PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บิ๊กตู่ สะกิด "คุณชายหมู"..

บิ๊กตู่ สะกิด "คุณชายหมู"...
นายกฯ ยันไม่อาจใช้อำนาจ หรือ ม.44 ในการโยกย้าย ผู้ว่าฯกทม.ตามเสียงเรียกร้องได้ หลังแก้น้ำท่วมขังไม่ได้หลายครั้งแล้ว ผมก็คิดว่าจะแก้ได้ แต่ก็ไม่ได้ ถาม ประชาชนเลือกมามิใช่หรือ แนะให้ประชาชน ตัดสินในการเลือกตั้งคราวหน้า เผยสั่ง ไม่ได้ ก็สั่งข้าราชการประจำ สั่งปลัดมท.แทน ให้ประสานกับ ปลัดกทม. เพราะเป็นขรก.ประจำ บ่นสั่งให้มีบริการเรือในคลองผดุงฯ ยังไม่ทำให้ผมเลย บอกทำไม่ได้น้ำน้อย แต่น้ำท่วม ไปเต็มตรงอื่น เผย ถ้าให้ มหาดไทย ทำ ต้องใช้งบฯเป็นแสนล้าน ไหวมั้ย เหมือนเอาสายไฟรอดใต้ถนน
— กับ Wassana Nanuam

เลิกจ้าง 4 พนักงาน บริษัทผลิตรายการข่าว ฐานทัศนคติทางการเมืองขัดนโยบายบริษัท

Tue, 2015-06-09 14:11

เลิกจ้าง 4 พนักงาน บริษัทผลิตรายการข่าว หลัง คนหนึ่ง ถูกจับกุมหน้าหอศิลป์ และอีกสามคนเดินทางไปให้กำลังใจที่ สน. ปทุมวัน บริษัทชี้ทัศนคติทางการเมืองขัดนโยบายบริษัท
8 มิ.ย. 2558 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า 4 พนักงานบริษัทผลิตรายการข่าวถูกเลิกจ้าง เนื่องจาก “มีทัศนคติหรือเจตจำนงทางการเมืองที่ขัดต่อแนวนโยบาย และแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท” ประกอบด้วย อนุชา รุ่งมรกต ชุมาพร แต่งเกลี้ยง ธนาพงศ์ เกิ่งไพบูลย์ และ แอน(ไม่ขอเปิดเผยชื่อจริง)
ขณะที่การเลิกจ้างพลักงานในครั้งนี้ มีสาเหตุมาจากการที่รายการบางรายการของบริษัทหมดสัญญากับช่อง และบางรายการถูกยกเลิกสัญญา ทำให้บริษัทมีความจำเป็นต้องปรับลดจำนวนพนักงานลง โดยมีพนักงานถูกเลิกจ้างทั้ง 21 คน โดย 16 คนถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด และบริษัทยินดีที่จะให้เงินชดเชยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มี 1 คน ถูกเลิกจ้างโดยมีฐานความผิดรับจ้างทำงานให้บริษัทอื่น และอีก 4 คน ถูกเลิกจ้างด้วยเหตุผลทางการเมือง
ชุมาพร แต่งเกลี้ยง โปร์ดิวเซอร์รายการ ให้ข้อมูลว่า กรณีการเลิกจ้าง 4 พนักงานมีความแตกต่างกันไป สำหรับ อนุชา รุ่งมรกต ตำแหน่งช่างภาพรายการ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกจับกุมบริเวณหน้าหอศิลป์ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2558 ถูกเลิกจ้างเป็นคนแรกในกลุ่มฐานความผิดเดียวกัน เนื่องจากบริษัทอ้างว่าการแสดงจุดยืนทางการเมืองของ อนุชา อาจถูกมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท อาจทำให้บริษัทเสียชื่อเสียง และขัดต่อแนวนโยบายการดำเนินธรุกิจของบริษัท
อนุชา รุ่งมรกต ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำแถวล่าง
ชุมาพร เล่าต่อไปว่า อนุชาถูกเลิกจ้างด้วยเหตุผลทางการเมือง เนื่องจากเขาถูกจับกุมตัวหน้าหอศิลป์ จากเดิมหากตัดเหตุผลทางด้านการออกไป เขาทำงานกับบริษัทมาเกิน 1 ปีแล้ว การที่จะเลิกจ้าง ควรได้เงินชดเชยทั้งหมด 3 เดือน แต่กลับได้เพียงเงินเยียวยาเพียง 1 เดือน
ส่วนในกรณีของ 3 คนที่เหลือ ไม่ได้ถูกจับกุมตัว แต่ได้ไปที่หน้าหอศิลป์จริง และในช่วงที่มีความวุ่นวาย พวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เขาไปช่วยเหลือ เดฟ นักศึกษา ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกาย และพวกยืนยันว่าในคืนวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา เขาไปให้กำลังใจเพื่อนที่ถูกจับกุมที่ สน.ปทุมวัน จริง แต่ก็ไม่ได้เป็นการชุมนุมทางการเมือง
ชุมาพร ให้ข้อมูลอีกว่า กรณีของตน ธนาพงศ์ เกิ่งไพบูลย์ โคโปร์ดิวเซอร์ และ แอน โคโปร์ดิวเซอร์ ถูกทางบริษัทเรียกเข้าพบ 2 ครั้ง โดยในครั้งแรกมีการแจ้งว่าจะเลิกจ้างทั้งสาม 3 คน เนื่องจากมีทัศนคติทางการเมืองที่ขัดต่อแนวนโยบายของบริษัท และทำให้บริษัทเสียชื่อเสียง แต่ตนก็พยามแสดงให้เห็นว่า ทั้ง 3 คน ไม่ได้แสดงตนว่าไปในนามของบริษัท หรือใช้ชื่อของบริษัทไปกระทำการใด และการออกมาที่หอศิลป์ครั้งนั้นก็เป็นช่วงนอกเวลางาน
ขณะที่การเรียกเข้าพบของทางบริษัทในครั้งที่ 2 ได้มีการพูดเจรจากันว่า เนื่องจากกรณีของทั้ง 3 คน ไม่ปรากฏลักษณะความผิดที่ชัดเจน บริษัทยินยอมที่จะให้เงินชดเชยครบตามที่กฎหมายกำหนด โดยมีเงือนไขว่า ทั้ง 3 คน ต้องยอมเซ็นชื่อในใบลาออก พร้อมกับเซ็นชื่อในใบเลิกจ้าง เนื่องจากบริษัทต้องการปรับลดจำนวนพนักงาน ซึ่งไม่ได้ระบุฐานความผิดไว้ โดยบริษัทอ้างว่า เพื่อเป็นการป้องกันการถูกฟ้องร้องจากพนักงานทั้ง 3 คนในภายภาคหน้า หากใครไม่ยอมรับเงื่อนไขก็จะให้ใบเลิกจ้างที่มีฐานความผิดทางการเมือง ซึ่งบริษัทย้ำว่าจะทำให้มีความลำบากในการหางานทำต่อไป  และการให้เงินชดเชยในกรณีนี้อาจะได้รับไม่เต็มจำนวนตามที่กฎหมายกำหนด
ซึ่งชุมาพร และธนาพงษ์เลือกไม่เซ็นชื่อในใบลาออกและยืนยันว่าการแสดงออกทางการเมืองของตนเองมีความชอบธรรมทั้งทางกฏหมายและหลักสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก
“นี่เป็นเรื่องผิดกฎหมายเลยนะ มันบีบคอบังคับให้พนักงานเซ็นใบลาออก ซึ่งมันไม่ถูกต้อง ไม่เครื่องยืนยันได้เลยว่าเราจะได้รับสิทธิเหมือนกับกรณีที่ถูกเลิกจ้าง เพราะบริษัทก็อาจจะอ้างได้ว่า คุณลาออกเอง แล้วก็มีหลักฐานครบ ฉะนั้นเรากับธนาพงษ์ ไม่ยอมเซ็น ส่วนน้องอีกคนจำเป็นต้องเซ็น เพราะกังวัลปัญหาในอนาคต เนื่องจากวางแผนจะไปเรียนต่อต่างประเทศ” ชุมาพรกล่าว
ชุมาพร ได้ให้ความเห็นทิ้งท้ายว่า การเลิกจ้างพนักงานด้วยเหตุผลทางการเป็นเรื่องที่ไม่ชอบธรรม เพราะตลอดช่วงเวลาที่ตนทำงานมาไม่เห็นในนามของบริษัท ในการแสดงจุดยืนทางการเมือง การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นเรื่องของปัจเจก และงานที่ตนทำก็ไม่ได้มีการสอดแทรกประเด็นทางการเมืองที่โน้มเอียงเข้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทุกครั้งที่มีประเด็นทางสังคม หรือประเด็นทางการเมืองที่เป็นข้อถกเถียงกันในสังคม ตนก็จัดรายการโดยการเชิญแขกรับเชิญที่มีความคิดหลากหลาย การกระทำของบริษัทในครั้งนี้ทำให้ตนไม่มั่นใจว่า มีสาเหตุที่แท้จริงจากอะไร

ฝ่ายความมั่นคงสงสัยPerMasกรณีนศ.บึ้มใต้

งามไส้!!....ที่แท้มือวางระเบิดยะลาคือนักศึกษา
นายสุไฮมี ดูละสะ ประธาน PerMAS นายฮากิม พงติกอ, นายอาร์ฟาน วัฒนะรองประธาน PerMAS เคลื่อนไหวหลอกนักเรียน นักศึกษาให้ไปกดดันเจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมที่หน้า ศชต.โดยกล่าวหาว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ล่าสุดผู้ต้องสงสัยที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวว่ามีส่วนเกี่ยวข้องลอบวางระเบิดในพื้นที่เขตเทศบาลนครยะลา 44 จุด รวม 56 ลูก ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บรวมทั้งหมด 18 ราย ได้รับยอมรับสารภาพแล้ว จำนวน 4 ราย
1. นายอับดุลฟาริด สะกอ
2. นายไซดี ทากือแน
3. นายซอบรี กาซอ
4. นายแยสฟรี หะยีปูต๊ะ
จากข้อมูลผู้ต้องสงสัยทั้ง 4 ราย ยอมรับว่าเป็นมือลอบวางระเบิดเขตเทศบาลนครยะลา เมื่อ 14-16 พ.ค.58 ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการบังคับขู่เข็ญแต่ประการใด
ข้อมูลที่น่าสนใจ นายอับดุลฟาริด สะกอ จบการศึกษาจากโรงเรียนธรรมวิทยา อ.เมือง จ.ยะลา หลังจากนั้นศึกษาต่อสถาบันพละศึกษาจังหวัดยะลา ปัจจุบันทำงานที่เทศบาลเมืองรามันห์ อ.รามัน จ.ยะลา (มีหมาย ป.วิอาญา 1 หมาย)
นายไซดี ทากือแน จบการศึกษาจากโรงเรียนธรรมวิทยา อ.เมือง จ.ยะลา ชั้น 10 ปัจจุบันกำลังศึกษา ดีโพมา (อนุปริญญา) วิทยาลัยสารพัดช่างจังหวัดยะลา
นายซอบรี กาซอ จบการศึกษาจากโรงเรียนธรรมวิทยา อ.เมือง จ.ยะลา ศึกษาต่อ มอ.ปัตตานี ปัจจุบันพักอาศัยอยู่กับภรรยาที่อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส
นายแยสฟรี หะยีปูเต๊ะ จบการศึกษาจากโรงเรียนธรรมวิทยา อ.เมือง จ.ยะลา ปัจจุบันกำลังศึกษา มอ.ปัตตานี และเป็นครูสอนที่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามประสานมิตร
จะเห็นได้ว่าผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิดเขตเทศบาลนครยะลาทั้ง 4 ราย ที่ยอมรับสารภาพนั้น จบการศึกษาจากโรงเรียนธรรมวิทยา อ.เมือง จ.ยะลา และที่น่าสนใจคือมี 2 ราย ที่กำลังศึกษาวิทยาลัยสารพัดช่างจังหวัดยะลา และ มอ.ปัตตานี
แล้วการที่กลุ่ม PerMAS ออกมากล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่รังแกควบคุมตัวนักศึกษาเหล่านี้ การตรวจ DNA เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนพร้อมทั้งกดดันให้มีการปล่อยตัว พฤติกรรมของกลุ่ม PerMAS มันบ่งบอกถึงจุดยืนที่ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย และสนับสนุนการกระทำของโจรใต้ฟาตอนี ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งกลุ่มนักศึกษาเป็นผู้ก่อการร้ายเสียเอง
นี่หรือแนวทางการต่อสู้ของ PerMAS ที่พยายามสร้างภาพมาโดยตลอดว่าเป็นการขับเคลื่อนงานการเมือง ทำการเคลื่อนไหวตามแนวทางสันติ เป็นปัญญาชนคนมีความรู้ สุดท้ายใช้ความรุนแรงเคลื่อนไหวก่อเหตุเสียเอง...งามไส้มั๊ยล่ะพี่น้อง
กลุ่ม PerMAS อย่างนายสุไฮมี ดูละสะ รู้มั๊ยว่าสมาชิกนักศึกษาในกลุ่มเป็นผู้ร้าย หากไม่รู้ไม่เห็นคงไม่ดิ้นพล่าน เหงื่อแตกซิกๆ ลงมือด้วยตนเองในการนำมวลสมาชิกนักเรียนที่ไปหลอกเค้ามาเพื่อเป็นเครื่องมือไปกดดันหน้า ศชต.
อย่างว่าละครับไปหลอกนักศึกษาสถาบันอื่นๆ ไม่ได้ผลอีกแล้ว เลยหันมาหลอกนักเรียนซึ่งง่ายกว่าและน้องๆ โรงเรียนธรรมวิทยาก็หลอกง่ายซะด้วยให้ความร่วมมือทำการเคลื่อนไหว ครั้งก่อนหน้าแตกเย็บไปหลายเข็ม บาดแผลยังไม่หายดีกับการไปหลอกนักศึกษาทั่วประเทศให้ร่วมเคลื่อนไหวปล่อยตัวนักศึกษาที่ลงมือก่อเหตุลอบวางระเบิดเมืองนราธิวาส สุดท้ายเป็นงัยผลคือผู้ที่ถูกจับกุมยอมรับสารภาพว่าเป็นมือลอบวางระเบิดจริง ดั่งเช่นกับครั้งนี้ที่ยอมรับสารภาพถึง 4 ราย แค่เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนเวลา เปลี่ยนตัวแสดง แต่บทยังคงเดิมๆ กลุ่ม PerMAS ก็ยังคงใช้ลูกไม้เดิมๆ นี่คือหน้ากากของนักศึกษาในคราบโจร...น่าเบื่อหน่ายต่อพฤติกรรมเป็นที่สุด

กาแฟดำ:ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง

08062558 สูตรปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง กับ ‘รัฐบาลเปลี่ยนผ่าน’
โดย : กาแฟดำ 

@ ความเห็น ของ " ฉันท์สหาย "
1. แค่โยนประเด็นถามสังคม
ก็ได้เห็น กรอบคิดของหลายฝ่าย
ส่วนใหญ่สะท้อนมาเพื่อตัวเองเป็นหลัก โดยเฉพาะฝ่ายการเมือง 
ฝ่ายนักวิชาการบางส่วน ก็ติด อคติ " เลือกตั้ง = ประชาธิปไตย "
รัฐบาลต้องแข็ง ประชาชนอ่อนแอ ก็ช่าง ไม่สนใจความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้น
บางคน ก็ขอให้ได้ แสดงความเห็น มีชื่อโผล่หน้าสื่อ
2. มีพอมีประโยชน์บ้าง
ได้เห็นความคิดบางอย่าง โผล่ออกมาจากแม่น้ำ 5 สาย
ดูคล้ายๆกับ " พญานาค " โผล่ออกมาที่ผิวแม่น้ำโขง
3. ด้านสื่อ ก็สะท้อนความคิดแคบๆ ที่ยังไม่ได้ปฏิรูป
มีบางสื่อ ก็ยังพอไปวัดไปวาไปโบสถ์ได้ 
4. แต่ทั้งหมด ทำให้เห็นว่า
คนมีอุดมการณ์ ยังจะต้องเดินทางอีกยาวไกล
และต้องคิด เอาจริงเอาจัง ให้มากกว่านี้
ใครจะเอาด้วยตามมา 

..........................


จะบอกว่าเป็นความบังเอิญ หรือเป็นเรื่องทำให้เห็นว่าบังเอิญก็แล้วแต่ 
ความเคลื่อนไหวของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ

(สปช.) บางกลุ่มให้มีการ “ปฏิรูป 2 ปีก่อนเลือกตั้ง” กับคำพูดของนายกรัฐมนตรีที่ว่า “ถ้าจะให้อยู่ต่อก็ไปถามประชาชนกันเอง” ช่างสอดคล้องต้องกันอะไรเช่นนั้น

แรกเริ่มที่ได้ยินข้อเสนอ “ปฏิรูป 2 ปีก่อนเลือกตั้ง” ก็ยังงงๆ อยู่ว่า
ในทางปฏิบัติหมายถึงอะไร 
แปลว่า คสช., สปช. กับ สนช. และรัฐบาล
จะอยู่ต่ออีกสองปีแล้วจึงจะมีการเลือกตั้งใช่หรือไม่

ถ้าอย่างนั้น หัวหน้า คสช. และนายกฯจะต้องออกมาแก้ Roadmap 
ที่วางเอาไว้อย่างไร จะอ้างเหตุผลอันใด

และมีอะไรรับรองว่าสองปีจะเห็นผลการปฏิรูปอย่างแท้จริง

อะไรเป็นไม้วัดความสำเร็จหรือล้มเหลวของการปฏิรูปในสองปี?

ยิ่งจะมีความงงงันมากขึ้นเมื่อมีข้อเสนอจาก สปช. บางท่านว่า
การจะให้ปฏิรูปสองปีก่อนเลือกตั้งนั้นควรจะถามความเห็นประชาชน 
และการถามความเห็นประชาชนก็ควรจะใช้วิธีทำประชามติ

ก็ไหนๆ จะทำประชามติเรื่องร่างรัฐธรรมนูญแล้ว 
ก็ใส่คำถามเรื่องปฏิรูปสองปีก่อนเลือกตั้งเข้าไปในประชามติเสียเลย

นี่คือข้อเสนอของ สปช. ที่ต้องการจะทำทั้งสองเรื่องควบคู่กันไป

เพราะ สปช. ที่ผลักดันเรื่องนี้ไม่อยากจะเป็นคนเสนอเอง 
ต้องการให้เป็นเรื่องของประชาชน 
ซึ่งบางเสียงก็บอกว่าอาจจะมีการล่ารายชื่อของประชาชนเพื่อให้มีการทำประชามติเรื่องนี้

คนที่ผลักดันเรื่องนี้ไม่ต้องการจะได้ชื่อว่าพยายามจะให้ คสช. และรัฐบาลของ นายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา “สืบทอดอำนาจ”

นักข่าวถามนายกฯ เรื่องจะอยู่ต่อ
นายกฯไม่ได้ปฏิเสธ แต่บอกว่าท่านไม่ได้ต้องการสืบทอดอำนาจ 
แต่ถ้าจะให้ทำงานต่ออีกระยะหนึ่ง ก็พร้อม 
แต่ต้องให้ประชาชนส่งเสียงออกมาให้ชัดเจน

และยังบอกว่าใครก็ตามที่ผลักดันเรื่องนี้ 
ต้องไปช่วยอธิบายกับคนไทยและต่างประเทศให้เข้าใจเสียด้วย

เพราะแน่นอนว่าจะต้องมีคนที่คัดค้านเรื่องนี้ 
เพราะเท่ากับเป็นการทำผิดสัญญาที่เขียนไว้ใน Roadmap 
เดิมว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อรัฐธรรมนูญผ่านขั้นตอนทั้งหลาย 
ซึ่งตีความกันมาตลอดว่าเร็วที่สุดคือไตรมาสแรกของปีหน้า 
และช้าที่สุดก็คือไตรมาสที่สามของปีหน้า

แต่หากต้องทำการปฏิรูปสองปีก่อนแล้วจึงมีการเลือกตั้ง
ก็แปลว่าจะต้องมีการแก้ไขเรื่องใหญ่ๆ ทั้งหมด
โดยที่ยังไม่มีใครตอบได้ว่าจะขับเคลื่อนให้เกิดขึ้น
โดยได้รับฉันทามติของคนไทยส่วนใหญ่ได้อย่างไร

มีคำถามว่าถ้าจะทำอย่างนั้นก็เขียนระบุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญว่าอย่างไร

คำถามต่อมาก็คือว่า
สองปีที่จะปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้งนั้น 
ใครจะเป็นผู้ประเมินว่าการปฏิรูปทุกๆ ด้านของประเทศ
ได้บรรลุถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้หรือไม่อย่างไร

เพราะไม่มีใครตอบได้ว่า
การปฏิรูปที่จะทำให้เสร็จก่อนเลือกตั้งนั้นจะวัดกันด้วยสูตรไหน 
ใครเป็นคนบอกว่าสองปีจะทำได้ และ
ใครจะเป็นคนฟันธงว่าสองปีแล้วการปฏิรูปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่อย่างไร

แน่นอนว่า มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เป็นห่วงว่าหากมีการเลือกตั้งตามกำหนดเดิม นักการเมืองที่เข้ามาอาจจะเอาข้อเสนอเรื่องปฏิรูปทิ้งถังขยะเลยก็ได้ 
เพราะข้อเสนอปฏิรูปหลายข้อเป็นการปรับเปลี่ยนกฎกติกาที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของนักการเมืองอย่างปฏิเสธไม่ได้

ความห่วงกังวลเรื่องนี้มีผลทำให้เชื่อกันว่าหากทำตาม Roadmap เดิม 
ความพยายามจะปฏิรูปบ้านเมืองก็จะไร้ผล 
และการรัฐประหารครั้งนี้ก็จะ “เสียของ” อีกรอบหนึ่ง 
ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาใหญ่ ๆ ของประเทศชาติ
อย่างที่อ้างเป็นเหตุผลของการก่อรัฐประหารแต่อย่างใด

แต่การกระทำใด ๆ ที่ตีความได้ว่าเป็นการ “สืบทอดอำนาจ” ของ คสช. 
ก็จะเปิดจุดอ่อนให้มีการโจมตีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกเช่นกัน

ดังนั้น จึงควรจะต้องมีสูตรของ “รัฐบาลเปลี่ยนผ่าน” 
ที่ประชาชนมีสิทธิมีเสียงในการทำให้การปฏิรูปเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
เพื่อปูทางสู่การเลือกตั้งที่โปร่งใส, ยุติธรรมและตรวจสอบได้อย่างเปิดเผย

สูตรที่ว่านี้เป็นอย่างไร 
ผมเชื่อว่าผู้รู้ในบ้านเมืองมีมากมาย 
หากมีจิตใจมุ่งทำงานเพื่อผลประโยชน์ของชาติที่แท้จริง 
ยอมเสียสละ และไม่ชิงความได้เปรียบทางการเมือง 
ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะถกแถลงเพื่อหาข้อสรุปได้

ปปช.คดีเยียวยาแดงนัดยิ่งลักษณ9มิ.ย.


08062558 ปปช.จัดลำดับ'ยิ่งลักษณ์-อดีตครม.' เข้ารับทราบข้อกล่าวหา
Lady first นำโดย นส.นายกยิ่งลักษณ์ 
ตามด้วย Gentelman Bad man - Bad boy
ตบท้ายด้วย Lady นางนลินี ทวีสิน อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 

ป.ป.ช.จัดลำดับ"ยิ่งลักษณ์-อดีตครม." เข้ารับทราบข้อกล่าวหา 
พร้อมเปิดโอกาส แจงเบื้องต้น ปมจ่ายเงินเยียวยามิชอบ 9 มิ.ย.นี้ 

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งว่า 
จากกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติแจ้งข้อกล่าวหา
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีรวม34ราย 
กรณีจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง 
พ.ศ.2548 - 2553 โดยมิชอบ
และเมื่อ ป.ป.ช.ได้ส่งหนังสือ แจ้งไปยังผู้ถูกกล่าวหาทุกราย เพื่อให้ทยอยมารับทราบข้อกล่าวหาและให้ถ้อยคำในเบื้องต้นระหว่างวันที่9-30มิ.ย.นี้นั้น

สำหรับกำหนดการที่ให้ผู้ถูกกล่าวหาเข้ามารายงานตัวที่สำนักงาน ป.ป.ช.ถนนสนามบินน้ำ จ.นนทบุรีในวันที่9มิ.ย.นั้น 
จะเริ่มต้นเวลา09.00น.โดยกำหนดการแรกเป็นของน.ส.ยิ่งลักษณ์
และกำหนดการภายในวันเดียวกันเป็นของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) 
ลำดับถัดไปเป็นของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ,
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง,
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ
นางนลินี ทวีสิน อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ


เปลว สีเงิน:เมื่อยืนอยู่ศัตรูก็คืนมิตร


09062558 เมื่อ 'ยืนอยู่' ศัตรูก็คืนมิตร เปลว สีเงิน

วันนี้พี่เปลว นำข้อเขียนของอาจารย์ "สมเกียรติ โอสถสภา" 
ที่โพสต์ fb ทำให้รู้โลก-รู้เขา-รู้เรา หูตาผมฟรุ้งฟริ้งขึ้น 
ก็อยากให้ได้อ่านกันบ้าง

อย่าไปว่า "คุณชายสุขุมพันธุ์" ท่านเลย เดี๋ยวท่านเครียด แล้วดวดไวน์ดับเครียดทั้งวัน-ทั้งคืน ก็จะไม่มีเวลาออกมาถลกขากางเกงลุยน้ำให้เห็นว่า รัก กทม.-ห่วง กทม.ทุกลมหายใจ

ใครว่าไงก็ช่าง สำหรับผม ขอบพระคุณฝนคืนวานซืนมาก เพราะฝนเทกรุงนี่แหละ นอกจากน้ำท่วม-ขยะลอยอุดท่อแล้ว ทำให้นึกได้ว่า

กทม.มีผู้ว่าฯ ชื่อ "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร"!

วันนี้ไม่ไถล เพราะเมื่อคืนอ่านที่อาจารย์ "สมเกียรติ โอสถสภา" โพสต์ fb ทำให้รู้โลก-รู้เขา-รู้เรา หูตาผมฟรุ้งฟริ้งขึ้น ก็อยากให้ได้อ่านกันบ้าง

เนื้อที่น้อย อ่านประเภท Behind the Scene ที่อาจารย์สมเกียรติโพสต์ไว้ดีกว่า ผมขออนุญาต "ลอก" เพื่อชาติอีกครั้งนะครับอาจารย์

Somkiat Osotsapa

"ทำไมท่าทีของประเทศตะวันตกต่อไทยจึงอ่อนลง"

สองสัปดาห์หลังการเปลี่ยนอำนาจในไทย ท่าทีของต่างประเทศอ่อนลง เงียบมาก ข่าวการเปลี่ยนอำนาจในไทยหาไม่เจอแล้ววันนี้ในข่าวด่วนรายวัน

ทำไมท่าทีจึงเปลี่ยนไป?

วอชิงตัน ดีซี

หนึ่ง บุคคลสำคัญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศของอเมริกาต่างออกมาให้สัมภาษณ์เตือนสติรัฐบาลอเมริกันว่า อย่าทำอะไรให้คนไทยโกรธ เสียหน้าเพิ่มอีกเป็นอันขาด เพราะอเมริกาจะเสียมิตรสำคัญที่สุดนอกนาโตไป
อเมริกาถือว่ามิตรสำคัญในเอเชียมีสองประเทศคือ ไทย ฟิลิปปินส์ ในตะวันออกกลางคืออียิปต์

เขาเตือนว่า ไทยพิสูจน์ความเป็นเพื่อนมาแล้วในสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม สงครามกัมพูชา ยาวนานหลายสิบปี

สอง มือเก๋าด้านเอเชีย ต่างออกมาโจมตีนายชัค ฮาเกล รัฐมนตรีว่าการกลาโหมว่า โฉ่งฉ่าง ไม่มีมารยาท ไม่รู้จักวัฒนธรรมเอเชียที่คำนึงเรื่องหน้าตา วิธีพูด ชั้นเชิงการทูต

"การทูตผ่านสื่อมันไม่ดี"

แล้วยังช่วยกันโจมตีว่า นายชัค คุณสมบัติไม่ถึง เคยเป็นดีเจวิทยุมาก่อน จึงพูดในเวทีระหว่างประเทศเหมือนขวัญชัย

แล้วมาทำอาชีพล้อบบี้อิสท์ให้บริษัทยางรถยนต์ ไฟร์สโตน

เคยมารบเวียดนามปีเดียว แล้วโดนยิงเจ็บกลับไป ไม่รู้จักเอเชียเหมือน Timothy Geithner ที่เคยเรียนหนังสือที่กรุงเทพ และปักกิ่ง เดิมนายทิมตั้งใจจะมาคุม pivot policy

ที่ได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เพราะเคยขายโทรศัพท์จนร่ำรวย ล้อบบี้ในสภาเก่ง หาเงินให้พรรคมาก

นายจอห์น เคอรี่ ก็โดนเหมือนกัน ถูกหาว่าเอาใจ NGO และหาเสียงมากไป จนทำให้อเมริกาอ่อนแอ เสียมิตรร่วมรบอย่างไทย

สาม ประธานาธิบดีโอบามา ถูกโจมตีหนักว่า ทำให้อเมริกาอ่อนแอลงทุกด้าน คะแนนนิยมเหลือแค่ 40% ทำให้อเมริกาอ่อนแอในทุกภูมิภาค กำลังจะถอนทหารจากอัฟกานิสถาน ตะวันออกกลาง มาเอเชีย

รัสเซียก็ขู่ จีนก็เอาเรื่อง ในเอเชียมีมิตรน้อย

การมาเล่นงานไทยทำให้ถูกอัดจากทุกฝ่าย ว่าทำให้ประเทศอ่อนแอมากขื้น โดนจัดหนัก

สี่ ที่สำคัญที่สุด มือยุทธศาสตร์ ส.ส.วุฒิ ต่างออกมาเตือนกันว่า อย่าให้เสียไทยไปเป็นอันขาด เพราะสำคัญมากต่อนโยบายบุกเอเชีย ล้อมจีน pivot policy เพราะประเทศไทยสำคัญมากที่สุด

มือเก๋าพวกนี้ยังเตือนความจำด้วยว่า อเมริกาเคยทิ้งไทยหนีกลับบ้านในสงครามเวียดนาม น่าอายมาก

ตอนไทยเจอวิกฤติ อเมริกามีท่าทีเย็นชา ไม่ให้ยืมตังค์แม้แต่หนึ่งเหรียญ แต่หันไปช่วยเม็กซิโก 57 พันล้านเหรียญ

แล้วบริษัทของอเมริกายังหาเงินไปซื้อทรัพย์สินราคาถูกในประเทศไทย ทำกำไรอีกมหาศาล คนไทยเห็นอเมริกาเป็นโจร

แล้วตอนนี้ยังจะไปเล่นงานเขาอีก

ห้า โดนโจมตีหนัก ฝ่ายโอบามาเถียงว่า ต้องทำตาม Technical Assistance Act 1961 แล้วบอกฝ่ายที่โจมตีว่า

อ้าว ถ้าไม่อยากให้มีเรื่องกับไทย

หนึ่ง ทำไมรัฐสภาไม่ออกกฎหมายให้มีข้อยกเว้น ว่า

"ถ้าการเปลี่ยนอำนาจนั้น ทำเพื่อขับไล่รัฐบาลที่ถูกคุมโดยแก๊งอาชญากรรม ขบวนการหัวรุนแรง หรือเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมือง หรือสอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงของอเมริกา"

ไม่ต้องตัดความช่วยเหลือทางการทหาร แก้กฎหมายมาซี จะยกเว้นทันที

แล้วย้ำว่า "ที่ตัดไปน้อยมาก ไทยไม่กระทบกระเทือน"

สอง ฝ่ายโอบามาโต้ว่า ประธานาธิบดีไม่ต้องการทำ เพราะเกิดผลเสียมาก แม้ต้องทำตามกฎหมาย แต่ประธานาธิบดีใช้การติดต่อส่วนตัวเป็นการทูตทางลับ private contact diplomacy กับไทยตลอด

สาม ฝ่ายโอบามาบอกว่า แม้จะเสียงดังไปหน่อย แต่การฝึก cobra gold และหลักสูตรอื่นๆ ส่วนใหญ่เหมือนเดิม อเมริกามีการซ้อมรบกับไทยร่วม 40 ครั้งต่อปี

"ทำแค่ให้ถูกกฎหมายเท่านั้นเอง"

สี่ เมื่อตอนรัฐมนตรีช่วยกลาโหมมาเยือนไทย คุยกับฝ่ายไทยแล้วว่า...............

ห้า ฝ่ายโอบามาย้ำไปด้วยว่า ไทยคงยอมให้ใช้สนามบินอู่ตะเภาเหมือนเดิม ให้เรือรบแวะจอดเหมือนเดิม ไม่ต้องห่วง ยังดีกันอยู่ ว่างั้น

สิ่งที่อเมริกาตระหนกมาก คือการเพิ่มความร่วมมือทางทหารระหว่างจีนกับไทยในช่วงนี้

มีคนเตือนว่า ไทยอาจเปลี่ยนจุดยืนได้ ถ้าอเมริกาทำอะไรรุนแรงมากกว่านี้ ไทยเป็นประเทศที่เปลี่ยนนโยบายได้กะทันหันเสมอในยามจวนตัว 

และคนไทยเป็นตัวของตัวเอง เราไม่เข้าใจหรอกว่า ที่เขายิ้ม แปลว่าอะไร

จดหมายต่างๆ จากประเทศไทย ความคิดเห็นของคนไทย ไปถึงฝั่งอเมริกาหมด

ต่อรองด้วยความแข็งแกร่ง มีเหตุผล bargain with strength ทำกันดีมาก

ถ้าอเมริกายังอยากรักษามิตรภาพไว้ ควรหันมาเพิ่มความร่วมมือด้าน การศึกษา การค้า การลงทุน การเชื่อมต่อระหว่างบริษัท การร่วมมือผ่านมหาวิทยาลัย ราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน

ทำแบบนี้ไม่ผิดกฎหมาย

@ออสเตรเลีย

มีเสียงจากแคนเบอร์รา ออสเตรเลียคล้ายๆ กัน เสียงบ่นว่า ทำไมประท้วงเบาจัง

แต่ผมไม่เอามาใส่ใจ พูดถึง เพราะ Australia, You have been weighed, You have been measured, You have been found wanting.

แปลว่า ลองพิจารณาประเทศนี้แล้ว น้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง ความสำคัญในวงการต่างประเทศ การทหาร การทูต ที่จะมาส่งเสียงดัง

เป็นเพียงพวกพูดมาก พูดเยอะ พูดเร็ว พูดเอาดัง อยากให้โลกรู้ว่ามีออสเตรเลียอยู่ในโลก พูดเอาตังค์ พูดอยากได้อำนาจ เท่านั้น

ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาคุยกันดีกว่ามั้ง

เรื่องลับๆ ยูไม่รู้หรอกว่าเขาแอบคุยอะไรกัน

มันเฉิ่มนะ pigmies intellectuals of NLP of Australia

@ปักกิ่ง

เมื่อเกิดการเปลี่ยนอำนาจในไทย หนังสือพิมพ์เสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน พาดหัวว่า Western Democracy Fails in Thailand ประชาธิปไตยแบบตะวันตกล้มเหลวในประเทศไทย แล้วอธิบายยืดยาวว่า ระบบแบบตะวันตกใช้กับประเทศในเอเชียลำบาก ในเอเชียพื้นฐานต้องสร้างระเบียบ วินัยกันทั้งสิ้น

เรื่องของไทยไปถึงโปลิตบูโร

ยืนยันคำพูดเดิมของนายเหวิน เจินเป่า ว่า จีนกับไทยคือญาติกัน และเป็นญาติที่มีมิตรภาพต่อกันอย่างดีมาก

ภาพการจับมือระหว่าง ผบ.ทบ.ของสองประเทศไปทั่วโลก จีน พม่า เวียดนาม มีน้ำหนักสูงมากในด้านการทหาร

จีนเสนอจัดการซ้อมรบระหว่างจีนกับไทยระดับคอบรา โกลด์ โดยจีนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด มีโครงการมากมาย นี่ก็ฝึกร่วมกันมาเยอะแล้ว, คนไม่ค่อยรู้

ข้อเสนอด้านเศรษฐกิจของไทยมีเงื่อนไขที่ดี

รายงานข่าวตอนเที่ยง ก่อนจะมาบอกว่า "ไทยรุ่งเรืองแน่นอน"

Bon Appetite ครับ.

อาจารย์สมเกียรติจบแค่นี้ ผมขอตอดนิดนึง.........

ไทยจะรุ่งเรืองได้สะเด็ดน้ำ นอกจากก้าวข้ามระบอบทักษิณแล้ว ต้องก้าวข้าม "การเมืองขยะ" และ intellectuals สวะอุดท่อสังคมด้วย.

'

นายกฯปลุกต้านคอรัปชั่น ตัวอย่างโกงจำนำข้าว


09062558 "ประยุทธ์"ปลุกต้านคอร์รัปชัน ลั่นคนโกงจำนำข้าวต้องรับผิด!
การทุจริตมีผลเสียหายต่อการประกอบการทุกเรื่อง ทั้งในประเทศ ต่างประเทศ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน

นายกฯและหัวหน้าคสช. ปลุกต้านคอร์รัปชัน ชี้ทำลายความน่าเชื่อถือทุกระบบ - อัด2ปีโครงการรับจำนำข้าว ไม่โปร่งใสขาดทุนยับ 2 แสนล้านต่อปี ลั่นคนผิดต้องรับโทษตามกฎหมาย

วันนี้(8มิถุนายน) ที่ตึกสันติไมตรี(หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประกาศเจตนารมณ์ ”ต่อต้านการทุจริตสร้างจิตสำนึกไทยไม่โกง” โดยมี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ เอกอัครราชฑูต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรระหว่างประเทศ ภาคประชาสังคมและเยาวชนเข้าร่วม

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของประวัติศาสตร์ประเทศไทย เป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่านประเทศเพื่อไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน การบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านมามักไม่ได้ผลเพราะจิตสำนึกของคนไม่ยอมรับ ทำให้ระบบราชการเสียหายตาม ทำให้ความน่าเชื่อถือลดลง ซึ่งเราต้องสร้างความเชื่อมั่นให้สังคมโดยรวมให้ได้ ข้าราชการมีหน้าที่ดูและประชาชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ

"เรื่องการทุจริตคอร์รัปชันก็นับเป็นเรื่องสำคัญและมีหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น การรับเงิน การละเมิดระเบียบราชการ หาประโยชน์ส่วนตัว รบกวนเวลา การแซงคิว ตนไม่มั่นใจจะแก้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็แก้ได้เกิน 90 เปอร์เซ็นต์ เพราะปัญหาอยู่ที่คน ผมคาดหวังเยาวชนที่มาในวันนี้จะเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตและเป็นความหวังของผม พวกเราต้องประคับประคอง อำนวยความสะดวกให้เด็กเหล่านี้โตขึ้นไปให้ได้"

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าการทุจริตมีผลเสียหายต่อการประกอบการทุกเรื่อง ทั้งในประเทศ ต่างประเทศ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ไม่มีกฎหมายฉบับไหนที่ระบุว่าต้องมีการจ่ายค่าอำนวยความสะดวก หากพบว่ามีการทุจริตขอให้แจ้งศูนย์ดำรงธรรม วันนี้โลกเจริญพัฒนาอย่างรวดเร็ว การใช้เทคโนโลยีก้าวไกล แต่จิตใจมนุษย์ยังอยู่ที่เดิม เราต้องลดช่องว่างระหว่างคนรวยมาก รวยปานกลางและคนจน ต้องนำแนวทางความพอเพียงมาใช้ วันนี้เรามีคนรวยเยอะ ติดอันดับโลกหลายคน แต่คนที่จนแบบไม่มีตัวตนก็เยอะเช่นกัน

"2 ปีที่ผ่านมามีการบริหารผิดพลาดเกี่ยวกับข้าว ไม่โปร่งใส ไร้ประสิทธิภาพ จากที่ทาง TDRI ประเมินมาทำให้ขาดทุนประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการแต่ต้องเสียค่าบริหารจัดการอื่นๆเช่น ค่ารักษา ปรับปรุง รวมแล้วเป็นราคาตันละกว่า 20,000 บาท แต่เราก็ขายได้เพียงแค่ราคาตลาดเท่านั้น ก็ต้องไปว่ามา ว่าใครผิดถูก ทุกวันนี้หากใครยอมรับผิดก็หลุดจากโทษได้เพราะมีการอภัยโทษ แต่ต้องรับโทษก่อน ไม่มียกโทษ ต้องให้รู้ว่าใครผิดถูกและนำสู่กระบวนการยุติธรรมตัดสิน จึงไปสู่การอภัยโทษ อย่าใช้วิธีการใดๆกดดัน ทำผิดก็ต้องกล้ารับผิด"นายกฯและหัวหน้าคสช.ระบุ.

  • 3 คน ถูกใจสิ่งนี้
  • Sakda Ji
    เขียนความคิดเห็น

ประยุทธบอกโกงยอมรับผิดอภัยโทษ


09062558 โกงยอมรับผิดได้อภัยโทษ

พูดไม่หมด กล่าวไม่ครบ จะผิดพลาด
โกงยอมรับผิด ติดคุก คลายเงินที่อมไปคืนชาติ 500,000 ล้าน จึ่งจะพิจารณา
อ้อ ...... ต้องกล่าวขออภัยทั่วไทย ที่พี่และตัวเอง ได้ทำไป
จะไม่ทำอีกแล้ว หากทำอีกต้องตกนรก ทั้งตระกูล

"บิ๊กตู่" เปิดงานปราบโกง ลั่นใครยอมรับผิดก็หลุดจากโทษเพราะมีการอภัยโทษ แต่ต้องรับโทษก่อน ไม่มียกโทษ ฮึ่ม! อย่าใช้วิธีการใดๆ กดดัน ทำผิดต้องกล้ารับผิด สับจำนำข้าว-รถคันแรก ตัวฉุดเศรษฐกิจทรุด ครวญปราบทุจริตสีเทาก็ถูกบ่นทำเศรษฐกิจแย่ เพราะธุรกิจสีเทามีเงินหมุนเวียนถึงเดือนละ 2 หมื่นล้านบาท

ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันจันทร์ที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประกาศเจตนารมณ์ "ต่อต้านการทุจริตสร้างจิตสำนึกไทยไม่โกง" โดยมีคณะรัฐมนตรี, ข้าราชการ, เอกอัครราชทูต, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, องค์การระหว่างประเทศ, ภาคประชาสังคมและเยาวชนเข้าร่วมงาน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่งว่า เรื่องการทุจริตคอร์รัปชันนับเป็นเรื่องสำคัญและมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการรับเงิน, การละเมิดระเบียบราชการ, หาประโยชน์ส่วนตัว, รบกวนเวลา, การแซงคิว ตนไม่มั่นใจจะแก้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็แก้ได้เกิน 90 เปอร์เซ็นต์ เพราะปัญหาอยู่ที่คน คาดหวังเยาวชนที่มาในวันนี้จะเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตและเป็นความหวัง พวกเราต้องประคับประคอง อำนวยความสะดวกให้เด็กเหล่านี้โตขึ้นไปให้ได้

นายกฯ กล่าวว่า การทุจริตมีผลเสียหายต่อการประกอบการทุกเรื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ไม่มีกฎหมายฉบับไหนที่ระบุว่าต้องมีการจ่ายค่าอำนวยความสะดวก หากพบว่ามีการทุจริตขอให้แจ้งศูนย์ดำรงธรรม วันนี้โลกเจริญพัฒนาอย่างรวดเร็ว การใช้เทคโนโลยีก้าวไกล แต่จิตใจมนุษย์ยังอยู่ที่เดิม เราต้องลดช่องว่างระหว่างคนรวยมาก รวยปานกลางและคนจน ต้องนำแนวทางความพอเพียงมาใช้ วันนี้เรามีคนรวยเยอะ ติดอันดับโลกหลายคน แต่คนที่จนแบบไม่มีตัวตนก็เยอะเช่นกัน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า 2 ปีที่ผ่านมามีการบริหารผิดพลาดเกี่ยวกับข้าว ไม่โปร่งใส ไร้ประสิทธิภาพ จากที่ TDRI ประเมินมาทำให้ขาดทุนประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการแต่ต้องเสียค่าบริหารจัดการอื่นๆ เช่น ค่ารักษา ปรับปรุง รวมแล้วเป็นราคาตันละกว่า 20,000 บาท แต่เราก็ขายได้เพียงแค่ราคาตลาดเท่านั้น ก็ต้องไปว่ามาว่าใครผิดถูก 

"ทุกวันนี้หากใครยอมรับผิดก็หลุดจากโทษได้เพราะมีการอภัยโทษ แต่ต้องรับโทษก่อน ไม่มียกโทษ ต้องให้รู้ว่าใครผิดถูกและนำสู่กระบวนการยุติธรรมตัดสิน จึงไปสู่การอภัยโทษ อย่าใช้วิธีการใดๆ กดดัน ทำผิดก็ต้องกล้ารับผิด"

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องธุรกิจสีเทาก็เช่นกัน เมื่อมีคนโกงก็ต้องนำเงินเหล่านี้ออกมาใช้จ่าย พอวันนี้หยุดทั้งหมด บ่อน, รถผิดกฎหมาย, ขายของผิดที่ ทำให้เศรษฐกิจไทยตกต่ำเวลานี้ โดยเงินหมุนเวียนจากธุรกิจสีเทาประมาณเดือนละ 2 หมื่นล้านจากการวิจัย ซึ่งเงินเหล่านี้เป็นเงินผิดทั้งหมด 

"เมื่อผมเข้ามาแก้ปัญหาทำให้เงินตรงนี้ลดลง แล้วก็มาโทษว่าผมทำให้เศรษฐกิจแย่ลง แต่ผมก็ต้องทำ ผมไม่ต้องการคะแนนเสียง แต่ต้องการความเข้าใจ ไม่ได้ต้องการให้คนมาต่อต้าน ผมรู้หมดว่าใครจะนำประท้วง"

ซัดรถคันแรก

เขากล่าวว่าเรื่องรถยนต์ก็เช่นกัน กำลังซื้อลดลงเพราะดีมานด์เทียม ทุกคนต้องการเงินแสนเพื่อนำไปดาวน์ลดคันแรก รถยังผ่อนไม่ได้ บางคนก็ขับรถไม่เป็น ทำให้ตลาดรถมือสองตกลงไปอีก แล้วกลับมาโทษตนว่าทำให้ทุกอย่างแย่ลง 

"ระบบโซเชียลมีเดียทำให้คนไม่มีโอกาสแก้ตัวหากทำผิด ต้องมีการสร้างความเข้าใจของสื่อ บางคนอยากเป็นพระเอก สร้างวาทกรรมที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง เป็นโรคจิตหรือเปล่า คนพวกนี้ไม่กล้าจริง ถ้ากล้าจริงมาหาผมนี่"

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้เลือกข้าง ที่มีแต่คนบางกลุ่มติดคุกเพราะคนเหล่านี้ทำความผิด แต่อีกพวกที่ทำความผิดแต่รับผิดมอบตัว ซึ่งต่างกับอีกพวกไม่ยอมรับผิด ถ้าผิดคือผิด อย่าไปยุ่งกับเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่เอามวลชนมาล้อม ตนยืนอยู่ข้างประเทศไทย สิบปีที่แล้วตนไม่เห็นว่าประเทศไทยจะมีความขัดแย้ง ตนไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไรหรือใคร ผิดกฎหมายหรือไม่

"โทร.ไปหาพี่ๆ เขาก็ไม่คุยด้วยเพราะกลัวสั่งงาน ทุกท่านทำงานกันไม่หยุด ทุกกระทรวง ผมเป็นคนไปเชิญท่านมา ต้องทำให้ดี เพราะชาตินี้หรือชาติหน้าไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกแล้ว ทั้งหมดที่เป็นทหารอยู่กับทุกรัฐบาลมาแล้ว ความผิดพลาดเกิดขึ้นจากทุกคน อย่าคิดว่าเราจะวิเศษ หากท่านทำได้นั่นคือประสบความสำเร็จ"

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า วันนี้เรามีทั้งคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.), คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.), ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) และองค์กรภาคเอกชน ร่วมมือกันทั้งหมด มีคณะทำงานถึง 3-4 ระดับ ส่วนของกลุ่มยุติธรรมมีรัฐมนตรี ได้ประชุมร่วมกับ 3-4 หน่วยงาน ทั้งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ซึ่งต้องคุยกันทำงานร่วมกัน ถ้าต่างคนต่างทำก็รวนไปหมด จัดลำดับไม่ได้ ทำไม่เสร็จซักอัน วันนี้ต้องทำเท่าที่ทำได้และมีหลักฐานชัดเจนก่อน บ้านเมืองก็ต้องเป็นอย่างนั้น อย่าทำงานอะไรด้วยความรู้สึกอย่างเดียว ควรให้โอกาสเขาบ้าง ถ้ามันไม่ใช่แล้วรับผิดชอบแทนเขาได้หรือไม่ แต่ถ้าผิดก็ว่าไปเลย สาเหตุของการทุจริตทั้งหมดนั้นสามารถแก้ได้ด้วยใจ ต้องแก้ให้ได้ 

อย่าโทษ ขรก.

นายกฯ กล่าวถึงปัญหาข้าราชการทุจริตคอร์รัปชันว่า วันนี้มีทุกภาค ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน อย่ามาโทษภาคราชการอย่างเดียว ฉะนั้นจะลงโทษทั้งคู่ ถือเป็นการสมยอม แต่จะโทษข้าราชการอย่างเดียวไม่ได้ ตนก็เป็นข้าราชการ คนดีๆ ก็มีอยู่ วันนี้ชอบพูดนักทหาร ตำรวจ ข้าราชการ แล้วคนดีๆ เขาอยู่ไหน ลูกเต้าเขาอยู่ไหน ครอบครัวเขาอยู่ที่ไหน มันเลวทั้งหมดหรืออย่างไร เขียนให้ดีบ้าง

ผู้สื่อข่าวถามว่า รายชื่อข้าราชการทุจริตถึงมือหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า "ถึงนานแล้ว แล้วทำไมจะให้ฆ่าทั้งหมดทั้งร้อยกว่าคนเลยหรืออย่างไร ก็กำลังดำเนินการอยู่ บุคคลใดอยู่ในตำแหน่งหน้าที่หลักก็เอาออกมาและสอบสวนลงโทษ

เมื่อถามว่าทั้งหมด 152 รายชื่อใช่หรือไม่ เขาตอบว่าการดำเนินการตรวจสอบ 152 รายชื่อ มีขั้นตอนในการทำงาน แต่การตรวจสอบมันง่ายนักหรือไง ทำไมจะต้องไปเร่งกฎหมายว่าต้องเสร็จวันนู้น วันนี้ มันได้อะไรขึ้นมา ความเสียหายที่เกิดอยู่ได้อะไรจากตรงนี้หรือไม่ คนผิดก็เอาเข้าคุกตรวจสอบไป ถ้าถูกก็เอาออกมา มันไม่เห็นจะเป็นจะตายอะไรหนักหนา ต้องทำอย่างไรให้คนอยู่ทำงานได้ รัฐบาลที่แล้วทำไมไม่ไปไล่เขาทำบ้าง แต่ทำไมเหลือมาถึงวันนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายกรัฐมนตรีตอบคำถามผู้สื่อข่าวนั้น ได้แสดงความหงุดหงิดในทุกคำถาม และตอบเพียงสั้นๆ ก่อนจะตัดบทให้เป็นคำถามต่อไป

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบโครงการจัดซื้อจัดจ้างยาปราบศัตรูพืชที่แพงเกินจริง กรณีเกิดภัยพิบัติฉุกเฉินช่วงปี 2554 ว่า ถ้าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยก็มาพิจารณาทางวินัยได้ทันที แต่ถ้าเรื่องใดบุคคลใดที่หน่วยเกี่ยวข้องส่งมาเป็นรายชื่อ ยังไม่ได้ดำเนินการ ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้วแต่ระดับ เช่น ข้าราชการระดับสูงซี 10 ขึ้นไป จะต้องเสนอไปยังนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตั้งคณะกรรมการ ถ้าต่ำกว่านั้นกระทรวงมหาดไทยสามารถตั้งสอบสวนเองได้

"ขณะนี้ปลัดกระทรวงมหาดไทยยังไม่ได้รายงานมายังผมว่าสอบสวนไปถึงใคร มีเสร็จเพียงชุดที่แล้ว และลงโทษไปตามมติของอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงมหาดไทย"

ไม่พบ 'บิ๊ก ขรก.' โกง!

เขาบอกว่าที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาเรียกร้องให้ 2 สมาชิก สนช.ที่เคยเป็นอดีตผู้ว่าราชการ จ.มุกดาหาร และ จ.เลยลาออก โดยอ้างว่าเข้าไปเกี่ยวของกับโครงการจัดซื้อจัดจ้างยาปราบศัตรูพืชดังกล่าวนั้น หลังจากเกษียณจากตำแหน่งผู้ว่าฯ แล้ว ถ้า สตง.ยังไม่ได้ดำเนินการภายใน 180 วัน ก็ต้องเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.ดำเนินการพิจารณาเพื่อไต่สวนลงโทษทั้งทางแพ่งและอาญาได้

เมื่อถามย้ำถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้ สนช.ที่เป็นอดีตผู้ว่าฯ ทั้ง 2 รายลาออก รมว.มหาดไทย ตอบว่า เรื่องดังกล่าวมันเกิดมาตั้งแต่ปี 2555 ในส่วนของเราก็ดำเนินการตามขั้นตอนทั้งหมด ขณะที่มีการเรียกร้องให้ลาออกนั้นคงต้องไปถามนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.

"มีข้าราชการระดับท้องถิ่นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการทุจริตก็ดำเนินการแล้ว แต่ในระดับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ยังไม่มีการตรวจสอบพบการทุจริตแต่อย่างใด" รมว.มหาดไทยกล่าว 

ที่สำนักงาน ป.ป.ช. นายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการ ป.ป.ช.กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวมีหลายคำร้องเข้ามา อย่างไรก็ตาม ตนยังไม่ได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจนจากเจ้าหน้าที่ที่ไต่สวนเรื่องดังกล่าวอยู่ ขอไปสอบถามในรายละเอียดก่อน

ส่วนการถอดถอน 2 อดีตผู้ว่าฯ ที่เป็น สนช.นั้น กรรมการ ป.ป.ช.ผู้นี้ระบุว่า มีกระบวนการอยู่ว่าสนช.ต้องเข้าชื่อกัน 1 ใน 4 ยื่นมาที่ ป.ป.ช. หรือประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 20,000 คนเข้าชื่อและร้องมา ป.ป.ช.ถึงจะทำได้ หากไม่มีก็ทำไม่ได้ หรืออีกทางหนึ่งต้องดำเนินคดีอาญาไปจนจบเสียก่อน แล้ว ป.ป.ช.จึงจะส่งให้ สนช.ดำเนินการถอดถอนได้ แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า กรณีอาญากับกรณีถอดถอนนั้นไม่เหมือนกัน เพราะการถอดถอนในกฎหมายระบุเพียงว่า มีพฤติการณ์ส่อว่าทุจริต ส่อว่าประพฤติมิชอบ หรือร่ำรวยผิดปรกติ

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงการสนองนโยบายรัฐบาลในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันว่า ถือเป็นวาระแห่งชาติที่กองทัพบกดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ได้สั่งการว่าในทางปฏิบัติทุกขั้นตอนให้เป็นไปตามระเบียบ ถูกต้อง โปร่งใส และได้เน้นย้ำในหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) ว่าถือเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องสนองตอบให้ได้ โดย ทบ.ต้องทำเป็นตัวอย่าง เชื่อว่าทุกคนเข้าใจและทำทุกอย่างให้เรียบร้อย สุจริต ยุติธรรม ในส่วนราชการที่ทหารเข้าไปสนับสนุนก็เข้าใจว่าคงมองเรื่องดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติ.