PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

ผบ.ตร.รับจับตา บิ๊กจิ๋ว เคลื่อนไหวใต้

เมื่อวันที่ 28เมษายน  ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง  ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) แถลงถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ลานจอดรถห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล สาขาเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ว่า หลังจากที่มีการออกหมายผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ไปแล้ว 6 คน ในเร็วๆนี้ก็เตรียมจะออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 2 คน  มีทั้งพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และประจักษ์พยานที่ชี้ชัดว่าทั้งหมดร่วมอยู่ในขบวนการ  



โดยสรุปตอนนี้เจ้าหน้าที่ทหารสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุคาร์บอมบ์โดยกฎหมายพิเศษได้แล้วประมาณ 10 กว่าคน ในจำนวนนี้มีผู้ที่ถูกควบคุมตัวโดยหมายจับตามพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 11 (1) ทั้งหมด 2  คน และเร็วๆนี้เตรียมจะออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 2 คน และขณะนี้ยังไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปได้ว่าผู้ต้องสงสัยทั้งหมดเป็นสมาชิกของกลุ่มขบวนการใด ต้องรอให้มีพยานหลักฐานที่แน่ชัดก่อน


ส่วนกระแสข่าวกรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกพาดพิง พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่ารับรู้กระแสข่าวดังกล่าวมาจากสื่อมวลชนต่างๆเช่นกัน ล่าสุดตำรวจสันติบาลรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ชวลิต ได้ลงพื้นที่ภาคใต้เป็นประธานในงานเลี้ยงสังสรรค์ครบรอบ 7 ปี การก่อตั้งชมรมปิยะมิตรไทย และรำลึกครบรอบ 28 ปี การเข้าร่วมพัฒนาชาติไทย ของอดีตกลุ่มโจรคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) ที่ โรงแรม ลี การ์เด้นส์ พลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทั้งตำรวจและทหารก็ได้เฝ้าระวังจับตาการเคลื่อนไหวจัดกิจกรรมดังกล่าวอย่างใกล้ชิด แต่ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้เจาะจงที่กลุ่มหนึ่งกลุ่มใด หรือบุคคลใดเป็นกรณีพิเศษ แต่ได้เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองทุกกลุ่ม

 

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า หากการเคลื่อนไหวของ พล.อ.ชวลิต เป็นการจัดกิจกรรมพบปะสังสรรค์ตามประสาผู้ที่มีความสนิทสนมกันปกติ ไม่ได้สร้างความเสียหาย ก็สามารถกระทำได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่เจ้าหน้าที่ก็ต้องเฝ้าระวังจับตาไปตามหน้าที่ เมื่อถามว่าที่ต้องจับตาการเคลื่อนไหว เพราะเพิ่งเกิดเหตุคาร์บอมบ์ หรือไม่  ผบ.ตร. กล่าวว่า  ไม่เกี่ยว แต่เป็นการจับตาความเคลื่อนไหวของหน่วยความมั่นคง ที่ต้องทำโดยปกติเป็นข้อมูลไว้ 

เนื้อหาเป็นภัยความมั่นคง! “นที ศุกลรัตน์”แจงเหตุถอนใบอนุญาต“พีซ ทีวี”

เนื้อหาเป็นภัยความมั่นคง! “นที ศุกลรัตน์”แจงเหตุถอนใบอนุญาต“พีซ ทีวี” เตือนหลายครั้ง แต่ทำผิดซ้ำซาก
Cr:ผู้จัดการ
“นที ศุกลรัตน์” ประธาน กสท.โพสต์เฟซบุ๊กย้ำสาเหตุเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์“พีซทีวี” ทีวีเสื้อแดง ระบุเนื้อหาที่ออกอากาศเป็นภัยต่อความมั่นคง มีการตักเตือน ทำความเข้าใจ หลายครั้งหลายวาระ แตยังตีมึน นำเสนอเนื้อหาในลักษณะเช่นเดิม เผยที่ประชุมได้ข้อสรุปเพราะ“ทำความผิดซ้ำซาก”
วันนี้ (27 เม.ย.) มีรายงานว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์(กสท.) ที่มี พอ.ดร. นที ศุกลรัตน์ เป็นประธาน มีมติให้มีการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ของสถานี พีซทีวี(PEACE TV) แล้ว
ก่อนหน้านี้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้มีหนังสือด่วนที่สุด สทช. 4012/11009 ลงงวันที่ 9 เม.ย.58 พิจารณาโทษทางปกครอง กรณีสถานี "พีซ ทีวี " ออกอากาศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดเงื่อนไขและประกาศ คสช.ฉบับที่ 97/2557 โดยมีคำสั่งให้ปิดสถานีโทรทัศน์ "พีซ ทีวี " เป็นเวลา 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.58 เป็นต้นไป โดยมีเอกสารประกอบหนังสือด่วนที่สุดจำนวน 14 หน้ากระดาษ และสามารถเปิดสถานีแพร่ภาพตามปกติไปเมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา
มีรายงานว่า อย่างไรก้ตาม เพจเฟซบุ๊คสถานีโทรทัศน์ "พีซ ทีวี "ยังคงดำเนินการอยู่ปกติ แต่ไม่มีการรายงานว่า สถานีจะถูกปิดแต่อย่างใด
ด้าน พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท. โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุกรณีการเพิกถอนใบอนุญาต พีซ ทีวี มีใจความว่า
1. วันนี้ กสท. ได้พิจารณาข้อร้องเรียนช่องรายการพีซ ทีวี ซึ่งเป็นการพิจารณาตามบันทึกข้อตกลงที่ทาง บ. พีซ เทเลวิชั่น จำกัด กับทาง กสทช.
2. หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อ 22 พ.ค.57 ได้มีช่องรายการโทรทัศน์ดาวเทียมจำนวนหนึ่งถูกยุติการออกอากาศตามคำสั่ง คสช.
3. เหตุของการถูกสั่งยุติการออกอากาศเนื่องมาจากช่องรายการเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองของประเทศมาโดยต่อเนื่อง
4.ต่อมาช่องรายการเหล่านี้ได้รับการอนุญาตให้ออกอากาศอีกครั้งโดยจะต้องมีการยอมรับข้อตกลงกับทาง กสทช. ในการระมัดระวังการออกอากาศ
5. โดยช่องรายการตกลงที่จะไม่ออกอากาศเนื้อหาที่ส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่น ให้เกิดความขัดแย้ง และสร้างให้เกิดความแตกแยก
6. กรณีของช่องรายการพีซ ทีวี ก็เป็นช่องรายการหนึ่งที่ได้ทำข้อตกลงดังกล่าว และได้มีข้อร้องเรียนการกระทำที่ฝ่าฝืนข้อตกลงมาตามลำดับ
7. ได้มีการตักเตือน ทำความเข้าใจ ในระดับของอนุกรรมการด้านเนื้อหารายการ ของ กสทช. หลายครั้ง/หลายวาระด้วยกัน ตั้งแต่ ต.ค.57
8. แต่ พีซ ทีวี ก็ยังคงนำเสนอเนื้อหาในลักษณะเช่นเดิมจนอนุกรรมการฯ ได้เสนอ กสท. เพื่อพิจารณาข้อร้องเรียนของ พีซ ทีวี เมื่อ 23 มี.ค.58
9. โดย กสท. ได้มีมติในการประชุมเมื่อ 23 มี.ค.58 ให้ตักเตือน พีซ ทีวี เป็นลายลักษณ์อักษรให้ปฏิบัติตามกฎหมาย และที่กำหนดในข้อตกลง
10. ต่อมา พีซ ทีวี ยังคงออกอากาศรายการที่ยังขัดต่อข้อตกลงดังกล่าวอีก จนกระทั่ง กสท. ได้มีมติในการประชุมเมื่อ 30 มี.ค.58 ให้พักใช้ใบอนุญาต
11. โดยการพักใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการดังกล่าวส่งผลให้ พีซ ทีวี ต้องยุติการออกอากาศเนื้อหารายการตั้งแต่ 10 เม.ย.58 จนถึง 17 เม.ย.58
12. เมื่อ พีซ ทีวี ออกอากาศอีกครั้งใน 18 เม.ย.58 ก็ได้มีการออกอากาศเนื้อหาใน 18 เม.ย.58 มีเนื้อหาละเมิดต่อข้อตกลงฯ ในลักษณะเช่นเดิม
13. ดังนั้นสำนักงานได้นำเสนอวาระต่อที่ประชุม กสท. เพื่อพิจารณากรณีดังกล่าว ที่ประชุมจึงได้มีมติให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการฯ
14. ซึ่งมติดังกล่าว กสท. เป็นการพิจารณาตามกระบวนการมาเป็นลำดับ ด้วยการทำความเข้าใจ แจ้งเตือน พักใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการฯ
15. เมื่อ กสท. ได้พิจารณาถึงการกระทำโดยถี่ถ้วนว่าเป็นลักษณะเข้าข่ายการกระทำที่เป็นความผิดซ้ำซาก ที่ประชุมจึงได้มีมติดังกล่าว ครับ


"จากใจนายกรัฐมนตรี"

"จากใจนายกรัฐมนตรี" โดยระบุว่า
"ผม อยากเรียนว่า รัฐบาลชุดนี้ เข้ามารับหน้าที่อันหนักหนาในช่วงเวลาที่ไม่อาจละเลยหรือหลีกเลี่ยงได้ ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เพียงแต่ต้องดำเนินการเพื่อยุติปัญหาภายในประเทศอันเกิดจากความเข้าใจที่แตกต่างกันและปัญหานานัปการจากความอ่อนแอและไร้วินัยของการบริหารจัดการในอดีตที่ทำให้ชะงักงัน
ในขณะเดียวกันยังต้องบริหารประเทศเพื่อให้ยืนหยัดท่ามกลางสถานการณ์รุมเร้าจากภายนอก อันเนื่องจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก เงื่อนไขทางการค้าการลงทุนที่เข้มข้นขึ้นและกติการะหว่างประเทศที่ต้องยึดปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล ผมอยากเรียนทุกท่านจากใจว่าตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจก้าวเข้ามารับผิดชอบประเทศจนถึงวันนี้ในฐานะนายกรัฐมนตรี เจตนารมณ์ของผมที่ต้องการเห็นประเทศไทยสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง และอยู่ในครรลองของความมีคุณธรรมและความยุติธรรม ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมและจะไม่มีวันเปลี่ยนไป
สิ่งที่ผมปราถนาคืออยากเห็นพี่น้องประชาชนทุกท่านมีความรักและความสามัคคีเป็นเจ้าของประเทศที่เห็นประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง เชิดชูสถาบันขาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ และความสงบสุขมั่นคงของชาติเป็นหลักชัยของแผ่นดิน
ผมขอให้คำมั่นสัญญาว่ารัฐบาลจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตและด้วยหัวใจของชาติทหารที่พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องประชาชนทุกคน ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจครับ"


กองทัพส่งกำลังพล แพทย์ทหาร ทหารช่าง ไปช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ที่เนปาล

พลเอก สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ รองเสธ.ทหาร ร่วมส่งกำลังพล แพทย์ทหาร ทหารช่าง ของกองทัพไทย และเหล่าทัพ ไปช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ที่เนปาล ออกเดินทางจาก บน.6 (2) ทอ.ดอนเมือง เช้านี้ 0800 น. โดย C-130 บิน 5 ชม. โดยมี พลตรี ปริญญา ขุนนาศรี รองเจ้ากรมยุทธการทหาร เป็น หัวหน้าคณะช่วยเหลือ


สหรัฐฯประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและใช้มาตรการเคอร์ฟิวในเมืองบัลติมอร์แล้ว

ทางการสหรัฐฯ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและใช้มาตรการเคอร์ฟิวในเมืองบัลติมอร์แล้ว หลังเกิดจลาจลเดือด ทั้งปล้นร้านค้า และเผาทำลายรถตำรวจ ทรัพย์สินสาธารณะ แค้นหนุ่มผิวสีโดนตำรวจซ้อมจนเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานประเทศสหรัฐฯ ชักเกิดเหตุจลาจลรุนแรงต่อต้านตำรวจถี่ขึ้น โดยเมื่อวันที่ 28 เม.ย. นายแลร์รีย์ โฮแกน ผู้ว่าการรัฐแมรีแลนด์ ของสหรัฐฯ ถึงกับต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเมืองบัลติมอร์ ซึ่งอยู่ในรัฐแมรีแลนด์ พร้อมกับระดมกำลังเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันชาติ นับ 5,000 นาย เข้าควบคุมสถานการณ์ในเมืองบัลติมอร์ ท่ามกลางการเกิดเหตุจลาจลรุนแรง ประชาชนออกมาประท้วงต่อต้านเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยความโกรธแค้น ทั้งปล้น และจุดไฟเผารถตำรวจ และทรัพย์สินสาธารณะในหลายพื้นที่ จนเกิดการปะทะกับกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 15 นาย ขณะที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงโดนจับกุมแล้วราว 30 คน
โดยเหตุจลาจลในเมืองบัลติมอร์ เกิดขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นพิธีฝังศพ นายเฟรดดี เกรย์ หนุ่มอเมริกันผิวสี เชื้อชาติแอฟริกัน วัย 25 ปี ซึ่งเสียชีวิตเมื่อ 19 เม.ย. จากการได้รับบาดเจ็บสาหัสที่กระดูกสันหลัง ระหว่างเขาถูกจับกุมในข้อหาพกมีด และโดนควบคุมตัวอยู่ในห้องขังของสำนักงานตำรวจ ตั้งแต่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา และขณะนี้ ทางการได้สั่งพักงานตำรวจ 6 นาย ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว
รายละเอียด .. . http://www.thairath.co.th/content/495723


'ถวิล เปลี่ยนศรี'ให้ถ้อยคำป.ป.ช. พยาน'มาร์ค'คดีสลายม็อบแดง53

'ถวิล เปลี่ยนศรี'ให้ถ้อยคำป.ป.ช. พยาน'มาร์ค'คดีสลายม็อบแดง53
Cr:แนวหน้า
28 เม.ย.58 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถนนสนามบินน้ำ นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เข้าให้ถ้อยคำต่อองค์คณะไต่สวน ป.ป.ช.ในฐานะพยานของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรณีถูกกล่าวหาสั่งการสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 53
โดย นายถวิล เปิดเผยก่อนเข้าให้ถ้อยคำว่า ป.ป.ช.น่าจะมีการสอบถามถึงการควบคุมสถานการณ์ในขณะนั้น เพราะมีการตั้งข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่ามีการใช้กำลังจนทำให้มีผู้ชุมนุมเสียชีวิต ตนก็คงจะมาชี้แจงว่าเราได้ควบคุมสถานการณ์ในช่วงนั้นอย่างไร การชุมนุมในช่วงเวลาดังกล่าวก็ต้องถือว่าเป็นการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรง ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมมีการเคลื่อนขบวนไปปิดล้อมสถานที่ต่างๆ ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มที่ใช้อาวุธ หรือกลุ่มชายชุดดำ ใช้อาวุธกระทำต่อสถานที่ และเจ้าหน้าที่ในหลายเหตุการณ์ เริ่มตั้งแต่เดือน ก.พ.53 ที่กลุ่มชายชุดดำได้ปะปนกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งก่อเหตุทั้งในนอกพื้นที่ชุมนุม อาทิ บริเวณแยกราชประสงค์ ที่มีการใช้ความรุนแรงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่หลายครั้ง รวมทั้งบริเวณสวนลุมพินี โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่เจ้าหน้าที่ได้ตั้งจุดตรวจรอบพื้นที่ชุมนุม ในมาตรการที่เรียกว่ากระชับวงล้อมและกระชับพื้นที่ และได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ว่า มีการจู่โจมเจ้าหน้าที่ตามจุดตรวจรอบพื้นที่ชุมนุมโดยชายชุดดำ จึงทำให้เกิดการสูญเสียเกิดขึ้น
นายถวิล กล่าวอีกว่า เรื่องของการสลายการชุมนุมนั้น ในช่วงการควบคุมสถานการณ์ช่วง เม.ย. - พ.ย.53 รวมทั้งเหตุการณ์ความวุ่นวายในปี 52 นั้น ทางเจ้าหน้าที่ไม่มีการใช้กำลังใช้การสลายการชุมนุม เพราะในปี 52 ไม่มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตเลย ส่วนในปี 53 ตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค.53 จนถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ก็ไม่มีการใช้กำลังเข้าไปสลายการชุมนุม ที่ตนพูดเช่นนี้ไม่ได้เป็นการเล่นคำ หรือหลีกเลี่ยงคำว่าสลายการชุมนุม แต่เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะไม่มีการสลายการชุมนุม ซึ่งเหตุการณ์ที่ถูกผู้ชุมนุมเรียกว่าเป็นการสลายการชุมนุมมี 2 เหตุการณ์ คือเหตุการณ์ในวันที่ 10 เม.ย.53 บริเวณแยกคอกวัว ซึ่งเป็นการขอคืนพื้นที่ ส่วนอีกเหตุการณ์ในช่วง 11 - 19 พ.ค.นั้น ก็ไม่ได้เป็นการใช้กำลังสลายชุมนุม แต่เป็นการกระชับวงล้อม ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้กำลังเข้าไปสลายการชุมนุม แม้แต่ในวันที่ 19 พ.ค.53 ที่มีการยุติสถานการณ์โดยแกนนำประกาศยุติการชุมนุมเอง หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์จลาจลมีการเผาสถานที่ต่างๆ ในกรุงเทพรวม 37 จุด และเผาศาลากลางจังหวัดอีก 4 แห่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่เองก็ยุติสถานการณ์เพียงแค่นั้น ไม่ได้เข้าไปสลายการชุมนุม
ผู้สื่อข่าวถามว่า ส่วนที่มีการระบุว่าพบการใช้กระสุนจริงในพื้นที่แยกราชประสงค์ นายถวิล กล่าวว่า หลังจากการชุมนุมยุติลง ในวันที่ 20 พ.ค.เจ้าหน้าที่ก็ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ชุมนุม ซึ่งก็พบอาวุธในพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ สวนลุมพินี รวมทั้งในวัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นอาวุธสงครามทั้ง M79 ลูกระเบิดเพลิง ระเบิดขว้าง เมื่อถามต่อว่า มองว่าอาวุธที่พบไม่ใช่อาวุธที่เจ้าหน้าที่ใช้ใช่หรือไม่ นายถวิล กล่าวว่า ก็ไม่แน่ เพราะก่อนหน้านั้นวันที่ 10 เม.ย.เจ้าหน้าที่ได้รับการกำชับว่าให้ใช้กระบองและโล่ ห้ามใช้อาวุธกับผู้ชุมนุมเป็นอันขาด จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10 เม.ย.มีความสูญเสียเกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ทหาร อาทิ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และยังมีประชาชนสูญเสียอีกรวม 26 คน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงรู้ว่ามีการใช้อาวุธจากผู้ชุมนุม และในวันดังกล่าวก็เป็นครั้งแรกที่มีการปรากฏตัวของชายชุดดำ จนมีการอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธ ซึ่งก็ต้องใช้ให้เป็นไปตามกฎ 7 ขั้นตอน
เมื่อถามว่า กรณีที่ศาลอาญาเคยมีคำวินิจฉัยสาเหตุการณ์เสียชีวิตของผู้ชุมนุมว่าเกิดจากการใช้อาวุธ นายถวิล กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องการพิสูจน์การตาย ซึ่งมีหลายกรณี เช่น กรณี นายพัน คำกอง ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มี นายธาริต เพ็งดิษ ในฐานะอธิบดี ในขณะนั้น ได้มีการพิสูจน์การเสียชีวิตตามที่ศาลมีคำวินิจฉัย และได้มีการกล่าวหานายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ว่าทำให้มีผู้เสียชีวิต ก็คือข้ามว่ามีคนสั่งถึงมีคนตาย แต่ใครทำให้ตายนั้นมีรู้ ข้ามช่วงกลางไป แล้วเองช่วงปลายว่ามีคนตาย จึงได้ตั้งข้อกล่าวหากับบุคคลทั้ง 2 ว่าฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ทำให้มีผู้เสียชีวิต ซึ่งกรณีดังกล่าวศาลอาญาก็ได้ยกฟ้องไปแล้ว โดยระบุว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช.


จ่อตั้งลูก"บิ๊กจ๊อด"นั่งปธ.กองสลาก ชี้"บิ๊กตู่"สั่งเอง ให้เรียนรู้งานมาระยะหนึ่งแล้ว


http://www.matichon.co.th/online/2015/04/14301968521430196871l.jpg

นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง กล่าวถึงการลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ว่า คงต้องรอดูหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการก่อน พร้อมกับต้องหารือหลักการกันว่า การแต่งตั้งประธานคนใหม่ จะเป็นคนในกระทรวง หรือเป็นคนนอกอย่างที่มีกระแสข่าว ซึ่งหากเป็นคนนอกก็ต้องใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี มาตรา 44 ในการแต่งตั้ง

ส่วนจะใช้มาตรา 44 แก้ปัญหาหวยแพงในประเด็นอื่น ๆ ด้วยหรือไม่นั้น ประเด็นเหล่านี้ต้องถามนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลด้านกฏหมาย เพราะไม่ควรจะนำมาตรา 44 มาใช้อย่างฟุ่มเฟือย

แหล่งข่าวจากสำนักงานสลากฯ กล่าวว่า จะมีการใช้มาตรา 44 แต่งตั้ง พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) บุตรชาย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เป็นประธานสำนักงานสลากฯ คนใหม่แน่

รถบรรทุกดินพุ่งเข้าชนขบวนของสมเด็จกรมพระนโรดมรณฤทธิ์ หัวหน้าพรรคฟุนซินเปกของกัมพูชา

กรณีข่าวเกิดเหตุรถบรรทุกดินพุ่งเข้าชนขบวนของสมเด็จกรมพระนโรดมรณฤทธิ์ หัวหน้าพรรคฟุนซินเปกของกัมพูชา เมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ในขณะที่ขบวนเสด็จ วิ่งจากกำปงจามเพื่อจะกลับสู่พนมเปญ
เมื่อมาถึงยังจุดเกิดเหตุ บนเส้นทางหมายเลช 7 บริเวณตำบลเปรยชอ อยู่ๆก็มีรถบรรทุกดินวิ่งเข้ามาที่ขบวนเสด็จ พุ่งเข้าที่บริเวณกลางคัน โชคดีที่ไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย มีคนเจ็บเพียงเล็กน้อย 5 คน และโดยที่สมเด็จกรมพระนโรดมรณฤทธิ์ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ประการใด มีเพียงหม่อมอู๊ก พัลลา พระชายาองค์ที่ 2 ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ศีรษะ และถูกส่งตัวมารักษาที่ประเทศไทยตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา เนื่องจากต้องผ่าตัดศีรษะเพื่อป้องกันเลือดคั่งในสมอง ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว
เหตุการณ์ครั้งนี้ทางผู้กำกับการตำรวจจังหวัดกัมปงจาม ออกมาให้เหตุผลหลังการลงพิ้นที่ทำการสืบสวนสอบสวน โดยระบุว่าเป็นอุบัติเหตุทางถนนธรรมดา และขณะนี้กำลังส่งเจ้าหน้าที่ติดตามผู้กระทำผิดคือคนขับรถบรรทุกที่อยู่ระหว่างหลบหนี คาดว่าคงได้ตัวในไม่ช้านี้
ในด้านของโฆษกพรรคนายเน็บ บุน ชิน ผู้ที่อยู่ร่วมในขบวนในวันที่เกิดเหตุ ได้กล่าวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เป็นอุบัติเหตุธรรมดา เนื่องจากในช่วงเกิดเหตุ ขบวนเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และบนถนนการจลาจรก็มิได้เลวร้ายใดๆ เพียงช่วงที่เกิดเหตุ รถบรรทุกคันดังกล่าวที่สวนทางมา พยายามขับแซงรถคันหน้า ทั้งๆที่รู้ว่าขบวนของสมเด็จกำลังเคลื่อนตัวอยู่ ใช้เวลาไม่นานก็จะผ่านไป ซึ่งนายเน็บ บุน ชิน ยืนยันว่านี่เป็นการพุ่งชนโดยตั้งใจ เนื่องจากสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์เพิ่งกลับมารับตำแหน่งประธานพรรคฟุนซินเปก
ด้านพล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาออกมากล่าวว่า ในส่วนของผู้กระทำผิด ข๊ะนี้ได้ดำเนินการตามกฏหมายทุกขั้นตอน ในส่วนที่มีการไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุนั้น พร้อมจะให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการค้นหาความจริงต่อไป


สมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันตรังขู่ปาล์มราคาตกต่ำ เตรียมปิดถนนประท้วงหากรัฐเพิกเฉย

สมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันตรังขู่ปาล์มราคาตกต่ำ เตรียมปิดถนนประท้วงหากรัฐเพิกเฉย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
27 เมษายน 2558 11:03 น. (แก้ไขล่าสุด 27 เมษายน 2558 11:27 น.)
สมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันตรังขู่ปาล์มราคาตกต่ำ เตรียมปิดถนนประท้วงหากรัฐเพิกเฉย
        ตรัง - สมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดตรัง จี้รัฐบาลให้เร่งแก้ปัญหาราคาตกต่ำอย่างหนัก ย้ำหากยังเมินเฉย เครือข่ายเกษตรกรในหลายจังหวัดภาคใต้อาจออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องปิดถนนกัน 
      
       นายชัยฤทธิ์ ถ่ายย้วน นายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดตรัง กล่าวว่า ขณะนี้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดตรัง รวมกว่า 8,000 ราย กำลังประสบปัญหาราคาปาล์มตกต่ำเหลือแค่กิโลกรัมละ 3.20 บาท ขณะเดียวกัน ก็มีปาล์มน้ำมันล้นตลาดอยู่มากกว่า 30,000 ตัน ด้านโรงงานก็ประกาศว่า จะหยุดรับซื้อ สมาคมจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาโดยด่วนที่สุด และช่วยระบายสินค้า พร้อมทวงคำสัญญาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่รับปากจะช่วยเหลือเกษตรกรที่ราคากิโลกรัมละ 5 บาท
      
       แต่มาวันนี้ปาล์มน้ำมันมีราคาต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ทำให้เกษตรกรเดือดร้อนเป็นอย่างมาก โดยขณะนี้ทราบความเคลื่อนไหวว่า เครือข่ายเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันในหลายจังหวัดภาคใต้ มีแผนจะเรียกร้องปิดถนนกันแล้ว ส่วนสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดตรัง ก็กำลังรอดูสถานการณ์อยู่ และอยากให้รัฐเร่งแก้ปัญหา ส่วนสาเหตุที่ปาล์มน้ำมันล้นตลาดในช่วงนี้เนื่องจากมีผลผลิตออกมามาก ขณะที่โรงงานสกัดอ้างว่า โรงกลั่นไม่รับซื้อ จึงระบายน้ำมันดิบออกไปไม่ได้ และคงเป็นเพราะมีการลักลอบนำปาล์มน้ำมันเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งหากรัฐบาลไม่ตอบรับการแก้ปัญหา เชื่อว่าเกษตรกรทุกจังหวัดในภาคใต้ พร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องอย่างแน่นอน โดยไม่ห่วงเรื่องมาตรา 44