PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ครม.ประยุทธ์5


โปรดเกล้าครม.ประยุทธ์5 พ้น16ตั้งใหม่18ตำแหน่ง

///
ปรับครม.บิ๊กตู่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้รมต.พ้น 16 ตำแหน่ง – แต่งตั้งใหม่ 18 ตำแหน่ง

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ดังนี้

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า ได้มีรัฐมนตรีลาออกบางตําแหน่ง และสมควรปรับปรุงรัฐมนตรีบางตําแหน่ง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน

อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๕๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

๑. ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

1.พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
2.พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
3.นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
4.นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
5.พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
6.นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
7.พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
8.พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
9.นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
10.นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
11.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
12.นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
13.นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
14.นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
15.นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
16.หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

๒. ให้แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นรองนายกรัฐมนตรี
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬา
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์
นายกฤษฎา บุญราช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายลักษณ์ วจนานวัช เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์
นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อีกตําแหน่งหนึ่ง
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
นายอุดม คชินทร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
นายสมชาย หาญหิรัญ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี



ปรับครม.บิ๊กตู่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้รมต.พ้น 16 ตำแหน่ง – แต่งตั้งใหม่ 18 ตำแหน่ง

ปรับครม.บิ๊กตู่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้รมต.พ้น 16 ตำแหน่ง – แต่งตั้งใหม่ 18 ตำแหน่ง




เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ดังนี้

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า ได้มีรัฐมนตรีลาออกบางตําแหน่ง และสมควรปรับปรุงรัฐมนตรีบางตําแหน่ง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน

อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๕๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

๑. ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

1.พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
2.พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
3.นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
4.นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
5.พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
6.นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
7.พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
8.พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
9.นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
10.นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
11.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
12.นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
13.นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
14.นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
15.นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
16.หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี

๒. ให้แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นรองนายกรัฐมนตรี
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬา
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์
นายกฤษฎา บุญราช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายลักษณ์ วจนานวัช เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์
นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อีกตําแหน่งหนึ่ง
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
นายอุดม คชินทร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
นายสมชาย หาญหิรัญ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี

บทเรียน จากข่าว การตาย ณ เตรียมทหาร บทบาท ของ “สื่อ”

บทเรียน จากข่าว การตาย ณ เตรียมทหาร บทบาท ของ “สื่อ”


ไม่ว่าข่าวนักเรียนเตรียมทหารเสียชีวิตอย่างมากด้วยเงื่อนงำ ไม่ว่าข่าวนายพลทหารนำพวกบุกเข้าไปเทกแอ๊กชั่นในหน่วยนาวิกโยธินแห่งหนึ่ง
ไม่ได้มีจุดเริ่มมาจากหน้า “หนังสือพิมพ์”
ทั้งไม่ได้มีจุดเริ่มมาจากการนำเสนอข่าวผ่านโทรทัศน์ ไม่ว่าอนาล็อก ไม่ว่าดิจิทัล และไม่ได้มีจุดเริ่มมาจากการนำเสนอข่าวผ่านวิทยุ
หากแต่จุดประกายผ่าน “ออนไลน์”
เริ่มต้นจากการตั้งข้อสงสัย นำไปสู่การแสดงความเห็น “แย้ง” ต่อรายงานกระแสหลักอันมาจากหน่วยราชการ
และที่สุดก็ปักใจ “ไม่เชื่อ”
เมื่อการนำเสนอผ่านสื่อ “ออนไลน์” ในหลายๆ ช่องทางได้รับความสนใจ มีการแชร์กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง จึงเริ่มได้รับความสนใจจากหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และวิทยุ
กลายเป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์
ในห้วง 2-3 ปีหลัง, เส้นทางของข่าวดำเนินไปในลักษณะของสะพานเชื่อมระหว่าง “สื่อใหม่” กับ “สื่อเก่า” อย่างมีลักษณะพิเศษ
เครื่องมืออย่างสำคัญ คือ สมาร์ทโฟน
พื้นฐานอย่างทรงความหมายก็คือ การจัดตั้งเว็บเพจผ่าน “เฟซบุ๊ก” อย่างมีลักษณะส่วนตัว แต่ก็มากด้วยเครือข่ายในลักษณะอันเป็น “ชุมชน”
“สมาร์ทโฟน” นั่นเองที่กลายเป็น “สถานี”
เป็นสถานีอันเสนอภาพ ข่าว อย่างรวดเร็ว ฉับไว ไม่ได้จำกัดแต่เพียงในประเทศ หากแต่ในขอบเขตทั่วโลก
เพียง “คลิก” เดียวก็เชื่อมต่อได้
สถานะแห่งการรายงานข่าวมิได้ผูกขาดอยู่แต่จากสำนักข่าวอันถือว่าเป็น “มืออาชีพ” ตรงกันข้าม ใคร ที่ไหนก็สามารถทำหน้าที่รายงานข่าวได้
นี่คือ “ฐาน” แห่งการแพร่กระจาย “ข่าวสาร”
รูปธรรมจากกรณีการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของนักเรียน“เตรียมทหาร” รูปธรรมจากกรณีนายพลทหารบุกเข้าไปยังหน่วยนาวิกโยธินของ “ทร.”
เป็นรูปธรรมล่าสุดของ “ข่าว”
พลันที่กรณีนี้ตกถึงมือ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ย่อมหมายความว่าข่าวได้กลายเป็นกระแสหลักแห่งความสนใจ
โดยมีฐาน “คนติดตาม” เรือนแสน เรือนล้าน
ผลก็คือ มีความจำเป็นที่หน่วยราชการซึ่งเกี่ยวข้องจะต้องมาทำความกระจ่าง หากเป็นนักเรียนเตรียมทหารก็ต้องกองบัญชาการกองทัพไทย
และหากเป็นหน่วยนาวิกโยธินก็ต้องกองทัพเรือ
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่สายพานแห่งข่าวเหล่านี้ไม่สามารถดำรงอยู่ในลักษณะด้านเดียวอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้าม หากดำเนินไปอย่างมีการปะทะ ขัดแย้ง
กว่าจะถึงขั้นสุดท้ายของ “ความจริง”
ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่มี ไม่ว่าจะมีสภาอันมาจากการเลือกของประชาชนหรือสภาแต่งตั้ง แต่วิถีของข่าวดำเนินไปเช่นนี้และมีบทบาทเด่นชัดยิ่งขึ้น
แนวโน้มที่เห็นก็คือ บทบาทของสื่อออนไลน์ บทบาทของโซเชียลมีเดีย
เริ่มรุกคืบและค่อยๆ เข้าไปยึดครองพื้นที่ของสื่อหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์
อาจยังมิได้ครอบงำ อาจยังมิใช่ด้านหลัก
แต่ก็ส่อความเป็นไปได้ที่จะรุกคืบ แสดงบทบาทอย่างเป็นรูปธรรมและอยู่ในลักษณะอันเป็นฝ่ายกระทำมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
โดยสื่อหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์กำลังถอยร่น

กราบขอประทานอภัย" บิ๊กป้อม ไม่ได้เจาะจง ถึง "น้องเมย

"กราบขอประทานอภัย" บิ๊กป้อม ไม่ได้เจาะจง ถึง "น้องเมย"
"โฆษกกลาโหม" แจงแทน"บิ๊กป้อม" ไม่ได้พูดถึง "น้องเมย" แต่กล่าวถึงภาพรวมในระบบ รร.ทหาร แต่สื่อหยิบยกแค่บางประเด็น ไปนำเสนอ แต่"กราบขอประทานอภัย" ที่กระทบ ความรู้สึก/ เผยผลสอบสวนจาก รร.เตรียมทหาร ส่งถึง ผบ.สส. แล้ว แต่ยังไม่ถึง มือ บิ๊กป้อม
พลโท คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโห ม กล่าวถึงการสอบสวนข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหารภัคพงษ์ ตัญกาญจน์ หรือ"น้องเมย"ว่า พลเอกประวิตร ยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และ เห็นใจ เสียใจ กับครอบครัว และยืนยันว่า จะทำความจริงให้ปรากฎ แต่ขอเวลา และรอผลการสอบสวนเพิ่มเติม โดยคณะกรรมการของกองทัพไทย ที่มี พลอากาศเอก ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสธ.ทหาร เป็นประธาน
และต้องรอผลทางการแพทย์ ประมาณ7 วันหรือเร็วกว่านั้น
"ตอนนี้ ไม่อยากให้สิ่อ หรือสังคม โซเชี่ยลฯ นำไปขยายความ ควรรอให้ผลปรากฏออกมาก่อน"
ส่วนคำพูด พลเอกประวิตร ที่ถูกวิจารณ์ อย่างหนัก ที่ว่า "ถ้าไม่อยากโดนแบบนี้ ก็ไม่ต้องเข้ามาเรียน หรือ ถ้าจะมาเรียน ก็ต้องเตรียมใจ ที่จะเจอแบบนี้ ผมก็โดนซ่อมถ้าเกินกำลังก็สลบแต่ผมมันไม่ตายไง"
นั้น โฆษกกลาโหม กล่าวว่า
อะไรที่กระทบความรู้สึก ก็ต้องกราบขอประทานอภัย ด้วย
เพราะพลเอกประวิตร พูดในภาพรวม ไม่ได้ ระบุตัวบุคคล พูดถึงระบบของ รร.ทหาร และการปรับปรุงวินัย พูดภาพรวมทั่วไป
"ท่าน ตอบภาพรวม ไม่ได้ระบุว่าเป็น"น้องเมย" แต่กับถูกหยิบยกไปนำเสนอแบบไม่ครบถ้วน มีการตัดบางประโยคบางคำพูด มานำเสนอ เลยกระทบความรู้สึกพ่อแม่ จึงขอความร่วมมือสื่อในการนำเสนอข้อมูลให้ครบถ้วน ไม่คลาดเคลื่อน ความเป็นจริง"
เมื่อถามว่า พลเอกประวิตร จะต้องขอโทษต่อคำพูดของตนเอง หรือไม่ พลโทคงชีพ กล่าวว่า ขอโทษเรื่องอะไร เพราะท่านพูดภาพรวม ไม่ได้ระบุเจาะจง ถึง น้องเมย ซึ่งอะไรที่กระทบความรู้สึกก็ต้องกราบขอประทานอภัย ด้วย
ดังนั้นตอนนี้ ขอทุกฝ่ายยุติไปก่อน รอความจริงให้ปรากฏ ก่อน
ส่วนเสียงเรียกร้องให้ ตั้งกก.ที่เป็นกลาง ตรวจสอบ นั้น โฆษกกลาโหม กล่าวว่า. ขอให้เชื่อมั่นในความเป็นกลาง เพราะมีการตั้งคณะกรรมการ ทั้งในส่วน รร.เตรียมทหาร ที่ ผบ. รร.เตรียมทหาร สอบเอง ซึ่งผลสอบของ รร.เตรียมทหาร ส่งถึง พลเอกธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.สส. แต่ยังไม่ถึง พลเอกประวิตรรมว.กลาโหม
และ มีคณะกรรมการในส่วนของ บก ทัพไทย ที่เป็น คณะกก. สอบสวนข้อเท็จจริง พลอากาศเอก ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสธ.ทหาร เป็นประธาน ว่ามีการทำอะไรเกินเลย กว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่ การซ่อม ปรับปรุงวินัย และรอผลทาง การแพทย์ และ อาการเจ็บป่วยของน้องเมย ก่อนหน้านี้ ถูกซ่อมเดี่ยว มีสาเหตุจากอะไร
ด้วย จึงไม่ต้องให้มีคณะกรรมการ จากคนนอก

"คนนอก"ไม่ต้อง

"คนนอก"ไม่ต้อง
ลุ้น!!..รร.เตรียมทหาร สรุปผลสอบฯ กรณี "น้องเมย" ส่ง ผบ.ทหารสูงสุดแล้ว/ขอเชื่อมั่นในความเป็นกลาง ของคณะกรรมการสอบสวน 2ชุด ยัน ไม่ต้องมี"คนนอก"มา สอบ
พลโทคงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม เผยว่า ผลการสอบสวนของ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ของ รร.เตรียมทหาร ส่งถึง พลเอกธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.สส. แล้ว แต่ยังไม่ถึง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม
ส่วน คณะกรรมการในส่วนของ บก ทัพไทย ที่เป็น คณะกก. สอบสวนข้อเท็จจริง พลอากาศเอก ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสธ.ทหาร เป็นประธาน นั้น จะสอบว่า มีการทำอะไรเกินเลย กว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่ การซ่อม ปรับปรุงวินัย และรอผลทาง การแพทย์ และ อาการเจ็บป่วยของน้องเมย ก่อนหน้านี้ ถูกซ่อมเดี่ยว มีสาเหตุจากอะไร ขอให้รอผลสอบก่อน
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องให้มีการตั้งกรรมการที่เป็นกลาง หรือให้คนนอกเข้ามาสอบสวนเรื่องนี้. และขอให้มั่นใจเชื่อมั่นในความเป็นกลางในการสอบสวนครั้งหนึ่ง

"บิ๊กต๊อก" สั่ง เด้ง "ผู้การกรม-ผู้พัน"นักเรียนเตรียมทหาร แล้ว

"บิ๊กต๊อก" สั่ง เด้ง "ผู้การกรม-ผู้พัน"นักเรียนเตรียมทหาร แล้ว สังเวย "น้องเมย" เปิดทางสอบสวนใหม่ และสัง่สอบซ้ำใหม่ หลัง รร.เตรียมทหาร สรุปผลสอบรอบแรก ระบุ "น้องเมย" หัวใจวายเฉียบพลัน ไม่ใช่เพราะถูกซ่อม
มีรายงานว่า คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ของ รร.เตรียมทหาร กรณี การเสียชีวิตของ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหาร ภัคพงษ์ ตัญกาญจน์ เมื่อ17ตค.2560 ได้สรุปผลการสอบสวน เบื้องต้น แล้วว่า เกิดจากอาการ หัวใจวายเฉียบพลัน ไม่ใช่เพราะการถูกซ่อม หรือลงโทษทางวินัย เพราะในช่วงนั่น ไม่มีการซ่อม
แต่เนื่องจาก เป็นการสอบสวนก่อนที่จะมีข้อมูลใหม่ เรื่องการถูกซ่อม และการร้องเรียนจากบิดามารดา ดังนั้น พลเอกธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.ทหารสูงสุด ได้สั่งการให้มีการ สอบสวนใหม่ โดยให้ ย้อนกลับไปตรวจสอบเหตุการณ์ ที่น้องเมย ถูกซ่อม โดยจะเรียก เพื่อนร่วมรุ่น รุ่นพี่ และนักเรียนบังคับบัญชา และนายทหาร ที่ดูแล มาสอบ ว่า มีการลงโทษ จริงหรือไม่ ด้วยเหตุใด และอย่างไร รวมถึงประวัติเรื่องสุขภาพ การเข้าโรงพยาบาล และ ห้องพยาบาล ของ น้องเมย
ทั้งนี้ ให้ทำงานประสานสอดคล้อง กับ การสอบสวนข้อเท็จจริงของ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของ กองบัญชาการกองทัพไทย ที่มี พลอากาศเอก ชวรัตน์ มานะรุ่งเรือง รองเสธ.ทหาร เป็นประธาน ด้วย
นอกจากนี้ พลเอกธารไชยยันต์ ยังสั่งย้าย
พันเอกฉัตรรัตน์ ดวงรัตน์
ผู้บังคับการกรมนักเรียนเตรียมทหาร เข้าประจำ บก.กองทัพไทย แล้วให้ พันเอก เบญจพล เดชาติวงศ์ รอง ผบ.ร.21รอ. มาเป็นแทน
และเด้ง นาวาโท นพสิษฐ์ เพียรชอบ ผู้บังคับกองพันนักเรียนเตรียมทหาร. เข้าประจำนย. แล้วให้ นาวาโท ประเสริฐศิลป์ วรศิษฐ์ มาเป็นผู้พัน ฯแทน
ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามขั้นตอน การสอบสวน เพื่อให้ คณะกรรมการ รองเสธ ทหาร และคกก.เข้าสอบสวน ได้อย่างโปร่งใส

ผบ.สส. สั่งเด้ง ผู้การ และผู้พัน จากนาวิกโยธิน พ้นตำแหน่ง เปิดทางสอบสวน

ส่ง"เสธ.เบญ" ทหารเสือราชินี ดาวเด่น จาก ร.21 รอ.มาเป็น ผู้การกรม นักเรียนเตรียมทหาร แทน หลัง ผบ.สส. สั่งเด้ง ผู้การ และผู้พัน จากนาวิกโยธิน พ้นตำแหน่ง เปิดทางสอบสวน/ ส่ง น.ย.คนใหม่ มาเป็นผู้พัน แทน

วันนี้ พลเอกธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.ทหารสูงสุด ลงนามในคำสั่ง กองทัพไทย ที่104/2560เรื่องให้นายทหารรับราชการ โดยสั่งย้าย พันเอกฉัตรรัตน์ ดวงรัตน์ ผู้บังคับการกรม นักเรียนเตรียมทหาร เข้าประจำ บก.กองทัพไทย แล้วให้ พันเอก เบญจพล เดชาติวงศ์ รอง ผบ.ร.21รอ. ทหารเสือราชินี มาเป็นแทน

ทั้งนี้ พันเอกเบญจพล (ตท.32) ถือเป็นนายทหาร ที่มีลักษณะดี ได้รับการยอมรับ และเป็นดาวรุ่ง ของ ร.21 รอ. หน่วยของนายกฯบิ๊กตู่

และเด้ง นาวาโท นพสิษฐ์ เพียรชอบ ผู้บังคับกองพันนักเรียนเตรียมทหาร. เข้าประจำ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (นย.) แล้วให้ นาวาโท ประเสริฐศิลป์ วรศิษฐ์ (ตท.36)จาก หัวหน้านายทหารสรรพาวุธ นาวิกโยธิน มาเป็นผู้พัน ฯแทน

ทั้งนี้ เพื่อเป็นไปตามขั้นตอน การสอบสวน เพื่อให้ คณะกรรมการ รองเสธ ทหาร และคกก.เข้าสอบสวน ได้อย่างโปร่งใส แต่ยังไม่ได้ถิอว่า มีความผิด

นายกฯขอโทษแทนประวิตร

ขอโทษ 

"นายกฯ บิ๊กตู่" ขอโทษ แทน "บิ๊กป้อม" หากทำให้ประชาชนไม่สบายใจ ยันเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัว "น้องเมย" ยันไม่ต้องการปกป้องใคร เพราะหากปกป้องอย่างที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ ก็คงหาความสุขไม่ได้เช่นกัน สั่ง หน่วยฝึกของทุกกองทัพจะต้องดูแลเอาใจใส่ให้ดี ยืนยันแสวงหาข้อเท็จจริงทั้งทางลับและเปิดเผย วอนสังคมเข้าใจ  /เผยสั่งเด้ง "ผู้การกรม-ผู้พัน" นักเรียนเตรียมทหาร เพื่อความ โปร่งใส และประชาชนเกิดความสบายใจ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อครอบครัวของนักเรียนเตรียมหาร ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ ผู้เสียชีวิต 

"และขอโทษแทนผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายหากทำให้ประชาชนรู้สึกไม่สบายใจ "

โดยยืนยันว่า ไม่ต้องการปกป้องใคร เพราะหากปกป้องอย่างที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ ก็คงหาความสุขไม่ได้เช่นกัน 

ขณะนี้กำลังพยายามหาข้อเท็จจริงทั้งทางลับและเปิดเผย เพราะไม่อยากให้กระทบต่อการสอบสวน

“นายกฯ เน้นย้ำว่า เราสูญเสียหนึ่งชีวิตที่มีคุณค่าของชาติ โดยที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น 

ดังนั้น ทุกฝ่ายจะต้องร่วมกันระมัดระวังเรื่องเหล่านี้ โดยหน่วยฝึกของทุกกองทัพจะต้องดูแลเอาใจใส่ให้ดี มีความรับผิดชอบต่อทุกชีวิตเช่นคนในครอบครัว และอย่าทำสิ่งใดเกินเลยเด็ดขาด” พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะฟังข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งจากแพทย์ ครอบครัว อาจารย์ รุ่นพี่ เพื่อนของผู้เสียชีวิต และผู้เกี่ยวข้องตลอดทั้งกระบวนการ โดยจะแสวงหาความจริงให้ได้ และจะต้องมีผู้รับผิดชอบหากมีการกระทำที่ไม่ถูกต้องจริง จึงขอวิงวอนให้สังคมเข้าใจและให้เวลากับเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งหยุดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างเกินเลย เพราะไม่เป็นผลดีแก่ผู้ใด โดยเฉพาะจิตใจของครอบครัวผู้สูญเสียในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทางกองทัพได้มีคำสั่งให้นายทหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลนักเรียนเตรียมทหารไปปฏิบัติหน้าที่อื่น เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และประชาชนเกิดความสบายใจ

"บิ๊กตู่"ตท.12
"น้องเมย"ตท.60

"บิ๊กต๊อก" สั่ง เด้ง "ผู้การกรม-ผู้พัน"นักเรียนเตรียมทหาร แล้ว สังเวย "น้องเมย"

"บิ๊กต๊อก" สั่ง เด้ง "ผู้การกรม-ผู้พัน"นักเรียนเตรียมทหาร แล้ว สังเวย "น้องเมย" เปิดทางสอบสวนใหม่ และสัง่สอบซ้ำใหม่ หลัง รร.เตรียมทหาร สรุปผลสอบรอบแรก ระบุ "น้องเมย" หัวใจวายเฉียบพลัน ไม่ใช่เพราะถูกซ่อม
มีรายงานว่า คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ของ รร.เตรียมทหาร กรณี การเสียชีวิตของ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหาร ภัคพงษ์ ตัญกาญจน์ เมื่อ17ตค.2560 ได้สรุปผลการสอบสวน เบื้องต้น แล้วว่า เกิดจากอาการ หัวใจวายเฉียบพลัน ไม่ใช่เพราะการถูกซ่อม หรือลงโทษทางวินัย เพราะในช่วงนั่น ไม่มีการซ่อม
แต่เนื่องจาก เป็นการสอบสวนก่อนที่จะมีข้อมูลใหม่ เรื่องการถูกซ่อม และการร้องเรียนจากบิดามารดา ดังนั้น พลเอกธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.ทหารสูงสุด ได้สั่งการให้มีการ สอบสวนใหม่ โดยให้ ย้อนกลับไปตรวจสอบเหตุการณ์ ที่น้องเมย ถูกซ่อม โดยจะเรียก เพื่อนร่วมรุ่น รุ่นพี่ และนักเรียนบังคับบัญชา และนายทหาร ที่ดูแล มาสอบ ว่า มีการลงโทษ จริงหรือไม่ ด้วยเหตุใด และอย่างไร รวมถึงประวัติเรื่องสุขภาพ การเข้าโรงพยาบาล และ ห้องพยาบาล ของ น้องเมย
ทั้งนี้ ให้ทำงานประสานสอดคล้อง กับ การสอบสวนข้อเท็จจริงของ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของ กองบัญชาการกองทัพไทย ที่มี พลอากาศเอก ชวรัตน์ มานะรุ่งเรือง รองเสธ.ทหาร เป็นประธาน ด้วย
นอกจากนี้ พลเอกธารไชยยันต์ ยังสั่งย้าย
พันเอกฉัตรรัตน์ ดวงรัตน์
ผู้บังคับการกรมนักเรียนเตรียมทหาร เข้าประจำ บก.กองทัพไทย แล้วให้ พันเอก เบญจพล เดชาติวงศ์ รอง ผบ.ร.21รอ. มาเป็นแทน
และเด้ง นาวาโท นพสิษฐ์ เพียรชอบ ผู้บังคับกองพันนักเรียนเตรียมทหาร. เข้าประจำนย. แล้วให้ นาวาโท ประเสริฐศิลป์ วรศิษฐ์ มาเป็นผู้พัน ฯแทน
ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามขั้นตอน การสอบสวน เพื่อให้ คณะกรรมการ รองเสธ ทหาร และคกก.เข้าสอบสวน ได้อย่างโปร่งใส

แต่งทัพพร้อมอุ่นเครื่อง

แต่งทัพพร้อมอุ่นเครื่อง


ลอย “เท้งเต้ง” มาพักใหญ่ ล่าสุดบัญชีรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ตามที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.ระบุ ทูลเกล้าฯเรียบร้อยแล้ว

ระหว่างรอประกาศอย่างเป็นทางการ ก็ตามอ่านสัญญาณจากคนที่ร่วมงานในเรือแป๊ะ

ใครจะอยู่ ใครจะต้องพัก ถอดรหัสจากอาการจาก รมต.กันได้

ล่าสุด ถึงแม้ “บิ๊กตู่” ระบุ ไม่มีการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ แต่แน่นอน คิวปรับเปลี่ยนตามโผที่ออกมาก็น่าจะมีอยู่หลายจุดหลายกระทรวง โดยภาพรวม มืองานสาย “สมคิดกรุ๊ป” น่าจะอยู่เป็นหลัก

ในภาวะตำรับ “สมคิด แอนด์ เฟรนด์” กำลังฮอต ปั่นตัวเลขเศรษฐกิจติดลมบน

ที่สำคัญโครงการอัดฉีดดูแลชาวบ้านฐานรากออกมาเป็นระลอกๆ ตามสัญญาณการเลือกตั้ง โดยเฉพาะที่เริ่มชัด นำร่องที่คิวเปิดสนามท้องถิ่น

โปรเจกต์มัดจำ–มัดใจ เลยไหลมาเทมา

ตามที่กัปตันทีมเศรษฐกิจอย่าง “ดร.สมคิด” ที่ออกมาปลุกกระแสสร้างความเชื่อมั่นรายวัน

ล่าสุดเปิดแผนปี 2561 เตรียมทุ่มงบฯสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง อัดฉีดงบฯให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปั่นโครงการสร้างแหล่งท่องเที่ยว ผลิตสินค้าชุมชน สร้างสาธารณประโยชน์ ดูแลคนแก่คนเฒ่า เปิดตำแหน่งงานรองรับในร้านธงฟ้าประชารัฐ

ช็อตต่อเนื่องจากงบฯโครงการหมู่บ้าน–ตำบล ตุนแต้มให้ “ลุงตู่” แบบกวาดละเอียดทุกระดับ

และแผนอัดฉีดก็น่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย เพียงแต่มาสะดุดก็ตรงที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เพิ่งแจงใน ครม. ถึงแนวคิดนำงบฯ 2 แสนล้านบาท ของ อปท. มาจ้างงานและส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน

แจงยิบ งบฯอปท.ดังกล่าวต้องกันไว้ใช้บรรเทาสาธารณภัย เบี้ยคนชรา-ผู้พิการ ที่เหลือ 1 แสนกว่าล้านบาท จะใช้ก็ต้องขอความเห็นชอบจาก ครม.

เหมือนติดเบรกก็จริง แต่อีกทาง “บิ๊กป๊อก” ก็เปิดประตูถ้าเป็นนโยบายรัฐบาล

และก็คงไม่เกินกำลัง “บิ๊กตู่” บริหารจัดการสัมพันธภาพทีมงาน ปรับจูนต้นท่อ–หัวปั๊ม

ติวโปรเจกต์ “ประชารัฐ” สู่ “ท้องถิ่น” ให้คลิกลงตัว

เช่นเดียวกับอีกช็อตที่สะท้อนเป้าหมายชัดเจน กับการใช้อำนาจพิเศษ ม.44 ตั้งคณะกรรมการรักษาความมั่นคง

ภายในราชอาณาจักร เพิ่มนิยาม อำนาจหน้าที่ นอกเหนือจากงานด้านความมั่นคง

ยังขยายภารกิจ เกลี่ยงบฯด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

แล้วก็น่าสังเกตถึงคิวจัดทัพล่าสุด หลังจากที่หน่วยงานดูแลภัยความมั่นคงอย่าง กอ.รมน. ที่ได้ปรับเพิ่มบทบาท ภารกิจ ตั้งแต่ระดับชาติ ระดับภาค ไปจนถึงระดับจังหวัด อำเภอ

ในระดับจังหวัด ที่มีท็อปบูตเป็นรอง ผอ.รมน. ทำงานควบคู่พ่อเมืองในพื้นที่

อีกทางคู่ขนาน กองทัพบกเพิ่งปรับย้ายรอง ผอ.รมน.

จังหวัดฝ่ายทหารทั้ง 77 จังหวัดเมื่อกลางปี 2560

ประเมินแล้ว ก็น่าจะเป็นอย่างที่มีผู้รู้ชี้เป้า ให้ไปศึกษาแนวคิดของ “บิ๊กตู่” เคยมีงานวิจัยและส่งรายงานครั้งเรียน วปอ. ในหัวข้อ “กองทัพไทยกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่”

สะท้อนแนวคิดผู้นำ เทน้ำหนักให้ กอ.รมน.

ในห้วงฝ่ายปั๊มกฎหมายเร่งปรับแก้ พ.ร.บ.ท้องถิ่น 6 ฉบับ อีกทางภารกิจรองรับเดินหน้า ทั้งอัดฉีดงบฯมัดจำ–มัดใจ จัดกลไกมือไม้ฝ่ายปกครองเคลื่อนแผน โดยมีบิ๊กท็อปบูตคอนโทรลเกมแต่ละพื้นที่อีกชั้น
ตามสูตรผู้นำยังไว้วางใจเครือข่ายสีเขียวลายพราง

ทั้งคุมคิวป่วนความมั่นคง และคอนโทรลแผนอัดฉีดฐานราก

โดยทั้งหมดจะเข้าจุดเช็กระบบ อุ่นเครื่องเลือกตั้งท้องถิ่น.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน

บุญทรง-4โรงสีอ่วม! อสส.ยื่นอุทธรณ์เพิ่มโทษคดีจีทูจีเก๊

บุญทรง-4โรงสีอ่วม! อสส.ยื่นอุทธรณ์เพิ่มโทษคดีจีทูจีเก๊
วันพุธ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560, 17.10 น.
โฆษกอัยการเผยคดีจำนำข้าว เสนอ อสส. ร้องศาลฎีกาฯไต่สวนลับหลัง "หมอโด่ง อดีตเลขาฯ รมว.พาณิชย์-เอกชนอีกราย" คดีจีทูจีเก๊ ส่วนตามตัวยังเงียบหลังศาลออกหมายจับปี 58 ขณะที่ "กิตินันท์" อธ.คดีสอบสวน ระบุ อัยการอุทธรณ์ขอให้ลงโทษเพิ่ม "บุญทรง-4โรงสี" แล้ว
22 พ.ย.60 นายวันชาติ สันติกุญชร อธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.)และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงการยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้พิจารณาคดีต่างๆในศาลต่อไปแม้ไม่มีตัวจำเลยเพราะหลบหนีหลังจากถูกออกหมายจับว่า ล่าสุด ที่ตรวจสอบในส่วนของคดีที่อสส. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กลุ่มนักการเมือง, ข้าราชการ และเอกชนรวม 27 ราย ร่วมทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(จีทูจี)นั้น มีจำเลยที่หลบหนีระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาฯ 2 คน คือ พ.ต.นพ.ดร.วีระวุฒิ หรือหมอโด่ง วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการฯ รมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 3 และนายสุธี เชื่อมไธสง จำเลยที่ 16 ซึ่งขณะนี้ทราบจากคณะทำงานอัยการที่รับผิดชอบคดีระบายข้าวจีทูจี ทราบว่า กำลังดำเนินการที่จะเสนอ อสส. ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯด้วยเช่นกัน ซึ่งอัยการได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์กฎหมายใหม่ คือ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 28 เช่นเดียวกับคดีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ขณะที่นายกิตินันท์ ธัชประมุข อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน หนึ่งในคณะทำงานอัยการรับผิดชอบคดีจำนำข้าวและระบายข้าวรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาอุทธรณ์คดีระบายข้าวจีทูจีว่า หลังจากที่คณะทำงานอัยการเสนอความเห็นทางคดีการทุจริตระบายข้าวจีทูจี ต่อนายเข็มชัย ชุติวงศ์ อสส.แล้วเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่ง อสส.เห็นชอบการยื่นอุทธรณ์คดีดังกล่าว คณะทำงานอัยการจึงได้ยื่นคำอุทธรณ์คดีทุจริตระบายข้าวจีทูจีต่อศาลฎีกาฯแล้ว หลังจากนี้ศาลจะดำเนินการส่งคำอุทธรณ์ให้จำเลยทำคำแก้อุทธรณ์ต่อไป
ทั้งนี้ อัยการได้ยื่นอุทธรณ์คดีในส่วนของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 2 (ศาลฎีกาฯจำคุก 42 ปี) ซึ่งอัยการเห็นว่า การกระทำของนายบุญทรง ยังมีความผิดที่มีส่วนร่วมอนุมัติแก้ไขสัญญาระบายข้าวฉบับที่ 1 ที่มีการแก้ไขสาระสำคัญหลายครั้งแม้ว่าสัญญาระบายข้าวจะเริ่มมาก่อนที่นายบุญทรง จะเข้ารับตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ จึงให้ศาลพิพากษาลงโทษเพิ่มเติมในส่วนนี้ด้วยจากโทษที่ได้ตัดสินไว้แล้ว รวมทั้งยื่นอุทธรณ์ส่วนของ น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง กับ น.ส.เรืองวัน เลิศศลารักษ์จำเลยที่ 11-12 (จำคุก 16 ปี) ผู้บริหารบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ซึ่งอัยการเห็นว่า ที่ศาลฎีกาฯ ลงโทษไว้นั้นเบาเกินไปไปเนื่องจากอัตราโทษเท่ากับกลุ่มจำเลยที่นำส่งเอกสารการขึ้นแคชเชียร์ โดยเจตนาในการกระทำของจำเลยทั้งสองชัดเจนกว่าที่ได้ร่วมกระทำผิดสั่งดำเนินการ และอุทธรณ์อีกกลุ่ม คือเอกชนที่เป็นโรงสีข้าว จำเลยที่ 22-28 (ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงสีกิจทวียโสธร โดยนายทวี อาจสมรรถ หุ้นส่วนผู้จัดการ, นายทวี อาจสมรรถ, บริษัท กิจทวียโสธรไรซ์ จำกัดโดยนายทวี อาจสมรรถ กรรมการ, บริษัท เค.เอ็ม.ซี. อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด โดยนายปกรณ์ ลีศิริกุล กรรมการ, นายปกรณ์ ลีศิริกุล, บริษัท เจียเม้ง จำกัด โดยนางประพิศ มานะธัญญา กรรมการ และนางประพิศ มานะธัญญา ซึ่งศาลได้พิพากษายกฟ้องไป
นายกิตินันท์ กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ อัยการยังได้ยื่นอุทธรณ์ในส่วนของอำนาจเรียกร้องสิทธิค่าเสียหายจากจำเลยในฟ้องคดีอาญานี้ ซึ่งศาลได้ยกฟ้องในส่วนของกระทรวงพาณิชย์, กรมการค้าต่างประเทศ, องค์การคลังสินค้า (อคส.), องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ด้วย โดยก่อนหน้านี้ ศาลพิพากษาให้เฉพาะกระทรวงการคลังเท่านั้นที่มีอำนาจยื่นคำร้อง
ส่วนนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว จำเลยที่ 1 (จำคุก 36 ปี), นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 4 (จำคุก 40 ปี), นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตผอ.การสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ และอดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 5 (จำคุก32 ปี), นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ อดีตเลขานุการฯกรมการค้าต่างประเทศ และอดีตผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศ จำเลยที่ 6 (จำคุก 24 ปี) , นายอภิชาติ หรือเสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร จำเลยที่ 14 (จำคุก 48 ปี) และน.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร จำเลยที่ 21 บุตรสาวเสี่ยเปี๋ยง (จำคุก 4 ปี) รวมทั้งกลุ่มเอกชนที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษแล้วนั้น อัยการพิจารณาแล้วไม่อุทธรณ์ เนื่องจากเห็นว่าศาลกำหนดโทษตามพฤติการณ์และกฎหมายแล้ว
นายกิตินันท์ กล่าวอีกว่า นอกจากการยื่นอุทธรณ์คดีแล้ว ขณะนี้คณะทำงานอัยการ ก็กำลังเตรียมทำคำแก้อุทธรณ์ที่นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ จำเลยที่ 1, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 2 และนายนิมล หรือโจ รักดี จำเลยที่ 15(ลูกน้องคนสนิทของนายอภิชาตหรือเสี่ยเปี๋ยง) ได้ยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อศาลไว้ ส่วนของจำเลยอื่นๆ นั้นอัยการยังไม่ได้รับสำเนาคำอุทธรณ์จากศาลฎีกาฯ จึงยังไม่แน่ชัดว่าจำเลยคนใดบ้างที่ยื่นอุทธรณ์สู้คดีอีกหรือไม่
อย่างไรก็ดี เมื่อขณะนี้ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฯ ฉบับใหม่บังคับใช้แล้วให้พิจารณาคดีลับหลังจำเลยที่หลบหนีคดีได้ คณะทำงานอัยการรับผิดชอบคดีระบายข้าวก็ได้เสนอเรื่องต่ออสส. พิจารณายื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ให้นำคดีในส่วนของ พ.ต.นพ.ดร.วีระวุฒิ หรือหมอโด่ง วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 3 และนายสุธี เชื่อมไธสง จำเลยที่ 16 ซึ่งหลบหนีระหว่างการพิจารณา มาพิจารณาต่อไป โดยต้องรอให้อสส.มีความเห็นลงมาก่อน หากเห็นชอบ คณะทำงานจะได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ในส่วนนี้โดยไม่ชักช้าต่อไป ซึ่งทางคดีก็มีพยานหลักฐานพร้อมดำเนินการได้ทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการติดตามตัว พ.ต.นพ.ดร.วีระวุฒิ หรือหมอโด่ง วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 3 และนายสุธี เชื่อมไธสง จำเลยที่ 16 คดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี นั้น หลังจากศาลฎีกาฯ มีคำสั่งออกหมายจับแล้วเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.58 ในนัดพิจารณาคดีครั้งแรกแล้ว และมีการนำหมายจับส่งให้ สตช.แล้ว ปัจจุบัน ยังไม่คืบหน้าเกี่ยวกับการจับกุมตัวจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด
.
Cr.แนวหน้า