12 พฤศจิกายน 2014
ดร วิรไทสันติประภพ
ไม่แน่ใจว่าคนรุ่นหนุ่มสาวได้ยิน "เล็กดีรสโต" แล้วจะนึกถึงอะไร ห่อด้วยกระดาษสีเงินปนขาว แต่สรรพคุณ "รสโต"
ผมคิดว่า "เล็กดีรสโต" จะเป็นทางออกของภาครัฐวิสาหกิจไทย ปรับตัวยาก คู่แข่งและสภาวะตลาด เกิดปัญหาสมองไหล
44 ของรายได้ประชาชาติ (เทียบกับเพียงร้อยละ 35 ในปี 2553) 12 ล้านล้านบาท และถ้ามองไปในอนาคตแล้ว
เข้าไปเป็นกรรมการ หรือเปลี่ยนรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง มือใครยาวขุดได้ขุดเอา
แม้ว่าในขณะนี้ภาครัฐวิสาหกิจไทยโดยรวมยังมีความสามารถในการส่งกำไรเป็นรายได้ให้รัฐปีละกว่าหนึ่งแสนล้านบาท ภาครัฐวิสาหกิจโดยรวมยังไม่ได้สร้างภาระการคลังเหมือนกับรัฐวิสาหกิจในอีกหลายประเทศ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินกำไรที่นำส่งรัฐมีขนาดน้อยมากเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่รัฐบาลได้ใส่เงินเข้าไป รัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีความสามารถในการทำกำไรและผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำกว่าคู่แข่งภาคเอกชนมาก จะมีเพียงรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้จากสัมปทาน หรือเป็นผู้ผูกขาด (และสามารถกำหนดราคาได้ตามอำเภอใจ) เท่านั้นมีความสามารถในการทำกำไรดีนอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นและเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หลายแห่งที่เคยมีกำไรกลายเป็นขาดทุน ถ้าไม่ปฏิรูปภาครัฐวิสาหกิจกันอย่างจริงจังแล้ว เงินนำส่งคลังของรัฐวิสาหกิจคงจะลดลงเรื่อยๆ และสักวันหนึ่งภาครัฐวิสาหกิจโดยรวมอาจจะกลายเป็นภาระทางการคลังเหมือนกับในอีกหลายประเทศก็ได้
นอกจากเรื่องความสามารถในการทำกำไรและเงินนำส่งคลังแล้ว และประสิทธิภาพถดถอย
ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความถี่สนามบินทางพิเศษท่าเรือหรือการขนส่งระบบราง หรือสร้างฐานสำหรับธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
ต้องทำหลายอย่าง "เล็กดีรสโต" "เล็กดีรสโต" ได้นั้น
ประการแรก ถ้าพิจารณากันด้วยใจเปิดกว้างแล้ว มากมายต้องขออนุญาตหลายหน่วยงานไม่คล่องตัว
ประการที่สองต้องแยกหน้าที่กำกับดูแล (ควบคุม) ออกจากรัฐวิสาหกิจ (ผู้ดำเนินการ) ทำให้การแข่งขันไม่เป็นธรรม ในทางตรงกันข้ามบางรัฐวิสาหกิจที่ไม่โปร่งใส ดังนั้น และให้บริการเฉพาะที่ตนมีความชำนาญ ไม่ควรขยายธุรกิจใหม่ ๆ ไปเรื่อยตามใจผู้มีอำนาจรัฐ
สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันต่ำ และยังไม่มีผู้ประกอบการภาคเอกชนเข้ามาให้บริการประชาชนอย่างเพียงพอ โจทย์ที่ต้องคิดให้หนักคือควรให้รัฐวิสาหกิจที่ขาดประสิทธิภาพเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการต่อไปหรือไม่ หรือรัฐบาลควรจัดระบบเงินอุดหนุนเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการเอกชนที่มีประสิทธิภาพเข้ามาดำเนินงานแทน ระบบเงินอุดหนุน (เช่นผ่านการประมูล) จะทำให้เกิดการแข่งขันของผู้ประกอบการภาคเอกชน รัฐบาลทราบภาระที่ต้องอุดหนุนชัดเจนในแต่ละปี และควบคุมคุณภาพการให้บริการได้ง่ายกว่า ต่างจากการที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ดำเนินการเอง ซึ่งจะสร้างภาระการคลังปลายเปิดในระยะยาว
ประการที่สาม (โดยเฉพาะพวกที่ผูกขาด) และต้องยกเลิกสิทธิประโยชน์ต่างๆ "เล็กดีรสโต" ได้อย่างยั่งยืน
ประการที่สี่ต้องยกระดับระบบบรรษัทภิบาล (บรรษัทภิบาล) คล้ายกับเทมาเส็กของสิงคโปร์หรือ Khazanah ของมาเลเซีย
ประการสุดท้าย การประเมินผลและการฝึกอบรมพนักงานอย่างจริงจัง เพราะปัญหาความเทอะทะ
การดำเนินการให้ภาครัฐวิสาหกิจโดยรวมมีขนาดเล็กลงไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ ทิศทางที่ชัดเจนต้องเริ่มจากระดับนโยบายสูงสุดของรัฐบาล จะต้องได้รับการสนับสนุนจากข้าราชการที่เป็นผู้กำกับดูแล (และอาจจะเคยได้รับประโยชน์จากการใช้อำนาจรัฐผ่านรัฐวิสาหกิจ) และที่สำคัญต้องสื่อสารและสร้างการยอมรับให้แก่ผู้บริหารและพนักงานของรัฐวิสาหกิจที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง
ภาครัฐวิสาหกิจไทยในวันนี้ยังอยู่ในสถานะที่จัดการได้ แต่ถ้าเราปล่อยให้ภาครัฐวิสาหกิจขยายขนาดเทอะทะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสามารถในการแข่งขันถดถอยลงเรื่อยๆ จะยิ่งจัดการยากและจะกลายเป็นปัญหาอันใหญ่หลวงของประเทศในระยะยาวนอกจากจะทำให้รัฐวิสาหกิจ "เล็กดีรสโต" แล้ว ผมนึกไม่ออกว่ามีวิธีอื่นใดบ้างที่จะทำให้รัฐวิสาหกิจตอบโจทย์ประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน
หมายเหตุ : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจฉบับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2557
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น