PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วันประวัติศาสตร์......วันขึ้น 10ค่ำ เดือน10

วันประวัติศาสตร์......วันขึ้น 10ค่ำ เดือน10 เวลา10.30 น.31สค.2560
เปิด ตึกภักดีบดินทร์
ตึกที่ ก่อกำเนิด ในยุค พลเอกประยุทธ์ ในยุครัฐบาล คสช. โดยมี บิ๊กอ้อ พลเอกวิลาส อรุณศรี เลขาฯนายกฯ เป็น แม่งานหลัก ที่ทำให้ ตึกนี้เกิดขึ้น พร้อมๆกับ การ ใส่เสื้อ ให้ตึกต่างๆในทำเนียบฯ เพื่อให้เป็น สถาปัตยกรรม แบบ Neo Venetian Gothic เหมือนกันหมด เพราะทำเนียบรัฐบาล เป็นอีกหน้าตาของประเทศ
แถม บิ๊กตู่ ตั้งชื่อตึกเอง
เลยแซวกันว่า สร้างเอง และคงได้ใช้เอง ไปอีกนาน นั่นเอง

"นายกฯ"ประเดิม ถก ผบ.เหล่าทัพ "ตึกภักดีบดินทร์

"นายกฯ"ประเดิม ถก ผบ.เหล่าทัพ "ตึกภักดีบดินทร์".....คาด คุยเรื่อง การหลบหนีของ "ยิ่งลักษณ์"
"นายกฯ"ประเดิม ใช้ห้อง "ทองธารา" เรียก
บิ๊กช้าง พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกลาโหม บิ๊กปุย พลเอกสุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผบ.ทหารสูงสุด บิ๊กเจี๊ยบ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. บิ๊กณะ พลเรือเอกณะ อารีนิจ ผบ.ทร. บิ๊กจอม พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ. และ บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. หารือเป็นการส่วนตัว ราว 15 นาที หลัง เสร็จพิธีเปิด ตึกภักดีบดินทร์ ....บิ๊กเจี๊ยบ เผย คุย "เรื่องลับ"...แฮะๆๆ
แต่คาด มีคุยเรื่อง ความคืบหน้า เกี่ยวกับการหลบหนีของ "ยิ่งลักษณ์"

"นายกฯ"นำครม.-ผบ.เหล่าทัพ ทำบุญและเปิด "ตึกภักดีบดินทร์"

10-10-10‬
‪"นายกฯ"นำครม.-ผบ.เหล่าทัพ ทำบุญและเปิด "ตึกภักดีบดินทร์" ตึกใหม่ ในทำเนียบรัฐบาล ....ใช้ฤกษ์ ขึ้น10ค่ำ เดือน10 เวลา10.30น.31สค.2560‬....นายกฯตั้งชื่อ "ภักดีบดินทร์" แสดงความจงรักภักดีต่อ พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่10 ...ห้อโดยภายใน มี ห้อง"ทองธารา" เฉลิมพระเกียรติ "ร.9" และห้อง "วนาสิริ" เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

สมาชิกใหม่ แห่ง บ้านนรสิงห์..."ตึกภักดีบดินทร์"

ต้อนรับ สมาชิกใหม่ แห่ง บ้านนรสิงห์..."ตึกภักดีบดินทร์"
อาคารเรือนรับรอง"ภักดีบดินทร์" 137 ล้าน ทำเนียบรัฐบาล หลังตึกไทยคู่ฟ้า....เสร็จสมบูรณ์แล้ว ...แม้เป็นอาคารรับรอง แต่ก็เรียกว่า"ตึกภักดีบดินทร์".....นายกฯบิ๊กตู่ขอขนานนาม ตั้งชื่อเอง สะท้อนความจงรักภักดี ต่อกษัตริย์ ต่อ ร.10....ส่วนห้องรับรอง "ทองธารา" เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ส่วน ห้อง"วนาสิริ" เฉลิมพระเกียรติ พระราชินีนาถฯ....มี แก้วน้ำ "ตึกภักดีบดินทร์ " ด้วย สุดคลาสสิค
นายกฯจะ ทำบุญ พระ10รูป เปิดใช้ 31สค.60‬

'ทางนรก-ทางสวรรค์' ของพงศ์พร

เวลา "ผู้ใหญ่" ที่เราเคารพนับถือเสียชีวิต โบราณห้ามลูกหลานร้องไห้
ถ้าร้อง...........
น้ำตาจะพันแข้ง-พันขาท่านไว้ จะไปเกิดในภพภูมิใหม่ก็ไม่ได้ เพราะห่วง
"พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์" กำลังตกอยู่ในลักษณะนี้!
เมื่ออังคาร (๒๙ ส.ค.๖๐)
ครม.มีมติย้ายท่านจากตำแหน่ง "ผอ.สำนักพุทธ" ไปเป็น "ผู้ตรวจราชการสำนักนายกฯ"
"พ่อยก-แม่ยก" ตกใจ ว่าท่านกำลังปราบปลวกในดงเหลืองมีผลสัมฤทธิ์ "ตายยกรัง" เห็นๆ ประทับใจญาติโยมเหลือหลาย
แล้วทำไม "นายกฯ ลุงตู่" ใจร้าย...........
นายังไม่ทันเสร็จดี เชือดโคถึกทำลาบเลือดซะแล้ว!
ก็เอะอะ-โวยวาย "ด้วยรักและห่วงใย" พ.ต.ท.พงศ์พรกันขนานใหญ่
ไปถึงขั้นว่า..........
รัฐบาลทนแรงกดดัน "มาเฟียสงฆ์" ไม่ไหว
จำต้องให้ย้ายออกไป เพื่อลดการเผชิญหน้าระหว่าง "ปลวกเหลือง" กับ "มือปราบเงินทอน"
ตอนนี้ "พ่อยก-แม่ยก" พ.ต.ท.พงศ์พร ไปถึงขั้นล่าชื่อ เพื่อยื่นให้นายกฯ ลุงตู่ทบทวนการย้าย!
ก็ "ภูมิใจ" แทนมือปราบเงินทอนนะ อย่าว่าแต่ชาวบ้านรัก ไม่ต้องการให้ย้ายท่านเลย ผมก็ไม่อยากให้ย้าย
เห็นมติ ครม.ออกมาทีแรก ยังตกใจ
แต่พอทบทวน ก็เข้าใจ.............
เห็นเหตุผลในการย้ายตามเส้นทางราชการและตาม "ยุทธศาสตร์-ยุทธวิธี" ทหาร
เพื่อบรรลุเป้าหมายในภารกิจ
ผู้บังคับบัญชาย่อมรู้ ควรเลือกใช้คนไหน-ในกาลไหน งานจึงจะไม่ติดขัด?
ฉะนั้น พวกเรา ก็เหมือนคน "ดูหนัง-ดูละคร" ก็จินตนาการไปตามที่เห็นเฉพาะ "หน้าฉาก"
แต่หลังฉาก.........
เราก็ไม่รู้ว่า เรื่องปลวก-ด้วง-แมง ที่แทะไชพระพุทธศาสนาอยู่ในวงการคณะสงฆ์มานมนาน
เสร็จขั้นตอน "รื้อพื้นหน้า" ให้เห็นฝูงปลวกในดงเหลืองชั้นใน ว่ายุ่บยั่บอยู่ตรงไหน-ต่อตรงไหนแล้ว
ก็ถึงขั้นตอนปราบ เยียวยารักษา บูรณะ-ฟื้นฟู ให้คืนสภาพ
จะให้ พ.ต.ท.พงศ์พร เป็นทั้ง ช่างรื้อ-ช่างซ่อม-ช่างสร้าง-ช่างรักษา คนเดียวเบ็ดเสร็จ สไตล์ "วัน สตอป เซอร์วิส" คงไม่ใช่
ฉะนั้น "รอซักครู่" ดีกว่า............
คือรอดู นายกฯ ลุงตู่ จะเอาใครมา "เก็บงาน-สานต่อ" ในตำแหน่ง ผอ.สำนักพุทธ จากที่ พ.ต.ท.พงศ์พรเปิดหน้าปลวกไว้ให้
คนทั่วไป มักมอง "ตำแหน่งผู้ตรวจราชการ" เป็นตำแหน่งลอย ไม่มีงาน ไม่มีอำนาจอะไร ถูกเรียกเข้าไปเก็บกรุ
ก็มีส่วนถูก ระบบบริหารราชการงานเมือง มักเป็นเช่นนั้น แต่อย่าลืม ระบบราชการเป็นขั้นๆ จึงมีคำว่า "ไต่เต้า"
หมายถึงเติบโตขึ้นไปตามลำดับชั้นน่ะ!
พ.ต.ท.พงศ์พร นั้น ตอนอยู่ดีเอสไอ แค่ระดับ ๙ ธรรมดา
แต่ด้วย "เพชรมีค่าในตัว"..........
นายกฯ มองเห็นแสง จึงเอามาเป็น "มือปราบเงินทอน" ในขณะที่กลุ่มปลวกในวงการสงฆ์กับคนสำนักพุทธร่วมอร่อยในถังคูถ
มาเป็นผู้บริหารชั้นสูง "ระดับ ๑๐" ในตำแหน่ง ผอ.สำนักพุทธ เมื่อกุมภา ๖๐
และนั่น พ.ต.ท.พงศ์พร ก็ไม่ทำให้ทั้งนายกฯ ทั้งญาติโยม พ่อยก-แม่ยก และสงฆ์บริสุทธิ์ทั้งหลาย ต้องผิดหวัง
ภารกิจที่รัฐบาลมอบหมาย
ให้ไป "รื้อ-ล้าง" ปลวก
ไม่ได้ให้ไป "รื้อ-ล้ม" คณะสงฆ์!
๖-๗ เดือน ก็บรรลุ "การรื้อ-ล้าง" ปลวกระดับหนึ่ง ถึง พ.ต.ท.พงศ์พรย้ายไป
เรื่องฉาวคาวสงฆ์เกี่ยวกับเงินทอนที่รื้อไว้ ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะล้ม
เพราะแต่ละเรื่อง เข้าสู่กระบวนการคดีความแล้ว
หมายถึงว่า ไม่มี พ.ต.ท.พงศ์พร ก็ไม่มีปัญหา เรื่องเลยขั้นตอนสำนักพุทธ สู่คดีความ ที่ใครจะฉุดไม่ให้ไปถึงศาลไม่ได้แล้ว!
ควรต้องรู้............
สำนักพุทธเป็นหน่วยงานราชการระดับกรม ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี นายกฯ ประยุทธ์ "เป็นผู้บังคับบัญชา"
ตอนนี้ "นายออมสิน ชีวะพฤกษ์" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รับมอบหมายเป็นผู้ดูแล
ก็คงพอมองเห็น ว่าที่ย้าย พ.ต.ท.พงศ์พรไปเป็นผู้ตรวจสำนักนายกฯ นั้น ไม่ใช่ให้มาจำศีล หรือพ้นขาดงานสำนักพุทธ
พูดกันตรงๆ..........
ว่าที่ระดับ ๑๑ ขึ้นมาคุม "ผอ.สำนักพุทธ" ซึ่งแค่ระดับ ๑๐ อีกชั้นด้วยซ้ำ!
ในมุมมองผม ผิด-ถูกไม่รู้นะ
ด้วยศิลปบริหาร การย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร ตอนนี้ ถือว่าถูกกาล-ถูกเวลา
ต้องไม่ลืม ผอ.สำนักพุทธ ในที่นี้ หมายถึง พ.ต.ท.พงศ์พร มีหน้าที่เป็น "เลขาธิการมหาเถรสมาคม" ด้วย
แต่ทีนี้ คงทราบ...........
ที่ผ่านมา "ด้วง-ปลวก-แมลง" กัดแทะคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา ไม่มีเพียงเดียรถีย์-อลัชชี ระดับล่างๆ เท่านั้น
ระดับใหญ่ "เป็นลูกพี่คุม" ก็เยอะ!
ยิ่ง พ.ต.ท.พงศ์พร รื้อให้เห็นรังปลวกในระบบเงินทอน เผยหน้า-จาระไนชื่อ-สมณศักดิ์-วัดวา ออกมา
อื้อฮือ.............
เสาหลักคณะสงฆ์ "หลายเสา"....คือตัวการ!
ถ้าติดตามข่าว จะพบว่า การประชุมมหาเถรฯ หลายครั้ง เลขาฯ คือ พ.ต.ท.พงศ์พร ไม่ได้เข้าไปทำหน้าที่
คือ ครม.สงฆ์ประชุม............
แต่เลขาฯ ครม.ไม่เข้าทำหน้าที่ ด้วยเข้าหน้ากันไม่สนิท ประสานงาน กลายเป็นประสานงา
เพราะรัฐมนตรี "หลายคน" ใน ครม.นั้น
โยงใยอยู่ใน "กลุ่มปลวก" เงินทอน!?
ไปดูรายชื่อคณะกรรมการมหาเถรสมาคม แล้วเทียบกับรายชื่อที่ตกเป็นข่าวพัวพันแก๊งเงินทอนดูก็ได้
ว่ารูปไหน-วัดไหน............
และบางราย โกรธแค้น ถึงขั้นประกาศ "คว่ำบาตร" พ.ต.ท.พงศ์พรก็มี!
ยังไม่ต้องพูดถึง "บริวารปลวก" ที่เคลื่อนไหวขับไล่ ยื่นเงื่อนไขให้นายกฯ ย้าย ผอ.สำนักพุทธคนนี้ออกไป
ในเมื่อเลขาฯ ครม.กับรัฐมนตรีหลายคน "ทำงานร่วมกันไม่ได้" ดังกล่าว ปล่อยไปอย่างนั้น จะเสียหายในทางบริหารราชการงานเมือง
ถ้าเป็น ครม.อาณาจักร ........
นายกฯ ต้องแก้ปัญหา คือต้องตัดสินใจเลือกเอาว่า
จะเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี หรือจะเปลี่ยนตัวเลขาฯ เพื่อระงับปัญหา เรื่องส่วนตัวทำลายเรื่องส่วนรวม?
แต่นี่เป็น ครม.พุทธจักร.............
ทั้งกฎหมาย ทั้งธรรมเนียมปฏิบัติ "รัฐมนตรีสงฆ์" เป็นเรื่องของสงฆ์ รัฐบาลจะไปยุ่มย่ามนอกกรอบ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ไม่ได้
โบราณก็บอกแล้ว "ชั่วช่างชี-ดีช่างสงฆ์"
ดังนั้น ส่วนที่ฝ่ายรัฐบาลจะยุ่งได้ คือ "ตัว ผอ.สำนักพุทธ" ที่เป็นเลขาฯ "ครม.สงฆ์" นั่นแหละ
ถ้าผมเป็น ผอ.พงศ์พร ผมก็อยากย้ายเหมือนกัน!
มีหน้าที่ทำงานกับพระ ...........
แต่บางพระเป็นเสียเอง นำไปสู่ความ "ไม่ชอบหน้า" ถึงขั้นงานการสะดุด
ในเมื่อสวรรค์ไปทางไหน นรกไปทางไหน ต่างรู้ทางไปด้วยกัน แต่เมื่อเดินไปทางเดียวกันไม่ได้
"หลีกทาง" ให้พระคุณเจ้าดีกว่า!
ไปเป็นผู้ตรวจฯ คอยไปตรวจงานสำนักพุทธ ผ่าน ผอ.คนใหม่ ดีซะอีก จะได้........
"ได้หมด ถ้าสดชื่น" ทั้ง ๓ ฝ่าย!
คือฝ่ายข้าราชการสำนักพุทธ, ฝ่ายคณะสงฆ์ และฝ่ายบ้านเมือง
นี่...ผมก็ว่าไปตามมุมมองผม ส่วนจะ ใช่-ไม่ใช่ ก็ตรองกันเอง
รู้จักคำว่า "กินตัว" ใช่มั้ย?
เรื่องศาสนา เรื่องพระสงฆ์องคเจ้า ก็ประมาณนั้น
เมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็ต้องปล่อยตามระยะ ให้การกระทำ "กินตัว" ไปเอง!
ตบท้าย เลียนแบบ "ท่านขุนน้อย" ซะหน่อย
"มงแต็สกีเยอ" กล่าวว่า...........
"ไม่มีความเลวร้ายใด ที่จะยิ่งไปกว่าความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายหรือในนามของกระบวนการยุติธรรม"
"แม้วแต๊สกีเยอ" กล่าวว่า......
"ไม่มีความเลวร้ายใดที่จะยิ่งไปกว่าความเลวร้ายที่นายกฯ เลือกตั้งกระทำโดยอาศัยอำนาจรัฐบาลประชาธิปไตย 'โกงเอาไปแบ่งกัน' ".

อย่าลืมความน่าเชื่อถือ

อย่าลืมความน่าเชื่อถือ

จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ขณะนี้ ถ้ามีโพลถามความเห็นประชาชน เชื่อหรือไม่ว่ารัฐบาลไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการหนีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คนส่วนใหญ่คงจะตอบว่า “ไม่เชื่อ” แม้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงจะยืนยันไม่รู้ไม่เห็น และนายกรัฐมนตรีตอบคำถามของสื่อว่า “ใครจะไปปล่อย จะปล่อยได้ยังไง ทำไมคิดแบบนี้ ไม่มีใครเขาบ้าทำ”

เหตุผลสำคัญที่ทำให้คนไม่เชื่อว่าอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงจะสามารถหนีไปได้ เนื่องจากนับแต่วันที่ศาลฎีกาฯรับฟ้องคดี ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกกล่าวหาปล่อยปละละเลยโครงการรับจำนำข้าว และถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนๆ จะมีทั้งทหารและตำรวจติดตาม ทั้งในและนอก เครื่องแบบ แต่จะปล่อยหละหลวมให้คลาดสายตาในช่วงสำคัญได้อย่างไร

ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองส่วนใหญ่เชื่อว่า การหลบหนีออกนอกประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก่อนที่ศาลจะอ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม จะเป็นผลดีต่อทุกฝ่ายในทางการเมือง ผู้หลบหนีไม่ต้องเสี่ยงติดคุก ขณะเดียวกันรัฐบาล คสช.ก็ได้ประโยชน์ไม่ต้องถูกมวลชนกลุ่มเสื้อแดงกดดันหรือก่อความวุ่นวาย หากจำเลยถูกพิพากษาว่าทำผิด จริงตามฟ้อง และถูกจำคุก

ในทางการเมือง เชื่อกันว่าการหนีศาลของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงจะทำให้พรรคเพื่อไทยอ่อนแอลงมาก ขณะเดียวกันพลังทางการเมืองของ คสช.จะเข้มข้นยิ่งขึ้น เป็นผลดีต่อการต่อสู้ทางการเมืองในวันหน้า ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์จะขาดความเชื่อถือศรัทธา แม้แต่ในกลุ่มผู้สนับสนุนที่เคยยกย่องเป็นวีรสตรีนักต่อสู้ประชาธิปไตย เทียบได้กับอองซาน ซูจีของพม่า

แต่ในที่สุด อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก และคนเดียวของประเทศไทย ก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัว หนีคดีไปต่างประเทศ ปล่อยให้อดีตรัฐมนตรี 2 นาย ถูกศาลพิพากษาให้จำคุก คนละ 36 และ 42 ปี ในความผิดเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้เป็นพี่ชายเป็นนโยบายที่อ้างว่าไม่อาจเลิกหรือปรับเปลี่ยน

แต่รัฐบาลก็อาจได้รับผลกระทบ ไม่มากก็น้อย เสี่ยงต่อการขาดความเชื่อถือของประชาชนบางส่วนที่อาจไม่เชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์หนีไปได้ด้วยตัวเอง ความเชื่อถือของประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารประเทศของรัฐบาล เคยมีตัวอย่างสหรัฐอเมริกาที่ต้องแพ้สงครามเวียดนาม สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้แพ้ เพราะประชาชนขาด ความเชื่อถือรัฐบาล

รัฐบาลมีอำนาจหน้าที่สำคัญ คือการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการเลือกปฏิบัติเพราะเหตุใดๆ นายกรัฐมนตรีย้ำอย่างหนักแน่นและต่อเนื่องให้คนไทยเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย และประกาศว่ารัฐบาลทำทุกอย่างตามกฎหมาย จึงต้องไม่เกิดความสงสัยเกี่ยวกับความสงสัยในคดีสำคัญ และจำเลยสำคัญระดับอดีตนายกรัฐมนตรี.

รีบเคลมเกมเข้าทาง

รีบเคลมเกมเข้าทาง

“ประทัด” ดอกแรกถูกโยนออกมาท่ามกลางความเงียบ

ล่าสุดอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ทวีตข้อความยกคำพูดของ “มงแต็สกีเยอ” นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส

“ไม่มีความเลวร้ายใดที่จะยิ่งไปกว่าความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายหรือในนามของกระบวนการยุติธรรม”

เป็นรหัสให้แปรความหมายเป็นนัย โยงกับปรากฏการณ์ที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กำลัง “ล่องหน” หลังไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหายในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว จนถูกศาลฯออกหมายจับประทับตราผู้ต้องหาหนีคดีซ้ำรอยพี่ชาย

ตามเหลี่ยม “นายใหญ่” ต้องขยับยื้อความชอบธรรมให้น้องสาวไว้ก่อน

อีกทางหนึ่งก็ต้องขยับประคองกระแสหลังอาฟเตอร์ช็อก “ปูล่องหน” ล่าสุดพรรคเพื่อไทยรีบชิงออกแถลงการณ์เรื่อง “การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยใน อนาคต” หลังอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่มาปรากฏตัวต่อศาลเพื่อฟังคำพิพากษาในคดีจำนำข้าว

โดยยืนยันจะยังคงดำรงความเป็นพรรคการเมืองเพื่อประชาชน ที่จะสร้างความเข้มแข็ง และโอกาสในชีวิตให้แก่ประชาชนต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ อุดมการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง แสดงพลังความพร้อมในการขับเคลื่อนต่อไป

ท่ามกลางเครื่องหมายคำถามถึงการยกเครื่องใหญ่ จุดเปลี่ยนของพรรคเพื่อไทย

ตระกูล “ชินวัตร” จะยังยื้อระบบบริหารแบบ “บริษัทจำกัด” ไว้หรือไม่ แล้วจะกล้า ส่งใครมาเป็นเหยื่อชะตากรรมย่ำรอย “ทักษิณ–ยิ่งลักษณ์”

“เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ จะลุ้นสามีอย่างนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ปลดเปลื้องพันธนาการทางคดี มีคุณสมบัติที่จะลงสนามเลือกตั้ง ไปแก้ตัวในสถานะนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้เข้าทำเนียบฯหรือไม่

ยี่ห้อ “ทักษิณ” อยู่ในภาวะเสียอาการทรงตัวอย่างแรง

ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่หักมุมกันเลยกับอาการคึกคักของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ที่ประกาศดังๆ วันนี้ทุกอย่างกำลังไปด้วยดี เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเขียวทั้งกระดาน เป็นยังไงบ้าง เคยมีบ้างไหม อยากให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ตลอดไป
ในอารมณ์ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ชี้เลยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับตัวขึ้นอย่างมากในช่วง 2 วันที่ผ่านมา เนื่องมาจากนักลงทุนต่างชาติมองเห็นว่าโมเมนตัมทางเศรษฐกิจของไทยล่าสุดได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย มีเสถียรภาพมากขึ้น จากเดิมที่มีความกังวลว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้น แต่ขณะนี้เมฆหมอกก็เริ่มกระจายตัวแล้ว

ตามแนวโน้มสัญญาณเชิงบวกทางเศรษฐกิจที่ออกมาต่อเนื่อง จากที่คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ของปี 2560 ขยายตัว 3.7 เปอร์เซ็นต์ สูงสุดในรอบ 17 ไตรมาส ขณะที่สถานการณ์ส่งออกเดือนกรกฎาคม โตร้อยละ 10.5 ขยายตัวร้อยละ 8.2 ในรอบ 7 เดือน สูงสุดในรอบ 6 ปี ตลาดหุ้นบวกทะลุ 1,600 จุด

สะท้อนว่านักลงทุนประเมินการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดี

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่รัฐบาล คสช.รีบตีธงเดินหน้ายุทธศาสตร์ลดความเหลื่อมล้ำ ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการ “ประชารัฐสวัสดิการ” ให้ความช่วยเหลือผ่าน “บัตร สวัสดิการแห่งรัฐ” ตามที่กระทรวงการคลังเสนอวงเงินเริ่มต้น 41,940 ล้านบาท

ครอบคลุมผู้มีรายได้น้อยกว่า 11.6 ล้านคน

เป้าหมายเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ทั้งค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อการเกษตรจากร้านค้าประชารัฐ และร้านอื่นๆที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด อีกส่วนช่วยลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง ได้แก่ รถเมล์ รถไฟฟ้า รถโดยสาร บขส.และรถไฟ

โดยเริ่มแจกจ่ายบัตรได้ในวันที่ 21 กันยายน เพื่อให้ทันใช้บัตรได้ในวันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป

ในจังหวะตีเหล็กกำลังร้อน เหลี่ยมการตลาดที่เปิดตัวได้แรง รัฐบาล คสช.ชิงกระตุกกระแสประชารัฐสวัสดิการซื้อใจประชาชนฐานราก

ตามรูปการณ์ที่เห็น “ยิ่งลักษณ์” ล่องหน แนวรบด้าน “ทักษิณ” แผ่วเบา

เป็นบวกกับ คสช.ในระยะยาว ค่อนข้างชัดเจน.

ทีมข่าวการเมือง