PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ห้ามสั่งเข้า หรือนำเข้าหนังสือ "A Kingdom in Crisis" เพื่อเผยแพร่ในราชอาณาจักร

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ห้ามสั่งเข้า หรือนำเข้าหนังสือ "A Kingdom in Crisis" เพื่อเผยแพร่ในราชอาณาจักร
เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 609/2557เรื่อง ห้ามสั่งเข้าหรือนำเข้าสิ่งพิมพ์เพื่อเผยแพร่ในราชอาณาจักรด้วยปรากฏบทวิจารณ์หนังสือ “A Kingdom in Crisis” เขียนโดยนาย David Eimerเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ออนไลน์ “South China Morning Post” ฉบับวันที่ 4 ตุลาคม 2557และเขียนโดยนาย Andrew Buncombe เผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ออนไลน์ “The independent” ฉบับวันที่8 ตุลาคม 2557 โดยผู้เขียนบทวิจารณ์ได้สื่อถึงทัศนคติของผู้เขียนหนังสือ “A Kingdom in Crisis”และอ้างอิงถึงข้อมูลอันเป็นเนื้อหาสาระสำคัญที่ผู้เขียนนำเสนอในหนังสือ “A Kingdom in Crisis”
ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ว่าหนังสือ “A Kingdom in Crisis” เป็นสิ่งพิมพ์ที่เป็นการหมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือจะกระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
 อาศัยอำนาจตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 จึงห้ามสั่งเข้าหรือนำเข้าหนังสือ “A Kingdom in Crisis” เพื่อเผยแพร่ในราชอาณาจักร ผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งให้ริบและทำลายซึ่งสิ่งพิมพ์ดังกล่าว
                                                      สั่ง ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
                                                         พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง
                                                              ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

แฉ..เบื้องลึกสุดลับ แก็งค์สภาท่าพระเสาร์ เขาเป็นใครกันแน่ ? (ตอน 2)

วันที่ 12 พ.ย.57 แฉ..เบื้องลึกสุดลับ แก็งค์สภาท่าพระเสาร์ เขาเป็นใครกันแน่ ? (ตอน 2)
Cr:แฉ..ความลับ @ เสธ นํ้าเงิน
ช่วงนี้ แก็งค์แก็งค์สภาท่าพระเสาร์ มีการโจมตีอัดผู้นำรัฐบาล ถี่ยิบ มีการพาดหัวพุ่งเป้าโจมตีบิ๊กตู่ เรื่องให้สำรวจแหล่งพลังงานใหม่ แบบไม่เว้นแต่ละวัน และใเครือข่ายออกมาค่อนขอดโจมตี การซื้อขายที่ดินเขตบางบอน กรุงเทพฯ จำนวน 50 ไร่ มูลค่า 600 ล้านบาท ซึ่งบิดาบิ๊กตู่ ที่อายุกว่า 90 ปีแล้ว ขายให้กับบริษัท แห่งหนึ่งด้วย
ที่ดินแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนบางบอน 3 ที่ผืนนี้ปัจจุบันไม่มีการใช้ประโยชน์ ด้านหน้าติดกับถนนสายหลัก คือ บางบอน 3 ด้านหลังติดกับหมู่บ้านจัดสรร ฝั่งซ้าย และขวา รัศมีไม่เกิน 500 เมตร ก็เป็นหมู่บ้านจัดสรรเช่นกัน จึงเป็นที่ดินไข่แดงความเจริญ
ที่ดินผืนนี้ บิดาบิ๊กตู่ทำงานเป็นทหารมาทั้งชีวิต เป็นผู้ครอบครองเดิม เคยเปิดให้ชาวบ้านแถวนั้นเช่าถูกๆ ทำสวนดอกรัก ย้อนกลับไปช่วงปี 2543-2544 รัฐบาลสมัยนั้น มีโครงการขุดคลองเจ้าพระยา 2 ซึ่งจะตัดผ่านที่ดินแห่งนี้ จึงได้ออกประกาศขอเวนคืนที่ดิน ทำให้ชาวบ้านรีบขายที่ดินทิ้ง ราคาสูงถึงไร่ละ 10-12 ล้านบาท
รัฐบาลยุคต่อมา ยกเลิกโครงการนี้ พื้นที่บางบอนจึงถูกหมายปองจากทุกคนอีกครั้ง เนื่องจากราคาถูกกว่าย่านอื่น เช่น เมื่อเทียบกับที่ดินย่านถนนกัลปพฤกษ์ ซึ่งอยู่ใกล้กัน แต่ราคากลับสูงถึงไร่ละ 30-40 ล้านบาท
ช่วงประมาณปลายปี 2549-2550 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ได้เข้ามาสร้างหมู่บ้านจัดสรรย่านนี้จำนวนมาก มีการขยายถนนเป็น 4 ช่องทาง ทำให้ราคาที่ดินถีบตัวสูงขึ้นจนปัจจุบันอยู่ที่ไร่ละ 18-20 ล้านบาท
ต่อมาสมัยปูข้าวเน่า ได้บริหารผิดพลาดจนเกิดน้ำท่วมใหญ่ปี พ.ศ.2554 บิดาบิ๊กตู่ จึงได้ประกาศขายที่ดิน คนในพื้นที่ต่างก็ทราบข่าวการประกาศขายช่วงปลายปี 2554 ถึงต้นปี 2555 กันเป็นอย่างดี
จนเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2556 มีบริษัท อสังหาริมทรัพย์ มาซื้อที่ดินแปลงนี้จำนวน 50 ไร่ ของบิดา บิ๊กตู่ มูลค่า 600 ล้านบาท (เฉลี่ยไร่ละ 12 ล้านบาท) ราคาที่ขายจึงไม่ได้สูงเกินจริง อย่างที่พวกเสี้ยมทั้งหลายใส่ไฟ
โดยกฎหมายกำหนดไว้ว่า ถ้าซื้อขายที่ดินต่ำกว่าราคาประเมิน จะคิดภาษีที่ราคาประเมิน แต่ถ้าขายสูงกว่าราคาประเมิน จะคิดภาษีที่ราคาซื้อขาย ดังนั้นการซื้อขายที่ดินนี้ในราคาไร่ละ 12 ล้านบาท จึงต่ำกว่าความเป็นจริงถึงไร่ละ 8 ล้านบาท ซึ่งไม่ผิดปกติใดๆ
จากข้อมูลของ กรมธนารักษ์ ระบุว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวมีราคาประเมินอยู่ที่ตารางวาละ 2 หมื่นบาท หรือไร่ละ 8 ล้านบาท การขายที่ไร่ละ 12 ล้านบาท จึงถือว่าไม่แพง หรือสูงกว่าราคาประเมินมากเกินเกตุ เพราะเป็นที่ดินย่านนั้นที่มีความเจริญมากแล้ว
ข้อมูล จากศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ประเมินไว้เมื่อวันที่ 4 พ.ย.56 ที่ผ่านมาว่า การซื้อขายที่ ราคาไร่ละประมาณ 12 ล้านบาท ใกล้เคียงกับมูลค่าตลาด โดยราคาที่ดินแปลงเล็กประมาณ 5-10 ไร่ ติดถนนบางบอน 3 มีราคาตามการสำรวจ ไร่ละ 15-18 ล้านบาท
คนที่ทำธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ก็ประเมินว่า ทำเลทองบริเวณถนนบางบอน มีราคาสูงถึงตารางวาละ 4-5 หมื่นบาท หรือกว่าไร่ละ 16 ล้านบาท ดังนั้นบิดาของบิ๊กตู่ ที่เป็นทหารมาทั้งชีวิต และไม่ได้ใช้จ่ายสุหรุ่ยสุร่ายใด จนบัดนี้อายุกว่า 90 ปีแล้ว จะมีที่ดินสัก 50 ไร่ ย่อมไม่เกินวิสัย
และการขายที่ดิน เพื่อเป็นมรดกให้บุตร ก็ทำได้ตามกฎหมาย ก็เหมือนคนไทยทุกคน ที่สามารถขยายมรดกตนเองที่ทำมาหากินมาโดยสุจริตตั้งแต่หนุ่ม แล้วก็ให้เงินนั้นแบ่งกับลูกๆ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของบิ๊กตู่ตรงไหน แก็งค์สภาท่าพระเสาร์ และเครือข่ายสื่อแดง ก็ค่อนขอด กระแนะกระแหนะ อิจฉาตาร้อน
อีกทั้ง ป.ป.ช. ก็ได้ออกมาแถลงแล้วว่า เจ้าหน้าที่ของสำนักตรวจสอบทรัพย์สินภาคการเมืองได้รายงานการตรวจสอบให้ทราบแล้วว่า ทรัพย์สินของบิ๊กตู่ ที่ยื่นมาแล้วถึงความถูกต้องและไม่พบว่ามีสิ่งผิดปกติ ส่วนที่ดินย่าน บางบอนซึ่งเป็นมรดกของบิดาบิ๊กตู่ นั้น ทรัพย์สินที่ยื่นมาก็ถูกต้อง..จบข่าวเรื่องนี้ สารพัดแก็งค์ทั้งหลายหน้าแตกเพล้งๆ
---------------->
ที่เพจนี้มีเป้าหมายเดิมที่ยึดมั่น ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้เวลาเปลี่ยนไป คือ " การปฏิรูปประเทศไทยต้องสำเร็จ " การที่มีขบวนการมาทำดินถล่มทางรถไฟสายปฏิรูป จึงต้องมี “ ใครสักคนที่ลงไปโกยดินนั้นเอาออกจากรางรถไฟ” ไป ให้รถไฟสายปฏิรูปเคลื่อนต่อไปได้
งั้นลองมาดูปริศนา ชาติกำเนิด หัวหน้าแก็งค์สภาท่าพระเสาร์ บ้างว่าจะเป็น The X File โปร่งใสขนาดไหน เรื่องนี้เคยมีการนำมาเผยแพร่บ้างแล้ว แต่อาจจำกัดวงเล็กๆ เพื่อไขปริศนาประโยชน์ต่อสาธารณะ จึงจะพาไปตามรอยลึกลับนี้อีกครั้ง
เขาเคยใช้คำว่า “ กู้ชาติ " ในการก่อม็อบหลายครั้ง ความหมายของคำว่า " ชาติ" จึงมีความหมายที่ลึกลงไปในจิตวิญญาณของคนเผ่าไทยทุกคน ที่มีความรักชาติ รักแผ่นดินตนเอง อันเป็นสามัญวิสัยของคนไทยตลอดมา แต่ความหมายของคำว่า " ชาติ " ของสภาท่าพระเสาร์ คืออะไร หมายถึง " ประเทศไทย " หรือเปล่า ?? ลองอ่านข้อมูลเบื้องลึกสุดซับซ้อนนี้ ท่านคงอึ้งถึงกับฉี่ไม่ออก
จากตอนที่แล้วที่เล่าว่าปี พ.ศ.2492 การเมืองภายในของจีนแตกออกเป็นสองเสี่ยง เกิดการสู้รบกันเองของฝ่ายนายพล เจียงไคเช็ค พรรคก๊กมินตั๋ง และ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของ เหมาเจ๋อตง จนมีกองพล 93 ของเจียงไคเช็ค เข้ามาอยู่ในดินแดนไทย
** เรื่องเดิมตอนที่แล้วที่https://www.facebook.com/topsecretthai/posts/285678731622161
ตามข้อมูลที่เล่ามาจะเห็นได้ว่า ชาวจีนอพยพ กองพล 93 เพิ่งจะได้รับอนุญาตให้มีบัตรประชาชนไทยถาวรได้ในปี พ.ศ.2529 นี่เอง เพราะช่วงปี 2514 - 2521 ยังเป็นช่วงของการอนุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นไทย แต่ทางการไทยยังไม่ออกบัตรประชาชนให้
บิดา ของสภาท่าพระเสาร์ ชื่อ วิเชียร มารดาชื่อ ไชย้ง เป็นอดีตสมาชิกพรรคก๊กมินตั๋ง และมีการอ้างว่าพ่อเป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยหว่างฟู่ ของจีน บางอันอ้างว่าเรียนจบจากโรงเรียนนายร้องหว่างฟู่ โรงเรียนนายร้อยแห่งนี้ จอมพลเจียงไคเช็ค แห่งพรรคก๊กมินตั๋ง เป็นผู้บังคับการโรงเรียน
โรงเรียนนายร้อยฝึกทหารหว่างฟู่ ของจีน ไม่ใช่มีแต่นักเรียนที่เป็นชาวจีนเท่านั้น แต่มีคนไทยเข้ารับการศึกษาด้วย เช่น คนไทยแถวราชบุรี ฯลฯ ดังนั้นการสืบค้นข้อมูลของบิดาแก็งค์สภาท่าพระเสาร์ จึงทำได้อย่างง่ายดาย โดยมีประวัติดังนี้
บิดา เขาได้แต่งงานกับ มารดาเขา เมื่อมาทำงานโรงพิมพ์ และหนังสือพิมพ์จีนในกรุงเทพฯ ทั้งมารดาและมารดา ทำกิจการโรงพิมพ์ และออกหนังสือพิมพ์จีน จำหน่ายให้กับชาวจีนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เขาเกิดที่จังหวัดสุโขทัย มีชื่อว่า ตั๊บ ชื่อเล่นชื่อ โต
พ่อมองว่า เขาเป็นเด็กมีปัญหา เลี้ยงเขามาเพื่อเป็นตามที่พ่อต้องการ ไม่ใช่ตามที่ตัวเขาอยากจะเป็น พ่อชอบบังคับ เขาจึงขาดความรัก ความอบอุ่น จากครอบครัวในวัยเด็ก จึงโกรธแค้น เกลียดชัง พ่อ และอาจรวมถึงแม่ด้วยในส่วนลึก และเขาแก้แค้นโดยการตอบโต้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น การพูดโกหก ฯลฯ
เขาไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ในวัยเด็ก ถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ ที่อัสสัมชัญศรีราชา ขณะที่เด็กโรงเรียนประจำ มักจะขาดความรัก แต่ เขาจะอาการหนักหน่อย ทำให้ผลการเรียนค่อนข้างแย่ ขณะเรียนได้คะแนน 49.5% (สอบตกไม่ผ่าน) แต่รองอธิการฯ ไปคุยกับอธิการให้ช่วยปัดเศษเพิ่มขึ้นอีก 0.5% จนได้คะแนน 50% ทำให้เขาจบชั้น ม.7 จากที่นั่น
ต่อมาเขาได้ ย้ายไปอยู่ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ จบ ม.8 ด้วยคะแนนติดบอร์ด พ่อบังคับให้เขาเรียนหมอ เขาจึงตอบโต้ด้วยการโกหกว่า “สอบข้อเขียนได้แต่สอบตกสัมภาษณ์” ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ไปสอบสัมภาษณ์...เขามีนิสัยโกหกมาแต่เด็ก ขนาดพ่อก็ไม่เว้น
พ่อจึงจัดการให้เขาปเรียนที่ต่อไต้หวัน ในวิชาวิศวกรรมเครื่องกล ตามความต้องการของพ่อ เมื่อถูกบังคับให้ไปเรียน แต่ขาดเป้าหมายของตนเอง แต่เขาไม่ต้องการทำเพื่อพ่อแม่ หรือ ใคร ขณะที่เรียนไต้หวัน 1 ปี ไม่ได้อะไรเลย นอกจากภาษาพูด และ การท่องราตรี
เขาจึงเที่ยวกลางคืน เพื่อเติมในสิ่งที่ขาด ที่เติมไม่เคยไม่เต็ม แม้ว่าเขาจะโกรธเกลียดในนิสัยของพ่อตัวเอง แต่ว่าเขาก็ถอดแบบนิสัยพ่อ ที่เขาเกลียดนั้นมาเป็นตัวเขา เขากบฏกับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระบบของสังคม กติกาของครอบครัว หรือ กรอบของการปฏิบัติตน
คือ ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของสังคมทุกเรื่อง เขารู้สึกสะใจเมื่อสร้างความทุกข์ให้พ่อแม่ได้สำเร็จ การโกรธนี้ลามมาถึง การโกรธสังคมด้วย การทำร้ายสังคมได้เลวร้ายขึ้น ตามความรู้ความสามารถที่เพิ่มขึ้นของเขา
เขาได้ฝึกวิชาชีพ กับ นายพร หรือ นายพอล เขาสนิทกับเจ้านายมาก และ ได้รับอิทธิพลการทำงานแบบโกงเงินชาติมาจากเจ้านาย..เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว พอล โกงเงินธนาคาร 2,000 ล้านบาท แล้วหลบหนีไปอยู่อเมริกา แล้วโอนชื่อกิจการที่เหลือทั้งหมดให้กับเขา
----------------------->
ไม่ได้อยากจะโจมตีใคร ให้ร้ายใคร เมื่อสภาท่าพระเสาร์ อยากจะตรวจสอบคนอื่น ก็ต้องยุติธรรมใจกว้างยอมรับการตรวจสอบจากคนอื่นด้วยเช่นกัน อยากให้คิดตาม “จากหลักฐาน” ไม่เอาความชอบส่วนตน เพราะ มีข้อแปลกประหลาด The X File เกี่ยวกับเขาและเป็นปริศนา ถึงทุกวันนี้ คือ
1. แก็งค์สภาท่าพระเสาร์ ที่อ้างว่าบิดาตนเป็นนายทหารกองร้อยหว่างฟู่ สังกัดกองพล 93
จากรายงานพบว่า บิดาของเขาได้ " หลบหนีทหาร “ จากกองพล 93 ก่อน พ.ศ.2514 ซึ่งเป็นระยะก่อนที่รัฐบาลไทย จะมีคำสั่งอนุญาตให้กองพล 93 แปลงสัญชาติเป็นไทยได้ นั่นหมายถึง ซึ่งบิดาเขา เป็นคนจีนหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย จึงไม่สามารถได้รับสิทธิในการแปลงสัญชาติเป็นไทย เหมือนกับบุคคลที่อยู่ในกองพล 93 ตามคำสั่งของกองบัญชาการทหารสูงสุด
2. เมื่อบิดาของแก็งค์สภาท่าพระเสาร์ ไม่ได้สัญชาติไทย มีฐานะทางกฏหมายเป็นผู้กระทำความผิด ฐานเป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง แต่เหตุใด ตัวหัวหน้าแก็งค์ฯ เองจึงมีสัญชาติเป็นไทยได้..แปลก ?
3. ตามบัตรประชาชน ซึ่งเคยหลักฐานปรากฏหมายจับของแก็งค์สภาท่าพระเสาร์ ระบุว่าเขา " เชื้อชาติไทย" คำว่า เชื้อชาติ นั้นหมายถึง "ผู้ที่เกิดในประเทศไทย" แต่เขาระบุว่าเกิดปี พ.ศ.2490 ซึ่ง เป็นระยะเวลาก่อน ที่กองพล 93 จะรบกับกองทัพปลดแอกของเหมาเจอตุง ในปี พ.ศ. 2492
ก่อนที่กองพล 93 จะพ่ายแพ้ และหลบหนีเข้ามายังเมืองเชียงตุงของพม่า และก่อนเวลาที่รัฐบาลไทยจะรับกองพล 93 เข้ามาตั้งหมู่บ้านเป็นกันชนคอมมิวนิสต์ ดังนั้นขั้นตอนนี้ แก็งค์สภาท่าพระเสาร์ จะไม่ใช่เชื้อชาติไทย แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์...แต่บัตรประชาชนเขาเป็นแบบนั้นได้อย่างไร ??
4. ในช่วงเวลา พ.ศ.2514 - 2520 ผู้ที่อยู่ชายแดนแถบพม่า จะทราบดีว่าการเดินทางระหว่างเชียงราย มาลำปาง กินเวลานานเป็นวัน ๆ เพราะถนนไม่ดี สายเอเชียยังไม่สร้าง นั่งรถขี้เป็นเลือด..เพราะไม่มีเบาะมีแต่กระดานไม้ ยิ่งจังหวัดสุโขทัย ซึ่งอยู่ห่างไกลกับพื้นที่ตั้งของจังหวัดเชียงราย ซึ่งกองพล 93 อยู่ บิดาของแก็งค์สภาท่าพระเสาร์ มามีภรรยาที่สุโขทัยได้อย่างไร ?
5. ข้อที่สำคัญ คือ เมื่อเทียบตามระยะเวลาจากบัตรประชาชนของเขา กับ วันเวลาที่ทางราชการ อนุมัติให้ผู้ที่อยู่ในปกครองของ กองพล 93 แปลงสัญชาติได้นั้น พ.ศ.2514 เขาจะบรรลุนิติภาวะแล้ว และมีอายุ ถึง 24 ปี ดังนั้นเขาจะเป็นได้เพียงแค่ “สัญชาติไทย” แต่ไม่ใช่ “เชื้อชาติไทย” ตามหลักฐาน
กองพล 93 เข้าประเทศไทยปี 2504 แสดงว่า แก็งค์สภาท่าพระเสาร์ เกิดก่อนที่บิดาของตนซึ่งอยู่ที่เมืองจีน จะพบกับแม่ของตน ซึ่งอยู่จังหวัดสุโขทัย ของประเทศไทย...อ้าว?? นั่นหมายถึงบิดาของนายเขา มาพบ และแต่งงานกับมารดาเขา จึงจะตั้งท้องและคลอดเป็นเขาได้ อย่าน้อยก็ต้องเป็นปี พ.ศ.2505 ขึ้นไป
แต่จากหลักฐานปรากฏว่าในปี 2504...เขาอายุปาเข้าไปได้ 14 ปีแล้ว.. จึงเป็นไปไม่ได้ว่าเขาจะ “ เกิดก่อนพ่อแม่แต่งงานกัน” หรือว่าเขาเกิดมาจาก...รูกระบอกไม้ไผ่..?? แต่คนจะเกิดจากกระบอกไม่ไผ่ก็คงไม่ได้อีก อ้าว แล้วเขาเป็นลูกใครหว่า ??...
6. จากปีเกิดของแก็งค์สภาท่าพระเสาร์ พ.ศ.2490 ช่วงนั้นเป็นช่วงระยะเวลา ก่อนที่เจียงไคเชค จะตั้งกองพล 93 สู้รบกับกองทัพเหมาเจ๋อตุง เพราะเพิ่งรบกันเมื่อ พ.ศ.2492 นั่นหมายถึง เขาผู้มีที่เกิดปริศนานี้ มีอายุได้ 2 ขวบแล้ว..อ้าว ไปกันใหญ่ !!
แล้ว ณ เวลานั้น มารดาของเขาเป็นใคร ? เขาเกิดที่ไหน ? เมื่อไร ? และดันมาได้เชื้อชาติไทย และ สัญชาติไทย มาได้อย่างไร ? เอกสารบัตรประจำตัวประชาชนแก็งค์สภาท่าพระเสาร์ จึงถูกปลอมแปลงขึ้นนั่นเอง
ข้อมูล เชิงลึก ในกรณีอาชีพของบิดาเขาซึ่งหนีราชการทหาร ก่อน พ.ศ.2514 แต่กลับมีเงินตั้งโรงพิมพ์ ไปเอาเงินมาจากไหน..ประกอบอาชีพอะไรจึงร่ำรวย และเหตุใดจึงถูกฆ่าล้างครัวที่กรุงเทพฯ...ปริศนา ??
5. แก็งค์สภาท่าพระเสาร์ มี passport เป็นของจีนไต้หวันอีกฉบับด้วย แสดงว่าเขาได้รับ passport สองประเทศ คือ ไทย และ จีนไต้หวัน การได้รับ passport นั้น แสดงว่า เขาเป็นบุคคลสัญชาติของประเทศนั้น หรือถ้า พ่อเขาเป็นคนจีนไต้หวัน เขาจึงได้รับ passport ไต้หวัน แล้วจะมามี “เชื้อชาติไทย” ได้อย่างไร ?
----------------------->
ดังนั้นการอ้างว่า " กู้ชาติไทย " จึงเป็นไปไม่ได้ในข้อเท็จจริง เพราะเขาไม่ใช่คนไทยมาแต่กำเนิด เขาไม่ได้มีสัญชาติไทย หรือ เชื้อชาติไทย โดยสถานะทางกฏหมายถูกต้องแต่แรก แต่ ณ เวลาปัจจุบันสถานะทางกฏหมาย เขาควรเป็น " บุคคลไร้สัญชาติ "
ที่ผ่านมาเขาจึงมีลักษณะคล้ายเป็นนักท่องเที่ยว เข้ามาในประเทศไทย หรือ หลบหนีเข้าเมือง แล้วมาปลุกระดมให้ประชาชนไทยเจ้าของประเทศ เกิดความแตกแยกทางความคิด โดยอ้างคำว่า " กู้ชาติ หรือ เพื่อชาติ " เป็นเครื่องบังหน้าเท่านั้น
ประวัติเขาขาดความรัก ความอบอุ่นแต่วัยเด็ก กบฏกับทุกอย่าง ระบบ กติกา ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของสังคมทุกเรื่อง เขารู้สึกสะใจเมื่อสร้างความทุกข์ให้ผู้อื่น และลามไปถึงสังคมด้วย เขาติดนิสัยโกหก และ ฉ้อโกงตามนายเก่าของเขา พิสูจน์ได้จากเขาถูกศาลสังจำคุกถึง 85 ปี คดี ปลอมแปลงเอกสารถึง 17 ครั้งเมื่อปี 2540 เพื่อฉ้อโกงเงินธนาคาร เป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท
ตอนนี้สภาท่าพระเสาร์ของเขา มั่วเผยแพร่ข้อมูลให้ร้าย ผบ.นครบาล ทำให้ถูกสังคมเข้าใจผิด ว่ามีคนเอาอะไรไปให้ที่ทำงาน พอพิสูจน์ทราบความจริงมาแล้วว่าขบวนการเขากล่าวเท็จ ไม่มีใครไปสักคน ผู้เสียหายเขาก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายอาญากับสภาท่าพระเสาร์ นี่คือหลักฐานมโนโกหกใส่ความคนอื่นมั่วๆ อีกคดีล่าสุดอีกแล้ว
ตราบเท่าที่ความเป็นเด็กที่ขาดในตัวเขา ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม เขาจะต่อต้านชิงชังสังคมทุกอย่าง ไม่มีใครถูกในสายตาของเขา ทุกคนต้องผิด เขาต้องถูก นี่คือการไขปมปริศนาในตัวตนของเขา ว่าทำไมเขาถึงชอบเอาชนะ และเห็นคนรอบกายผิดไปหมด ข้าถูกแต่เพียงผู้เดียว
ที่ผ่านมาเขาจึงสามารถเป็นมิตรกับใครระยะหนึ่ง ต่อมาก็พร้อมจะเป็นศรัตรูฟาดฟันกันได้โดยไม่กระดากเขิน แต่หาใช่กระทำโดยสุจริต แต่กระทำเพราะ “ต้องการเอาชนะ “ และ “ ขี้อิจฉา” นั่นเพราะเกิดจากปมในวัยเด็กของเขาที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มนั่นเอง
เขาสามารถเป็นมิตรกับเจิมศักดิ์ อัญชลี และอีกหลายคนได้..และต่อมาก็ด่าทอทะเลาะแตกกันได้ , เขาสามารถเป็นเพื่อนรักกับคนแดนไกลได้..และต่อมาก็มาขับไล่ได้ และตอนนี้ก็มารักอย่างเดิมก็ได้ , เขาเคยเป็นเพื่อนช่วยเหลือเป็ดเหลิมตอนตกอับ ต่อมาก็ทะเลาะกันอย่างหนักแตกกันช่วงเป็ดเหลิมเป็นรัฐมนตรีคลองหลอด
เขาสามารถโกรธไล่พระกำนันสมัยเป็นรัฐบาล..แต่มาก็มาร่วมกันได้สมัย กปปส...และมาตอนนี้ก็กลับลำมาด่าว่าอีกก็ได้ ทั้งๆ ที่เวลาเพียงไม่กี่เดือน และพระกำนันก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงรักษาศีล และเทศนา ให้ประชาชนร่วมมือกับรัฐบาลในการปฏิรูปประเทศไทย..ก็เท่านั้น
ก็เป้าหมายของ กปปส.คือปฏิรูปประเทศไทย แล้วพระกำนันก็สนับสนุน เป็นสิ่งที่ตรงกับประชาชนหลายสิบล้านคนวางเป้าหมายไว้เดิม ซึ่งรัฐบาลก็มารับช่วงสานต่อ ให้เป็นระบบ และให้มีผลในทางกฎหมายเท่านั้น ส่วนสาวกที่นับถือเขาเป็นศาสดานั้นก็ไม่มีอะไรมาก..ก็สุดแต่ศาสดาจะชี้นำ !!
รู้ว่าจะมีหลายคนโต้แย้งว่า “ถ้าไม่มีเขาสมัยนั้นมาเดินนำ จะมีใครมาไล่คนแดนไกล” นั่นแสดงว่าพลาดแล้ว เพราะเนื้อหาตอนนี้ “คนละช่วงวัย” กัน ตอนนี้เอาหลักฐานราชการความจริงวัยเยาว์เขามาตีแผ่ ต้องแยกความรู้สึกนั้นออกจากกันก่อน อย่าเพิ่งคอมเม้นท์ในประเด็นไล่ช่วงวัยโต
เพราะเบื้องหลังที่ไล่คนแดนไกล เนื้อหาจะไปอยู่ในตอนหน้า จะแฉ ความจริงประกอบหลักฐานว่า มันใช่ตามที่สังคมรับรู้มาตลอดหรือไม่ เมื่อเขาโจมตีคนอื่นได้ ความจริงที่เป็นมุมมืดเก็บงำไว้ตลอดมานั้น ก็ควรถูกตรวจสอบนำมาตีแผ่ได้ด้วยเช่นกัน ให้สังคมเปรียบเทียบพิจารณาเอง
เมื่อเขาตรวจสอบคนอื่นได้ เพื่อความยุติธรรม ก็ต้องใจกว้างให้เปิดปูมหลังให้สังคมตรวจสอบเขาบ้างไม่ใช่หรือ ?? ทองแท้ก็ต้องไม่ลอก ไม่ต้องกลัวความจริงในอดีต เผยความลับดำมืดออกมาให้หมด แล้วให้สังคมพิจารณาใช้ปัญญาตัดสินเอง
ตอนนี้แค่ตอนสตาร์ทหัวเทียน ตอนต่อไปจะแฉ ต่อหลายเรื่อง เช่น ใครคือผู้ทำการยุยงจนเกิดเหตุการณ์รุนแรงปี 2519 , ใครคือผู้สนับสนุนทุนจ่ายเช็คก้อนใหญ่ จนเกิดเหตุการณ์รุนแรงปี 2535 , พิษต้มยำกุ้งทำเขาเจ๊งไปกว่า 2 หมื่นล้านบาท เขาไปขอเงินค่าโฆษณาจากใครกว่า 6 พันล้านบาท พอเขาไม่ให้ต่อ ก็ต้องออกมาก่อม็อบไล่
แล้วไปขัดกันอีกท่าไหน เรื่องอะไร ถึงออกมาไล่กันเอง โดยอ้างคำว่ากู้ชาติ ตอนต่อไปหัวเทียนสปาร์คไฟแล่บแน่..บอกแล้วไม่ฟัง ว่าอย่ามาแหย่เสือหลับ (^_^)
@ เสธ น้ำเงิน2
https://www.facebook.com/topsecretthai

สถานการณ์ข่าว12พ.ย.57

ถอดถอนยิ่งลักษณ์

"ยิ่งลักษณ์" มั่นใจ ไม่โกงข้าวเชิงนโยบาย มอบทนายความแจงขอเลื่อนประชุม ยัน ไม่มีเจตนาประวิงเวลา

นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผย สำนักข่าว INN ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนหยัดที่จะต่อสู้คดี และมั่นใจว่า โครงการจำนำข้าวไม่ใช่การทุจริตเชิง
นโยบายแน่นอน พร้อมให้กำลังใจทนายความ เสนอข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนมากที่สุด

ซึ่งในวันนี้ ทีมทนายความ ที่ประกอบด้วยตน นายสมหมาย กู้ทรัพย์ และ นายเอนก คำชุ่ม จะเข้าร่วมการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เรื่องการขอเลื่อนประชุมถอดถอนคดีจำนำข้าว และพร้อมชี้แจงในคำร้องขอ โดยยืนยันว่า ไม่มีเจตนาประวิงเวลา เป็นเพียงการปกป้องสิทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหา

ทั้งนี้ หากวันนี้ ที่ประชุมมีมติไม่เลื่อนการประชุม จะถือเป็นการเสียสิทธิ์ตามข้อบังคับของผู้ถูกกล่าวหาในการขอเพิ่มเติมพยานหลักฐาน โดยขณะนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับสำเนารายงานแล้ว อย่างไรก็ตาม ทีมทนายความ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย หลังมีการยื่นหนังสื่อต่อ สนช. เพื่อให้ถอดวาระการประชุมดังกล่าวออกไป
------------
สนช. ทยอยเข้าประชุม ก่อนเปิดโอกาสทนายยิ่งลักษณ์ แจงขอเลื่อนถกถอดถอน ขณะกลุ่มคนรักสัตว์ ขอพิจารณา กม.คุ้มครองสัตว์

บรรยากาศที่รัฐสภา ล่าสุด สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เริ่มทยอยเดินทางเข้าเตรียมตัวประชุม สนช. ที่จะมีขึ้นในเวลา 09.30 น. โดยจะมีการประชุมพิจารณาร่างกฎหมายทั่วไป และเรื่องที่
ค้างอยู่ พร้อมเปิดให้ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงเหตุผล รวมถึงขอมติจากที่ประชุมให้รับรองมติ ขอเลื่อนวาระการพิจารณาสำนวนถอดถอนออกไป

ขณะที่ กลุ่มคนรักสัตว์ นําโดย เก๋ ชลลดา เมฆราตรี ประธานมูลนิธิเดอะวอยซ์ เสียงจากเรา พร้อมเพื่อนดาราที่มีชื่อเสียงหลายคน อาทิ ตอง ภัครมัย, โย ยศวดี ฯลฯ ได้ทํากิจกรรมที่รัฐสภา เพื่อวิงวอน

ให้ สนช. พิจารณากฎหมายร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ 20 ข้อ ห้ามทารุณกรรมสัตว์ จากภาคประชาชน เพื่อทําให้กฎหมายมีความสมบูรณ์ ครอบคลุม และชัดเจนมากขึ้น
-------------
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาวาระเลื่อนถอดถอด ยิ่งลักษณ์ พร้อมเชิญทีมทนาย เข้าชี้แจงเหตุผลต่อที่ประชุม

บรรยากาศการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่มี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่ประธานการประชุม ล่าสุด เข้าสู่การพิจารณาเลื่อนวาระถอดถอนนัดแรกของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ออกไปก่อน เนื่องจากทีมทนายความ นางสาวยิ่งลัษณ์ ได้ยื่นหนังสือขอเลื่อนการพิจารณา เพราะยังไม่ได้รับสำนวน ป.ป.ช. ของ สนช. และช่วงที่ส่งเอกสารมา นางสาวยิ่งลักษณ์ เดินทางไปต่างประเทศ ทั้งนี้ ที่ประชุมเปิดโอกาสให้ทีมทนายความ นางสาวยิ่งลักษณ์ คือ นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง นายสมหมาย พุ่มทรัพย์ และ นายเอนก คำชุ่ม เข้าร่วมชี้แจงเหตุผลของการขอเลื่อนพิจารณานัดแรกด้วย จากนั้น จะเปิดโอกาสสมาชิก สนช. ได้ซักถามประเด็นข้อสงสัย
----------------
สนช. มีมติ 167 ต่อ 16 เสียง เลื่อนการประชุมถอดถอน "ยิ่งลักษณ์" คดีจำนำข้าว เป็นวันที่ 28 พ.ย. นี้ 

บรรยากาศการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ส่าสุด มีมติ 167:16 เสียง ให้เลื่อนพิจารณาวาระถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง กรณีทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ออกไป 15 วัน เป็นวันที่ 28 พฤศจิกายน นี้ โดยก่อนหน้านี้ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้เปิดโอกาสให้ทีมทนายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นำโดย นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง นายสมหมาย พุ่มทรัพย์ และ นายเอนก คำชุ่ม เข้าชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องขอให้มีการเลื่อนการพิจารณาถอดถอน

ทั้งนี้ นายนรวิชญ์ ชี้แจงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางไปต่างประเทศ และไม่ทราบว่าจะมีการบรรจุวาระการพิจารณาถอดถอน จนกระทั้งเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางกลับและได้รับเอกสารในวันที่ 7 พฤศจิกายน ทำให้เวลาในการดำเนินการไม่เพียงพอ อีกทั้งเมื่อทีมทนายได้ตรวจเอกสารจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พบว่ามีมากกว่า 3,870 หน้า จึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการศึกษา
//////////////////
กมธ.ยกร่างรธน.

"บวรศักดิ์" เผย "อภิสิทธิ์" ร่วมแสดงความเห็นยกร่างรัฐธรรมนูญ 24 พ.ย. หวังทุกคนร่วม ด้าน "หลวงปู่" มา 13 พ.ย.

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยถึงความคืบหน้า ในการส่งหนังสือเชิญพรรคการเมืองและคู่ขัดแย้ง เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นถึงแนวทางในการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า เบื้องต้น ได้ดำเนินการปรับแก้สาระสำคัญของหนังสือ และพร้อมที่จะจัดส่งไปยังกลุ่มต่าง ๆ ในวันนี้ ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ประสานเข้ามาว่า ยินดีที่จะเข้าร่วมแต่ขอจะเลื่อนไปเป็นวันที่ 24 พ.ย. เนื่องจากติดภารกิจไปต่างประเทศ นอกจากนี้ พระพุทธะอิสระ ได้แจ้งความประสงค์ว่าจะเดินทางเข้ามาพบตนเอง และ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ในวันพรุ่งนี้ เวลาประมาณ 12.00 น.

ส่วนกระแสข่าวที่พรรคเพื่อไทย จะไม่เข้าร่วมในการแสดงความคิดเห็นนั้น หากไม่เข้าก็ไม่สามารถบังคับได้ แต่อยากให้เข้าร่วมและนำความเห็นประกอบการพิจารณา และหากเข้าร่วมจะถือเป็นบุญคุณต่อการยกร่างรัฐธรรมนูญ และเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดี
-----------------
"อภิสิทธิ์" พร้อมร่วมถก กมธ.ยกร่าง รธน. หนุนประชามติ มอง เป็นทางออกดีที่สุด ขอ คสช. ให้พรรคการเมืองประชุมได้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยถึงกรณีที่กรรมมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเชิญพรรคการเมืองและคู่ขัดแย้งเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นถึงแนวทางในการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยยืนยันว่า จะเข้าไปร่วมให้ข้อมูลด้วยตนเองในวันที่ 24 พ.ย. นี้ ส่วนตัวแทนจากพรรคอีก 4 คนนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดรายชื่อ

สำหรับกระแสข่าวที่มีบางพรรคการเมือง จะไม่เข้าร่วมนั้น สำหรับตนเองมองว่าการเข้าไปให้ข้อมูลในครั้งนี้ ไม่ได้คาดหวังว่า คณะกรรมาธิการ จะนำข้อเสนอไปใช้ทั้งหมด แต่เมื่อมีคำเชิญมาก็พร้อมจะให้ข้อมูล

ทั้งนี้ นายอภิสิทธ์ ยังยืนยันว่า อยากให้มีการทำประชามติเพราะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อสร้างความชอบธรรมภายหลังจากยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นนอกจากนี้ นายอภิสิทธ์ ยังขอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่อนปรนข้อจำกัดในการให้พรรคการเมืองสามารถประชุมได้ ซึ่งหาก คสช. เกรงว่าจะกระทบต่อความปรองดอง ก็อาจจะกำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจน โดยการให้แต่ละพรรคการเมืองระมัดระวังการแสดงความคิดเห็นด้วย
-------------
"อภิสิทธิ์" ระบุ การใช้อำนาจโดยมิชอบ เป็นต้นตอปัญหา นำสู่ความขัดแย้ง ห่วง ถูกมองไม่เป็นประชาธิปไตย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยถึงความคิดเห็นในการยกร่างรัฐธรรมนูญ อยากให้คณะกรรมมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กลับไปดูต้นตอที่แท้จริงของปัญหา คือการใช้อำนาจโดยมิชอบและนำไปสู่ความขัดแย้ง

ส่วนความเป็นไปได้ที่หากรัฐธรรมนูญนี้จะไม่ได้รับการยอมรับ คือ รัฐธรรมนูญถูกมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะจะถูกกดดันจากทั้งในและต่างประเทศ
------------
"คำนูณ" เผย กมธ.ยกร่าง รธน. เสนอแบ่งโครงสร้าง 4 ภาค หาข้อสรุปวันนี้ เร่งลดเหลื่อมล้ำ ศก. - สังคม

นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า การหารือเบื้องต้นของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ข้อเสนอให้แบ่งโครงสร้างร่างรัฐธรรมนูญออกเป็น 4 ภาค โดยกำหนดให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มีความยากมาก-น้อยแตกต่างกัน อาทิ ภาคที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์และประชาชน และภาคที่

ว่าด้วยศาลและนิติธรรม รวมทั้งกระบวนการยุติธรรม ให้แก้ไขเพิ่มเติมได้ยากที่สุด ต้องใช้เสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของรัฐสภา โดยจะได้ข้อสรุปในวันนี้ เพื่อที่จะได้ลงลึกในแนวทางของแต่ละภาคต่อไป

ขณะที่การอภิปรายทั่วไปของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คนละ 10 นาที เมื่อคืนที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ตรงกันว่า ร่างรัฐธรรมนูญ จะต้องกำหนดมาตรการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรอันเป็นรากฐานที่แท้ของวิกฤติ และต้องสร้างดุลอำนาจระหว่างพลังต่าง ๆ ในสังคมไทยให้กลับคืนมาบนพื้นฐานของสังคมพหุนิยม
----------
เครือข่ายยุวทัศน์ฯ ยื่นข้อเสนอร่าง รธน. ขอมีส่วนร่วม ขณะ "บวรศักดิ์" จ่อชงตั้งอนุ กมธ.เด็กและเยาวชน

บรรยากาศที่รัฐสภา ล่าสุด กลุ่มเครือข่ายยุวทัศน์กรุงเทพมหานคร เข้ายื่นข้อเสนอในการร่างรัฐธรรมนูญ ต่อ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้เด็กและเยาวชน เข้าไปมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงการรับฟังความคิดเห็น และการปฏิรูปการศึกษา และเห็นควรให้จัดตั้งสภาที่ปรึกษาการศึกษาและสังคม เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี และพิจารณานโยบายที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน ของฝ่ายบริหาร นอกจากนี้ ยังเสนอให้ลดอายุขั้นของผู้แทนราษฎร จาก 25 ปี เป็น 18 ปี

ทั้งนี้ นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่เยาวชนต้องการมีส่วนร่วมในการกำหนดชีวิตของประเทศ ซึ่งตนจะไปนำเสนอต่อกรรมาธิการยกร่าง เพื่อพิจารณาตั้งอนุกรรมาธิการอีกชุด สำหรับเด็กและเยาวชน
------------
วิป สปช. ประชุมนัดแรกแล้ว เพื่อเลือกตำแหน่งสำคัญ ขณะเตรียมตั้ง 5 กรรมาธิการคนนอก พร้อมกำหนดรูปแบบภารกิจ

บรรยากาศที่รัฐสภา ล่าสุด คณะกรรมาธิการประสานงานกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. ประชุมนัดแรก เพื่อเลือกประธาน รองประธาน และตำแหน่งอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการจัดตั้งคณะ

กรรมาธิการจากคนนอกอีก 5 คณะ ได้แก่ คณะกรรมาธิการติดตามให้ข้อเสนอแนะการยกร่างรัฐธรรมนูญ, คณะกรรมาธิการจัดทำวิสัยทัศน์ รูปแบบของอนาคตประเทศไทย, คณะกรรมาธิการรับฟัง

ความคิดเห็นและการมีความส่วนรวมของประชาชน, คณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นและการมีความส่วนรวมของประชาชนประจำจังหวัด และ คณะกรรมาธิการการสื่อสารและประชาสัมพันธ์

ซึ่งเป็นหน้าที่ของวิป สปช. ที่กำหนดรูปแบบภารกิจและที่มา เพื่อสรรหาผู้เหมาะสมเป็นสมาชิกในกรรมาธิการ

ทั้งนี้ มีผู้เสนอชื่อให้ให้ดำเนินการแล้ว หากดำเนินการไม่ทันสัปดาห์นี้ ก็ส่งให้ที่ประชุม สปช. เห็นชอบในวันจันทร์ที่ 17 พ.ย. นี้
-----------------
วิป สปช. หารือจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 5 คณะ รับฟังความคิดเห็นและการมีความส่วนรวมของประชาชน 

บรรยากาศที่รัฐสภา ล่าสุดที่อาคารรัฐสภา 2 มีการประชุมคณะกรรมาธิการประสานงานกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วิป สปช.) ภายหลังจากที่ประชุมใหญ่มติรับรองการจัดตั้งวิป สปช. โดยมี นาย

เทียนฉาย กีระนันทน์ เป็นประธาน ซึ่งการประชุมวันนี้จะมีวาระการจัดสรรตำแหน่งภายในกรรมาธิการและอาจรวมไปถึงการหารือเรื่องที่มาและแนวทางเพื่อจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจากคน

นอกอีก 5 คณะ ได้แก่ คณะกรรมาธิการติดตามให้ข้อเสนอแนะการยกร่างรัฐธรรมนูญ คณะกรรมาธิการจัดทำวิสัยทัศน์ รูปแบบของอนาคตประเทศไทย คณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นและการ

มีความส่วนรวมของประชาชน คณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นและการมีความส่วนรวมของประชาชน ประจำจังหวัด และ คณะกรรมาธิการการสื่อสารและประชาสัมพันธ์

นอกจากนี้ จะมีการหารือถึงกรอบการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญว่าจะจัดทำและศึกษาอย่างไร เพื่อรวบรวมส่งต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ ตามกรอบเวลา 60 วัน

ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
----------------
อธิการบดีนิด้า เข้าพบประธาน สปช. เสนอแนวทางการปฏิรูปประเทศ นิด้าโมเดล 15 ด้าน อย่างเป็นรูปธรรม ยัน สามารถแก้ปัญหาในระยะยาวได้

รศ.ดร.ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์และคณะ จำนวน 20 คน เข้าพบ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อเสนอแนวทางการปฏิรูป

ประเทศ นิด้าโมเดล (NIDA MODEL) ปฏิรูปประเทศไทย 15 ด้าน ที่นักวิชาการของสถาบันได้หาข้อมูลและปัญหาประเทศที่ควรแก้ไขปรับปรุง โดยมีวัตถุประสงค์ในการเสนอแนวทางการปฏิรูป

ประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม และสามารถแก้ปัญหาระยะยาว ตลอดจนป้องกันการเกิดปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต

ทั้งนี้ จึงได้มีการเสนอแนวทางในการปฏิรูปประเทศ 15 ด้าน อาทิ ด้านการปฏิรูปการเมือง ด้านการปฏิรูปการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นและสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้บริหารประเทศ ด้าน

การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ด้านการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านการปฏิรูปการศึกษา และด้านการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสวัสดิการสังคม
---------------
สถาบันต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น มธ. ยื่นหนังสือถึง สปช. เสนอ 9 แนวทางปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น เน้นปฏิรูปกรอบการยุติธรรม

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในนามสถาบันต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะ  ได้เดินทางมายื่นหนังสือเสนอแนวคิด ว่าด้วยการปฏิรูป

การป้องกัน และแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยมีข้อเสนอ 9 ข้อ ในการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น คือ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปราม

การทุจริตคอร์รัปชั่นมากยิ่งขึ้น ปฏิรูปหน่วยงานที่ทำหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ให้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ปฏิรูปกระบวนการเลือกตั้งให้ปราศจากการทุจริตคอร์รัปชั่น

ไม่ให้ผู้ทุจริตได้รับการเลือกตั้ง ปฏิรูปให้มีการตรวจสอบทรัพย์สิน รวมถึงภาษีอากรของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูง ปฏิรูปข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานรัฐ ให้กรมบัญชี

กลางมีหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตให้เข้มงวด

พร้อมการผลักดันให้ประเทศเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการติดสินบน ยกเลิกรางวัลนำจับ และสินบนนำจับเฉพาะกรณี
-----------------
ที่ประชุมวิป สปช. เลือก "เทียนฉาย" ปธ. "ทัศนา" รอง ปธ. "อลงกรณ์" เลขาฯ "วันชัย" โฆษก

ความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วิป สปช.) นัดแรก ได้มีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลที่เหมาะสมทำหน้าที่ต่าง ๆ ในคณะกรรมาธิการฯ โดยที่ประชุมมีมติ

เลือกตำแหน่งได้แก่ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานคณะกรรมาธิการฯ นางสาวทัศนา บุญทอง รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ 1 นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการคณะกรรมาธิการฯ พลโท

ฐิติวัจน์ กำลังเอก ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมาธิการฯ นายวันชัย สอนศิริ โฆษกคณะกรรมาธิการฯ นางกอบกุล พันธ์เจริญวรกุล ผู้ช่วยโฆษกคณะกรรมาธิการฯ
-----------------------
มติ กมธ.ยกร่าง แบ่งกรอบ ร่าง รธน. 4 ภาค จัดตั้งอนุกรรมาธิการ 10 คณะ คาดแล้วเสร็จภายใน 17 เม.ย. 58

พลเอกเลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ที่ประชุมมีมติ โดยแบ่งกรอบในการร่างรัฐธรรมนูญเป็น 4 ภาค

ประกอบด้วย ภาคสถาบันพระมหากษัตริย์และประชาชน ภาคผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง ภาคนิติธรรม ศาล การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และภาคการปฏิปและการสร้างความปรองดอง

นอกจากนี้ ยังจัดตั้งคณะอนุกรรมาธิการจำนวน 10 คณะ ซึ่งจะมีความสมบูรณ์ ในวันพรุ่งนี้ นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติให้จัดตั้งอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อปฏิรูปประเทศไทยและจัดทำรัฐ

ธรรมนูญเพื่ออนาคตที่ดีกว่า เพิ่มอีก 1 คณะ

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการยกร่างฯ จะเดินหน้ายกร่างรัฐธรรมนูญอย่างเป็นระบบตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคมนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 17 เมษายน 2558
------------------------
กมธ.ยกร่าง รธน. ปรับเปลี่ยนกำหนดการเชิญตัวแทนกลุ่มการเมืองเข้าให้ข้อเสนอแนะ พท.17 พ.ย., ปชป. 24 พ.ย. ขณะ กปปส. - พันธมิตร วันสุดท้าย

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการส่งหนังสือเชิญตัวแทนพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองว่า มีการปรับเปลี่ยนกำหนดการเชิญตัวแทนกลุ่มการเมือง

เข้าให้ข้อเสนอแนะกับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยในวันที่ 17 พ.ย. เป็นพรรคเพื่อไทย วันที่18 พ.ย. พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา วันที่ 19 พ.ย. พรรคชาติพัฒนา และ พลังชล

วันที่ 20 พ.ย. พรรคมาตุภูมิ และ รักประเทศไทย วันที่ 21 พ.ย. เป็นกลุ่ม นปช. วันที่ 24 พ.ย. พรรคประชาธิปัตย์ และวันที่ 25 พ.ย. กลุ่มกปปส. และ พันธมิตร

ทั้งนี้ พล.อ.เลิศรัตน์ ยืนยันว่า ประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่กระทบต่อการส่งตัวแทนพรรคการเมืองเพื่อแสดงความคิดเห็นต่อกรรมาธิการยกร่างฯ ตามที่มีการกล่าวอ้างอย่าง

แน่นอน
///////////
ครม.

"พล.อ.ประวิตร" ปัดให้สัมภาษณ์หลังประชุม ครม. เสร็จสิ้น บอก ไม่ใช่นายกฯ โยนถาม ป.ป.ช. คดี ปรส. 

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ล่าสุด บรรดารัฐมนตรีต่างทยอยเดินทางกลับภายหลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 9/2557 เสร็จสิ้นแล้ว ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายก

รัฐมนตรี ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุม ครม. ว่า ตนไม่ใช่นายกรัฐมนตรี  จึงต้องให้นายกรัฐมนตรี เป็นคนให้สัมภาษณ์

ขณะเดียวกัน เมื่อถามถึงคดีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการล่าช้า จะมีการรื้อฟื้นคดีหรือไม่

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ให้ไปถามกับ ป.ป.ช. เอง
-------------------
"วิษณุ" แจง ครม. ยังไม่หารือภาษีมรดก รอความเห็นทุกกระทรวง แนะ กมธ.ยกร่างฯ กำหนดกรอบให้ชัด คุยพรรคการเมือง

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ยังไม่มีการพิจารณาเรื่องภาษีมรดกว่า เนื่องจากต้องรอการแสดงความเห็นของกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องก่อน

ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ในสัปดาห์หน้า

นอกจากนี้ นายวิษณุ กล่าวถึงกรณีกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะมีการเชิญพรรคการเมืองรวมถึงกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองต่าง ๆ มารับฟังความคิดเห็นในช่วงสัปดาห์หน้าว่า คณะ

กรรมาธิการรับฟังความเห็นควรกำหนดกรอบการพูดคุยว่าในแต่ละครั้งจะพูดคุยกันเรื่องใด เพื่อให้การหารือร่วมกันกับพรรคการเมืองเป็นไปอย่างราบรื่น

ส่วนการจัดตั้งคณะทำงานด้านการปฏิรูปในส่วนของรัฐบาลจำนวน 300 คนนั้น จะมีการแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ด้านละ100 คน คือ 1.ด้านการเมือง 2.เศรษฐกิจและพลังงาน 3.สังคมและสื่อมวลชน

ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนธันวาคม
---------------------
รักษาการนายกฯ ห่วงมาตรการกระตุ้น ศก. ฝากทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างรวดเร็ว รอบคอบ และรัดกุม สั่งเร่งช่วย ปชช. น้ำท่วม

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฝากข้อห่วงใยในที่ประชุมคณะ

รัฐมนตรี 4 เรื่อง คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลออกมา เช่น การจ่ายเงินชาวนาและเกษตรกรที่ได้น้อย ทำให้มาตรการไม่เห็นผลชัดเจน จึงฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างรวด

เร็วรอบคอบและรัดกุม ผู้เกี่ยวข้องต้องประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ส่วนประชาชนที่ประสบอุทกภัย ได้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือแล้ว ขณะเดียวกันขอให้หน่วยงานที่เข้าช่วยเหลือ
ช่วยจนถึงขั้นฟื้นฟูเพื่อส่งผลให้มีการฟื้นตัวและให้สภาพจิตใจของประชาชนดีขึ้น

ทั้งนี้ ขอเป็นกำลังใจทุกหน่วยงานในการจัดระเบียบสังคม เช่น การปราบปรามผู้มีอิทธิพล การพนัน การลักลอบเข้าเมือง พร้อมฝากทุกกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ อย่ามีส่วนเกี่ยวข้อง และ

รณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันแจ้งเบาะแส ส่วนปัญหาภัยแล้งขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องประสานงานอย่างใกล้ชิดเพื่อรองรับปัญหาและวางแผนการรับมืออย่างรัดกุม ขณะเดียวกัน ต้องสร้างความรู้ใน

การรับมือภัยแล้งให้กับประชาชนด้วย
----------------
นายกฯ พร้อมภริยา ร่วมพิธีเปิดประชุมอาเซียนอย่างเป็นทางการ ผู้นำพม่า แนะนำ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้นำใหม่ เข้าร่วมเป็นครั้งแรก


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 25 ที่กรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมาร์ โดยมี นายเต็ง เส่ง

ประธานาธิบดีเมียนมาร์ รอให้การต้อนรับผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่เดินทางมาถึงศูนย์การประชุม ก่อนที่ผู้นำทั้งหมดจะเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียนอย่างเป็นทางการ

จากนั้นประธานาธิบดีเมียนมาร์ ในฐานะประธานอาเซียน ได้กล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม เริ่มจากแนะนำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมการประชุมอา

เซียนเป็นครั้งแรก

ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ได้กล่าวถึงการประชุมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นว่า เป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความพยายามของอาเซียน เพื่อย้ำถึงเจตนารมณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งอาเซียน

จะเสริมสร้างความร่วมมือทั้งภายในและภายนอกภูมิภาคให้มากขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามแผนโรดแมปประชาคมอาเซียน

ทั้งนี้ อาเซียนจะเดินหน้ากำหนดวิสัยทัศน์ภายหลังปี 2558 หลังจากเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปีหน้า โดยหัวข้อหลักของการประชุมในปีนี้ คือ การก้าวไปข้างหน้าสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียว

และประชาคมที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง โดยย้ำถึงความร่วมมือในระดับต่อไปใน 4 ด้าน ความร่วมมือในการส่งเสริมวัฒนธรรมร่วมกัน, ส่งเสริมให้อาเซียนมีบทบาทและเป็นกลไกสำคัญในระดับ

ภูมิภาคและเวทีโลก, ความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ลดความยากจน และส่งเสริมให้อาเซียนปรับตัวเพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน เพื่อให้อาเซียนสามารถการเผชิญหน้าต่อ

ความท้าทายของโลก
----------------------
นายกฯ หารือทวิภาคีผู้นำอินเดีย เชิญระชุมสุดยอด ACD ยกย่องผลงานในการบริหารรัฐคุชราด ประสบความสำเร็จ มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หารือทวิภาคีกับ นายนเรนทระ ทาโมทรทาส โมที นายกรัฐมนตรีอินเดีย ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 25 ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสห

ภาพเมียนมาร์ หลังเสร็จสิ้นการหารือ ร.อ.น.พ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการหารือ ว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีอินเดีย โดยได้ชื่นชนผล

งานในการบริหารรัฐคุชราด ประสบความสำเร็จ มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เป็นตัวอย่างความสำเร็จแก่รัฐอื่น ๆ และนโยบายของนายกรัฐมนตรีอินเดีย ที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ การกินดีอยู่ดีของ

ประชาชนทุกภาคส่วน ตรงกับแนวนโยบายในการพัฒนาประเทศของรัฐบาลไทย

ทั้งนี้ ขอเชิญนายกรัฐมนตรีอินเดียเข้าร่วมการประชุมสุดยอด ACD ไทยจะเป็นจ้าภาพจัดการประชุมในช่วงไตรมาสที่ 4 ในปี 2558  ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีอินเดียกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์

ระหว่างไทยและอินเดีย พร้อมกล่าวถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม พร้อมชื่นชมสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จ

พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอินเดีย เป็นส่วนสำคัญช่วยสนับสนุนความร่วมมือระหว่างไทยและอินเดียมาโดยตลอด

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีอินเดียยังกล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยในความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าว เพื่อร่วมมือกันในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ การก่อการร้าย รวมทั้งการกระทำผิดกฏหมาย

ซึ่งถือว่าเป็นภัยอันตรายต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งไทยและอินเดียต่างให้ความสำคัญในการต่อต้านการก่อการร้ายและภัยต่อความมั่นคงต่าง ๆ
--------------------------
นายกฯ ขอบคุณชาติอาเซียน เข้าใจสถานการณ์ในไทย ให้ความสำคัญขับเคลื่อน เสนอ 4 มาตรการเร่งด่วนเชื่อมโยงระหว่างประเทศสมาชิก

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 25 ณ กรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมาร์ โดยได้กล่าวขอบคุณประเทศสมาชิกอาเซียนที่เข้าใจต่อสถานการณ์

การเมืองในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา และยืนยันว่ายังคงให้ความสำคัญต่ออาเซียนและจะยึดมั่นต่อพันธกรณีต่าง ๆ ในการสร้างประชาคมอาเซียนในภูมิภาค เพื่อสร้างผลประโยชน์ร่วมกันใน
ภูมิภาค

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในปี 2558 อาเซียนควรให้ความสำคัญกับประเด็นเร่งด่วนที่ควรดำเนินการให้เกิดผล 4 ประการ คือ ส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อนำไปสู่ความร่วม

มือทางเศรษฐกิจ ซึ่งไทยให้ความสำคัญและสนันสนุนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนในภูมิภาค เพื่อกระจายความเจริญ ลดช่องว่างการพัฒนา เพิ่มการจ้างงาน ขณะเดียวกันอาเซียน
ต้องมีความพร้อมในการรับมือกับปัญหาข้ามชาติมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหาการค้ามนุษย์และอาชญากรรมข้ามชาติ พร้อมระบุว่า อาเซียนควรเร่งการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค

ให้แล้วเสร็จในปี 2558 ตามที่ได้เคยประกาศไว้ เพื่อช่วยขยายโอกาสทางการค้าการลงทุนของประเทศในภูมิภาค

นอกจากนี้ ยังเห็นว่า อาเซียนต้องร่วมกันรับมือกับภัยพิบัติ เพื่อไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาค
-------------------------
นายกฯ ประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย หวังเพิ่มมูลค่าการค้าเป็น 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2558

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 12 ซึ่งเป็นการประชุมระดับผู้นำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความคืบหน้าของความร่วมมือ กำหนด

ทิศทางในอนาคต และสนับสนุนบทบาทของอินเดียในภูมิภาค โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดียที่ยืนหยัดมาเป็นเวลานานกว่า 2 ทศวรรษ และได้พัฒนาเป็นหุ้นส่วนทาง
ยุทธศาสตร์ และยินดีที่อินเดียคงความสำคัญต่อนโยบายมุ่งตะวันออกที่ช่วยเกื้อหนุนพัฒนาการนี้

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงประเด็นความร่วมมือที่เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ว่า การเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจ ตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย ทำให้ทั้งสองฝ่ายมี

โอกาสที่จะเพิ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน เพื่อให้ร่วมกันบรรลุเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็น 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2558

ขณะเดียวกัน ควรขยายความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างอาเซียนกับอินเดียในทุกมิติ เนื่องจากอินเดียใกล้ชิดอาเซียนทางทั้งทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ควรการ

จัดทำเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย และ RCEP เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่าย โดยไทยสนับสนุนการเร่งรัดการสร้างถนนสามฝ่ายไทย-เมียนมาร์-อินเดียให้แล้วเสร็จ เพื่อให้อาเซียน
และอินเดียสามารถใช้ประโยชน์จากเส้นทางนี้โดยเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของพื้นที่ห่างไกล รวมทั้งต้องส่งเสริมโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่าง

ประชาชนทั้งสอง

ลักษณะสำคัญของพหุนิยม

ลักษณะสำคัญของพหุนิยม 
ผศ. เชิญ ชวิณณ์ ศรีสุวรรณ

อำนาจในสังคมกระจายออกไปยัง “กลุ่ม” ที่มีอย่างหลากหลาย เช่น สมาคมธุรกิจ, สหภาพแรงงาน, กลุ่มอาชีพต่างๆ, กลุ่มศาสนาต่างๆ.

กลุ่มทั้งหลายเหล่านี้ บ้างก็มีผลประโยชน์ตรงกัน หรือ “ร่วมกัน” แต่หลายกลุ่มก็มีการขัดแย้งกันในเรื่องผลประโยชน์. ทว่า การแข่งขันกันของ “กลุ่ม” ต่างๆนั้น, ไม่มีกลุ่มเพียงกลุ่มเดียว ที่สามารถครอบงำกลุ่มอื่นได้ทั้งหมด.

การแข่งขันระหว่างกลุ่มหลากหลาย ทำให้สังคมมีความเป็นประชาธิปไตย. 
การแข่งขันเรื่อง “ผลประโยชน์” ของ “กลุ่มหลากหลาย” ช่วยรักษา “ดุล” ในสังคมเพราะกลุ่มเหล่านี้ มีอิทธิพลต่อรัฐบาล, ทำให้นโยบายของรัฐบาลและสถาบันการเมืองอื่นๆ (เช่น พรรคการเมือง, รัฐสภา, รัฐธรรมนูญ) มีความมั่นคงและดำรงเป็นสถาบันได้ยาวนาน จากการสนับสนุนของ “กลุ่มหลากหลาย” ในสังคม.

การแข่งขันของกลุ่มต่างๆ ช่วยสร้าง “ดุลอำนาจ” ในแง่ที่ว่า กลุ่มหลากหลาย จะ “ปรับวิธีการ” ในการได้มาซึ่งผลประโยชน์ เช่น มีการเจรจาต่อรองกับกลุ่มอื่น, มีการประนีประนอมกับกลุ่มบางกลุ่ม, มีการรวมตัวอย่างหลวมๆ เป็น “พันธมิตรทางการเมือง” ในบางช่วง. ดังนั้น ในการแข่งขัน (เช่น การสนับสนุน ผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือ พรรคการเมือง) บางกลุ่มอาจจะชนะ, บางกลุ่มอาจจะพ่ายแพ้ทางการเมือง. แต่ การชนะและการพ่ายแพ้ จะไม่แน่นอน หรือ คงที่อยู่เช่นนั้น. การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จึงเกิดได้เสมอ. สังคมจะยอมรับหลักการแข่งขันนี้.

สถาบันทางการเมือง และ สถาบันทางเศรษฐกิจ (เช่น หอการค้า, ตลาดหลักทรัพย์) จะไม่เข้าไปก้าวก่ายอำนาจของกันและกัน, แต่จะมี “ความเป็นอิสระ” และต่างฝ่าย ต่างก็ “ทำหน้าที่” ของตน, หรือ มีการ “แยกอำนาจ” ออกจากกัน, เพื่อทำให้ “การใช้อำนาจทางการเมือง” กับ “เสรีภาพทางเศรษฐกิจ” ดำเนินไปอย่าง “สมดุล” ในสังคม.

“รัฐ” มีบทบาทเป็น “กรรมการ” ที่คอย “กำกับ, ดูแล, ควบคุม” ให้การแข่งขันระหว่างกลุ่มต่างๆ เป็นไปอย่างยุติธรรม. การแข่งขันถึงขั้น “ทำลายล้าง” กลุ่มอื่น, ไม่เป็นที่ยอมรับ เท่าๆกับ การร่วมมือกับกลุ่มอื่น ต้องไม่ถึงขั้น “ผูกขาด” หรือ “มีอำนาจครอบงำ” เหนือกลุ่มอื่น (ซึ่งในประเทศไทย มีศัพท์เรียกว่า “ฮั้ว” กัน).

เพราะฉะนั้น, รัฐจึงเป็นสถาบันแห่งอำนาจ ที่ไม่มีผลประโยชน์เป็นของตนเอง, ไม่ได้ทำเพื่อตนเอง, หรือ ทำเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในสังคม, หรือ ทำเพื่อ “ชนชั้น (Class)” ใด ชนชั้นหนึ่งในสังคม.

รัฐ เป็นเพียง “ตัวแทน” ที่คอยต่อรอง หรือ ไกล่เกลี่ย ให้กลุ่มต่างๆ ได้รับผลประโยชน์อย่างทัดเทียมกัน (แต่ ไม่จำเป็นต้อง ได้รับผลประโยชน์ “เท่ากัน” หมดทุกกลุ่ม, หากจะเป็นลักษณะ ได้มากบ้าง, น้อยบ้าง, ตาม สถานการณ์ และ ตามสภาพความเป็นจริง ในแต่ละช่วงเวลา). ดังนั้น หน้าที่ของรัฐ ก็คือ การสร้างความสมานฉันท์ในสังคม, ซึ่งเน้น การ “จัดระเบียบ” ให้การขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ต้องเป็นไปตาม “กฎและกติกา” ทางการเมือง ที่ได้กำหนดไว้ใน รัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งปวง.

ปัจเจกชน ที่มีผลประโยชน์ตรงกัน สามารถ “รวมกลุ่ม” เพื่อแสดงอิทธิพลต่อ ผู้มีอำนาจทางการเมือง, และต่อ การตัดสินใจของผู้มีอำนาจฯ

อำนาจทางการเมือง จึงเกิดขึ้นจาก การแข่งขันของ “กลุ่ม” ที่เกิดขึ้นเอง “โดยสมัครใจ”, ไม่ได้ถูกบังคับโดยรัฐ, หรือ ถูกชักนำด้วย “สินจ้าง” ของคนที่ “เสียผลประโยชน์” เป็นบางเวลา (อย่างที่เกิดในประเทศไทย), หรือ “ถูกจัดตั้ง” ขึ้นโดยผู้มีอำนาจทางการเมือง.

“กระบวนการทางการเมือง” (หรือ กระบวนการ พิจารณาและตัดสินใจของผู้มีอำนาจฯ) จึงเกิดขึ้นจาก การโน้มน้าว หรือ การกดดัน ของกลุ่มต่างๆในสังคม, ที่มีความเป็นอิสระในตัวเอง, และเกิด “วิถีทางของประชาธิปไตย” คือ มีการเจรจา, การต่อรอง, การประนีประนอม, และ การประสานผลประโยชน์ เพื่อให้ “นโยบายของรัฐบาล” เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มหลากหลาย, ไม่ใช่กลุ่มใดเพียงกลุ่มเดียว.

ปัจเจกชนในสังคม สามารถที่จะเข้าไป “ร่วมกลุ่ม” ได้มากกว่ากลุ่มเดียว ดังนั้น ฐานะของ “กลุ่ม” จึง “ไม่แน่นอน”. บางช่วงเวลา กลุ่มที่เคยมีอิทธิพลทางการเมือง จึงอาจสูญเสีย “สถานภาพเดิม”, เพราะกลุ่มที่แข่งขันทางการเมือง อื่นๆ อาจจะรวมตัวกัน และกลายเป็นฝ่ายได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง ครั้งต่อไปก็ได้. พรรคการเมือง จึงพยายามสร้างฐานเสียงสนับสนุน จากกลุ่มต่างๆในสังคม ด้วยการ “ทำงานการเมือง” เพื่อ “ส่วนรวม” ไม่ใช่ “เพื่อส่วนตัว” หรือ “เพื่อพรรคพวก”.

ในสหรัฐอเมริกา, จึงมีคำขวัญทางการเมือง ที่บ่งบอกความเป็น “พหุนิยม” ที่เด่นชัดมาก, คือถ้อยคำที่ว่า “รัฐบาลของประชาชน, โดยประชาชน, และเพื่อประชาชน”. รวมถึงถ้อยคำที่ว่า “เท่าเทียมกันในทางกฎหมาย”, และ “การแบ่งแยกอำนาจทางการเมือง” ออกเป็น ฝ่ายบริหาร, นิติบัญญัติ, และตุลาการ, เพื่อป้องกัน การรวบอำนาจทั้งหมด มาอยู่ที่รัฐบาล, ซึ่งจะเป็นการสิ้นสุดของ “พหุนิยม”

พลิกปูม เปิดประวัติ "พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์" กับคำสั่งเด้งฟ้าผ่ากลางดึก

หลังตกเป็นกระแสข่าวร้อนแรง "พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง" ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาต หรือ ผบ.ตร. ลงนามในคำสั่ง ฟ้าผ่ากลางดึก เด้ง "พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์" ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ "พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์" รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ไปพร้อมลูกน้องและนาย เข้ากรุ ศปก.ตร. และให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. รักษาราชการแทนผบช.ก. ซึ่งตำรวจทั้ง 2 นาย ที่ถูกคำสั่งย้ายดังกล่าว ให้ถือว่าขาดจากตำแหน่งเดิมด้วย
http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14157888041415789210l.jpg

โดยภายหลัง มีคำสั่งออกมา หลายคนที่เป็นคอการเมือง สายตำรวจ ต่างตั้งคำถามและสงสัยว่าเหตุใด จึงมีคำสั่งดังกล่าวออกมา

เรื่องนี้ ผบ.ตร.ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ ในวันเดียวกัน โดยระบุถึงเหตุผลที่โยกย้ายว่า "มีงานสำคัญที่ต้องมอบหมายให้ทั้งสองท่านไปปฏิบัติ เนื่องจากทั้งสองท่านถือว่ามีความรู้ความสามารถ ส่วนการมอบหมายให้ พลตำรวจโทประวุฒิ มาทำหน้าที่ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางนั้น ก็เป็นไปตามระเบียบการบริหารจัดการเพื่อให้การปฏิบัติราชการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพเท่านั้น"

http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14157888041415789234l.jpg

ท้ายที่สุดทั้ง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ หรือ ที่เรียกกันว่า "เดอะกิ๊ก" และ พล.ต.ต.โกวิทย์ ก็ตบเท้าเข้ารายงานตัว ที่ ศปก.ตร.เพื่อปฏิบัติหน้าที่แล้ว พร้อมน้อมรับคำสั่งผู้บังคับบัญชา

มติชนออนไลน์ ชวนผู้อ่านมาทำความรู้จักกับ "เดอะกิ๊ก" หรือ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ซึ่งเป็นอดีต ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางไปแล้ว ว่าที่มาที่ไป ประวัติและชีวิตราชการ จะน่าสนใจขนาดไหน ไปดูว่าเส้นทางของเจ้าพ่อสอบสวนกลางคนใหม่ มีความเป็นมาอย่างไร โชกโชนแค่ไหน ลองไปพลิกประวัติดูกัน

http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14157888041415789215l.jpg


พลตำรวจโท พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ เป็นคนสมุทรสาคร
 
เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2499 ปัจจุบันอายุ 58 ปี จบการศึกษาระดับประถมศึกษาจาก โรงเรียนวัดใหญ่บ้านบ่อ, มัธยมศึกษาจากโรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย, โรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 15 (ตท.15), โรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 31มีเพื่อนร่วมรุ่น อาทิ "จูดี้" พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร.  พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.คนปัจจุบัน พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1

จบการศึกษารัฐศาสตรบัณฑิต จากรั้วจามจุรี ผ่านการอบรมต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ หลักสูตรสืบสวนของหน่วยสืบราชการลับ จาก วิทยาลัยหน่วยสืบราชการลับสหรัฐอเมริกา ประเทศสหรัฐอเมริกา, หลักสูตรด้านการบริหารตำรวจ จาก วิทยาลัยตำรวจแคนาดา ประเทศแคนาดา เป็นต้น

ประวัติการทำงาน 
เคยเป็นสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลท่าพระ, สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา, รองผู้กำกับการหัวหน้าสถานีตำรวจนครบาลบางขุนนนท์ ผู้กำกับการ 1 กองปราบปราม, ผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม, ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองปราบปราม, รองผู้บังคับการกองปราบปราม รักษาราชการแทนผู้การกองปราบปราม, ผู้บังคับการกองปราบปราม และดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 ถือว่าเป็นลูกหม้อสายตรงในหน่วยสอบสวนกลาง

ได้ชื่อว่าเป็นนายตำรวจมือปราบและมือสอบสวนคนหนึ่งที่มีผลงานต่างๆมากมายทั้งคดียาเสพติดและคดีการฉ้อโกงข้ามชาติและในขณะดำรงตำแหน่งผู้กำกับการ2 กองปราบปราม ได้จัดตั้ง "หน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมศาสตร์" โดยการนำหลักวิชาการมาใช้ในการสืบสวน เพื่อรองรับเทคนิคการสืบสวนสมัยใหม่ ซึ่งจะทำให้การสืบสวนเที่ยงตรง แม่นยำขึ้นและสามารถค้นหาความจริงในคดีต่าง ๆ ได้มาก ซึ่งเป็นหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมศาสตร์ที่ตั้งขึ้นในวงการตำรวจแห่งแรกของทวีปเอเชีย

ในปี พ.ศ. 2539 พ.ต.ท.พงศ์พัฒน์ฯ รอง ผกก.หน.สน.บางขุนนท์(ยศและตำรวจแหน่งในขณะนั้น)ได้ริเริ่มนำ "ตำรวจผู้รับใช้ชุมชน" ตามทฤษฎีตำรวจผู้รับใช้ชุมชน(Community Policing) ซึ่งเป็นทฤษฎี/หลักการทำงานของตำรวจที่ใช้ได้ผลจริงในประเทศสหรัฐอเมริกาในการลดปัญหาอาชญากรรมในชุมชน มาทดลองใช้อย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรกในประเทศไทย

ผลงานสำคัญที่เคยผ่านมือพล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ มีอาทิ คดีปลอมแปลงเงินตรา ได้สืบสวนคดีธนบัตรดอลลาร์ปลอมที่ทำได้เหมือนที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา จับกุมผู้ต้องหา คือ นายอาซินลี เจ้าของฉายา "คิงคอง" ตัวการปลอมธน บัตรและตั๋วเงิน สามารถ ยึดแท่นพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ปลอม ซึ่งขณะนั้นถือว่าเป็นแท่นพิมพ์ที่สามารถปลอมธนบัตรได้เหมือนที่สุด เป็นคดีประวัติ ศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา มีผลงานแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ประวัติ ศาสตร์หน่วยสืบราชการลับ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14157888041415789220l.jpg

คดีเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายใหญ่ของโลก จับกุมนายโรแลนด์ ลอสซิกมอล ทำลายขบวนการและเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายใหญ่ของโลก ซึ่งมีเครือข่ายหลายประเทศทั่วโลก อาทิ ประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา ประเทศในกลุ่มยุโรป และกลุ่มประเทศเอเชีย (บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ พม่า ไทย ลาว) ยึดทรัพย์สินได้ประมาณ 800 ล้าน ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ของเมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา

จับกุมโรงงานผลิตยาบ้ารายใหญ่ 7 แห่ง (ในช่วงปี 2530-2531) โดยสามารถจับกุมนักเคมีชาวไต้หวัน ร่วมกับกลุ่มนายทุน ผลิตยาบ้า และยึดหัวเชื้อสำหรับผลิตยาบ้า ถือเป็นการ ทลายโรงงานผลิตยาบ้าได้มากที่สุดจนถึงปัจจุบัน จับกุมขบวนการของหนีภาษีศุลกากร มูลค่าหลายสิบล้านบาท โดย ร.ต.อ.พงศ์พัฒน์ (ยศขณะนั้น) ได้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยได้ดำเนินคดีกับนายตำรวจยศพันตำรวจเอก ซึ่งเป็นระดับหัวหน้าตำรวจจังหวัด ระดับสารวัตรใหญ่ และเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

คดีข่มขืนผู้บริหารบริษัท เทสโก้ โลตัส สำนักงานใหญ่ในประเทศอังกฤษ จับกุมนายอเล็กซานเดอร์จอห์น วินสโตน หรือ อเล็กซ์ อายุ 36 ปี สัญชาติอังกฤษ ซึ่งส่งอีเมล์ข้อความข่มขู่ผู้บริหารบริษัทเทสโก้ โลตัส ประเทศ อังกฤษ เรียกเงินจำนวน 2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 140 ล้านบาท โดยข่มขู่ว่าหากไม่ทำตามจะผสมสารพิษปนเปื้อนในอาหารที่วางจำหน่ายในห้างโลตัส สาขาใดสาขาหนึ่ง ทางเจ้าหน้าที่หน่วยสกอตแลนด์ยาร์ด ประเทศสหราชอาณาจักร จึงได้ประสานให้ช่วยสืบสวน และได้สืบสวนจับกุมตัวนายอเล็กซานเดอร์ จอห์น วินสโตน หรือ อเล็กซ์ ผู้ต้องหาได้

คดีปล้นทรัพย์ร้านทองนวนคร จับกุมนายยุทธนา นึกหมาย และนายสุชาติ หรือ "อัศวิน" สิทธิทองหลวง ผู้ต้องหาที่ได้ปล้นทรัพย์ ทองคำไปกว่า 500 บาท โดยก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ได้จับกุม นายชุบ ชุมแสง, นายเชษฐ์ ชุมแสง และนายบุญถึง ทองแถม ผู้ต้อง หาจำนวน 3 คน ผิดตัว โดยพ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ผกก.1 ป. (ยศและตำแหน่งขณะนั้น) ได้สืบสวนรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ จนกระทั่งสามารถจับผู้ต้อง หาตัวจริงได้ และศาลได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2545 ตัดสินจำคุกนายยุทธนา และนายสุชาติ ผู้ต้องหาตัวจริงคนละ 31 ปี และได้ปล่อยผู้ต้องหาที่ตกเป็นแพะในคดีดังกล่าว 2 คน สู่อิสรภาพ

คดีฆาตกรต่อเนื่องที่เป็นผู้หญิงรายแรกในประเทศไทย นางณัฐกานต์ อนะมาน วางแผนจดทะเบียนสมรสกับ พล.อ.ต.กิตติพัฒน์ เมือง โคตร (เมื่อปีพ.ศ.2543) และนายอรุณ ครัวกลาง (เมื่อปีพ.ศ.2545) ทำประกันชีวิตวงเงินประมาณ 40 ล้านบาท วางยาพิษและจัดฉากอำพรางคดีเป็นอุบัติเหตุ การดำเนินการสืบสวนใช้หลักการวิเคราะห์พฤติกรรมซึ่งเป็นวิชาการสืบสวนสมัยใหม่ จนสามารถดำเนินคดีกับนางณัฐกานต์ได้ ต่อมาศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 25 ปี

http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14157888041415789227l.jpg

คดีฉ้อโกงบริษัทประกันภัย จับกุมนายพิเชษฐ์ พรตันติพงศ์ อายุ 38 ปี ในข้อหาร่วมกันพยายามฉ้อโกง โดยนายพิเชษฐ์ มีพฤติกรรมหลอกลวงบริษัทประกันภัยหลายแห่ง เพื่อเคลมเงินประกันอุบัติเหตุกรณีสูญเสียอวัยวะจากการตัดนิ้วหัวแม่มือซ้ายของตัวเองที่ทำไว้ รวมมูลค่า 16 ล้านบาท โดยคดีนี้ถือว่าเป็นอาชญากรรมรูปแบบใหม่ ที่ต้องอาศัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์เข้ามาช่วยในการสืบสวนดำเนินคดีกับผู้ต้องหา

คดีนายวิกเตอร์ อนาโตลเจวิช บูท ผู้ก่อการร้ายระดับชาติ ที่เป็นข่าวโด่งดังโดยจับกุม นายวิกเตอร์ อนาโตลเจวิช บูท อายุ 41 ปี สัญชาติรัสเซีย ผู้ต้องหา ในข้อหา "ร่วมกันจัดหาและรวบรวมทรัพย์สินเพื่อการก่อการร้าย" ซึ่งนายวิกเตอร์ เป็นหัวหน้าแก๊งค้าอาวุธสงคราม มีเครือข่ายส่งอาวุธสงครามให้กับกลุ่มกบฏที่ต่อต้านรัฐบาล และกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลก เป็นผู้ต้องหาคนสำคัญที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ต้องการตัวมากที่สุด ได้หลบหนีเข้ามาประเทศไทย ซึ่งต่อมาทางประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีคำร้องขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดน นายวิกเตอร์ เพื่อนำตัวกลับไปดำเนินคดี ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

คดีทุจริตการจัดซื้อของหลวงระดับชาติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 ขณะดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับคณะกรรมการประกวดราคา ตามคำสั่งกรมบัญชีกลาง ที่ สมพ./ก.252/2550 ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2550 ประกอบด้วย นายตำรวจยศ พลตำรวจโท กับพวกรวม 6 คน โดยกล่าวหาว่า "ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับผลประโยชน์ กรณีกระทำผิดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535, พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542, ประมวลกฎหมายอาญาในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ" โดยเริ่มจากการสืบสวนข้อมูลและพฤติการณ์ ในการกระทำผิด ของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อรถจักรยานยนต์สายตรวจ ขนาด 200 ซีซี จำนวน 19,147 คัน ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปี 2550 ปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการของคณะกรรม การประกวดราคา มีลักษณะไม่เป็นธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ เอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายตนเองและผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อให้บริษัทเอกชนผู้ชนะการประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างได้รับผลประโยชน์ ทำให้ราชการเสียหาย จึงแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมด

ด้านงานบุ๋น 
พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ยังสวมบทบาท "อาจารย์" บรรยายในวิชาสำคัญต่างๆ เป็นอาจารย์บรรยายพิเศษให้กับนักศึกษาระดับปริญญาเอกคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บรรยายพิเศษให้กับนักศึกษาระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต บรรยายพิเศษให้กับนักศึกษาระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหิดล

ด้วยผลพวงแห่งการเรียนมากอ่านมากนี่เอง จึงทำให้พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ จับปากกาเขียนตำราและเอกสารทางวิชาการตำรวจแผนใหม่อีกหลายเล่ม จัดพิมพ์สำหรับใช้ประกอบการศึกษาด้านวิชาการตำรวจ ประกอบด้วย ความรู้เบื้องต้นการเฝ้าสังเกตการณ์ และการสะกดรอยติดตาม พ.ศ.2536 ความรู้เบื้องต้นการสืบสวนอาชญากรรม พ.ศ.2537 วิธีปฏิบัติภาคสนามสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อรับแจ้งเหตุอาชญากรรม พ.ศ.2539 ความรู้เบื้องต้นการปฏิบัติงานตำรวจชุมชนสัมพันธ์ และตำรวจผู้รับใช้ชุมชน พ.ศ.2540 มุมมองใหม่การจัดการองค์กรตำรวจศตวรรษที่ 21 พ.ศ.2542 การปฏิบัติงานสืบสวนคดีฆาตกรรมในศตวรรษที่ 22 พ.ศ.2544 คิดเทคนิคใหม่ วิธีการสะกดรอยระยะไกลที่มีประสิทธิภาพโดยลดการใช้ยานพาหนะและกำลังคนให้วงการตำรวจทั่วโลกถึงปัจจุบัน

นี่คือเส้นทางและชีวิตรวมทางผลงานของอดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ชื่อ"เดอะกิ๊ก"พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ คนนี้นี่เอง

คลิป
 - "พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์" ผบช.ก.นั่งประท้วง ผบ.ตร.หน้าลิฟต์นานร่วม 2 ชั่วโมง โดยมีตำรวจกว่า 50 คนให้กำลังใจ เพื่อทวงถามความคืบหน้าการก่อสร้างแฟลตตำร­วจให้ลูกน้อง ย้ำตำรวจชั้นผู้น้อยลำบากมาก แต่ ตร.กลับไม่สนใจ

เด้งฟ้าผ่า! “สมยศ” สั่งย้าย ผบช.ก. “พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์”

 ผบ.ตร.สั่งเด้ง “พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อม “โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์” รอง ผบช.ก.เข้ากรุ โดยให้ “ประวุฒิ ถาวรศิริ” ผู้ช่วย ผบ.ตร.รักษาราชการแทน มีผล 11 พ.ย.
       
       ช่วงเช้าวันนี้ (12 พ.ย.) มีรายงานข่าวว่า วานนี้ (11 พ.ย.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 610/2557 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการ โดยให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก. ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ ผบ.ตร.มอบหมายจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง โดยให้รายงานตัวที่ ศปก.ตร.ภายในวันที่ 12 พ.ย. 2557 เวลา 10.00 น. และให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบช.ก. ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. 2557 เป็นต้นไป โดยคำสั่งดัวกล่าวมีรายละเอียดดังนี้
       
       “เพื่อให้การปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 และมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 และข้อ 8 (1) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2552 จึงให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการและรักษาราชการแทน ดังต่อไปนี้
       
       1. ให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบหมาย จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง โดยให้ไปรายงานตัวที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2557 เวลา 10.00 น. ดังนี้
       
       1.1 พลตำรวจโท พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
       1.2 พลตำรวจตรี โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
       
       2. ให้ พลตำรวจโท ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
       
       ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไป
       
       สั่ง ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2557
       ลงนาม พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง
       ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ”
       
       อย่างไรก็ตาม ผบ.ตร.ไม่ได้ระบุสาเหตุของสั่งย้ายครั้งนี้ สำหรับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และ พล.ต.ต.โกวิทย์ ล้วนเป็นเพื่อนร่วมรุ่น นรต.31 กับ พล.ต.อ.สมยศ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ และพล.ต.อ.เรืองศักดิ์ จริตเอก รอง ผบ.ตร. โดย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ดำรงตำแหน่ง ผบช.ก.ตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ที่ผ่านมามีความพยายามย้าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์มาหลายครั้งก่อนหน้านี้แต่ไม่สำเร็จ โดยเฉพาะในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

รธน.ตีธงโละ “ทุนนิยม” มุ่งไปสู่ “สังคมนิยมเสรี”

เปิดกึ๋นมาถูกทางแล้ว

โดย ทีมข่าวการเมือง 12 พ.ย. 2557 05:01

“ไม่เสียของ” แล้ว

ว่ากันตามแนวโน้มที่สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เริ่มต้นระดมกึ๋น เปิดไอเดีย โชว์แนวทางปฏิรูปใหญ่ด้วยการลุยรื้อโครงสร้างประเทศกันใหม่

ตีธงโละ “ทุนนิยม” มุ่งไปสู่ “สังคมนิยมเสรี”

และก็นั่นก็มีเสียงสะท้อนจากนักคิดนักปฏิบัติมืออาชีพตรงกัน โมเดลนี้แหละเป็นการแก้ปัญหาได้ตรงโจทย์ พอจะกระตุกความคาดหวังของประชาชนคนไทยที่ลุ้นให้

การปฏิรูปช่วยพ้นจากวังวนวิกฤติเดิมๆ

ยกธงเชียร์ สปช.เริ่มต้นมาถูกทาง

อย่างน้อยก็ใจชื้นว่า การปฏิรูปตามเงื่อนไขในการยึดอำนาจการบริหารประเทศภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.

ส่อได้น้ำได้เนื้อมากกว่าจะเหนื่อย โดนด่าฟรี

ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่มัวแต่พะวงลูกติดพัน หลงอยู่ในกงกรรมการเมือง ตามท้องเรื่องที่มีการศึกษากันอย่างถ่องแท้แล้ว ปัญหาพื้นฐานจริงๆที่นำมาซึ่งวิกฤติความแตกแยกในประเทศไทย มันอยู่ที่ความ

เหลื่อมล้ำ โอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกัน

ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนห่างกันจนเหมือนฟ้ากับเหว

และผลจากความล้มเหลวของระบบสังคมและระบบเศรษฐกิจมันจึงลามไปกระทบระบบการเมือง

เรื่องของเรื่อง “ระบอบทักษิณ” ก็แค่ปลายเหตุของปัญหา ฉะนั้น การปฏิรูปที่ถูกต้องควรมุ่งไปที่การฟื้นคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทย ก้าวข้ามหน้าเหลี่ยมไปได้เลย

ณ วันนี้ ก็ชัดแล้วว่า สปช.มีคนคิดเป็น

โดยเฉพาะที่เห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุดก็คือการงัดมาตรการภาษี เล็งขจัดกลุ่มยึดครองที่ดิน

เงื่อนปมใหญ่ของความเหลื่อมล้ำที่ไม่มีใครกล้าแตะมานาน

ตามสภาพการณ์แบบที่เห็นกันจนเป็นเรื่องปกติของคนรวย ที่ดินส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือ “แลนด์ลอร์ด” ตระกูลเศรษฐีถือครองกันคนละหลักแสนไร่ หมื่นไร่ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด อย่างที่

เห็นสองข้างทางที่ดินเปล่าปล่อยรกร้างเต็มไปหมดไม่ได้ทำอะไร รอถนนตัดผ่านที่ดินปั่นราคาพุ่ง

โอกาสตกอยู่กับคนรวย แนวโน้มมีแต่จะรวยขึ้น

ในขณะที่คนชั้นกลางไปถึงคนยากจนก็ยิ่งลำบาก แค่บ้าน 50–60 ตารางวา ยังผ่อนกันเลือดตาแทบกระเด็น ไม่ต้องพูดถึงที่ดินทำกิน ปลูกผัก ปลูกข้าว

แนวโน้มเด็กไทยเกิดใหม่ต้องอยู่บนอากาศ อาศัยอยู่บนแฟลต คอนโดมิเนียม

ในอนาคตอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า ถ้าสภาพการณ์ยังเป็นอยู่อย่างนี้ หนีไม่พ้นที่ดินเกือบทั้งหมดของประเทศไทยตกอยู่กับตระกูลเศรษฐี คนจนไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน

นึกไม่ออกว่าประเทศไทยจะอยู่กันอย่างไร

มันจึงเป็นไฟต์บังคับ ต้องปฏิรูปเรื่องที่ดินเพื่อให้เกิดความสมดุลในประเทศ

ขณะเดียวกัน มันยังเป็นยุทธศาสตร์แฝงที่ลึกล้ำไปกว่านั้น กับการเคลียร์แลนด์ลอร์ด ดัดหลังมหาเศรษฐี ด้วยมาตรการล็อกให้คนไทยถือครองที่ดินได้ในจำนวนจำกัด

ในอีกมุมหนึ่งมันก็เท่ากับกำจัด “ความอยากสะสม”

ตัดปัญหาเรื่องของการเสาะแสวงหา แบบที่เศรษฐีในกรุงเทพฯไปกว้านซื้อที่ดินในต่างจังหวัด ขณะที่ชาวบ้านก็ขายไร่ขายนาอพยพมาหางานทำ แออัดอยู่ในเมืองใหญ่

ในสภาพที่เรียกกว่า “รวยกระจุก จนกระจาย”

ทั้งหมดทั้งปวงเลย คำตอบสุดท้ายมันอยู่ตรงที่ว่า เมื่อเก็บทรัพย์สมบัติในรูปที่ดินไม่ได้ เงินหรือทรัพย์สินก็ต้องถูกนำไปเข้าระบบธนาคาร ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ทั้งในและต่างประเทศ

เงินขาว เงินฟอกเทา เห็นหมด

ตามเงื่อนไขที่ล็อกไว้ ทำให้การสะสมที่ดิน ทรัพย์สมบัติกลายเป็นเรื่องทั้งเหนื่อยทั้งเสี่ยง

โดยปัจจัยที่แปรผันตรงน่าจะส่งผลให้การฉ้อฉลของธุรกิจการเมือง การเอาเปรียบสังคมจากธุรกิจผูกขาด เพื่อฟาดกำไรไปใส่กงสีของตระกูล ลดน้อยลงไปโดยอัตโนมัติ

ตัดไฟ “คอร์รัปชัน” ลด “โกง” ตามตรรกะง่ายๆเลย.


ทีมข่าวการเมือง

อสส.มีมติสั่งฟ้อง 'สรยุทธ-ไร่ส้ม' กรณียักยอกเงินโฆษณาอสมท

คลิปดังเฟสบุ๊ค ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 2 รูป
อสสมีมติสั่งฟ้อง 'สรยุทธ - ไร่ส้ม'.
มีมติสั่งฟ้องบ. ไร่ส้มของสรยุทธสุทัศนะจินดากรณียักยอกเงินโฆษณาอสมท 138 ล้านให้ป. ป. ช. ดำเนินคดี
อัยการสูงสุดมีมติสั่งฟ้องพนักงานอสมท, บริษัท ไร่ส้ม จำกัด และนายสรยุทธสุทัศนะจินดาพิธีกรชื่อดังกับพวกในคดียักยอกเงินโฆษณาจาก บริษัท อสมท กว่า 138 ล้านบาทในการร่วมกันผลิตรายการ "คุยคุ้ยข่าว" ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 (ป.ป.ช. ) มีมติ

พล. อ. สมเจตน์บุญถนอม "สิ่งแปลกแยก" ของผู้มีอำนาจ

พล. อ. สมเจตน์บุญถนอม "สิ่งแปลกแยก" ของผู้มีอำนาจ


AA 15
สำนักข่าวออนไลน์พีเพิลยูนิตี้  - ผมเป็นเพื่อนไลน์กับ.. พลอสมเจตน์ (สนช.) เพราะไม่ค่อยได้มีโอกาสเจอกัน  
ผมรู้จักกับพล. อ. สมเจตน์มานานแล้วตั้งแต่ครั้งคมช. ยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณชินวัตรซึ่งครั้งนั้นพล. อ. สมเจตน์ คมช ซึ่งพล. อ. สมเจตน์ คมช    
พล. อ. สมเจตน์กับผม โดยพล. อ. สมเจตน์     
พล. อ. สมเจตน์ที่ผมรู้จักในความเป็นทหาร เพราะชัดเจนในความรักชาติรักแผ่นดินปกป้องสถาบันมิได้รักชาติรักแผ่นดินปกป้องสถาบัน แต่ปากพล. อ. สมเจตน์
พล. อ. สมเจตน์ และยกมือไหว้ได้สนิทใจ แต่ใจและกายเป็นทหารนิดเดียว
พล. อ. สมเจตน์ที่ผมรู้จักในฐานะเป็นอดีต ส.ว. และปัจจุบันเป็นสนช เป็นคนที่มีจุดยืนอุดมการณ์ชัดเจนแน่วแน่ และไม่เคยเปลี่ยนจุดยืน
หากสนช สปช และคสช. ซึ่งเป็นทหารรุ่นน้องจะมีจุดยืนอุดมการณ์ความกล้าหาญได้สักครึ่งแบบพล. อ. สมเจตน์ ซึ่งที่ผ่านมาในฐานะ ส.ว. พล. อ. สมเจตน์และส. ว. กลุ่มหนึ่ง (40 ส.ว. )
ลองคิดดูว่าหากสนช สปช. ทั้งสภาและคสช ทำแบบเดียวกัน
วันนี้ในฐานะเป็นสนช พล. อ. สมเจตน์และคณะ (และน้อยกว่าเดิม) ไม่ได้มาจากนักการเมือง แต่มาจากการยึดอำนาจโดยทหาร (อาชีพเดียวกับพล. อ. สมเจตน์) และยึดอำนาจจากการเมืองเลวร้ายจะไม่ได้มีจุดยืนอุดมการณ์แบบเดียวกับพล. อ. สมเจตน์ทั้งสภา
เป็นทั้งเรื่องตลกและเรื่องน่าแปลก
พล. อ. สมเจตน์ (คสช.) ไปแล้วการหลุดออกจากการเป็นตัวแทนของ คือคำตอบว่าพล. อ. สมเจตน์    
เมื่อสองวันก่อนพล. อ. สมเจตน์ไลน์มาถึงผม ผมอ่านแล้วอยากให้คสช. ได้อ่านมาก ๆ จึงขอพล. อ. สมเจตน์นำมาเผยแพร่ต่อ
พล. อ. สมเจตน์ไลน์มาว่า
"วัฎจักรประชาธิปไตยไทย
ทหารปฏิวัติยึดอำนาจเลือกตั้ง
นักการเมืองได้อำนาจจากการเลือกตั้ง (สุจริต / หรือไม่สุจริต) คอร์รัปชั่นโกงกินใช้อำนาจไม่เป็นธรรม
มวลมหาประชาชนรวมตัวต่อสู้ขับไล่รัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม แต่ไม่สามารถขับไล่รัฐบาลได้ประเทศชาติถึงทางตัน ประชาชนจึงเรียกร้องให้ทหารออกมาร่วมขับไล่
เข้าบริหารประเทศติดกับดักปัญหาเฉพาะหน้า ลืมปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริง
มวลมหาประชาชนเริ่มไม่พอใจทหาร
อะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ไม่อยากคาดเดาเลยครับ
แต่ก็ขอให้กำลังใจคสช อย่าคิดผิดแก้ปัญหาผิดอย่ากวาดความผิดไว้ใต้พรม
ผมชอบประโยคที่ว่าอย่ากวาดความผิดไว้ใต้พรม เพียงเพื่อให้เห็นว่าสามารถบริหารประเทศชาติให้มีความสงบ
มวลมหาประชาชนเห็นอย่างไรครับ
จากโลกออนไลน์ // พล. อ. สมเจตน์บุญถนอม "สิ่งแปลกแยก" ของผู้มีอำนาจ
โดย - พูลเดชกรรณิการ์
12 พฤศจิกายน 2557
13.25 น

สัมภาษณ์พิเศษ ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล : "ประชาธิปไตยไม่มีคำว่า ′สมบูรณ์′"

ที่มาเวปไทยพีบีเอส
 วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 20:00:00 น


ขณะที่สังคมไทยกำลังเดินตามจังหวะปฏิรูปประเทศที่กำหนดโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 
(คสช.) ในอีกซีกโลกหนึ่ง "ศดรธงชัยวินิจจะกูล.." อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน - แมดิสันประเทศสหรัฐอเมริกาให้สัมภาษณ์พิเศษ "หทัยรัตน์พหลทัพ" ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสว่าด้วยประชาธิปไตย รัฐประหาร และการตื่นตัวทางการเมืองของมวลชน

ถาม: อาจารย์เคยเขียนบทความชื่อ "วิธีการผิด ๆ ก่อความเสียหายหนักกว่า" ทำไมตอนนั้นถึงเขียนเรื่องนี้ ประเทศไทยมีวิถีของไทยเองไม่จำต้องเดินตามฝรั่งก็ได้และการรัฐประหารครั้งนี้อาจจะเป็นประโยชน์กับสังคมไทย

ผมอ่านบทความของคุณเนาวรัตน์พงษ์ไพบูลย์ศิลปินแห่งชาติเขาบอกว่า "ประชาธิปไตยคือการปกครองที่ชอบธรรม ขอให้ดูเนื้อหาไม่ใช่รูปแบบ " ความจริงประชาธิปไตยมีหลายรูปแบบในยุโรปกับอเมริกาก็ไม่เหมือนกันญี่ปุ่นอิน​​เดียก็ไม่เหมือนกันแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ช่วง 2-3 ปีหลังผมพยายามอธิบายว่า และความซับซ้อนของสังคมไทยมันเกิดทีหลังสังคมอื่นหลายแห่ง

เคยตั้งคำถามไหมว่าทำไมฝรั่งทางยุโรปถึงพัฒนามาก่อนไม่ใช่ว่าฝรั่งวิเศษ แต่เขาปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อน หากมองย้อนกลับไปไกล ๆ เอเชียก้าวหน้ากว่ามาก มีผลประโยชน์ขัดแย้งกันยุโรปก็เกิดความคิดนั้นก่อน หมายความว่าในสังคมที่คนเห็นว่าอะไรดีหรือไม่ดีต่างกันมากคนเห็นว่าอะไรเป็นผลประโยชน์ ให้คนมาจัดสรรถกเถียงเจรจาต่อรองทางอำนาจตั้งแต่คนมีอำนาจคนชั้นสูงรวยจนเข้ามาเจรจาต่อสู้อย่างสันติอันนี้ต่างหากที่เป็นเนื้อหาไม่ใช่รูปแบบไม่ใช่แค่สมบัติของฝรั่ง แต่เป็นพัฒนาการของสังคมมนุษย์ถ้าเข้าใจเนื้อหาตรงนี้ ผมเห็นด้วยว่ารูปแบบต่างกันได้ การปฏิเสธสิทธิอำนาจของคนส่วนใหญ่จะเรียกว่าประชาธิปไตยได้อย่างไร

ถาม: การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ดูเหมือนว่า คนจำนวนหนึ่งก็ออกมาขานรับการรัฐประหารมาก

หากย้อนกลับไปปี 2549 คนกรุงเทพฯและคนในต่างจังหวัดจำนวนหนึ่งเห็นด้วยกับการรัฐประหารก็ใช่ แต่คนก็ค้านมหาศาล เพราะเขาไม่เห็นด้วยเขาอาจจะถูกปิดปากไม่ออกมาสู้ไม่ออกมาค้านการรัฐประหารทันที แต่พวกเขาก็ไม่เห็นด้วย แต่เขาถูกปิดปากเท่ากับยิ่งสะสมความอยุติธรรมจึงพูดไม่ได้ว่า

ถาม: กระบวนการต่อต้านรัฐประหารปี 2549 ไม่ถือว่ารุนแรง

ไม่ใช่ว่าพอใจหรือไม่พอใจเท่านั้นผมตอบไม่ได้ แต่ในแง่ที่ว่า การรัฐประหารปี 2549 จะบอกว่าหลายคนชอบก็ได้ แต่การจะบอกว่าพวกเขายังฉลาดไม่พอจึงไม่ออกมาต่อต้านก็คงไม่ได้ผมว่าเขาต้องการเรียนรู้หลายคนนึกไม่ถึงว่าปี 2549 การรัฐประหารจะเกิดขึ้น อีกหลังจากเว้นว่างไปตั้งนาน

ถาม: เท่ากับว่าสังคมไทยไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย 2557 ไม่ถึง 10 ปี

ใช่ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยคำกล่าวที่บอกว่า "อย่าให้การรัฐประหารเสียของ" เป็นคำกล่าวที่แย่ที่สุดอันนี้เป็นความเชื่อของชนชั้นนำนึกไม่ถึงว่าคนมีการศึกษาจะคิดแบบนี้มันสะท้อนว่าระบบ การศึกษาไทยล้มเหลวสิ้นหวัง สิ่งที่คนเหล่านี้ต้องการคือ ตื้นเขินถ้าเช่นนั้นเลิกพูดเถอะว่าต้องการสังคมแห่งความรู้ป่วยการ

ถาม: ตอนนี้มองได้ว่า กระบวนการของประชาชนโตขึ้นมากหรือเปล่า

ใช่ แต่ต้องให้เวลาเขาเรียนรู้เขาฉลาดในบางเรื่อง แต่ก็ไม่ฉลาดในบางเรื่องทุกคนเป็นอย่างนั้นคนอเมริกันก็เป็นอย่างนั้นคนมีการศึกษาก็เป็นอย่างนั้น ประชาธิปไตยไม่มีคำว่า "สมบูรณ์" 

ถาม: แล้วมีการรัฐประหาร

มีหลายประเทศ การใช้ข้ออ้างว่าเป็นเพราะความไม่พร้อมของประชาชนรวมทั้งใช้ข้ออ้างสารพัดเช่นนโยบายที่ไม่ดี ทั้งอังกฤษอเมริกาเยอรมนีก็มีนโยบายที่ดีและไม่ดีปะปนกันไปเราก็สู้กันไป เป็นหลักประกันว่าความเสียหายจะไม่หนักหน่วงหรือที่บอกว่า ประเทศไทยจะพินาศอันนี้ผมว่าไม่จริงเพราะสุดท้ายประชาธิปไตย แล้วก็แก้กลับให้ลงรูปลงรอยก็เท่านั้น

ผมไม่ได้บอกว่าประชาธิปไตยไม่เกิดความเสียหายมันเกิด ระบอบอื่นต่างหากที่ไม่ค่อยปรับตัวอาจจะดูเหมือนถูกในระยะสั้น ๆ แต่สุดท้ายทุกคนมีผลประโยชน์ โดยที่ไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงทั้งที่ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงไม่สามารถท้วงติงได้อันนั้นต่างหากที่เสียหายหนัก

ถาม: บทเรียนประเทศไหนที่หลังการรัฐประหารแล้ว ประชาชนสามารถขับเคลื่อนประชาธิปไตยได้อย่างเต็มที่

และพวกเขาก็สู้จนผ่านภาวะนั้น ที่ผู้นำที่เป็นเผด็จการ อย่างอเมริกามีรัฐธรรมนูญมานาน ก็เปล่า ทาสก็ไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งพอเลิกทาสแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ก็ต้องใช้เวลาปรับด้วยกันทั้งนั้น

สิ่งสำคัญอย่าไปทิ้งกระบวนการอย่าคิดว่ามีผู้รู้ดีเป็นคนดีกว่ามนุษย์ปกติเป็นคุณพ่อรู้ดีเพราะสังคมไม่ใช่สังคมเล็ก ๆ ที่เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อีกแล้วอะไรดีอะไรชอบธรรมเถียงกันได้เห็นต่างกันได้

ถาม: ถ้าประชาธิปไตยกลับมาการตื่นตัวทางการเมืองของชาวบ้านจะกลับมาอีกหรือไม่

น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ขณะนี้ปัจจัยที่เลวร้าย และได้ทำลายรากฐานที่ดีหลายอย่างเช่นสื่อมวลชนที่เห็นได้ชัดว่าคุณภาพตกต่ำลงอย่างไม่น่าเชื่อกระบวนการยุติธรรมหมดสิ้นแล้วคนไม่เชื่อถือแล้ว แต่ก็ต้องทนรวมทั้งระบบการศึกษาครูอาจารย์ทั้งหลายละทิ้งจรรยาบรรณละทิ้งการถกเถียงเพื่อหาความรู้ ไป

คุณต้องปล่อยให้ประชาชนสร้างสรรค์ระบอบเหล่านั้นขึ้นมาใหม่ การเลือกตั้งและประชาธิปไตยไม่ใช่การลอกฝรั่ง ประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่คนในสังคมที่ซับซ้อน มีผลประโยชน์มีความเห็นต่างกันมีโอกาสเข้ามาเจรจาต่อสู้แชร์อำนาจกันอันนี้ไม่ใช่เรื่องฝรั่งหรือไทยมันเป็นเรื่องสากลมนุษย์ทุกสังคมเป็นแบบนี้ทั้งนั้น

ถาม: เมื่อจัดการความขัดแย้งด้วยการกดความขัดแย้งให้อยู่ใต้พรม เมื่อแรงกดทับมันอิ่มตัวจะเป็นอย่างไร

ผมไม่รู้ไม่อยากจะคิด เป็นการทำให้สังคมไทยจมลงไปอีกอาจจะเป็นการฝังระเบิดผมไม่รู้ว่าจะระเบิดหรือเปล่า

ถาม: (สนช.) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แล้ว

ผมไม่คิดว่า สิ่งที่พวกเขาจะผลิตขึ้นมาผมไม่อยากจะวิเคราะห์เลยอาจจะมีสิ่งที่ดีขึ้นมาบ้าง ผมว่าไม่น่าเป็นไปได้เพราะสื่อมวลชนกระบวนการยุติธรรมและระบบการศึกษามันตกต่ำถูกทำลายลงไปแล้ว

ถาม: พอจะมีความหวังบ้างหรือไม่ว่าหลังมีการเลือกตั้งแล้ว คนในสังคมไทยจะหันมาพัฒนาให้สังคมกลับมาเหมือนเดิมหรือดีกว่าเดิม

ต้องดูว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรถ้ากลับไปเหมือนกับยุคของพลเอกเปรมติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรีประมาณปี 2523 ก็แปลว่าประเทศไทยเสียเวลาไปประมาณ 30 กว่าปีซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เรา "สูญ" สนิทเลยอาจจะ มีบางอย่างดีขึ้นเช่นมวลชนตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น แต่อย่าลืมว่าสื่อมวลชนแย่ลงมหาศาล กระบวนการศึกษาก็แย่ลงมากกว่าปี 2523 แต่เราก็ต้องมาสร้างกันใหม่

ถาม: อาจารย์บอกว่าอย่างหนึ่งที่ได้มาคือการที่ประชาชนตื่นตัวทางการเมืองการตื่นตัวนั้น จะสามารถปกป้องประชาธิปไตยไว้ได้หรือไม่

ความตื่นตัวทางการเมืองมีแน่ แต่การจะบอกว่า ผมไม่รู้ คงไม่มีใครกล้าพูดเพราะตายแล้วอาจจะไม่ได้อะไรขึ้นมาเราอาจจะย้อนไป 30 ปีหรืออาจจะอยู่ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธ นะรัชต์หรือเปล่าผมไม่แน่ใจหรืออาจจะไม่ย้อนกลับไปอัน นี้ก็ต้องประคับประคองกันไปสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปีหลัง ๆ

ถาม: ฟังดูเหมือนไร้ความหวังหรือเปล่า

ถ้าบอกว่าเป็นการไร้ความหวังในแง่ที่ว่าสิ่งนี้ไม่ควรเกิดก็คงใช่ผมไม่ได้บอกว่าจะต้องมีรัฐบาลที่ดีเลิศประเสริฐ มันใช้เวลากว่าจะสร้างขึ้นมายกตัวอย่างที่เห็นชัด ฝ่ายไม่ว่าจะเป็นสีเหลืองหรือสีแดง

หลังจากการรัฐประหารปี 2549 หลังจากสู้กันมา 30 ปีแล้วยังมีแนวคิดจะยุบอบต อบจ อีก และในสังคมไทยมากแค่ไหนก็ต้องสู้กันไปสิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย

ถาม: สังคมไทยต้องเรียนรู้อย่างไรบ้าง

สังคมไทยไม่เรียนรู้อะไรเลยโดยเฉพาะอำนาจของชนชั้นนำการยึดอำนาจ 2 ครั้งหลัง พวกเขาต้องการระบอบอย่างนั้นไม่ใช่ว่าพวกเขาเรียนรู้หรือไม่เรียนรู้พวกเขาเห็นว่าสิ่งที่ดีคือให้เขามีอำนาจเหนือนักการเมือง

นักการเมืองมี 2 ด้านไม่ได้มีด้านที่เลวทั้งหมดไม่ต่างจากคนอื่น เขาต้องการมีส่วนแบ่งทางอำนาจ เขามีทัศนะของตัวเอง