PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

นายกฯเชื่อมีคนบงการวัฒนามือบึ้ม6จุด

นายกฯ ชี้"วัฒนา"มือระเบิด เป็น Lonewolf แต่เชื่อต้องมีผู้บงการเบื้องหลัง ยันขยายผล ทำงานต่อไม่หยุด โทรคุยใตร พาดพิงใคร จัดการหมด       

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีการจับกุมตัวนายวัฒนา ภุมเรศ อดีตวิศวกรไฟฟ้า ผู้ต้องหาก่อเหตุวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ว่า คนที่มาถามผมว่ากังวลหรือไม่นั้น เขามาถามได้อย่างไร ทุกคนต้องเป็นห่วงไปพร้อมๆกับผม

สำหรับพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุแบบนี้ที่เป็นรายย่อยและทำแบบอิสระ หรือเรียกว่า Lone wolf ซึ่งมีในต่างประเทศด้วย เพียงผู้ก่อเหตุที่เป็นรายย่อยในประเทศเรามักมีรายใหญ่อยู่เบื้องหลัง

 เจ้าหน้าที่ไม่ได้หยุดแค่นี้ กำลังสืบสวนสอบสวนต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าสอบสวนไปถึงใครว่าเกี่ยวข้องก็ต้องถูกจับมาทั้งหมด รวมถึงต้องสืบต่อว่าชิ้นส่วนมาจากไหน อะไรมาจากที่ไหน เขาโทรศัพท์คุยกัน ต้องเอามาทั้งหมด พบกับใครบ้าง เจ้าหน้าที่ทำงานทุกวัน แต่เขาไม่สามารถมาตอบคำถามทุกวันได้อยู่แล้ว ต้องมาประกาศทุกวันด้วยหรือว่าวันนี้ทำอะไรไปบ้าง เพราะบางเรื่องเป็นเรื่องของกลไกทำงาน เพียงแต่วันนี้ต้องทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จับให้ได้มากขึ้น เอาคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้มากขึ้น ขอให้ทุกคนดูตรงนั้น

“จะไปมองอะไร‘โกตี๋’ คนเดียว ยังมีอีกหลายคนที่มีพฤติกรรมลักษณะนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ ก็ต้องสืบกันต่อ 

และเรื่องที่เขาบอกว่าไม่ชอบทหาร ก็อย่าไปสนใจ ก็เรื่องของท่าน ใครไม่ชอบผม ช่างท่าน ผมไม่สนใจว่าใครชอบหรือไม่ชอบ ผมสนใจว่าประเทศมีปัญหาอยู่ที่ไหน จะเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างไร” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

มทภ.4ไม่เสียศูนย์

"เสียใจ แต่ไม่ เสียศูนย์" แม่ทัพ4 เตรียม แก้เกม 

หลังเกิดเหตุวางระเบิดทหาร ฉก.ปัตตานี ดับ 6 นายและบาดเจ็บอีก4 นาย ที่ ทุ่งยางแดง ปัตตานี วานนี้

บิ๊กอาร์ท พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาค 4 กล่าว ว่า ได้ให้หน่วยในพื้นที่ดูแลสิทธิตามระเบียบ ทั้งนี้ กำลังพลในกองทัพภาคที่ 4 ทุกคนเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ต้องไม่เสียศูนย์ และปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และจะมีการประชุมปรับแผน เพื่อรับมือกลุ่มก่อเหตุ ในด้านยุทธวิธี

เบื้องต้นตรวจสอบพบว่าอุปกรณ์ที่คนร้ายใช้ประกอบระเบิดเป็นสายชนวนเก่า ที่นำมาลากวางไว้นานแล้ว ดูจากร่องรอยต่างๆแต่นำระเบิดมาต่อใหม่

ทั้งนี้ เพราะแนวคิดที่ผิดๆ มานานเกี่ยวกับการก่อเหตุช่วง 7 วันสุดท้ายเดือนรอมฎอนแล้วจะได้บุญมาก

ซึ่งผู้นำศาสนาอิสลามในพื้นที่ ได้ย้ำมาตลอดว่า เป็นการ บิดเบือนหลักศาสนา  แต่อาจต้องใช้เวลา

แต่ยังไงก็ตาม เราจะพยายามทำให้พื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้เป็นพื้นที่ปลอดภัย ไม่ใช่แค่ 3 จ.ชายแดนใต้ และให้เกิดความสงบ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือทุกฝ่าย 

โดยขณะนี้ได้ยึดนโยบายของรัฐบาล รวมถึงการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้นำศาสนาให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี 

ส่วนการบูรณาการกล้อง CCTV ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  นั้น ก็เป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.

แต่เนื่องจากติดอุปสรรคปัญหาฝนตกในพื้นที่ ทำให้ไฟกระชาก ส่งผลให้กล้อง CCTV เสีย 

ทั้งนี้ได้ประสานกับทางการไฟฟ้าและพยายามซ่อมให้เร็วที่สุด จึงขอรับผิดในส่วนนี้

กฎหมายพรรคการเมือง ระเบิดเวลารอวันปะทุ



โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ศึกนอกว่าหนักแล้ว ศึกในก็หนักไม่แพ้กัน เพราะเวลานี้นอกจากแม่น้ำ 5 สายต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากฝ่ายตรงข้ามที่จ้องกดดันและหาช่องทะลวงทำลายความชอบธรรมแล้ว ปรากฏว่าแม่น้ำ 5 สายก็ยังมาเปิดศึกกันเองแบบออกหน้าออกตา

ศึกในที่ว่านั้น คือ “คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” (กรธ.) กับ “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” (สนช.) โดยมีสาเหตุมาจากความไม่ลงรอยกันในเรื่อง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ทั้งๆ ที่แม่น้ำ 2 สายนี้เพิ่งจูบหวานชื่นให้เห็นกันเมื่อครั้ง สนช.เห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาก่อนหน้านี้

ย้อนกลับไปเมื่อครั้ง สนช.พิจารณาร่างกฎหมาย กกต. เวลานั้น สนช.ได้แก้ไขจากหน้ามือเป็นหลังมือในประเด็นของการเซตซีโร่ กกต.ทั้ง 5 คน ที่มีผลให้ 5 เสือ กกต.ไม่อาจอยู่ในตำแหน่งครบตามวาระ อันเป็นการแก้ไขกฎหมายที่สวนกับร่างกฎหมาย กกต.เวอร์ชั่นที่ กรธ.เสนอมาสภาอย่างชัดเจน เพราะ กรธ.ต้องการให้มีคณะกรรมการสรรหาเข้ามาทำหน้าที่ชี้ขาดคุณสมบัติของ กกต.มากกว่าที่จะเซตซีโร่ไปเสียทั้งหมด

แต่ กรธ.เองก็แสดงความชื่นชมในความกล้าหาญในการแก้ไขร่างกฎหมาย กกต.ของ สนช. ถึงขั้นออกปากเป็นการช่วยแก้ไขปัญหา แม้ว่า กรธ.จะต้องเจอกับเสียงบ่นที่มาจาก กกต. 5 คนก็ตาม
ทว่าสิ่งไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เพราะอยู่ดีๆ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธาน กรธ. ไม่สบอารมณ์กับการแก้ไขร่างกฎหมายพรรคการเมืองของ สนช.

ประเด็นที่ประธาน กรธ.ไม่พอใจ สนช.อยู่ที่การไปเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.ของพรรคการเมืองไว้อย่างเข้มงวด จนอาจเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ซึ่งต่างจากแนวทางที่ กรธ.กำหนดไว้ว่าควรให้พรรคการเมืองดำเนินการตามความเหมาะสมของแต่ละพรรคการเมืองเป็นสำคัญ ไม่ใช่ไปกำหนดเป็นกระบวนการที่ตายตัวอย่างที่ สนช.ได้ทำลงไป

“ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวจะมีปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะเดิมปกติเวลากำหนดวันเลือกตั้งแล้วจะมีการกำหนดวันรับสมัครภายใน 7-10 วันหลังจากได้ประกาศวันเลือกตั้ง

แต่ตามกฎหมายฉบับใหม่กำหนดไว้ว่าพรรคการเมืองจะสมัคร สส.ก็ต่อเมื่อพรรคการเมืองมีการทำไพรมารีโหวต ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาพอสมควร จึงทำให้มีปัญหาว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไร และพรรคการเมืองจะกลับมาสมัครรับเลือกตั้งทันหรือไม่” เสียงท้วงติงจากประธาน กรธ.เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.
เมื่อพิจารณาจากท่าทีของมีชัย มีความเป็นไปได้สูงที่ กรธ.จะเสนอต่อ สนช.เพื่อให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมกัน 3 ฝ่ายเพื่อพิจารณาทบทวนเนื้อหาในประเด็นนี้อีกครั้ง

หากเป็นอย่างนั้นเท่ากับว่าทั้ง “สนช.-กรธ.” ต้องกลับมางัดข้อกันอีกครั้ง

ตามขั้นตอนเมื่อมีการแก้ไขเนื้อหาแล้วจะต้องส่งกลับมาให้ที่ประชุม สนช.พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งความเป็นไปได้ที่ สนช.จะคล้อยตาม กรธ.นั้นต้องยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ยากพอสมควร

ด้วยเหตุมองในเชิงตรรกะแล้วเมื่อ สนช.เห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมืองที่คณะ กมธ.ของ สนช.แก้ไขไปแล้ว หาก สนช.จะไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายพรรคการเมืองก็ต้องลงมติคว่ำเพื่อไม่ให้เห็นด้วยกับเนื้อหาที่คณะ กมธ.แก้ไขตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา

ดังนั้น ในบริบทนี้เสียงท้วงติงของประธาน กรธ.อาจไม่มีความหมายในสายตาของ สนช. ซึ่ง สนช.เองก็มองว่า ถ้าการเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปจากกำหนดการเดิมตามโรดแมปไปบ้างก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาแต่อย่างใด

แต่กระนั้น มติของ สนช.ในการเห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองเวอร์ชั่นของ สนช.กำลังสร้างปัญหาในระยะยาว ภายหลังพรรคการเมืองในฐานะผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านอย่างชัดเจน

สาเหตุหลักที่ไม่เห็นด้วย คือ การทำให้การเลือกตั้งอาจถูกเลื่อนออกไปโดยไม่จำเป็น เพราะกฎหมายบังคับว่าพรรคการเมืองจะต้องมีการทำไพรมารีโหวตก่อน มิเช่นนั้น จะไม่สามารถส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้

ขณะเดียวกัน การกำหนดให้มีไพรมารีโหวตเป็นการปิดโอกาสของพรรคการเมืองขนาดเล็กในการส่งผู้สมัครเลือกตั้งไปในตัวด้วย เนื่องจากในเชิงโครงสร้างแล้วพรรคการเมืองไม่อาจจัดให้มีไพรมารีโหวตทั่วประเทศได้เท่ากับพรรคการเมืองขนาดใหญ่

ด้วยเหตุนี้ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่ สนช.แก้ไขลงไปนั้นอาจเป็นจุดบ่มเพาะความขัดแย้งครั้งใหม่ไม่มากก็น้อย ด้วยการมองว่าผู้มีอำนาจทั้งหลายไม่ได้เต็มใจคืนอำนาจให้ประชาชนเพื่อเลือกตั้งในอนาคต

จากนี้ไปปัจจัยแห่งความขัดแย้งเริ่มก่อตัวขึ้นมาพร้อมกันในหลายจุด ทั้งเงื่อนไขทางกฎหมาย รวมไปถึงการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ไม่ค่อยเข้าตา หากผู้มีอำนาจยังคงมองข้ามและไม่แยแสกับระเบิดเวลาที่เริ่มนับถอยหลังแล้ว ก็อย่าได้แปลกใจว่าถ้าสุดท้ายจะได้รับก้อนอิฐมากกว่าดอกไม้ 

ขบวนต้าน”บัตรทอง”ไม่ใช่”เสื้อแดง” หากแต่เป็น”เอ็นจีโอ” ภาคประชาชน

ทั้งๆที่คนที่ออกมาเดินหน้า “ชน”กับร่าง พ.ร.บ.”บัตรทอง” ไม่ว่าภาค เหนือ ไม่ว่าภาคใต้ ไม่ว่าภาคอีสาน ไม่ว่าในกทม.
ชัด
ชัดว่าเป็นองค์กร “ภาคประชาชน”ที่ทำงานด้าน”สุขภาพ”และ”ผู้บริโภค” อย่างต่อเนื่องและยาวนาน
อย่างเช่น นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณ จากภาคใต้
อย่างเช่น น.ส.บุญยืน ศิริธรรม อดีต ส.ว.สมุทรสงคราม อย่างเช่น นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์
และโดยเฉพาะ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง
คนเหล่านี้มิได้เป็นคนแปลกหน้าเลย หากสงสัยก็สอบถาม นพ.พลเดช ปิ่นประทีป ได้
ไฉนจึงมองว่าเป็นพวก”ก่อกวน”
บุคคลที่เอ่ยออกนามมาทั้งหมดทำงานทางด้าน”สุขภาพ”และ”ผู้บริโภค”มาอย่างยาวนาน
ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า นพ.พลเดช ปิ่นประทีป
ยิ่งกว่านั้น ในห้วงที่ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป ติดการศึกษาต่อต่างจังหวัดจากสถานการณ์ 6 ตุลาคม 2519 บรรดา”เอ็นจีโอ”เหล่านี้ต่างเดินหน้าได้มากกว่า
กระทั่ง น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ก็ได้รับเลือกจากชาวสมุทรสงครามให้เป็น ส.ว.
กระทั่ง น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เข้าไปอยู่ในสถานะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสัดส่วนภาคประชาชน และเป็นตัวยืนหลักของสมาคมคุ้มครองผู้บริโภค
ยิ่งกว่านั้น ไม่เพียงแต่เคยหนุน “พันธมิตร” หากบางส่วนยังร่วมเป่า”นกหวีด”ด้วยซ้ำ
การชี้นิ้วไปยัง “เสื้อแดง”จึงเท่ากับ”ผิดคิว”
ไม่ว่าคสช.จะเดินหน้าร่างกฎหมาย”บัตรทอง”ไปอย่างไร แต่คนที่ควรฟังให้มาก
ไม่ใช่ “รัฐมนตรี” สาธารณสุข
หากแต่น่าจะเป็น นพ.พลเดช ปิ่นประทีป ซึ่งคร่ำหวอดอยู่กับ “ภาคประชาชน”มาอย่างยาวนานมากกว่า
เพราะ”เอ็นจีโอ”เหล่านี้ล้วนเป็น”เพื่อนพ้องน้องพี่”
การที่เกิดปรากฏการณ์ทั้ง ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคอีสานและในกทม.แสดงว่าพวกเขา”เอาจริง”

วิทยา แก้วภราดัย รับมีคนใน ปชป.ไม่พอใจ กปปส. และโมเดลไหนที่จะไฟท์”ระบอบทักษิณ” ?

ยังไม่มีใครที่พูดอย่างชัดเจนได้ว่า กปปส. ที่กลับเข้าพรรคประชาธิปัตย์ ตกลงแล้วจะ “ราบรื่น” – ชื่นมื่นหรือไม่?
แต่จากปาก นายวิทยา แก้วภราดัย อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช ที่เป็น 1 ใน กปปส. ที่กลับเข้าพรรค ก็ออกมายอมรับว่า เป็นเรื่องปกติ ที่มีความหลากหลาย ความแตกต่างกันในพรรค ขนาดคน 2 คนอยู่ด้วยกันก็ยังคิดต่างกันเลย นับประสาอะไรกับคนอีกเป็นร้อยคนในพรรคเดียวกัน ความแตกต่างทางความเห็นและทัศนคติก็เป็นเรื่อง “ปกติ”
: หลายคนจับตาดูปฏิกิริยาหลัง กปปส.+ปชป. นัดพบปะดื่มกาแฟแล้วมองว่ายังไม่ลงรอย มีความเห็นอย่างไร
ภายในระดับพรรคมีการพบปะพูดคุยสนทนากันเป็นประจำอยู่แล้ว และในกรณีที่ถูกพูดถึงนี้ น่าจะมาจากบรรยากาศก่อนพบกัน เนื่องจากคนโน้นคนนี้ต่างออกมาแสดงความคิดเห็น ซึ่งล้วนแล้วเป็น “ความคิดเห็นส่วนตัว” ที่มีการเสนอพูดกันผ่านสื่อ ย้ำว่าเป็นความคิดส่วนบุคคลไม่ใช่ “ท่าทีของพรรค” เพราะพรรคยังมีท่าทีไม่ได้ ตามคำสั่งห้ามของประกาศ คสช.
และการที่พวกผมไปออกต่อสู้ข้างนอกเป็น กปปส. แล้วกลับมาในเข้าพรรคไม่ใช่เรื่องแปลก-ใหม่ โดยใน 9 คนที่ออกไปต่อสู้นอกข้างนอก ผู้ที่ลั่นวาจาจะไม่กลับเข้ามาสู่สนามแล้วมีเพียงคนเดียว คือ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” นอกนั้นผมและพวกรวม 8 คนที่เหลือไม่เคยบอกว่าผมจะเลิกหรือผมจะลาออกจากพรรค ไม่มีใครเคยพูดเลย
แต่อาจจะมีบางคนเห็นว่าพวกผมออกไปต่อสู้แล้ว “อาจจะมีท่าทีไม่เหมือนพรรค” ไม่อยากให้เข้ากลับมาก็เป็นเหตุผลของคนคนนั้น ซึ่งต้องไปถามคนเหล่านั้นที่มีความคิดเห็นเช่นนี้ดู แต่จะใช้คำว่าไม่ราบรื่นไม่ลงรอยไม่ได้ เพราะความคิดไม่เหมือนกันมี และมีเยอะมาก จะให้คิดเหมือนกันได้ต้องแลกเปลี่ยน ต้องถกกัน ต้องรอปลดล็อกจาก คสช. ให้การหารือกันได้ ฉะนั้น จะใช้คำว่าไม่ราบรื่นคงไม่ใช่
และต้องยอมรับว่าธรรมเนียมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ปฏิบัติกันมา คือเวลาคัดสรรคนลงแข่ง หรือกระทั่งมาเป็นกรรมการบริหารพรรค ต้องมีการต่อสู้ชิงชัย-นำเสนอวิสัยทัศน์กันจริงๆ แล้วเลือกกันภายใน ไม่ใช่ให้ “นายทุนพรรคเลือก” ไม่ใช่มี “เจ้าของพรรค” มีลิสต์รายชื่อจะส่งใครไปเป็นหัวหน้า ใครรอง ใครเตรียมเป็นรัฐมนตรี พรรคนี้ทำไม่ได้ ต้องต่อสู้กันภายใน
: แนวคิดนายกฯ คนนอก เอาด้วยหรือไม่
ผมไม่ได้ค้าน และถ้ามีความเป็นไปได้ สามารถยอมรับได้ใน “สถานการณ์ที่จำเป็น” แต่ถ้าหากพรรคการเมืองต่างๆ สามารถกำหนดทิศทางตัวเอง ประเด็นนี้ตรงนี้ได้ก็ต้องทำเป็นจุดเริ่มต้นทำกัน แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ ต้องดูความเหมาะสมในเวลานั้นอีกครั้งว่าจะใช้ช่องทางใด ไม่สามารถพูดวันนี้ได้ ต้องรอให้เกิดสถานการณ์ที่นำไปสู่เหตุการณ์เหล่านั้นขึ้นก่อน
ผมไม่ได้แทงกั๊กนะ เพราะว่าบ้านเมืองเราเป็นอย่างนั้น และผมในฐานะที่เคยผ่านสถานการณ์แบบนั้นมาสมัยผมต่อสู้ช่วงเดือนตุลา ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งปี 2521-2522 ต้องมีการประนีประนอมระหว่างเผด็จการทหารกับประชาธิปไตย พรรคการเมืองอยู่ร่วม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในช่วงระยะเวลานั้นถึง 8 ปี ต้องเชิญท่านมา ซึ่งพวกผมเองก็ผ่านมาแล้วทุกยุคของเผด็จการ ทั้งเผด็จการทหารยึดอำนาจ ผมก็ต่อสู้มา หรือเผด็จการรัฐสภาและระบบทุนนิยมมีการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมรับไม่ได้ก็ต้องต่อสู้ ฉะนั้น หากสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านจำเป็นต้องมีผู้นำนอกมาก็เป็นสิ่งที่ผมรับได้
: ข้อเสนอ “วันชัยโมเดล” รวม 3 ฝ่าย อภิสิทธิ์ (ปชป.) สุเทพ (กปปส.) พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.)
ข้อเสนอรวม 3 ฝ่าย ผมคิดว่าชื่อของคุณสุเทพต้องตัดออกไว้ก่อน เพราะเป็นคนเดียวที่ประกาศจะเลิกยุ่ง ยุติบทบาทในสนามการเมือง แต่เขาอาจจะออกมาให้ความคิดความเห็นทางdkiเมืองได้ ทำกิจกรรมคล้ายเอ็นจีโอได้ และในสังคมบ้านเรามีเยอะแยะที่ไม่ใช่นักการเมือง และคุณสุเทพคงเป็นประเภทนั้น ซึ่งผมขอตอบว่าเมื่อพวกผมในฐานะ กปปส. ที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์แล้วนั้น พวกผมต้องอยู่ภายใต้ความเห็นร่วมกันกับพรรค
ถ้าในอนาคตพรรคมีความคิดเห็นเอาด้วยกับประเด็นไหนข้อเสนอไหน ถ้าพวกผมเห็นร่วมได้ก็ต้องเป็นไปตามมติพรรค แต่ถ้าหากเห็นด้วยไม่ได้ก็ต้องออกจากพรรคไป การตัดสินใจสนับสนุนหรือไม่นั้น จะมาตัดสินใจตอบวันนี้ไม่ได้เพราะวันนี้พรรคการเมืองยังตั้งหลักไม่ได้ ตามประกาศ คสช. ห้ามไว้เช่นกัน ถ้าปลดล็อกพรรคการเมืองเริ่มตั้งหลักมีโอกาสปรึกษาหารือกันตอนนั้นจะความคิดเห็นกันมาได้ข้อสรุปชัดเจน
ซึ่งที่ผ่านมาก็มี ส.ส. หลายคนทั้งจากฝั่งเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์เองที่คิดเห็นไม่เหมือนกันแล้วก็ออกจากพรรคต้นสังกัดไปหาพรรคใหม่อยู่ มีตัวอย่างให้เห็นอยู่มาก
และส่วนตัวก็เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้อยู่มั่นคงสถาพร และคาดว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในครั้งต่อไปจะมี ส.ส. ฝั่งพรรคเพื่อไทยออกจากพรรคอีกจำนวนมาก เพราะคิดว่าถ้าอยู่ร่วมต่อสู้ไป “นายใหญ่” คงไม่รอดถูกไล่บี้อีก ลูกน้องกระเจิง ย้ายพรรค หรือไม่ก็ตั้งพรรคเองจำนวนมาก
ซึ่งขอย้ำว่าความเห็นส่วนตัว 10 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่า คุณทักษิณ ชินวัตร-ระบบทักษิณยังคงอยู่เวลานี้ อยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นทุนนิยมสามานย์ เป็นความเสียหายเกิดขึ้นยากจะไล่หรือจัดการให้หมดจด ไล่ยากกว่าเผด็จการทหารอีกด้วยซ้ำ เพราะเผด็จการทหารทำอะไรได้ไม่มาก หากมีความทุจริตก็จะทำให้ไปเร็วมากกว่าระบบทุนนิยม
สำหรับอีกหนึ่งข้อเสนอของ คุณพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่เสนอให้พรรคการเมืองและนักการเมืองทุกคนลุกขึ้นมาต่อสู้กับทหาร โดยรวมเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น ความเห็นส่วนตัวผมเคารพความเห็นของคุณพิชัย แต่เฉพาะพรรคเพื่อไทยตราบใดที่อยู่ภายใต้กำกับโดยอดีตนายกฯ ทักษิณ ส่งคนมาเป็นตัวแทนผู้นำก็มาจากตัวแทนคนในระบบทักษิณ นโยบายก็ทักษิณ ส่วนตัวผมประนีประนอมด้วยไม่ได้ ส่วนตัวผมไม่เอาด้วยแน่ๆ
: คิดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้จริงในปี 2561 หรือไม่?
ตามปฏิทินเวลาและเงื่อนไขต่างๆ ผมว่าน่าจะเกิดเลือกตั้งขึ้นตามนั้น ส่วนที่บอกว่าไม่เกิดกันนั้นน่าจะเป็นการพยากรณ์ เพราะอีกปีกว่าๆ ตามปฏิทินโรดแม็ป ผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะมีการเผา มีเหตุการณ์ไม่สงบ หรือในระดับการเมืองระหว่างประเทศ จะมีเหตุการณ์นานาชาติ หรือว่ามีสงคราม ในต่างบ้านต่างเมืองหรือไม่ ล้วนส่งผลทั้งสิ้นในเรื่องนี้ เพราะหากเกิดขึ้นแล้วย่อมมีเหตุมีผลเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการเลือกตั้งอยู่แล้ว และถึงเวลานั้นประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง แต่หากพวกที่ต้องการอยู่ยาวอยากยืดเวลาอยู่ในอำนาจยาวออกไป อยากอยู่นานๆ แบบไร้เหตุผล โดยเฉพาะเผด็จการทหารหากอยู่ต่อในลักษณะไม่มีเหตุผลจะเสี่ยงมาก
: 3 ปี คสช. อะไรที่ยังคิดว่าน่าเสียดายที่มีโอกาสแต่ไม่ได้ทำ?
ต้องบอกว่า “การปฏิรูปตำรวจ” ยังไม่เกิดขึ้นจริงจังทั้งที่มีโอกาส เราจะเห็นได้ว่ายังเป็นจุดที่มีปัญหา เช่นเดียวกันคือ “ปฏิรูปการศึกษา” ที่ยังไม่เป็นรูปธรรม และสิ่งสำคัญที่สุดคือ “การปฏิรูประบบราชการ” รัฐบาลต้องทำอย่างจริงจัง เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และพวกผมก็เสนอให้ข้าราชการทุกคน “ต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน” เพราะตำแหน่งหน้าที่ของพวกคุณต้องทำให้โปร่งใสด้วย
: ความปรองดองจะไม่มีวันเกิดขึ้นในสังคมนี้ได้จริง?
เป็นอีกเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องทำให้ได้ ต้องใช้เวลาเยียวยาแก้ไขปัญหาที่ยืดเยื้อมายาวนาน ถึงรัฐบาลจะออก “กฎหมายนิรโทษกรรม” ไม่ได้ แต่มันก็มีช่องกฎหมาย (เช่นในอดีต) ใช้อำนาจทางฝ่ายบริหารผ่านองค์กรตำรวจ-อัยการ ในการยุติคดีที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ เช่น ปี 2518 เคยมีการใช้ถอนฟ้องชาวนาที่มาชุมนุมใน จ.ลำพูน หรือในยุคของ พล.อ.เปรม ก็เคยใช้วิธีลักษณะนี้ในคดีที่คาบเกี่ยวการเมือง ให้ยุติซะ แต่ไม่ใช่คดีทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่ใช่คดีฆ่าคนหรือทำให้มีผู้เสียชีวิต จ้างวานฆ่าใคร บรรยากาศจะคลี่คลาย
ฉะนั้น หากเป็นไปได้ รัฐบาลควรหาจุดที่ลงตัวดู

มันคือ “มัดจำ” ล่วงหน้า

มันคือ “มัดจำ” ล่วงหน้า

ปลุกปั้นแล้วเสร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่างจนได้
ล่าสุด “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ได้รับมอบร่าง “สัญญาประชาคม” จาก “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอกระบวนการเพื่อความสามัคคีปรองดอง
โดยลงนามให้ความเห็นชอบ เพื่อนำไปสู่กระบวนการจัดเวทีสาธารณะที่จัดขึ้นทั้ง 4 ภาค ก่อนประกาศเป็นเงื่อนไขกติกาให้รับรู้ร่วมกันทั้งประเทศ
ฟาวล์หรือไม่ฟาวล์ยังต้องลุ้นกัน
แต่ก็นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่ขยับเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง
ในจังหวะล้อไปกับสถานการณ์กระเพื่อมแรงๆจากร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่คาบเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ปรากฏปมขัดแย้งไปซะทุกจุด
สะดุดหมดทั้งเรื่อง “เซ็ตซีโร่” กกต. ต่อเนื่องถึงประเด็น “ไพรมารีโหวต”
“ขัดลำ” กันเองในกลุ่มฟันเฟืองอำนาจพิเศษ
โอกาสสูงที่จะต้องตั้งคณะกรรมาธิการฯร่วม 3 ฝ่าย ประกอบด้วย คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และตัวแทน กกต. เข้าร่วมพิจารณาฟันธง
นั่นหมายถึงแนวโน้มของการอาจเลื่อนเลือกตั้งออกไป
ตามเงื่อนไขปลายเปิด ไม่มีกำหนดเวลาเส้นตาย เพราะไม่มีบทบัญญัติบังคับไว้
เช่นเดียวกับงบประมาณที่จะต้องจัดเพิ่มให้เป็นค่าตอบแทนทีมงานแม่น้ำ 5 สาย
ก็ไม่มีลิมิตแต่อย่างใด
แต่ไม่ว่าจะยืดเวลาเลือกตั้งออกไปหรือหดเวลาเลือกตั้งสั้นเข้ามา
ถึงนาทีนี้ต้องโชว์ทีเด็ดให้เห็นมากกว่า “บทตลกหน้าม่าน” ไปวันๆ
ตามสถานการณ์ของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ภายหลังการตัดสินใจใช้ดาบพิเศษมาตรา 44 “ผ่าทางตัน”
ปลดล็อกให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ เดินหน้าลุยเมกะโปรเจกต์ ทั้งไฮสปีดเทรน รถไฟทางคู่ที่รอเปิดหวูดอยู่หลายสาย โครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) ที่นักลงทุนต่างชาติรอเช็กเงื่อนไขที่เอื้อต่อการลงทุนในระยะยาว ไม่สะดุดปมกฎหมาย
ภายใต้บรรยากาศคึกคักที่นักลงทุนต่างชาติ กองทุนโลกขนาดสินทรัพย์มหาศาล แห่จองคิวเข้าร่วมรับฟังงานใหญ่ “Thailand’s Big Strategic Move” ที่นายสมคิดจัดโรดโชว์ข้อมูลการลงทุนเมกะโปรเจกต์ในวันที่ 22–23 มิถุนายนนี้
เรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการลุยเมกะโปรเจกต์กระตุ้นเศรษฐกิจ
เบื้องต้นเลย นี่คือการเทกแอ็กชั่นโชว์ความตั้งใจในการปั่นผลงานโบแดง
แม้จะมีแรงเสียดทานจากผู้เสียผลประโยชน์ที่แฝงอยู่ในกลุ่มขั้วอำนาจการเมืองและองค์กรทางเศรษฐกิจต่างๆไม่ยอมให้เดินหน้าไปอย่างราบรื่น
ตามฟอร์ม “ไทยแลนด์โอนลี่” ผลประโยชน์ขัดกันก็ “บรรลัย”
แต่จุดสำคัญมันอยู่ตรงมุมของประชาชนทั่วไป ส่วนใหญ่น่าจะลุ้นเอาใจช่วยให้รัฐบาลเดินหน้าเมกะโปรเจกต์ด้านคมนาคมที่ยักตื้นติดกึกยักลึกติดกักมาตลอด
ร้อยทั้งร้อยชาวบ้านอยากเห็นการพัฒนาไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อีกทั้ง ณ วันนี้ กระแสต่อต้านมาตรา 44 ผ่าทางตันเมกะโปรเจกต์ ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่ประเด็นทางเทคนิค ตั้งแง่เรื่องความคุ้มค่า การแสดงความเป็นห่วงปัญหาในอนาคตที่ยังมองไม่เห็น
ยังไม่มีปมของการทุจริตที่เป็น “จุดตาย” แต่อย่างใด
ในมุมทางการเมือง งานนี้รัฐบาล คสช.จึงมีแต่ได้มากกว่าเสีย
เพราะมันคือการวาง “มัดจำ” ด้วยเนื้องานที่เป็นรูปธรรมในระยะยาว โดยทีมงาน “นายกฯลุงตู่” ที่มียี่ห้อ “สมคิด” เป็นตัวช่วยค้ำประกัน
เบิกทางนำร่องก่อนกลับมาคุมเกมอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่านหลังการเลือกตั้งรอบหน้า
ตีไพ่ในมือที่ยังไงก็ถือแต้มเหนือกว่านักการเมือง.
ทีมข่าวการเมือง

อยู่นานนานได้ไหม?

อยู่นานนานได้ไหม?
//
"ผมไม่อยู่จนตายหรอก"...แต่ไม่บอก จะอยู่อีกกี้ปี??
‪นายกฯ บิ๊กตู่ เผยสร้างอาคารใหม่ เรือนรับรอง ชี้ ศิลปะผสมผสานEast-West‬ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เป็นหน้าตาของประเทศ ของทำเนียบรัฐบาล ลั่น ผมไม่อยู่จนตายหรอก
//
Forget the past, start the new บิ๊กตู่ยัน เปล่า ดัดจริต
วันนี้ นายกฯบิ๊กตู่ แถลงข่าว แบบ มีอารมณ์ขึ้นลง ตลอด ตามแต่ละประเด็น....แต่บ่น นักข่าว ได้แต่ถาม แต่ไม่ค่อยฟัง ไม่ค่อยเข้าใจ แม้พยายามอธิบาย สงสัยต้อง อธิบายเป็น ภาษาอังกฤษ จึงจะเข้าใจมั้ง. ก่อน พูดว่า ต้องForget the past, start the new...ก่อน พูดอีกหลายคำ East-West ยัน ไม่ได้ ดัดจริต
///
คสช.ไม่ตั้งพรรค นะ บิ๊กป้อม ยัน หมดภารกิจ ตามโรดแมพ ก็หมดหน้าที่ เปรย แก่แล้ว
‪"บิ๊กป้อม" พลเอกประวิตร. ยัน คสช.ไม่ตั้งพรรคการเมือง ไม่เล่นการเมือง ไม่ลงเลือกตั้ง หมดภารกิจ ตามโรดแมพ ปี61 ก็พอแล้ว แก่แล้ว ทำแค่นี้ หมดหน้าที่ก็พอแล้ว...เชื่อ "สุเทพ"
แค่แสดงความเห็น ไม่ค้านเลือกตั้ง และหนุนปรองดอง เพราะมาร่วมให้ความเห็น ต่อคณะกรรมการ เชื่อกระบวนการปรองดอง เดินหน้า เป็นไปตามขั้นตอน หลังเปิดเวทีสาธารณะรับฟังความเห็น ร่างสัญญาประชาคม แล้ว ก็จะส่งนายกฯ เพื่อประกาศ เป็น สัญญาประชาคม
เมื่อถามว่า หากมีคนสนับสนุน คสช.ให้ตั้งพรรค จะตั้งมั้ย พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ตั้ง แก้แล้ว ทำตรงนี้ให้หมดภารกิจ ตามโรดแมพ ก็หมดหน้าที่แล้ว
___
16.61 .. อาคาร ใหม่ ในบ้านนรสิงห์

"น้องโหน่ง ปรกขล" Decorator พาพี่เล็ก เดินชม อาคารเรือนรับรอง หลังใหม่ ที่ใกล้จะเสร็จ อีกไม่กี่วันนี้.... เป็นศิลปะร่วมสมัย
ทรงผสม ทรงปั้นหยา หลังคากระเบื้องซีเมนต์สังเคราะห์ ปลายแหลมสีแดง ทรงโดม โมเสคสีทอง สูง 16.61 เมตร เป็นงานสถาปัตยกรรม แบบ Neo Venetian Gothic
โดยจะแต่งด้วยโทรสีเหลือง ฟ้า เพราะนายกฯ บอกว่า สีเหลืองเป็นสีประจำวันเฉลิมพระชนมพรรษาหรือวันพระราชสมภพของพระเจ้าอยู่หัวปัจจุบัน และพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช
นายกฯจะให้ไปดูว่าอาคารหลังใหม่นี้ควรจะมีสีฟ้า ซึ่งเป็นสีของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถด้วยหรือไม่
อาคารนี้ใช้งบประมาณ137,371,700 บาท ควบคุมการก่อสร้างออกแบบโดยกรมศิลปากรให้สอดคล้องกับยุคสมัย ซึ่งเราต้องมีสิ่งเหล่านี้ไว้บ้างเพราะเราใช้ตึกเก่ามาเป็นเวลาหลายปี แขกหลายประเทศมีความภูมิใจที่ได้มาเยือนสถานที่สวยงามของไทย ซึ่งเป็นศิลปะทั้งตะวันตกและตะวันออก
ตอนนี้ก่อสร้างเสร็จไปประมาณ 80-90 % สร้างเป็นสมบัติชาติ ไม่ได้สร้างเพื่อใคร ไม่ได้สร้างเพื่อให้ใครรัก
ในวันหน้าทำเนียบรัฐบาลก็อาจะใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้บ้าง ขณะนี้ก็มีเด็กนักเรียนมาชมทุกสัปดาห์อยู่แล้ว เป็นการพัฒนาโดยไม่ลืมสิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์เดิมด้วย
///
"นายกฯบิ๊กตู่"ควัก เป๋า 3.5 แสน ซื้อ พระรูป ปั้น" ในหลวง ร.9" เพื่อนำมาประดิษฐาน ที่อาคารเรือนรับรอง
พลเอกประยุทธ์ ได้พูดคุยกับนายมานพ สุวรรณปินฑะ ศิลปินที่ใช้เวลาปั้นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ถึง 9 ปี ที่พล.อ.ประยุทธ์ ตามหาและอยากพบตัว
พล.อ.ประยุทธ์ ใช้เงินส่วนตัวซื้อผลงานปั้นพระบรมรูปฯของ นายมานพในราคา 3.5 แสนบาท เพื่อจะนำพระบรมรูปฯนี้ มาประดิษฐานไว้ที่อาคารเรือนรับรองหลังใหม่ ทำเนียบรัฐบาล