์



พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เคยเดินทางมาเป็นประธานรับมอบข่วงพระเจ้าล้านนาให้เป็นสมบัติของแผ่นดินเมื่อวันที่ 7 เม.ย.2556 จากมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ครั้งนี้ตนให้ความสนใจมากเพราะเป็นสมบัติที่ภาคประชาชนที่สำนึกรักในแผ่นดินสร้างมอบให้ประเทศชาติจากศรัทธาและมีความเป็นชาติอยู่ในจิตใจ มุ่งหวังจะช่วยแสวงหาความสงบสุขมาสู่ชาติบ้านเมืองตามกำลังความสามารถ ทราบว่าระดมสรรพกำลังทั้งกำลังกายกำลังใจและกำลังทรัพย์โดยไม่ใช้งบประมาณจากภาคราชการแม้แต่บาทเดียว ตนเห็นว่าข่วงพระเจ้าล้านนา หรือพุทธมณฑลที่สวยงามแห่งนี้เป็นสมบัติที่มีคุณค่าของแผ่นดินชิ้นหนึ่ง ควรจัดกิจกรรมต่อเนื่องเพื่อให้สามารถทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ของการก่อสร้าง และผู้จะเข้ามาดูแลจัดกิจกรรมควรเป็นผู้ที่มีความรัก ศรัทธา เข้าใจในสมบัติชิ้นสำคัญนี้ จึงเห็นชอบให้มีมูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนาขึ้นมาดูแลการจัดกิจกรรมที่มุ่งประโยชน์ต่อสังคม ไม่มีการแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ



นายกฯ กล่าวว่า รับทราบการดำเนินกิจกรรมของข่วงพระเจ้าล้านนามาต่อเนื่อง มีความพอใจที่แห่งนี้ได้ทำหน้าที่ประสานเครือข่ายในภาคส่วนต่างๆ เข้ามา เพื่อเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งด้านพุทธปฏิบัติที่เหมาะสม มีกิจกรรมสืบสานศิลปวัฒนธรรมโดยใช้วิถีชีวิตที่ทรงคุณค่า ยึดแนวทางทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาประยุกต์ รัฐบาลมีนโยบายที่ส่งเสริมและสร้างความปรองดองให้คนรักชาติบ้านเมืองให้มีความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย โดยเฉพาะมุ่งหวังให้คนไทยยึดมั่นในค่านิยม 12 ประการ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เน้นระบบคุณค่าที่มีอยู่มากมายในสังคมไทยมากกว่าแสวงหาเงินตราโดยไม่คำนึงถึงวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้าของความเป็นไทย



ปล่อยสำเภาแก้เคราะห์



เดินชมหมู่บ้านแล้วนายกฯ เดินข้ามสะพานไปที่ข่วงพระเจ้าล้านนา พร้อมกับพล.อ.ดาว์พงษ์ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ โดยกันไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าไป ใช้เวลาประมาณ 20 นาที จึงเดินทางกลับออกมา เมื่อนายกฯไหว้พระพุทธรูปวันเกิดแล้วได้เดินกลับมาที่ท่าน้ำ ซึ่งเป็นคลองที่ขุดขึ้นคั่นกลางระหว่างหมู่บ้านกับข่วงพระเจ้าล้านนา และปล่อยเรือสำเภาจำลองที่โหรวารินทร์จัดเตรียม ไว้ให้ จากนั้นเดินทางกลับทันที



หลานชายโหรวารินทร์ เปิดเผยว่า นายกฯ ไม่ได้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์เพราะการปล่อยเรือสำเภาถือเป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่งแล้ว ส่วนพิธีสืบชะตาจากเดิมที่เตรียมจะทำได้ยกเลิกกะทันหัน



ปชป.ทำบุญ 69 ปี



นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เผยว่า วันที่ 6 เม.ย.พรรคประชาธิปัตย์จัดทำบุญครบรอบ 69 ปีย่างเข้าสู้ปีที่ 70 ของการก่อตั้งพรรค โดยจะทำทั้ง 3 ศาสนา คือ ศาสนาอิสลาม พุทธ และศาสนาพราหมณ์บวงสรวงพระแม่ธรณีบีบมวยผม การจัดงานทำบุญครั้งนี้พรรคไม่ได้ขออนุญาตคสช. เนื่องจากเป็นเพียงการทำบุญครบรอบวันเกิดพรรคเท่านั้น



บิ๊กป้อมรดน้ำขอพร"ป๋า"หลังบินจีน



วันที่ 5 เม.ย. พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม กล่าวว่า คณะของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เตรียมนำเยือนประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างเป็นทางการ ประกอบด้วย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมและผบ.ทบ. พร้อมรมช.ต่างประเทศ รมช.เกษตรฯ ร่วมด้วยพล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกลาโหม พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผบ.ทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพ ระหว่าง 8-10 เม.ย. ตามคำเชิญกระทรวงกลาโหมจีน



พล.ต.คงชีพกล่าวว่า คณะมีกำหนดการเข้าเยี่ยมคำนับและหารือกับพล.อ.ฉาง ว่าน ฉวน มนตรีแห่งรัฐและรมว.กลาโหมจีน ซึ่งเพิ่งเดินทางมาเยือนกลาโหมไทย ม.ค.ที่ผ่านมา และจะพบ พล.อ.อ.สวี่ ฉีเลี่ยง รองประธานคณะกรรมาธิการการทหารกลางแห่งชาติจีน นายเมิ่ง เจี้ยนจู้ สมาชิกกรมการเมือง หัวหน้าคณะกรรมาธิการการเมืองและกฎหมาย คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน นายจาง เกาลี่ รองนายกรัฐมนตรีจีน เพื่อสานสัมพันธ์และขยายความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ



ทั้งนี้ พล.อ.ฉางว่านฉวน รมว.กลาโหมจีน เพิ่งมาเยือนไทย และเสนอให้ความช่วยเหลือทางทหารกับกลาโหมไทย ระหว่างมาเยือนไทย ทั้งวิจัยพัฒนาร่วมกัน อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การฝึกร่วมทหารไทย-จีน ทุกเหล่าทัพ



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก พล.อ.ประวิตร พร้อมคณะผบ.เหล่าทัพ เดินทางกลับจากจีนแล้ว ช่วงเย็นจะเดินทางไปร่วมรดน้ำดำหัวขอพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ที่ถือปฏิบัติกันมา 

เผยผลโพล..ประชาชนชอบมาตรา 44 เพราะบ้านเมืองสงบสุข

วันที่ 6 เม.ย.58 เผยผลโพล..ประชาชนชอบมาตรา 44 เพราะบ้านเมืองสงบสุข
สวนดุสิตโพล ได้สำรวจความเห็นประชาชน จากที่มีการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก โดยประกาศใช้ มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 แทน เพื่อสร้างความปรองดอง รักษาความสงบเรียบร้อย รวมถึงระงับและป้องกันปราบปราม การกระทำผิดที่อาจเกิดขึ้น โดยสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,262 คน ระหว่างวันที่ 1-4 เมษายน 2558 สรุปผลได้ ดังนี้
1. คิดอย่างไร? กับการประกาศใช้ “มาตรา 44”...อันดับหนึ่ง ทำเพื่อส่วนรวมและความสงบสุขของบ้านเมืองอย่างแท้จริง 84.23%
2. ผลดีที่คาดว่าจะได้รับจากการประกาศใช้ “มาตรา 44” คือ...อันดับหนึ่ง บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย ควบคุมดูแลได้ง่าย 85.58%

สะพัดเด้ง ผบ.ตร.

สะพัดเด้ง “สมยศ” พ้น ผบ.ตร.เจองัดข้อ-บีบขอโควตานายพล?

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม






    
        กระแสเด้ง “ผบ.ตร.” ดูจะเป็นสูตรสำเร็จทุกครั้งที่เกิดขึ้นในช่วงการแต่งตั้งโยกย้าย หากผู้มีอำนาจต้องการเก้าอี้แล้วไม่ได้รับการสนองตอบตามที่ต้องการ เมื่อปรากฏข่าวลือดังกล่าวออกมา “ผบ.ตร.” ไม่ว่าจะคนไหนก็ย่อมต้องอยากจะรักษาเก้าอี้เอาไว้ เพราะยังไม่เคยเห็นมีใครแข็งขืน ชนิดแน่จริงก็ย้ายสิไม่ยอมหรอกแม้แต่รายเดียว ส่วนใหญ่แข็งขนาดไหนโดนไม้นี้เข้าไปก็อ่อนเป็นขี้ผึ้งทุกราย
       
       ช่างเป็นห้วงจังหวะเหมาะเจาะสอดรับกับสถานการณ์ “รอยร้าว” คุกรุ่นภายใน “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” เวลานี้ กับข่าวลือที่กำลังสะพัดถึงเก้าอี้ “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)” ของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เกิดอาการสั่นคลอน
       
        ถึงขนาดว่ากันว่า ตลอดเดือนเมษายนนี้ให้จับตาห้ามกะพริบ อาจมีรายการฟ้าผ่า! “กรมปทุมวัน”
       
       กระแสร้อนบนเก้าอี้ “ผบ.ตร.” ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นแบบฉับพลันทันด่วน แต่เริ่มส่งสัญญาณกันมาเป็นระยะ ตั้งแต่ช่วงการแต่งตั้ง “รักษาการ ผบช.ก.” ซึ่งมีความพยายามจะให้ “บิ๊กหมู” พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ รอง ผบช.ก. เข้ารับหน้าที่ “รักษาการ ผบช.ก.” แต่ พล.ต.อ.สมยศ เลือกที่จะประวิงเวลาการแต่งตั้ง “บิ๊กหมู” ให้รักษาการ โดยเลือกที่จะใช้บริการเพื่อนร่วมรุ่น นรต.31 “บิ๊กตุ้ย” พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เพื่อทำบัญชีแต่งตั้งระดับ “รอง ผบก.-สว.” ประจำปีให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจจากบางฝ่ายปะทุขึ้น
       
       อุณหภูมิความร้อนระอุยิ่งเพิ่มหนักข้อไปอีก เมื่อเกิดศึก “วัดพลัง” กัน ระหว่าง พล.ต.อ.สมยศ กับ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. ผ่านตัวหนังสือบันทึกข้อความ กรณี พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์สุเมธ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 (ผบก.น.2) ถูกคำสั่งช่วยราชการ ศปก.ตร. หลังจากทหารเข้าไปตรวจค้นบ่อนพนันเตาปูน
       
       ในฐานะ ผบช.น. พล.ต.ท.ศรีวราห์ ตั้งกรรมการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว และมีข้อสรุปยุติการสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีความผิด เพราะไม่พบการเล่นพนันบ่อนเตาปูน จึงทำเรื่องเสนอ พล.ต.อ.สมยศ ขอให้ยกเลิกคำสั่งช่วยราชการ พล.ต.ต.ก่อเกียรติ พร้อมทั้งอ้างความเสียหายของทางราชการ หากไม่กลับมาปฏิบัติหน้า แต่ในฐานะ ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมยศ ทำหนังสือแจ้งกลับไป ปฏิเสธส่งตัวกลับ
       
       และตอกย้ำว่า หากเกรงจะเกิดความเสียหายของทางราชการ ก็ให้แต่งตั้งคนอื่นมารับตำแหน่งหรือรับหน้าที่แทน
       
       ยิ่งทำให้ความขัดแย้งภายใน “สีกากี” ถูกตอกลิ่มรอยร้าวเพิ่มขึ้น และตรงจุดนี้ก็ถูกหยิบยกไปเป็นข้ออ้างหนึ่ง ที่กำลังสั่นเก้าอี้ “ผบ.ตร.” ซึ่งดูเหมือน พล.ต.อ.สมยศก็รับรู้ถึงแรงบีบดังกล่าว จนมีข่าวในทำนองเจ้าตัวก็ไปบอกกับพรรคพวกใกล้ชิดว่า ในเดือนเมษายนนี้อาจจะถูกโยกย้ายพ้นจากเก้าอี้ “ผบ.ตร.”
       
       หากจะมีการสั่งเด้ง “พล.ต.อ.สมยศ” พ้นเก้าอี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกในยุครัฐบาลทหาร เพราะก่อนหน้านี้เกิดความขัดแย้งกันในกระทรวงคุณหมอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็มีคำสั่งให้ “นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์” พ้นจากเก้าอี้ “ปลัดกระทรวงสาธารณสุข” ไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรีมาแล้ว ถ้าจะมีข้าราชการระดับ ซี 11อีกคนไปช่วยราชการสำนักนายกฯ ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้
       
       เพราะจะว่าไปหากพิจารณา “ผลงาน” กันจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่า พล.ต.อ.สมยศ ยังไม่มีอะไรโดดเด่น เป็นชิ้นเป็นอันให้สังคมนึกถึงได้ เหมือนอย่างคำพูดที่ดังกว่าผลงานที่ว่า “ใหญ่แค่ไหนก็จับ” ลำพังจะยึดเอาการทลายคดีเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง ต่างก็รับรู้ว่าเบื้องลึก เบื้องหลัง คืออะไร ผบ.สมยศ มีบทบาทแค่ไหน อย่างไร
       
       ในทางตรงกันข้าม เรื่องการ “ปฏิรูปตำรวจ” ที่สังคมคาดหวังจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในยุค พล.ต.อ.สมยศ ซึ่งไม่มีปัจจัยทางการเมืองเข้ามาครอบงำ แต่กลับไม่มีอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรม การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นที่ใช้เวลาเป็นปีๆ ดูจะถูกมองว่าเป็นการ “ซื้อเวลา” แบบไม่มีความจริงใจ แบบยังห่วงอำนาจกันอยู่
       
        อย่างไรก็ดี พล.ต.อ.สมยศจะพ้นจากเก้าอี้ “ผบ.ตร.” ตามข่าวลือ ข่าวร้อน หรือไม่ หรือจะเป็นแค่เพียงข่าวลวง ข่าวมั่ว ข่าวหลอก คงต้องวัดใจ “นายกฯประยุทธ์” ตัดสินใจ 
       
       แต่กระนั้นข่าวที่เกิดขึ้นก็ดูจะเข้าทางให้บางกลุ่มมีอำนาจในการ”ต่อรอง” ในการแต่งตั้งโยกย้าย “นายพล” นอกฤดู ทดแทนตำแหน่งว่าง “ล็อตสอง” ระดับ “รองผู้บัญชาการ (รอง ผบช.) - ผู้บังคับการ (ผบก.)” ทั่วประเทศ ยศ “พล.ต.ต.” ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกเดือนข้างหน้า
       
        ยิ่งเช็dรายชื่อเด็กในคาถาขั้วอำนาจ ฟาร์มโชคชัย ดูเหมือนเด็กในคาถายังได้เก้าอี้ระดับ “ผบก.” เกรดเอไม่ครบ หาก “ผบ.สมยศ” ไม่ยอมแบ่งบันเก้าอี้ระดับเกรดเอเพิ่มให้ ม้าก็จะล้นคอกโชคชัย และพี่ใหญ่บิ๊กบราเธอร์ ก็จะเสียรางวัด เสียงเครดิตในสายตาลูกน้อง
       
       ดังนั้น ครั้งนี้เลยต้องวัดใจ หากกระแสข่าวลือที่เกิดขึ้น วัตถุประสงค์จริงๆ คือเพื่อบีบเพิ่มสัดส่วนเก้าอี้ในการแต่งตั้ง “รอง ผบช.-ผบก.” พล.ต.อ.สมยศจะกล้าขัดขืนหรือไม่ อย่างไร
       
       แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับการแต่งตั้งเป็นเรื่อง “ผลงาน” ไม่มีจริงๆ ตำรวจที่ชื่อ “สมยศ” ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากนายเก่า อย่าง “มนตรี พงษ์พานิช” อดีตนักการเมืองชื่อดัง เชื่อว่า “บิ๊กอ๊อด” น่าจะรู้ว่าจะทำอะไรถึงจะได้อยู่ต่อไปบนเก้าอี้ “ผบ.ตร.” จนเกษียณ