PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ศาลห้าม”สนธิ ลิ้ม”ขึ้นเวทีชุมนุม หวั่นยั่วยุ ผิดเงื่อนไขปล่อยตัวชั่วคราว !!

นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรฯ จำเลย ในคดีร่วมกันก่อการร้าย กรณีปิดสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง รวมถึงคดีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งศาลมีเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวอยู่ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ขอลดจำนวนหลักประกันปล่อยชั่วคราว /ขออนุญาตเดินทางออกไปต่างประเทศ โดยไม่ต้องขออนุญาตในแต่ละครั้งและไม่ต้องวางหลักประกันเพิ่ม

นอกจากนี้นายสนธิยังขออนุญาตศาลขึ้นเวทีปราศรัยเพื่อชี้นำทางความคิดให้มีการปฏิรูปทางการเมืองและเพื่อก้าวให้พ้นระบอบทักษิณทั้งนี้ศาลพิเคราะห์คำร้องแล้วเห็นว่าที่จำเลยขอให้ศาลลดหลักประกันและเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่ต้องขออนุญาตนั้น การกำหนดเงื่อนไขปล่อยชั่วคราวตามสัญญาประกัน ศาลได้พิจารณาโดยชอบตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108

ข้ออ้างของนายสนธิไม่มีเหตุผลเพียงพอให้ศาลเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในการปล่อยชั่วคราวตามคำสั่งเดิมส่วนที่นายสนธิ จำเลยขอขึ้นเวทีปราศรัยนั้นเห็นว่าการกระทำการใดอันมีลักษณะยั่วยุ ปลุกปั่นปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดภัยอันตรายใดๆ กระทบต่อความเสียหายความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดเพื่อให้ประขาชนล่วงละเมิดกฏหมายแผ่นดิน อันเป็นการผิดเงื่อนไขในการปล่อยชั่วคราว จึงให้ยกคำร้อง

"หลวงปู่พุทธอิสระ" ประกาศนำม็อบต้านระบอบทักษิณเอง

"หลวงปู่พุทธอิสระ" ประกาศนำม็อบต้านระบอบทักษิณเอง พร้อมนัดปฏิบัติภารกิจ 29 พ.ย.นี้ ท้าตำรวจออกหมายจับได้ มั่นใจ 30 พ.ย.จบแน่ !!

เมื่อเวลา 19.00 น. 28 พ.ย. 2556 เวทีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ทีมผู้ประสานงานเวทีการชุมนุมได้ประกาศเปิดเวทีปราศรัยใหญ่บริเวณถนนและลานจอดรถยนต์ด้านหน้าศูนย์ราชการ จากนั้นผู้ชุมนุมที่นั่งปักหลักฟังการปราศรัยอยู่ด้านหน้าเวทีชั่วคราวจึงได้เก็บสัมภาระย้ายมานั่งฟังการปราศรัยหน้าเวทีใหญ่ ต่อมาหลวงปู่พุทธอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ขึ้นเวทีนำสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อผู้ชุมนุมขับไล่ระบอบทักษิณ

หลังจากนั้นหลวงปู่พุทธอิสระได้แสดงธรรมโดยได้กล่าวย้ำหลายครั้งว่า มีส่วนกระทำผิดกฎหมายร่วมกับแกนนำเพราะได้ร่วมปลุกระดมให้ประชาชนร่วมกันเดินขบวนไปปิดล้อมสถานที่ราชการ จึงเข้าองค์ประกอบความผิดที่ตำรวจออกหมายจับ นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ส.ส.ฝ่ายค้านลาออกจากตำแหน่ง

"คืนวันที่ 29 พ.ย. ขอให้ประชาชนออกมาชุมนุมกันให้มากๆ และขอให้เตรียมพร้อมปฏิบัติภารกิจซึ่งอาตมาจะเป็นแกนนำด้วยตัวเอง โดยมั่นใจว่าจะจบภายในวันเสาร์ที่ 30 พ.ย." หลวงปู่พุทธอิสระ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเวทีปราศรัยใหญ่หน้าศูนย์ราชการ เป็นเวทีขนาดใหญ่โดย 2 ฝั่งด้านซ้ายและขวาของเวที มีรถบรรทุกติดตั้งจอดิจิตอลขนาดใหญ่ มาถ่ายทอดภาพจากเวทีปราศรัยใหญ่เพื่อให้ผู้ชุมนุมมองเห็นจากระยะไกล


ชูิวิทย์ : จดหมายถึงคุณสุเทพที่เคารพ

รูปภาพ : จดหมายถึงคุณสุเทพที่เคารพ

ผมเข้าใจดีว่า ขณะนี้คุณสุเทพเหนื่อย การเมืองข้างถนนไม่เหมือนในสภาฯ ที่มีอาหารการกินเพรียบพร้อม แอร์เย็นฉ่ำ ออกจากห้องประชุมก็มานั่งกินกาแฟพูดคุยกับเพื่อนสมาชิก เหมือนกับอยู่ในสโมสรหรูตามสนามกอล์ฟ

ส่วนที่ม็อบ คุณสุเทพต้องขึ้นเวที พูดเอาใจกองเชียร์เพื่อเรียกให้คนมาร่วมชุมนุมมากๆ อาหารการกินต้องหาเอาเอง ไหนจะต้องจัดโปรแกรม ดนตรี ความบันเทิงต่างๆ แม้จะมอบหมายให้คนอื่นทำแทนได้ แต่ตัวหลักคือคุณสุเทพทั้งนั้น ไหนจะค่าใช้จ่ายอีก จิปาถะบานเบอะ ล้วนต้องมีเจ้าภาพ ถึงเงินบริจาคจะมีแต่คงไม่เพียงพอ

คุณสุเทพคงรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะมีแค่อดีต ส.ส. อีก 8 ท่าน ที่ร่วมก๊วนกอดคอ ลาออกมาต่อสู้ ที่เหลือล้วนตัดสินใจอยู่ในสภาฯต่อ วันหนึ่งคุณสุเทพอาจจะท้อ เพราะการล้มระบอบทักษิณในระยะเวลาสั้นๆไม่ใช่เรื่องง่าย หาก 30 พฤศจิกายนนี้ยังล้มไม่สำเร็จ ก็ไม่มีใครไปต่อว่าต่อขานคุณสุเทพหรอกครับ หลังวันที่ 5 ธันวา คุณสุเทพยังสามารถเรียกยกระดับชุมนุมใหญ่เป็นครั้งๆต่อไปได้อีก เพราะต้องหล่อเลี้ยงกระแสเอาไว้

ส่วนรัฐบาล ไม่มีใครกล้าไปสลายการชุมนุมแน่นอน คงปล่อยให้คุณสุเทพทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เหมือนช่วงที่เสื้อแดงปิดราชประสงค์จนคนเบื่อ เศรษฐกิจการค้าดิ่งเหว สูญรายได้การท่องเที่ยว ประเทศอื่นไม่อยากให้ประชาชนเดินทางมาเมืองไทย เพราะอาจเกิดเหตุการณ์รุนแรง

ขณะนี้คุณสุเทพมีหมายจับ แต่ไม่ต้องห่วง ตำรวจคงไม่กล้าทะเล่อทะล่าเข้าไปจับ ตำรวจไทยเป็นพวก "รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง" ถึงแม้คุณสุเทพจะถูกจับ ศาลก็ให้ประกันตัว แต่คงตั้งเงื่อนไข ไม่ให้ขึ้นเวทียุยงปลุกปั่น รวมทั้งไม่ให้เดินทางไปต่างประเทศ เช่นเดียวกับแกนนำคนอื่นๆที่ผ่านมา

สภาพของคุณสุเทพตอนนี้คงไม่ต่างกับคุณสนธิเมื่อปี 50-51 เสียงตบมือโห่ร้องด้วยความชื่นชมต่อตัวคุณสนธิในขณะนั้น เช่นเดียวกับมวลมหาประชาชนที่ตบมือเรียกร้องคุณสุเทพในขณะนี้ ยังไงอย่างงั้น คุณสุเทพต้องเข้าใจว่า การเล่นกับกระแสเหมือนกับน้ำทะเล มันมีขึ้นมีลง หลายสิ่งหลายอย่างแม้ว่าจะทำไม่ได้ แต่เมื่อเราเป็นแกนนำ จำต้องรับปากเพื่อหล่อเลี้ยงกระแสเอาไว้ 

คุณสุเทพจำได้ไหมว่า? ครั้งหนึ่ง ขนาดเคยมีม็อบไปยึดทำเนียบฯ รัฐบาลคุณสมชายยังไม่ยอมลาออก

อีกครั้ง ม็อบไปยึด 4 แยกราชประสงค์ ธุรกิจการค้าเสียหาย มีการเผาบ้านเผาเมือง ในสมัยที่คุณสุเทพเป็นรัฐบาลเองเสียด้วยซ้ำ รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ก็ยังไม่ยอมลาออกเช่นกัน

แต่ละรัฐบาลยืนกราน "หัวชนฝา" ว่าไม่ออก เพราะผลประโยชน์มากมายมหาศาลอำนาจล้นฟ้า

ผมขออวยพรให้คุณสุเทพประสบความสำเร็จ นำพาประเทศชาติไปตลอดรอดฝั่ง ปฏิรูปการเมืองได้สมตามปรารถนา ถึงแม้ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีการของคุณสุเทพ แต่ผมเข้าใจและขอเป็นกำลังใจให้ ผมในฐานะฝ่ายค้าน ร่วมกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ จะดำเนินการต่อสู้ในสภาฯต่อไป ผมได้เชิญชวนให้พรรคประชาธิปัตย์ลาออกไปร่วมกับคุณสุเทพ แต่พวกเขาตัดสินใจไม่ลาออก ผมจึงต้องตามเขา อยู่เฝ้าสภาฯเช่นเดิม เพราะจำนวน ส.ส. ของผมมีเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับพรรคประชาธิปัตย์ 

ส่วนเสื้อแดงไม่ต้องเป็นห่วง ทุกวันนี้เป็นเป็ดหงอยอยู่ในสนามกีฬาราชมังคลา ไม่กล้าออกมาเพราะกลัวรัฐบาลมีปัญหา ได้แต่เย้วๆกันอยู่ในถ้ำ ดูแล้วไร้อารมณ์

ปล. ผมพบชาวบ้านเขาบอกว่า ที่มาร่วมชุมนุมไม่ใช่เพราะพรรคประชาธิปัตย์ แต่มาร่วมเพราะต้องการล้มระบอบทักษิณ ผมเข้าใจ เพราะเขายังบอกต่ออีกว่า หากจัดการกับระบอบทักษิณเสร็จแล้ว ค่อยมาจัดการกับคุณสุเทพทีหลัง 

ผมฟังแล้วได้แต่อึ้ง ว่าเดี๋ยวนี้ประชาชนฉลาดกว่านักการเมืองเสียอีก

ผมเข้าใจดีว่า ขณะนี้คุณสุเทพเหนื่อย การเมืองข้างถนนไม่เหมือนในสภาฯ ที่มีอาหารการกินเพรียบพร้อม แอร์เย็นฉ่ำ ออกจากห้องประชุมก็มานั่งกินกาแฟพูดคุยกับเพื่อนสมาชิก เหมือนกับอยู่ในสโมสรหรูตามสนามกอล์ฟ

ส่วนที่ม็อบ คุณสุเทพต้องขึ้นเวที พูดเอาใจกองเชียร์เพื่อเรียกให้คนมาร่วมชุมนุมมากๆ อาหารการกินต้องหาเอาเอง ไหนจะต้องจัดโปรแกรม ดนตรี ความบันเทิงต่างๆ แม้จะมอบหมายให้คนอื่นทำแทนได้ แต่ตัวหลักคือคุณสุเทพทั้งนั้น ไหนจะค่าใช้จ่ายอีก จิปาถะบานเบอะ ล้วนต้องมีเจ้าภาพ ถึงเงินบริจาคจะมีแต่คงไม่เพียงพอ

คุณสุเทพคงรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะมีแค่อดีต ส.ส. อีก 8 ท่าน ที่ร่วมก๊วนกอดคอ ลาออกมาต่อสู้ ที่เหลือล้วนตัดสินใจอยู่ในสภาฯต่อ วันหนึ่งคุณสุเทพอาจจะท้อ เพราะการล้มระบอบทักษิณในระยะเวลาสั้นๆไม่ใช่เรื่องง่าย หาก 30 พฤศจิกายนนี้ยังล้มไม่สำเร็จ ก็ไม่มีใครไปต่อว่าต่อขานคุณสุเทพหรอกครับ หลังวันที่ 5 ธันวา คุณสุเทพยังสามารถเรียกยกระดับชุมนุมใหญ่เป็นครั้งๆต่อไปได้อีก เพราะต้องหล่อเลี้ยงกระแสเอาไว้

ส่วนรัฐบาล ไม่มีใครกล้าไปสลายการชุมนุมแน่นอน คงปล่อยให้คุณสุเทพทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เหมือนช่วงที่เสื้อแดงปิดราชประสงค์จนคนเบื่อ เศรษฐกิจการค้าดิ่งเหว สูญรายได้การท่องเที่ยว ประเทศอื่นไม่อยากให้ประชาชนเดินทางมาเมืองไทย เพราะอาจเกิดเหตุการณ์รุนแรง

ขณะนี้คุณสุเทพมีหมายจับ แต่ไม่ต้องห่วง ตำรวจคงไม่กล้าทะเล่อทะล่าเข้าไปจับ ตำรวจไทยเป็นพวก "รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง" ถึงแม้คุณสุเทพจะถูกจับ ศาลก็ให้ประกันตัว แต่คงตั้งเงื่อนไข ไม่ให้ขึ้นเวทียุยงปลุกปั่น รวมทั้งไม่ให้เดินทางไปต่างประเทศ เช่นเดียวกับแกนนำคนอื่นๆที่ผ่านมา

สภาพของคุณสุเทพตอนนี้คงไม่ต่างกับคุณสนธิเมื่อปี 50-51 เสียงตบมือโห่ร้องด้วยความชื่นชมต่อตัวคุณสนธิในขณะนั้น เช่นเดียวกับมวลมหาประชาชนที่ตบมือเรียกร้องคุณสุเทพในขณะนี้ ยังไงอย่างงั้น คุณสุเทพต้องเข้าใจว่า การเล่นกับกระแสเหมือนกับน้ำทะเล มันมีขึ้นมีลง หลายสิ่งหลายอย่างแม้ว่าจะทำไม่ได้ แต่เมื่อเราเป็นแกนนำ จำต้องรับปากเพื่อหล่อเลี้ยงกระแสเอาไว้

คุณสุเทพจำได้ไหมว่า? ครั้งหนึ่ง ขนาดเคยมีม็อบไปยึดทำเนียบฯ รัฐบาลคุณสมชายยังไม่ยอมลาออก

อีกครั้ง ม็อบไปยึด 4 แยกราชประสงค์ ธุรกิจการค้าเสียหาย มีการเผาบ้านเผาเมือง ในสมัยที่คุณสุเทพเป็นรัฐบาลเองเสียด้วยซ้ำ รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ก็ยังไม่ยอมลาออกเช่นกัน

แต่ละรัฐบาลยืนกราน "หัวชนฝา" ว่าไม่ออก เพราะผลประโยชน์มากมายมหาศาลอำนาจล้นฟ้า

ผมขออวยพรให้คุณสุเทพประสบความสำเร็จ นำพาประเทศชาติไปตลอดรอดฝั่ง ปฏิรูปการเมืองได้สมตามปรารถนา ถึงแม้ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีการของคุณสุเทพ แต่ผมเข้าใจและขอเป็นกำลังใจให้ ผมในฐานะฝ่ายค้าน ร่วมกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ จะดำเนินการต่อสู้ในสภาฯต่อไป ผมได้เชิญชวนให้พรรคประชาธิปัตย์ลาออกไปร่วมกับคุณสุเทพ แต่พวกเขาตัดสินใจไม่ลาออก ผมจึงต้องตามเขา อยู่เฝ้าสภาฯเช่นเดิม เพราะจำนวน ส.ส. ของผมมีเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับพรรคประชาธิปัตย์

ส่วนเสื้อแดงไม่ต้องเป็นห่วง ทุกวันนี้เป็นเป็ดหงอยอยู่ในสนามกีฬาราชมังคลา ไม่กล้าออกมาเพราะกลัวรัฐบาลมีปัญหา ได้แต่เย้วๆกันอยู่ในถ้ำ ดูแล้วไร้อารมณ์

ปล. ผมพบชาวบ้านเขาบอกว่า ที่มาร่วมชุมนุมไม่ใช่เพราะพรรคประชาธิปัตย์ แต่มาร่วมเพราะต้องการล้มระบอบทักษิณ ผมเข้าใจ เพราะเขายังบอกต่ออีกว่า หากจัดการกับระบอบทักษิณเสร็จแล้ว ค่อยมาจัดการกับคุณสุเทพทีหลัง

ผมฟังแล้วได้แต่อึ้ง ว่าเดี๋ยวนี้ประชาชนฉลาดกว่านักการเมืองเสียอีก

ป.ป.ช.แจงถูกหาเที่ยวญี่ปุ่นคดีถอดถอนนักการเมืองช้า


 


สำนักงาน ป.ป.ช. ขอชี้แจงกรณีเรื่องกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการฯ และกรณีร้องขอให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
 
 
ป.ป.ช. ดำเนินงานอย่างเป็นธรรม ตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม กรณีเรื่องกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการฯ และกรณีร้องขอให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 
 
 
ตามที่ปรากฏข่าวสารผ่านสื่อมวลชน และสื่อสังคมออนไลน์ วิพากษ์การทำงานของ ป.ป.ช. ด้วยความคิดเห็นที่แตกต่างกัน 2 ฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งวิพากษ์ว่า ป.ป.ช. เร่งรีบอย่างผิดปกติในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการให้ ป.ป.ช. เร่งรัดการดำเนินการโดยเร็วที่สุด โดยอ้างว่ามีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจนอยู่แล้ว จึงวิพากษ์ว่า ป.ป.ช. มีเจตนาดำเนินการล่าช้าและมีการให้ข้อมูลสาธารณะที่ไม่ถูกต้อง เช่น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยกคณะไปเที่ยวต่างประเทศ นั้น
 
สำนักงาน ป.ป.ช.ขอชี้แจงว่า
 
 
1. กรณีมีข้อวิพากษ์ว่า ป.ป.ช. เร่งรีบดำเนินการเรื่องการกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการฯ และกรณีร้องขอให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มีข้อเท็จจริง ดังนี้ 
 
สืบเนื่องจากเดิมที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยได้รับเรื่องกล่าวหาร้องเรียนขอให้ดำเนินคดีอาญาและเรื่องการยื่นคำร้องให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งที่เกี่ยวข้องจำนวน 5 เรื่องมาก่อนแล้ว โดยกรณีเรื่องถอดถอนฯ จำนวน 3 เรื่องได้มีการแต่งตั้งศาสตราจารย์ ดร.ภักดี  โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนแล้ว 
 
ต่อมาเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยและคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติให้รวมทั้ง 5 เรื่องเข้าด้วยกัน โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะ เป็นองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริง และมอบหมายศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ นายใจเด็ด พรไชยา และศาสตราจารย์ ดร.ภักดี  โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวน 
 
ทั้งนี้ การดำเนินงานของ ป.ป.ช. ต้องเป็นไปด้วยความถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการไต่สวนข้อเท็จจริงอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
 
 2. กรณีมีข้อวิพากษ์ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ในช่วงที่ต้องมาพิจารณาเรื่องดังกล่าว มีข้อเท็จจริง ดังนี้
 
1) การเดินทางไปราชการประเทศญี่ปุ่นเป็นการเข้าร่วมการฝึกอบรมที่ United Nations Asia and Far East Institute for the Prevention of Crime and the Treatment of Offenders (UNAFEI) ระหว่างวันที่ 16-23 พฤศจิกายน 2556 เพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้เกี่ยวกับการไต่สวน การติดตามทรัพย์สินคืน และวิธีพิจารณาคดีให้แก่ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด โดยมีกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 2 ท่าน ร่วมเดินทางไปด้วย
 
 
 
2) การเดินทางไปประชุมการต่อต้านการทุจริตในภาครัฐแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย ครั้งที่ 4 (Australian Public Sector Anti-Corruption Conference 2013 : APSACC 2013) ระหว่างวันที่ 26-29 พฤศจิกายน 2556 โดยมีกรรมการ ป.ป.ช. 1 ท่าน เดินทางไปชี้แจงต่อนานาประเทศเกี่ยวกับกลไกการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตของประเทศไทย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของไทยที่จะแก้ไขปัญหาการทุจริตให้เป็นไปตามพันธกรณีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต สมัยที่ 5
ทั้งนี้ การเดินทางไปราชการต่างประเทศข้างต้นเป็นไปตามความจำเป็นตามพันธกรณีและภารกิจที่มีการกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนกรรมการ ป.ป.ช. ท่านอื่นๆ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และมีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามปกติอย่างต่อเนื่องโดยตลอ

สหภาพการบินไทย ร่อนหนังสือให้ลูกจ้างลางานร่วมม็อบได้ !!

วันนี้(28 พ.ย.) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย ได้มีแถลงการณ์ ลงวันที่ 28 พ.ย. ระบุว่า ด้วยเป็นที่ปรากฏชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลได้ออกประกาศนิรโทษกรรมบุคคลที่มีความผิดตามคำพิพากษา โกงชาติ เผาเมือง แก้รัฐธรรมนูญ ทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม

แม้เมื่อมีคำพิพากษาจากศาลแล้วก็ยังประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ รัฐบาลที่ประกอบไปด้วยนักการเมืองที่ไม่เคารพอำนาจศาล จึงหมดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศต่อไป ขณะนี้ประชาชนผู้รักความเป็นธรรมทุกสาขาอาชีพได้ออกมาแสดงพลังความเป็นเจ้าของประเทศกันทั่วทุกสารทิศ ถึงเวลาแล้วที่พนักงานรัฐวิสาหกิจทุกคนจะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชนผู้เป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจที่แท้จริง ด้วยการร่วมปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 71

สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย ขอแจ้งให้สมาชิกสหภาพฯ ทราบถึงสิทธิตามระเบียบฯและกฎหมาย เพื่อร่วมแสดงออกถึงความรักชาติ ต่อต้านการเมืองเลว เดินหน้าปฎิรูปประเทศไทย ปฏิรูปรัฐวิสาหกิจไทย และปฏิรูปบริษัท การบินไทย อันเป็นที่รักของเราให้ปลอดจากการตกเป็นทาสของการเมืองเลว

โดยสามารถใช้สิทธิการลาทุกประเภท หากเป็นการลาป่วยสามารถลาได้ 2 วันติดต่อกันโดยไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ และมีสิทธิลาพักร้อนได้ตามระเบียบบริษัท ซึ่งการลาพักร้อนจะเป็นการช่วยบริษัทลดค่าใช้จ่าย VACATION COMPENSATIONด้วย

( @ MThai News )


คำต่อคำ : สุเทพ เทือกสุบรรณ 28 พ.ย 56

คำต่อคำ : สุเทพ เทือกสุบรรณ 28 พ.ย 56 ‪#‎เวทีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ‬

เวลา 21.00 น.นายสุเทพขึ้นแถลงบนเวทีถาวรศูนย์ราชการว่ากำลังจะถึงเวลาปิดเกมส์ต่อสู้ภายใน2วัน ซึ่งหากปฏิบัติการสำเร็จก็จะมีสภาประชาชนเกิดขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อกำจัดระบอบทักษิณให้หมดไปจากแผ่นดินไทยเสียก่อน ทั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนคนร่วมปฏิบัติการหากออกมาเป็นล้านเชื่อว่าจะชนะ โดยครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในประเทศที่มีพระคุณเจ้านำขบวน

ส่วนแผนปฏิบัติการจะยังไม่เปิดเผยรอดูจำนวนในวันพรุ่งนี้ว่ามากพอหรือไม่ ซึ่งตนจะเปิดเผยแผนในคืนพุ่งนี้และอาจเริ่มปฏิบัติการทันที ดังนั้นขอให้ประชาชนเตรียมรองเท้าผ้าใบ กระเป๋าเป้เพื่อไว้ใส่ผ้า-ขวดน้ำและเสบียงพร้อมกับใจถึงๆ

ส่วนการแถลงการของนายกรณ์ จาติกวณิช แสดงความเห็นไม่ด้วยกับการยึดหน่วยงานราชการรวมถึงฝากให้ผู้นำรับผิดชอบเกณฑ์การชุมนุมว่า นายกรณ์มีสิทธิที่จะไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม แต่เรามีสิทธิในการดำเนินการใดๆในการต่อสู้เพื่อล้มล้างระบอบทักษิณนำอำนาจคืนสู่ประชาชน ทั้งนี้การดำเนินการใดๆขึ้นอยู่กับมติของมวลมหาประชาชน และตอนนี้กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มไม่สบายใจต่อนายกรณ์เช่นเดียวกับที่นายกรณ์รู้สึกกับผู้ชุมนุม ส่วนที่นายกรณ์กล่าวว่าได้มีการพูดคุยกับผู้ให้รับผิดชอบต่อหลักการชุมนุมนั้น ตนเห็นว่านายกรณ์ไม่สำคัญมากขนาดที่ตนต้องไปปรึกษา ตนขอยืนยันว่าแกนนำการชุมนุมทั้ง 9 คนจะไม่ฟังคำสั่งใครนอกจากมวลมหาปชช. และขอเตือนนายกรณ์อย่าออกมาพูดอะไรอีกจนกว่าปฏิบัติการจะเสร็จเรียบร้อย

ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ออกมาแถลงในวันนี้ว่า รัฐบาลจะปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมโดยไม่รุนแรง แต่เมื่อคืนที่ผ่านมากลับสั่งให้ตร.ใช้อาวุธและวิธีต่างๆเพื่อสลายการชุมนุมที่ก.คลัง และวางแผนถึงขนาดจะสกัดจับเอกณัฐ พร้อมพันธ์ด้วยซ้ำไป แหล่งข่าวจากกองทัพอากาศรายงานว่าพจมานเรียกทหารอากาศมาคุยให้จับตายสุเทพ และแกนนำคนอื่นๆต่อไป ผมบอกไปยังผู้บัญชาการอากาศโยธินว่า ทหารไม่มีอำนาจจับกุมใคร ทหารอากาศหน่วยนี้มีพลซุ่มยิง แต่จะมียิงนายสุเทพไม่ได้ เพราะผมมิใช่อริราชศัตรู ที่ยิ่งลักษณ์บอกว่ายังทำงานได้อยู่นั้น ก็จะทำได้อีกเพียงไม่กี่วันแล้วครับ

ยิ่งลักษณ์บอกว่าข้าราชการต้องสำนึกในการปฏิบัติราขการ ผมก็ขอบอกว่า ต้องปฏิบัติราชการโดยสุจริต ไม่ใช่กับรัฐบาลที่โกงบ้านกินเมือง เราไม่ได้เล่นเกมการเมือง พวกเราเอาจริง ไม่ข้างใดข้างหนึ่งต้องไป ติดคุกกันไปข้างหนึ่ง ที่ยิ่งลักษณ์บอกพร้อมเจรจานั้น ไม่ต้องมาคุย ไม่มีการต่อรอง เป้าหมายเราโค่นระบอบทักษิณเท่านั้น ที่ยิ่งลักษณ์บอกว่าสภาประชาชนตั้งไม่ได้ เพราะไม่มีกฏหมายรองรับนั้น มันจะมีเร็วๆนี้งัย รัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาลนอกรัฐธรรมนูญแล้ว เพราะคุณปฏิเสธคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ

เมื่อรัฐบาลไม่ชอบธรรมแล้ว อำนาจจึงกลับไปอยู่ที่ประชาชน และประชาชนจะจัดการกับปัญหาเหล่านี้ อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย ที่ยิ่งลักษณ์บอกให้ยุติการชุมนุมนั้น เราไม่หยุดโว้ย แต่จะแรงขึ้นด้วย


ผมขอเตือนคุณกรณ์ว่าอย่าออกมาพูดมากในลักษณะนี้อีก มิฉะนั้นชีวิตจะลำบาก!!

สุเทพ เทือกสุบรรณ: วันนี้ต้องพูดถึงคนสองคน คนแรกคือกรณ์ จาติกวณิชย์

คุณกรณ์มีสิทธิ์ที่จะไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม ผู้ชุมนุมไม่ได้ติดหนี้บุญคุณใดๆกับคุณกรณ์ เราคิดของเราเองเป็น ตัดสินใจเป็น เราไม่ใช่เป็นแบบคนของพรรคเพื่อไทย การจะทําอะไรขึ้นอยู่กับมวลมหาประชาชน ที่คุณกรณ์บอกว่าไม่สบายใจกับกลยุทธ์ของผู้ชุมนุม ผมขอบอกว่า พวกเราก็ไม่สบายใจกับคุณกรณ์ และโชคดีที่ไม่รับคุณกรณ์เป็นแกนนำ

ส่วนแถลงการณ์ของนายกรณ์ จาติกวาณิชแสดงความเห็นไม่ด้วยกับการยึดหน่วยงานราชการ รวมถึงฝากให้ผู้นำรับผิดชอบเกณฑ์การชุมนุมว่า

คุณกรณ์มีสิทธิ์100%ที่จะไม่เห็นด้วยกับเรา แต่เราก็มีสิทธิ์100%ที่จะต่อสู้โค่นล้มระบอบทักษิณนำอำนาจคืนสู่ประชาชน

ส่วนที่นายกรณ์กล่าวว่าได้มีการพูดคุยกับผู้ให้รับผิดชอบต่อหลักการชุมนุมนั้น ตนเห็นว่านายกรณ์ไม่สำคัญมากขนาดที่ตนต้องไปปรึกษา แม้คุณกรณ์จะมีความรู้ แต่สู้เด็กรุ่นใหม่อย่างเอกณัฐ พร้อมพันธ์ไม่ได้ ที่ลาออกจากสส.มาเป็นแกนนำ

ผมขอเตือนคุณกรณ์ว่าอย่าออกมาพูดมากในลักษณะนี้อีก มิฉะนั้นชีวิตจะลำบาก!!
เราไม่สนใจพรรคการเมือง เราฟังมวลมหาประชาชนเท่านั้น เพราะเราได้ลาออกจาก ส.ส.แล้ว การชุมนุมที่ผ่านมา ยังไม่มีอะไรผิดหลักอหิงสาทั้งสิ้น



"กปท." ส่งสัญญาณถึง "อดุลย์" สั่งตร.หยุดทำร้ายปชช. ย้ำ ต้องเคียงข้างปชช.เท่านั้น !!!!

แซมดิน-ลุงปรีชา" นำมวลชนปักหลักสตช. ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึง "พล.ต.อ.อดุลย์" ระบุ "ตร.ต้องเคียงข้างปชช. ไม่ทำร้ายปชช. อย่างเด็ดขาด" ยัน พร้อมบรรลุเงื่อนไขที่เดินทางในวันนี้

วันนี้ (28 พ.ย.) เมื่อเวลา 18.15 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ และพล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ แกนนำกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ และกองทัพธรรม ในฐานะกลุ่มประชาชนปฏิรูปปฏิรูปวัติประเทศไทย ที่นำมวลชนมาปักหลักชุมนุมอยู่บริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้ายื่นหนังสือเปิดผนึกถึงพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) โดยมีพล.ต.ท.อำนาจ อันอาตม์งาม ผู้ช่วยผบ.ตร. ทั้งนี้ เรือตรีแซมดินได้อ่านจดหมายเปิดผนึก ระบุว่า ขอให้ตำรวจอยู่เคียงข้างประชาชน ไม่ทำร้ายประชาชน และไม่ใช้กำลังรุนแรงกับประชาชนอย่างเด็ดขาด

ด้านพล.ต.ท.อำนาจ ได้รับหนังสือ พร้อมกล่าวว่าจะนำหนังสือดังกล่าวไปเสนอต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมยืนยันตำรวจไม่เคยคิดที่จะทำร้ายประชาชน

เรือตรีแซมดิน กล่าวว่า ขณะนี้ทางกปท. และกองทัพธรรม ได้บรรลุเงื่อนไขที่เดินทางมาในวันนี้ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับปากแล้วว่าจะไม่ทำร้ายประชาชน ซึ่งตนเองมีความเชื่อมั่นกับทางตำรวจอยู่แล้ว หลังจากนี้ทางกลุ่มเสนาธิการร่วมจึงขอหารือเรื่องดังกล่าว ก่อนจะไปแจ้งให้กลุ่มมวลชนที่ร่วมชุมนุมทราบ และจะเคลื่อนมวลชนออกจากบริเวณดังกล่าว แต่ไม่เปิดเผยว่าจะเคลื่อนไหวไปสถานที่ใด

อย่างไรก็ตามเรือตรีแซมดิน ยอมรับว่าทางกลุ่มเป็นคนตัดไฟภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ไม่กระทบกับ รพ.ตร.อย่างแน่นอน ข่าวที่ตำรวจแถลงนั้นโกหกโดยสิ้นเชิง

ภาพจากเพจ "กองทัพประชาชน โค่นระบอบทักษิณ"

‪#‎ทีนิวส์‬


"กล้านรงค์"ประกาศลาออกอนุป.ป.ช.ทุกคณะ เว้นอนุส่งเสริมความซื่อสัตย์ หลังไม่ถูกแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา

เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรารายงานว่า เมื่อวันนี้(28 พ.ย.) นายกล้านรงค์ จันทิก อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ได้ลาออกจากการเป็นอนุกรรมการไต่สวนทุกคณะที่เคยทำหน้าที่อยู่ทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงตำแหน่งเดียวคือประธานอนุกรรมการป้องกันเสริมสร้างค่านิยมความซื่อสัตย์

สาเหตุที่ลาออกเนื่องจากไม่มีเวลาจะทำหน้าที่ได้ อีกทั้งนับตั้งแต่เกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2556 กลับยังไม่มีการแต่งตั้งให้ตนเป็นที่ปรึกษาป.ป.ช. ทั้งที่ส่วนตัวยินดีจะช่วยเหลืองานของป.ป.ช. หลังจากนี้ก็คงกลับไปทำงานส่วนตัว รวมถึงสอนหนังสือ

"ทราบมาว่านายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการ ป.ป.ช.ได้เสนอวาระให้แต่งตั้งผมเป็นที่ปรึกษา ป.ป.ช.เข้าที่ประชุมป.ป.ช. แต่ติดขัดในส่วนไหนอย่างไรไม่ทราบ ทำให้ถึงเวลานี้ยังไม่มีการแต่งตั้งผมเป็นที่ปรึกษาป.ป.ช." นายกล้านรงค์ กล่าว

ปิติพงศ์ เต็มเจริญ ไม่เห็นด้วยม็อบบุกสถานที่ราชการ

ความเห็นที่โพส
ที่ผ่านมาผมพยายามหลีกเลี่ยงการแสดงความเห็นทางการเมืองหรือที่เกี่ยวข้องกับการเมืองมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้ขอแสดงความเห็นและความรู้สึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้หน่อยนะครับ อาจไม่ถูกใจหรือทำให้ใครไม่พอใจก็ต้องขออภัย แต่ผมถือว่าเป็นสิทธิส่วนตัวที่ชอบด้วยกฎหมายที่จะแสดงออกได้โดยไม่ผูกพันกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ส่วนตัวคิดว่าการที่ประชาชนแสดงออกซึ่งการต่อต้านการกระทำที่ไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรมหรือนิติรัฐอะไรก็แล้วแต่ของรัฐบาลด้วยการเดินขบวนหรือเป่านกหวีดขับไล่ เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ตราบเท่าที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเกินสมควร แต่การที่มีกลุ่มคนไม่ว่าจะฝ่ายใดหรือสีใดใช้วิธีการปิดล้อมหรือบุกรุกเข้าไปในสถานที่ราชการโดยอ้างว่าเพื่อไม่ให้รัฐบาลกระทำการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อไปได้นั้น ส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและคิดว่าชั่วชีวิตก็จะไม่เห็นด้วยหรือชื่นชมต่อการกระทำอย่างนั้น สถานที่ราชการเป็นที่ทำงานของข้าราชการซึ่งปฎิบัติราชการเพื่อประโยชน์และความผาสุกตามพระราชปณิธานของในหลวง 

ผมคิดว่าข้าราชการส่วนใหญ่ในประเทศนี้ไม่ได้ปฏิบัติราชการเพื่อประโยชน์ของรัฐบาลหรือพรรคการเมืองใด แต่เชื่อว่าข้าราชการปฏิบัติราชการเพื่อให้ความทุกข์ของประชาชนในประเทศนี้ได้รับการเยียวยาหรือบรรเทาเบาบางลงเพื่อที่ในหลวงจะได้ไม่ต้องทรงงานในเรื่องนั้น ๆ ด้วยพระองค์เอง ในแต่ละวันมีคนต้องติดต่อราชการด้วยเหตุผลความจำเป็นต่างกันมากมาย และการที่เค้าต้องมาหาหน่วยงานราชการก็เพราะต้องการให้ความจำเป็น(ทุกข์)เหล่านั้นได้รับการจัดการให้เสร็จสิ้นไป การที่คนกลุ่มใดเข้าไปบุกรุกหรือปิดล้อมสถานที่ราชการจนข้าราชการไม่สามารถปฏิบัติราชการได้จึงเป็นการทำให้ทุกข์ของคนอื่นที่อาจจะไม่ได้มีความเห็นในทางหนึ่งทางใดกับรัฐบาลหรือพรรคการเมืองใดไม่ได้รับการเยียวยาหรือบรรเทาลง ซึ่งไม่สอดคล้องกับพระราชปณิธานของในหลวง 

ถามว่าต้องให้ประชาชนคนนั้นเสียสละด้วยการรอไปก่อนสักระยะ (กำลังจะถึงเส้นชัยแล้ว) มันถูกต้องเป็นธรรมสำหรับเค้าแล้วหรือ ผมคิดว่าไม่ควรจะมีคนตอบคำถามนี้ เพราะเชื่อว่าไม่มีใครมีสิทธิคิดและตัดสินใจว่าอะไรเป็นธรรมกับเค้าได้ แต่ส่วนตัวผมคนนึงที่จะไม่มีวันชื่นชมหรือสนับสนุนไม่ว่าในทางใดต่อการกระทำอย่างนั้น ไม่ว่าคนกลุ่มนั้นจะทำมาขนาดไหนหรือมากน้อยเพียงใดแล้วก็ตาม 

วันนี้หลายคนอาจชื่นชมต่อการกระทำของคนกลุ่มนั้้น แต่สักวันถ้าคนอีกกลุ่มอ้างเหตุผลและใช้วิธีการเดียวกันนี้บ้างเราจะชื่นชมสนับสนุนมั้ย (อันนี้เป็นสิทธิของแต่ละคนจะคิดเอาเอง) แต่บทสรุปความเสียหายมันก็เกิดขึ้นกับคนในประเทศนี้และน่าจะเห็นผลเร็วกว่าเสียด้วยซ้ำ และที่หลายคนคิดว่าจะเป็นข้าราชการที่ดีของในหลวง เรายังจะเป็นได้อีกหรือ ผมอาจไม่ใช่ข้าราชการที่ดีกว่าใคร แต่ผมขอยืนในหลักของผมที่จะไม่เห็นชอบต่อการใช้วิธีการอย่างนี้เพื่อสนองต่อความต้องการของคนกลุ่มใด 

ปล.อ่านให้ดีก่อนแย้ง ผมไม่ได้ห้ามหรือว่าใครที่สนับสนุนหรือชื่นชอบกับการกระทำของคนกลุ่มนี้ และไม่ได้ห้ามขับไล่รัฐบาล ผมแค่ไม่ต้องการให้มนุษย์หน้าไหนปิดล้อมหรือบุกรุกสถานที่ทำงานของข้าราชการที่ปฏิบัติราชการแทนพระองค์ ขอโทษอีกครั้งที่อาจทำให้ขุ่นเคือง ไม่ชอบก็อย่าใส่ใจจำ...เป็นห่วง


มติที่ประชุม สส. พรรคประชาธิปัตย์ แถลงโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

นายกฯ ไม่มีสิทธิมาเรียกร้องให้ใครยุติการชุมนุมที่เป็นการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เพราะเป็นสิทธิอันชอบธรรม และก็ไม่ปรากฎว่าผู้ใดที่บอกว่าถ้ามีการทำผิดกฎหมายแล้วจะไม่ยอมรับ แตกต่างจากพฤติกรรมของรัฐบาลที่ยังมีการออกกฎหมายเพื่อล้างผิดให้แก่ผู้ที่กระทำผิด

พรรคประชาธิปัตย์พร้อมสนับสนุนการต่อสู้ของประชาชนตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ และทุกคนก็จะรับผิดชอบการกระทำของตนเองตามกฎหมาย ในระหว่างปิดสมัยการประชุมเริ่มต้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เราจะสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ที่จะสื่อสารไปยังรัฐบาลว่า ประชาชนไม่รับรัฐบาลที่ไม่รับอำนาจศาล สส. ของพรรคจะเข้าไปดูแลทุกข์สุขของประชาชนที่ชุมนุม ตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย

พรรคประชาธิปัตย์เดินหน้าต่อต้านระบอบทักษิณ และเรียกร้องว่ารัฐบาลหมดความชอบธรรมแล้ว นายกฯ ปราศจากความสำนึกต่อการกระทำผิดที่ได้กระทำลงไป นายกฯ คือศูนย์กลางของปัญหา กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามรูปแบบในระบบรัฐสภา ขอยืนยันว่าพรรคและ สส. จะไม่มีการเข้าไปรับตำแหน่งอะไรใดๆ ถ้าเป็นผลพวกจากการต่อสู้ นอกเหนือจากวิธีการทางรัฐสภาปกติ

การลาออกจาก สส. เป็นทางเลือก โดยจะทำพร้อมกันหากมีจังหวะที่ขจัดระบอบทักษิณได้ ขณะนี้บทบาทของพวกเรายังสามารถเคลื่อนไหวคู่ขนานได้ โดยการดำรงตำแหน่ง สส. ไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับความชอบธรรมของรัฐบาล แต่เป็นสถานะที่มาจากประชาชน

ยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยคือ "ไทยเฉย" ประเมินว่า เมื่ออยู่ไปเรื่อยๆ ผู้เคลื่อนไหวก็จะอ่อนแรง แต่ขอเตือนว่า ยุทธศาสตร์ไทยเฉยไม่อาจล้มล้างความคิดต่อสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้ สังคมไม่ยอมและไม่ลืม

การปฏิรูปพรรค สาระสำคัญคือ การเปิดพรรคให้บุคคลที่ปัจจุบันไม่เป็นสมาชิกเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินกิจการของพรรคได้ พรรคจะอาศัยการปฏิรูปพรรคเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการปฏิรูปประเทศ จึงขอถือโอกาสเชิญชวนท่านที่มีศักยภาพ มีแนวคิดในการปฏิรูปประเทศ และเราจะเดินสายหาบุคคลที่มีแนวคิดในการปฏิรูป เข้าสู่กลไกของพรรคการเมือง

"ออกมาช่วยกัน ให้รู้กันไปว่าคนหน้าด้านจะเอาชนะสำนึกของสังคมได้"


จดหมายถึงคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ

คุณสุเทพครับ,

คุณสุเทพคงจำผมไม่ได้ แต่นานมากแล้ว คุณสุเทพกรุณาให้รถที่นั่งมา รับผมจากธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ไปละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดบางลำพู


ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความเป็นห่วงว่าความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่จะกลายสภาพเป็นความรุนแรง เช่นที่บ้านเมืองของเราเคยมีประสบการณ์มาแล้วในอดีต ทั้งที่ครั้งนี้ คุณสุเทพก็ดี นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ก็ดี ได้แสดงท่าทีชัดว่าประสงค์จะเผชิญกับความขัดแย้งครั้งสำคัญนี้โดยหลีกเลี่ยงไม่ใช้ความรุนแรง


ผมขออนุญาตเรียนให้ความเห็นคุณสุเทพเรื่องการต่อสู้ด้วย”สันติวิธี”และ อารยะขัดขืน เพราะเชื่อว่าอาจช่วยให้คุณสุเทพต่อสู้เพื่ออนาคตของทุกฝ่ายในสังคมไทยได้กระจ่างชัดขึ้น


ข้อแรก ถ้าถามว่า การชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย การเป่านกหวีด การเรียกร้องให้ชะลอการเสียภาษี รวมถึงการ”เดินดาวกระจาย”ไปเข้ายึดครองอาคารสถานที่ของหน่วยราชการต่างๆเป็น”สันติวิธี”หรือไม่ ผมคงตอบว่า การชุมนุมประท้วงในที่สาธารณะเป็นการแสดงออกด้วยสันติวิธีที่แพร่หลายทั่วไป การเป่านกหวีดเป็นการใช้สันติวิธีเชิงสัญลักษณ์ การเรียกร้องให้ชะลอการเสียภาษีเป็นสันติวิธีแบบไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐ ขณะที่การเข้ายึดครองอาคารสถานที่ราชการเป็นการแทรกแซงด้วยสันติวิธี
เรื่องการเข้ายึดครองอาคารสถานที่เช่นนี้มีให้เห็นตั้งแต่สองพันปีก่อน เมื่อบิชอปชาวคริสต์ ปฏิเสธคำสั่งของรัฐบาลโรมันที่สั่งให้ยกส่วนหนึ่งของโบสถ์ในมิลานให้ชาวคริสต์นิกายอื่น ท่านบิชอป ละเมิดกฏยึดครองโบสถ์ทำพิธีมิสซาในโบสถ์อยู่ 5 วัน นี่เกิดเมื่อปี ค.ศ.385 หรือ ชาวอเมริกันอินเดียนเป็นร้อยคนบุกยึดเกาะอัลกาตราสในอ่าวซาน ฟรานซิสโกซึ่งรัฐบาลอเมริกันใช้เป็นคุกมานาน เหตุเกิดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1969 พวกเขายึดเกาะนี้อยู่ถึง 2 ปี (15 คนสุดท้ายถูกเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางพาตัวออกไปเมื่อ มิถุนายน 1971) หรือที่รู้จักกันทั่วโลกก็คือการใช้สันติวิธีเข้ายึดครองพื้นที่ทางเศรษฐกิจ การเงินกลางเมืองใหญ่ของโลกอย่างนิวยอร์ค ลอนดอน และ เมลเบิร์น เมื่อปี 2011 สันติวิธีเหล่านี้ล้วนเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายในระดับต่างๆกัน แต่เรื่องนี้คุณสุเทพในฐานะนักกฎหมายคงทราบดีอยู่แล้ว


ข้อสอง “สันติวิธี”เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมือง คนใช้สันติวิธีต้องทำความเข้าใจการทำงานของเครื่องมือที่ตนใช้ว่าทำงานอย่างไร ส่งผลเช่นไร เช่นเมื่อคุณสุเทพประกาศว่าแนวทางการต่อสู้ที่ใช้เป็น”อารยะขัดขืน” ก็หมายความว่า ผู้ใช้ต้องพร้อมรับโทษทัณฑ์ที่จะต้องได้รับจากการใช้สันติวิธีละเมิดกฎหมาย เพราะพลังของอารยะขัดขืนไม่ได้อยู่ตรงการขัดขืนเท่านั้น แต่อยู่ที่การยอมรับบทลงโทษที่จะเกิดขึ้นกับ”คนดีๆ”ที่ขัดขืนกฎหมายหรือนโยบายของรัฐ การขัดขืนและการยอมรับผลของการขัดขืนเป็นไปเพื่อให้คนในสังคมที่แลเห็นฉุกคิดว่า กฎหมายหรือนโยบายที่พวกเขาขัดขืนเป็นสิ่งไม่ชอบ จึงเกิดความขัดแย้งลึกซึ้งในระดับมโนธรรมสำนึกของสังคม จนผลักดันให้นักการเมืองต้องแก้กฎหมายหรือยกเลิกนโยบายเหล่านั้น เช่นกรณีการต่อสู้เพื่อสิทธิของคนผิวดำในสหรัฐฯโดยสาธุคุณมาร์ติน ลูเธอร์ คิง เมื่อกลางศตวรรษที่แล้ว


ข้อสาม อารยะขัดขืนไม่ใช่สันติวิธีที่มีไว้เพื่อล้มรัฐบาล หรือเปลี่ยนระบอบการเมือง เพราะการยอมรับการลงโทษคือการยืนยันความชอบธรรมของผู้ลงโทษคือรัฐ-รัฐบาล ในแง่นี้ อารยะขัดขืน ทำงานเสริมระบอบประชาธิปไตยที่มีตัวแทนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะเมื่อผู้ใช้อารยะขัดขืนเดินเข้าสู่ที่คุมขัง พร้อมๆกับที่มโนธรรมสำนึกในสังคมถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ก็จะช่วยชี้ให้ผู้ออกกฎหมายในสภาได้ประจักษ์ว่า กฎหมายบางข้อหรือนโยบายบางอย่างของรัฐผิดพลาดไม่เป็นธรรม ทำให้พลเมืองดีต้องติดคุกติดตะราง และดังนั้นต้องแก้ไขหรือยกเลิกเสีย


ข้อสี่ สันติวิธีมีวิธีการต่างๆเป็นร้อยวิธี ถ้าวิธีการที่คุณสุเทพใช้ไม่ใช่อารยะขัดขืน แต่เป็นสันติวิธีหรือปฏิบัติการไร้ความรุนแรงรูปแบบอื่น ก็อาจทำได้และใช้สู้กับรัฐบาลก็ได้ อีกทั้งยังทำให้รัฐบาลล้มก็ได้ด้วย เช่นที่เกิดขึ้นกับประเทศต่างๆในละตินอเมริกา (เช่นชิลี เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา และอื่นๆ)11 ประเทศระหว่างปี ค.ศ.1931-1961 แต่รัฐบาลที่ล้มลงด้วยพลังสันติวิธีของประชาชนที่รวมตัวกันต่อสู้เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นรัฐบาลเผด็จการทหารหรือไม่ก็เป็นรัฐบาลพลเรือนที่มีทหารหนุนหลัง อันที่จริงมีผลการวิจัยพบว่าสันติวิธีใช้ได้ผลต่อรัฐบาลเผด็จการยิ่งกว่าจะนำมาใช้ต่อสู้กับรัฐบาลในระบบประชาธิปไตยซึ่งมีฐานความชอบธรรมมาจากการเลือกตั้ง



ข้อห้า มีคนถามผมว่า การต่อสู้แบบนี้เมื่อใดจึงจะหยุดเป็นสันติวิธี? ตรงนี้คงตอบได้ 2 ทาง


ทางแรกคนที่สมาทานสันติวิธีจำนวนมากเชื่อว่า ไม่สามารถใช้สันติวิธีไปเพื่อเป้าหมายที่ไม่เป็นธรรมชนิดที่ไม่สร้างเสริมอิสระเสรีในสังคมการเมืองได้ พูดง่ายๆคือ การอดอาหารประท้วงเป็นสันติวิธีเมื่อคนอดใช้ประท้วงผู้เผด็จการหรือจักรวรรดินิยมให้ปลดปล่อยผู้คนของตนให้เป็นอิสระ แต่ถ้าผู้เผด็จการใช้วิธีอดอาหารประท้วงเพื่อเรียกร้องให้ตนอยู่ในตำแหน่งมีอำนาจต่อไป อย่างนี้ไม่ใช่สันติวิธี



ทางที่สอง ผมเองเห็นว่า ไม่ว่าเป้าหมายในการต่อสู้จะเป็นเช่นไร เพื่อสร้างประชาธิปไตย หรือเพื่อรักษาสถาบันการเมืองสำคัญในชาติ แต่วิธีการที่เรียกว่า”สันติวิธี”จะหมดความหมายเมื่อผู้นำการต่อสู้หรือผู้ใช้ไม่เห็นว่า ทุกชีวิตไม่ว่าหนุ่มสาว หรือแก่เฒ่าที่เสียสละตนเองเข้าท้าทายอำนาจรัฐล้วนแล้วแต่มีคุณค่าในตนเองทั้งนั้น พวกเขามีคนที่รักและเป็นห่วงเขา ทุกชีวิตเป็นเป้าหมายศักดิ์สิทธิ์ในตนเองและดังนั้นจึงไม่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือไปเพื่อบรรลุอะไรทั้งนั้น


ข้อสุดท้าย การใช้สันติวิธีสู้กับอำนาจรัฐมีความเสี่ยง ทั้งจากกฎหมายของรัฐและจากความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น เพราะไม่ได้หมายความว่า เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้สันติวิธีแล้วฝ่ายที่ตนต่อสู้ด้วยจะไม่ใช้ความรุนแรง ด้วยเหตุนี้ ทุกคนที่ก้าวออกมาต่อสู้เช่นนี้ต้องได้รับรู้ว่ากำลังเสี่ยงกับอะไรและทำไปเพื่ออะไร ในแง่นี้พวกเขาควรต้องเห็นรูปร่างหน้าตาของอนาคตที่เป็นไปได้จริงเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะต่อสู้หรือไม่อย่างไรด้วย


คนที่ตัดสินใจใช้สันติวิธี เลือกใช้วิธีนี้ด้วยเหตุผลหลากหลาย ส่วนใหญ่ก็เพราะเห็นว่าวิธีการนี้มีพลังเช่นที่สังคมไทยกำลังประจักษ์อยู่ แต่ที่สำคัญไม่แพ้ประสิทธิผลของสันติวิธีคือ ความเชื่อของคนที่ต่อสู้ด้วยวิธีนี้ว่า อนาคตที่ตนมุ่งสร้างนั้นสวยงาม เติบโตขึ้นบนเนื้อดินแห่งมิตรไมตรีไม่ใช่ความเป็นศัตรูที่ต้องประหัตประหารกันให้สิ้นไป


ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, 28 พฤศจิกายน 2556


9 วันอันตราย รบ.ยิ่งลักษณ์ แผน 2 ขา ปชป.แผลงฤทธิ์ ยกระดับ ปิดเกมตระกูล "ชินวัตร"



28 พ.ย. 2556 เวลา 10:30:02 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ในที่สุดม็อบราชดำเนิน ที่มี "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เป็นแม่ทัพร่วมกับอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์อีก 8 คน ที่ลาออกมาร่วมหัวจมท้ายก็ประกาศยกระดับ ลั่นกลองรบกันอีกคำรบ ระดมมวลชนกระจายทั่วกรุง

เป็นผลต่อเนื่องจากประสบความสำเร็จดึงมวลชนคนทุกชนชั้นร่วมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โค่นล้มระบอบทักษิณ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จนคนล้นราชดำเนินกินพื้นที่ยาวไปถึงสนามหลวง 

พร้อมทั้งแตกทัพดาวกระจาย 13 เส้นทาง ไปยังหน่วยงานราชการ กองทัพ สื่อมวลชน ให้เวลาเปลี่ยนใจร่วม "อารยะขัดขืน" ล้มระบอบทักษิณ 
 
เมื่อย้อนกลับไปดูข้อเรียกร้องของม็อบราชดำเนินที่นัดชุมนุมตั้งแต่วันแรกที่สถานีสามเสนจนถึงบัดนี้ ทั้ง 3 ข้อเรียกร้อง สรุปว่า ม็อบราชดำเนินกุมชัยชนะไปแล้ว 2 ข้อ

1.ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยยุติการผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 

2.ให้หน่วยงานเอกชน ราชการ รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ร่วมอารยะขัดขืน แม้ทุกหน่วยงานมิได้ทำตามคำเรียกร้องของแกนนำม็อบราชดำเนินทั้งหมด แต่ก็เห็นแรงกระเพื่อมจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจโดดเข้าร่วมการชุมนุมกับม็อบสุเทพ 

ยิ่งเห็นผลชัดเมื่อแผนอารยะขัดขืนของม็อบราชดำเนิน ที่คนในพรรคเพื่อไทยมองว่าทำให้เสียมวลชน 

แต่ที่สุดแล้วกลับมิได้ทำให้มวลชนคนชั้นกลางถึงระดับบน ที่เป็นองค์ประกอบหลักของม็อบราชดำเนินหายหน้าหายตาออกไป 

จึงเหลือเพียงข้อ 3 คือล้มระบอบทักษิณ ซึ่ง "สุเทพ" ประกาศ "ปิดเกม" ภายในเดือน พ.ย.นี้ เร็วที่สุดภายใน 3 วัน ลั่นวาจาว่า แม้นายกฯ ยุบสภา ลาออก ก็ไม่เลิก 

เมื่อเกม 2 ขาของพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะขาที่นำมวลชนสู้บน "ท้องถนน" กำลังแผลงฤทธิ์ บั่นทอนความมั่นคงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทุกวินาที 

แต่อีกขาหนึ่งที่อยู่ในรัฐสภาก็ซ้ำดาบ 2 ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พุ่งเป้าทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ทั้งภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำของนายกฯหญิง ทั้งเปิดโปงกระบวนการทุจริตจำนำข้าวในรัฐบาลและเครือข่ายตระกูลชินวัตร ทั้งการทุจริตการแต่งตั้ง-โยกย้ายข้าราชการในกระทรวงมหาดไทย 

แถมดาบ 3 ที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมลงโทษพรรคเพื่อไทย ส่งเรื่องต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติถอดถอนผู้ที่ถูกยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตามขั้นตอน พ่วงชื่อ "ปลอดประสพ สุรัสวดี" รองนายกรัฐมนตรี ในโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน
 
 เป็นดาบที่บรรดาพรรคสีฟ้าหวังให้พรรคเพื่อไทยต้องหนาวไปถึงขั้วหัวใจ

แต่สิ่งที่ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ มองว่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยหวาดหวั่นไหวไปทั่วทั้งพรรคมากกว่า คือ การนำคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว.ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ใน 5 ประเด็นมาต่อยอด เอาผิดกับ 312 ส.ส.+ส.ว. ที่เป็นต้นขั้วลงชื่อร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ขัดรัฐธรรมนูญ

ประกอบด้วย 1.เอาผิดอาญากับ 312 คน กรณีปลอมแปลงเอกสาร กดบัตรแทนกัน 2.ยื่นถอดถอนสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ประธานรัฐสภา ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 3.ถอดถอนนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานรัฐสภาใน ม.157 เช่นเดียวกัน 4.ยื่นถอดถอน 312 ส.ส.และ ส.ว.ฐานลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญที่ล้มล้างระบอบประชาธิปไตย และ 5.ยื่นข้อหากบฏให้ทั้ง 312 ส.ส.ฐานแถลงจุดยืนไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

โดยเชื่อว่า ทั้ง 3 ดาบจะแผลงฤทธิ์เขย่าพรรคเพื่อไทยพร้อม ๆ กัน ก่อนวันที่ 5 ธันวาคม เป้าหมายอยู่ที่ ป.ป.ช.ตัดสิน 5 สำนวนดังกล่าว จนกระทั่งเกิดภาวะสุญญากาศทางการเมือง 312 คนถูก ป.ป.ช.คาดโทษ กระทบถึง "ยิ่งลักษณ์" ในฐานะผู้ทูลเกล้าฯจะต้องรับผิดไปด้วย 

ไม่แปลกที่สุเทพพามวลชนเข้าปักหลักค้างคืนที่กระทรวงการคลัง และที่ต่างๆ เหมือนกับที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยึดสนามบินเพื่อกดดันให้องค์กรอิสระเร่งหาทางออกให้บ้านเมือง

"สุเทพ" ประกาศว่า การยึดกระทรวงการคลังแบบสันติ ไม่บุกรุกอาคาร แต่เรานั่งอยู่รอบ ๆ ป้องกันไม่ให้สำนักงบประมาณโอนเงินหรือเป็นเครื่องมือตามระบอบทักษิณอีกต่อไป สัญญาณวันนี้จะส่งไปถึงพี่น้องทั่วประเทศ ยึดสถานที่ราชการทุกแห่งในประเทศไทย โดยมีข้อแม้ว่าต้องทำเหมือนกัน ไม่ใช้อาวุธ เข้าไปมือเปล่า ไม่ทำร้ายใคร เพราะเราเป็นพลเมืองดี  นี่เป็นขบวนการประชาชนที่ยึดอำนาจรัฐเผด็จการด้วยกระบวนการสันติวิธี

กราบเรียนว่า มวลมหาประชาชนจะกระจายไปสถานที่ราชการ ไปบอกเขาว่าเลิกทำงานให้ระบอบทักษิณได้แล้ว เราไม่เรียกร้องอะไร ไม่ต่อรองอะไรกับรัฐบาล รัฐเป็นโมฆะอยู่แล้ว เพราะไม่เคารพรัฐธรรมนูญ ปฏิเสธอำนาจศาล ปฏิเสธอำนาจกฎหมายสูงสุด ไม่ชอบธรรม ไม่ต้องเจรจา ออกไปได้แล้ว เราจะสถาปนารัฐบาลประชาชน แก้ไขกติกาบ้านเมือง เพื่อให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย

"เราไม่รุนแรง เห็นผม เห็นประชาชนวันนี้หรือไม่ ไม่มีใครมีอาวุธ แม้กระทั่งกรรไกรตัดเล็บยังไม่มี"

ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์และม็อบราชดำเนิน เป็นไปไม่ต่างจากที่พรรคเพื่อไทยประเมินไว้ จึงได้ระดมมวลชนเสื้อแดงจากกรุงเทพฯฝั่งตะวันออก ปริมณฑล และต่างจังหวัดมาปักหลักชุมนุมที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน พร้อมออกแถลงการณ์ 4 ข้อ ประกาศปกป้องรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ต่อต้านรัฐประหารไม่ว่าโดยทหาร หรือ ศาลเป็นการปักธงปกป้องรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ให้ผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตที่สุดตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์นายกฯ บนตึกไทยคู่ฟ้ามากว่า 2 ปี

เพราะวิกฤตครั้งนี้ เป็นวิกฤตที่อยู่ในระดับ "อันตราย" สำหรับรัฐนาวายิ่งลักษณ์ เหมือนที่เกิดกับ 2 นายกฯ ในเครือข่ายชินวัตร-สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์

เป็น 9 วันอันตรายก่อนถึงวันที่ 5 ธันวาคมที่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงต้องเกาะกลุ่ม เป็นกระดองคุ้มกันนายกฯ ที่มีชื่อเล่นว่า "ปู" ให้พ้นภัยการเมือง

"จตุพร พรหมพันธุ์" แกนนำเสื้อแดง มองสถานการณ์การเมืองวันนี้ว่า การเคลื่อนไหวของม็อบราชดำเนิน เป็นสัญญาณอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย อาจถึงขั้นปฏิวัติโดยศาล หรือปฏิวัติโดยกองทัพ 

"คล้าย ๆ กับปี 2549 ที่มีการเคลื่อนไหวโดยไม่จำกัดรูปแบบและวิธีการ มีความพยายามเปิดประตูให้เกิดการรัฐประหาร วันนี้กับปี"49 เหมือนกัน แค่เปลี่ยนตัวแกนนำจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล มาเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เราจึงต้องชุมนุมเพื่อให้เกิดความสมดุล ไม่ให้มีการพูดข้างเดียว คนเสื้อแดงต้องแสดงพลังให้เห็น"

ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงจองคิวใช้สนามราชมังคลากีฬาสถานเบื้องต้น 10 วัน เพื่อใช้เป็นฐานบัญชาการการรบ คู่ขนานกับการชุมนุมของม็อบราชดำเนิน

เพราะแกนนำเสื้อแดงมองว่า ลำพังม็อบที่นำโดย "สุเทพ" ไม่สามารถทำอะไรรัฐบาลได้ ถ้าไม่เปิดประตูเรียกทหาร หรือศาลเข้ามาล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์

อย่างไรก็ตาม "จตุพร" ยืนยันว่า แม้ม็อบราชดำเนินจะยึดสถานที่ราชการเพื่อเปิดประตูให้ทหารเข้ายึดอำนาจ คนเสื้อแดงก็จะอยู่ในที่ตั้งเท่านั้น เพราะเราเป็นรัฐบาล ยังมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ

"ถึงเขาเปิดประตูให้มีการยึดอำนาจสำเร็จ แต่ก็ไม่ง่ายเหมือนเดิม คนเสื้อแดงจะไม่ยอม แม้ทำได้แต่ก็ไม่สามารถจะรักษาอำนาจเอาไว้ได้"

ขณะที่หลังฉากแกนนำเสื้อแดงอ่านเกมของ "สุเทพ" และพวกอย่างทะลุปรุโปร่ง คาดการณ์ว่า "สุเทพ" จะนำม็อบไปปั่นป่วนตามสถานที่ราชการต่าง ๆ บางที่บุกเข้ายึด บางที่บุกล้อม เพราะเชื่อว่า "สุเทพ" จะนำม็อบปิดเกมให้ได้ภายในสิ้นเดือนนี้ 

โหรการเมืองของฝ่ายพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงทำนายว่า เหตุที่ม็อบราชดำเนินต้องเร่งจบเกม เพราะไม่อยากให้ถึงวันที่ 5 ธันวาคม จึงต้องหาทางลงให้ได้

หากเกมไม่จบ ต้องหยุดพักกลางคัน หลีกทางให้งานวันที่ 5 ธันวาคม แล้วจึงระดมคนมาใหม่ กระแสอาจจุดไม่ติดเหมือนเดิม เพราะเดือนธันวาคมเป็นช่วงเวลาที่คนชั้นกลาง รวมถึงชนชั้นนำไม่มีจิตใจร่วมชุมนุม เนื่องจากต้องการพักผ่อนช่วงปีใหม่ หากการชุมนุมเกินช่วงปีใหม่ก็จะติดเทศกาลตรุษจีน-วาเลนไทน์ ซึ่งไม่เหมาะกับการชุมนุมอย่างยิ่ง

"เทียบกับตอนที่คนเสื้อแดงถูกกวาดในเดือน เม.ย. 2552 เราพร้อมจะกลับมาชุมนุมในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน แต่เราไม่จัดชุมนุมในเดือนนั้น เพราะจะติดเทศกาลต่าง ๆ มากมาย เราจึงนัดชุมนุมคนเสื้อแดงอีกครั้งในวันที่ 12 มีนาคม 2553 ซึ่งเป็นช่วงหน้าร้อน ฝนไม่ตก ติดเพียงเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น"

"ประกอบกับคนชั้นกลางและคนใต้ที่เข้ามาร่วมชุมนุมไม่เคยลำบาก ไม่อึด ไม่ทนเหมือนคนเสื้อแดง และคนกลุ่มนี้ต้องกลับไปทำงาน หากไม่ปิดเกมเร็วม็อบราชดำเนินคนจะน้อยลงเรื่อย ๆ" แกนนำเสื้อแดงอธิบายยุทธศาสตร์การชุมนุม

ดังนั้น สถานการณ์ในวันนี้ วอร์รูมแกนนำเสื้อแดงวิเคราะห์ว่า โอกาสที่จะเอื้อให้ฝ่ายตรงข้ามปิดเกมได้สำเร็จคือ ใช้องค์กรอิสระพิฆาตฝั่งพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการวินิจฉัยใน 5 ประเด็นของ ป.ป.ช.

แต่ทั้งนี้ ประเมินว่า ป.ป.ช.จะไม่เล่นตามเกม เพราะหากปิดเกมเร็วตามที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการ บ้านเมืองอาจถึงคราวพังพินาศได้

"พรรคเพื่อไทยจับสัญญาณความผิดปกติตั้งแต่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ลาออกจากการเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ และจากการเป็นตุลาการแล้ว เพราะนายวสันต์ไม่อยากรับงานที่มีการตั้งธงตัดสินเป็นลบกับพรรคเพื่อไทย เพราะที่ผ่านมานายวสันต์ไม่ได้ตัดสินเป็นลบกับพรรคเพื่อไทยเลยจึงรู้สึกกดดัน" 

เมื่อพรรคเพื่อไทย+คนเสื้อแดง ฟันธงว่า พรรคประชาธิปัตย์-ศาลรัฐธรรมนูญ-ป.ป.ช.แบ่งหน้า-แบ่งลูกกันเล่น เพื่อล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ล้างระบอบทักษิณ

หากไม่กี่อึดใจหลังจากนี้ ป.ป.ช.ตัดสินเป็นลบต่อ ส.ส.และ ส.ว. 312 คน จนเกิดภาวะสุญญากาศในสภา หรืออีกนัยหนึ่งคือการรัฐประหารโดยตุลาการภิวัตน์ หรือทหารเข็นรถถังออกมาล้างกระดานอีกครั้ง 

คนเสื้อแดงที่วันนี้อยู่ในที่ตั้ง อาจต้องผนึกกำลังออกมาทำสงคราม ทวงสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไป

บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามด้วยใจระทึก


 

เมื่อถูกกลายเป็นผิด:พระไพศาล

ในหนังสือเรื่อง Mindful Politics ซึ่งรวบรวมทัศนะชาวพุทธอเมริกันเกี่ยวกับสังคมและการเมือง ริชาร์ด รีออค (Richard Reoch) ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในสำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งในอเมริกา ซึ่งให้แง่คิดอย่างน่าสนใจ

เรื่องของเรื่องก็คือ สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนั้นเห็นว่าควรมีการอบรมให้สมาชิกมีความรู้และทักษะการระงับความขัดแย้งด้วยสันติวิธี  เพราะเห็นว่าสอดคล้องกับคำสอนทางพุทธศาสนา จึงได้เชิญวิทยากรผู้หนึ่งมาจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในช่วงเสาร์อาทิตย์  วิทยากรผู้นี้ไม่ใช่ชาวพุทธ แต่ก็เข้าใจแนวคิดและอารมณ์ความรู้สึกของคนกลุ่มนี้พอสมควร

วันที่สองของการอบรมซึ่งจัดในห้องสวดมนต์  วิทยากรชวนทำกิจกรรม “สวมบทบาท” โดยให้สมาชิกสองคนรับบทเป็น “ตัวประกัน” ซึ่งถูกผู้ก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งจับตัวไป  คนที่เหลือสวมบทบาทเป็นผู้เจรจาเพื่อให้สองคนนั้นได้รับอิสรภาพ  ส่วนวิทยากรรับบทเป็นผู้ก่อการร้าย  เมื่อชี้แจงบทเรียบร้อยแล้ว เขาก็ควักบุหรี่ออกมาสูบ

หนึ่งในผู้อบรมประท้วงทันทีว่า “ขอโทษครับ ห้ามสูบบุหรี่ในห้องสวดมนต์” แต่เขาทำทีไม่สนใจ ยังคงสูบต่อไป  ครั้นถูกทักท้วงหนักเข้า  เขาก็พูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “ กฎระเบียบอะไรของคุณ ผมไม่สนใจหรอก  คุณอยากเจรจาเรื่องสูบบุหรี่ หรืออยากให้เพื่อนของคุณได้อิสรภาพ?”

“เราจะไม่เจรจากับคุณจนกว่าคุณจะเคารพห้องสวดมนต์ของเรา” อีกคนหนึ่งยืนกราน

“โอเค หยุดสูบก็ได้” ว่าแล้วผู้ก่อการร้ายก็เดินไปที่แท่นบูชา สูบบุหรี่เฮือกใหญ่ แล้วก็ขยี้ก้นบุหรี่บนพระเพลา(ตัก)ของพระพุทธรูป

ทุกคนในห้องนิ่งอึ้งไปหมด ตอนนี้ไม่มีใครสนใจการสวมบทบาทแล้ว ต่างวิ่งไปดูว่าพระพุทธรูปเสียหายหรือไม่

“คุณรู้ไหมว่าทำอะไรลงไป”มีคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “นี่พระพุทธรูปนะ”

“ผมไม่สนใจ นี่ไม่ใช่พระพุทธรูปของผม  และนี่ก็ไม่ใช่ห้องสวดมนต์ของผม  ตอนนี้ผมหยุดสูบบุหรี่แล้ว  พวกคุณอยากเจรจาเรื่องเพื่อนของคุณหรือเปล่า ไม่งั้นผมก็จะออกจากห้องนี้ไป”

ตอนนี้ทุกคนพากัดเดือดดาล  ไม่มีใครสนใจเรื่องการเจรจาปล่อยตัวประกันแล้ว  เพราะโกรธเคืองที่เขาดูหมิ่นพระพุทธรูป  ชายคนหนึ่งเดินไปหาเขาแล้วพูดว่า “เราเชิญคุณมาที่นี่เพื่อจัดอบรม  เรารู้ว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ของคุณและคุณก็ไม่ได้นับถือพุทธ  แต่นี้คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเรา  เราขอให้คุณเคารพสถานที่แห่งนี้”

“คุณอยากรู้ว่าผมเคารพสถานที่นี้แค่ไหนหรือ?” ว่าแล้วเขาก็เดินไปมุมห้องแล้วฉี่ใส่พื้น

เท่านั้นแหละทุกคนอดใจไม่อยู่ กรูไปหาเขา แล้วกลุ้มรุมทำร้ายเขา บ้างก็เตะ บ้างก็ต่อย จนเขาล้มลง แต่ก็พาตัวหนีออกมาได้ พร้อมกับบอกให้ “ตัวประกัน” เป็นอิสระ ก่อนที่เขาจะออกจากห้องสวดมนต์นั้น แล้วไม่กลับมาอีกเลย

การอบรมครั้งนั้น แทนที่จะทำให้ผู้คนเชื่อมั่นและมีทักษะทางด้านสันติวิธีมากขึ้น  กลับลงเอยด้วยความรุนแรง  นักปฏิบัติธรรมซึ่งรักสงบเคร่งในศีล  บางคนกินมังสวิรัตินานนับสิบปีด้วยซ้ำ แต่เหตุใดกลับลงมือเตะต่อยทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน?

อันที่จริงเหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มขึ้นจากเรื่องสมมุติ  พฤติกรรมของวิทยากรผู้นั้นก็เป็นแค่การแสดง แต่ทำไมจึงกลายเป็นเรื่องจริงจังจนเกิดการทะเลาะวิวาทขึ้นมาได้  คำตอบก็คือ เป็นเพราะความลืมตัวของผู้เข้าอบรม  และที่พวกเขาลืมตัวก็เพราะเห็นความไม่ถูกต้องเกิดขึ้น ซ้ำร้ายเป็นความไม่ถูกต้องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตนสักการะบูชาเสียด้วย

คนเหล่านี้เคารพสักการะพระพุทธเจ้า(และสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้อง)เป็นอย่างมาก จนเห็นว่าเป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้  ครั้นมีคนแตะต้องสิ่งเหล่านั้น ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่การแสดง เขาก็รู้สึกถูกกระทบอย่างรุนแรง เกิดความโกรธจนลืมตัว

คนเหล่านี้เห็นว่าความรุนแรงไม่ดี  สวนทางกับคำสอนของพระพุทธองค์ จึงเห็นความสำคัญของการฝึกฝนสันติวิธี  แต่เมื่อลืมตัวเพราะถูกความโกรธครอบงำเสียแล้ว ก็ลืมไปเลยว่ากำลังอบรมเรื่องสันติวิธีอยู่   พร้อมจะทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่งทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือขัดกับคำสอนของพระองค์  ทั้งนี้เพื่อรักษา “ความถูกต้อง”  เอาไว้

ความถูกต้องนั้น เป็นสิ่งที่ดีก็จริง แต่ถ้ายึดติดถือมั่นมาก ก็สามารถผลักดันให้ทำสิ่งที่ผิดได้  เพราะยิ่งยึดติดถือมั่นมากเท่าไร ก็ยิ่งโกรธเกลียดได้ง่ายจนลืมตัว เมื่อสิ่งที่ยึดติดถือมั่นถูกกระทบ หรือเมื่อเจอสิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่ยึดติดถือมั่น  และเมื่อลืมตัวเสียแล้ว ก็พร้อมจะทำสิ่งที่เลวร้ายหรือตรงข้ามกับสิ่งที่ตนเชื่อ

อันที่จริงถ้ามีสติ ก็จะรู้ว่าสิ่งที่วิทยากรผู้นั้นทำก็คือ การสร้างสถานการณ์ยั่วยุเพื่อฝึกให้เขาเหล่านั้นคิดหาทางออกอย่างสันติ   วิทยากรผู้นั้นเลือกที่จะใช้โจทย์ยาก ๆ คือเรื่องที่กระทบกับความเชื่อหรือทิฐิของคนเหล่านั้น ชนิดที่กระเทือนไปถึงอัตตา  แต่เป็นเพราะผู้เข้าอบรมนั้นมัวแต่ส่งจิตออกนอก จอจ่ออยู่กับการกระทำที่ “ไม่ถูกต้อง” จนลืมกลับมาดูจิตของตน  จึงถูกความโกรธเล่นงาน  ผลก็คือแทนที่จะเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่างสันติ  กลับทำสิ่งเลวร้ายซึ่งสวนทางกับหลักธรรมในพุทธศาสนา  พูดอีกอย่างก็คือ  สมาชิกสำนักปฏิบัติธรรมเหล่านั้นล้วนสอบตก ทั้งในฐานะชาวพุทธและผู้ใฝ่สันติวิธี

ในความเป็นจริง  โจทย์ดังกล่าวมิใช่เรื่องเกินเลย  ข่าวคราวทำนองนี้เกิดขึ้นเนือง ๆ อันเป็นธรรมดาของยุคนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความหลากหลายทางความคิดความเชื่อ รวมทั้งมีการปะทะทางศาสนาและวัฒนธรรมอยู่เสมอ   ความรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเคารพเทอดทูนถูกละเมิดหรือจ้วงจาบ นับวันจะเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า  นี้คือโจทย์ประเภทหนึ่งที่คนทุกฝ่ายทุกความเชื่อจะต้องเตรียมตัวรับมือ  สำหรับชาวพุทธ  การตอบโต้พฤตกรรมดังกล่าวมิอาจเป็นอื่นได้ นอกจากการใช้สันติวิธี เพราะนั่นคือสิ่งที่ยืนยันความเป็นชาวพุทธอย่างแท้จริง

อย่าว่าแต่การกล่าวร้ายหรือจ้วงจาบสิ่งที่เรารักเลย แม้กระทั่งเมื่อมีผู้ทำร้ายเรา พระพุทธองค์ก็ได้ให้ข้อธรรมเตือนใจว่า “หากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้า เอาเลื่อยที่มีด้ามสองข้าง เลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่ ผู้มีจิตคิดร้ายแม้ในโจรพวกนั้น ก็ไม่ชื่อว่าทำตามคำสั่งสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น แม้ในข้อนั้น เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรผัน เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ จักหวังอนุเคราะห์สิ่งที่เป็นประโยชนั มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะภายใน แผ่เมตตาจิตไปถึงบุคลนั้น”

การจ้วงจาบพระพุทธรูป ทำลายวัดวาอารามนั้น ไม่สามารถทำให้พุทธศาสนาคลอนแคลนได้  ตราบใดที่ชาวพุทธยังมั่นคงในหลักธรรม  แต่เมื่อใดที่ชาวพุทธประพฤติตนคลาดเคลื่อนจากหลักธรรมแล้ว แม้มีพระพุทธรูปใหญ่ที่สุดในโลก มีวัดวาอารามที่งดงามมาก  สถานะของพุทธศาสนาก็นับว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

ความเคารพในพระพุทธรูปหรือสัญลักษณ์ในพุทธศาสนา เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของชาวพุทธ  สามารถน้อมใจให้เป็นกุศล เกิดศรัทธาในการทำความดีได้ แต่ถ้ายึดติดถือมั่นในสิ่งนั้นจนกลายเป็น “ตัวกู ของกู”ขึ้นมา มันก็สามารถผลักดันให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้  แทนที่จะทำเพื่อปกป้องศาสนา อาจกลายเป็นการทำเพื่อปกป้อง “ตัวกู ของกู”ก็ได้   ซึ่งลงท้ายกลายเป็นการบั่นทอนศาสนาหรือสิ่งที่ตนเทอดทูนสักการะ ดังที่กำลังเกิดขึ้นโดยพระพม่าและศรีลังกาที่ใช้ความรุนแรงกับชาวมุสลิมในนามของการปกป้องพุทธศาสนาในเวลานี้

ไม่ใช่แต่พุทธศาสนาเท่านั้น อุดมการณ์อันสูงส่งใด ๆ  หากยึดติดถือมั่นเสียแล้ว ก็สามารถส่งผลให้ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับอุดมการณ์เหล่านั้นก็ได้  ในทำนองเดียวกันยิ่งยึดมั่นในความดีความถูกต้องมากเท่าไร ก็อาจลืมตัวจนทำสิ่งที่ผิดก็ได้  นี้ใช่ไหมที่ทำให้คนดี ๆ เห็นด้วยกับการฆ่าตัดตอนพ่อค้ายาเสพติด หรือเข้าไปรุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหาฆ่าข่มขืนจนตายคาที่ รวมทั้งทำให้ผู้รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ พากันกลุ้มรุมทำร้ายและทรมานนักศึกษาในเหตุการณ์ ๖ ตุลา ฯ ๒๕๑๙จนถึงตาย

“ถึงความเห็นของเราจะถูก แต่ถ้าเรายึดเข้าไว้ มันก็ผิด”  คำสอนสั้น ๆ ของหลวงพ่อเฟื่อง โชติโก อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง สามารถเตือนใจทุกคนได้เป็นอย่างดี ไม่เฉพาะกับชาวพุทธเท่านั้น