PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

รวบกลุ่มดาวดินประท้วงอนุสาวรีย์ปชต.ข่อนแก่น

กลุ่มประชาธิปไตยใหม่พันผ้าลายพรางที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พร้อมเรียกร้องให้รัฐเคารพสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชน
8 มิถุนายน 2558 พนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น นัด 7 นักศึกษากลุ่มดาวดินที่ฝ่าฝืนประกาศห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 เข้ารายงานตัว แต่กลุ่มดาวดินเห็นว่าการถูกจับกุมและดำเนินคดีดังกล่าวเป็นไปโดยไม่ชอบธรรม จึงประกาศจะอารยะขัดขืนต่อการจับกุมดำเนินคดี และจัดกิจกรรมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยขอนแก่น แทนการเข้ารายงานตัว
การจัดกิจกรรมครั้งนี้เป็นการรวมตัวกันของนักศึกษากลุ่มดาวดิน และชาวบ้านที่นักศึกษากลุ่มนี้เคยรวมการเคลื่อนไหวรณรงค์ด้วย เช่น ชาวบ้านวังสะพุง จ.เลย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำ ชาวบ้านนามูล-ดูนสาด จ.ขอนแก่น และชาวบ้านหนองแซง จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการขุดเจาะปิโตรเลียม ทั้งหมดรวมตัวกันในชื่อกลุ่มประชาธิปไตยใหม่
กลุ่มประชาธิปไตยใหม่รวมตัวกันที่บ้านดาวดิน เพื่อเคลื่อนขบวนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จังหวัดขอนแก่น ก่อน 10.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังเคลื่อนขบวน ปรากฏว่ารถบัสของชาวบ้าน อ.วังสะพุง จ.เลย ถูกทหารกักไว้ที่บริเวณค่ายสีหราชเดโชไชย เมื่อรถบัสถูกกัก รถคันอื่นๆ ที่กำลังมุ่งหน้าไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจึงต้องหยุดเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต่อมาสถานการณ์คลี่คลายเมื่อมีการเจรจา และทหารอนุญาตให้รถบัสเคลื่อนต่อไปได้
ประมาณ 11.00 น. ขบวนรถซึ่งเคลื่อนมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยขอนแก่นก็ต้องหยุดลงอีกครั้ง เพราะทหารเข้ามากักรถบัสคันเดิม ชาวบ้านส่วนหนึ่งที่เคลื่อนขบวนผ่านหน้ามหาวิทยาลัยขอนแก่นไปประมาณ 500 เมตร ก็หยุดรถและเดินเท้ากลับมารับชาวบ้านที่อยู่บนรถบัสซึ่งถูกกักไว้ที่หน้ามหาวิทยาลัย เมื่อเห็นชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งเดินมารับ ชาวบ้านที่อยู่บนรถบัสจึงลงจากรถบัสก่อนที่ทั้งหมดจะเดินเท้าไปด้วยกัน
เมื่อขบวนเดินมาถึงบริเวณหน้าโรงพยาบาลกรุงเทพ จังหวัดขอนแก่น ชาวบ้านก็ต่อรองกับทหารที่เดินตามมาว่าขอขึ้นรถไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยซึ่งทหารก็ไม่ได้ขัดขวาง ขบวนของชาวบ้านและนักศึกษามาถึงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยขอนแก่นประมาณ 12.00 น. เมื่อขบวนเคลื่อนมาถึงก็พบว่ามีทหารในเครื่องแบบ 30-40 นาย ตรึงพื้นที่รออยู่แล้ว
ชาวบ้านรวมตัวกันรอบๆ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และมีการหยิบป้ายผ้าออกมา ทหารเห็นว่ามีการหยิบป้ายผ้าออกมาจึงพยายามที่จะใช้กำลังยื้อแย่ง แต่กลุ่มนักศึกษาที่อยู่ตรงนั้นก็คล้องแขนกันไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาแย่งป้ายผ้าจนท้ายที่สุดทหารต้องยอมถอยออกไป
ระหว่างนั้นมีทหารระดับสูงคนหนึ่งเข้ามาขอเจรจา แต่เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ๆ ก็ปรากฏว่าฝ่ายนักศึกษาและชาวบ้านยังไม่ส่งตัวแทนขึ้นมา จนสถานการณ์ตรึงเครียดไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะมีการส่งนักศึกษาหญิง 2 คนออกมาเจรจา ซึ่งนักศึกษาแจ้งกับทหารว่านอกจากนักศึกษาแล้วก็มีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบในประเด็นทรัพยากรออกมาทำกิจกรรมด้วย เพราะปัญหาของเขายังไม่ได้รับการแก้ไข และหลังรัฐประหารสถานการณ์ในพื้นที่ก็เลวร้ายลงเมื่อทหารเข้ามาในพื้นที่ แต่ทหารที่เจรจาด้วยบอกว่าไม่เกี่ยวกัน และบอกกับนักศึกษาว่า หากจัดกิจกรรมทำบายศรีก็ไม่เป็นไรแต่การโชว์ป้ายผ้าอาจจะไม่เหมาะสม
หลังการเจรจา ทหารยอมให้นักศึกษาและชาวบ้านทำกิจกรรมที่เตรียมมา มีการร้องเพลง แสดงละครสะท้อนปัญหาของชาวบ้าน รวมทั้งทำพิธีช้อนขวัญและผูกข้อมือบายศรีให้นักศึกษา 7 คนที่ถูกดำเนินคดี ต่อมามีการอ่านแถลงการณ์โดยมีใจความสำคัญว่า ในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา มีกลุ่มคนอ้างตัวว่าจะมาแก้วิกฤตให้ประเทศ แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง นักศึกษาและประชาชนในนามกลุ่มประชาธิปไตยใหม่จึงมีข้อเรียกร้อง ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญชั่วคราว ยุติการร่างรัฐธรรมนูญที่อาจนำไปสู่การสืบทอดอำนาจ และรัฐต้องเคารพสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชน
หลังการอ่านแถลงการณ์ก็มีการคลี่ป้ายผ้าที่มีข้อความ เช่น "หยุดเผาก๊าซ" หรือ "หยุดเหมืองทองคำ" และมีการนำผ้าลายพรางไปพันรอบอนุสาวรีย์ กิจกรรมของนักศึกษาและชาวบ้านดำเนินไปถึงประมาณ 13.00 น. จึงยุติลง นักศึกษาและชาวบ้านเกาะกลุ่มกันเดินออกจากบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อขึ้นรถไปยังมหาวิทยาลัยขอนแก่น เท่าที่ทราบไม่มีรายงานการจับกุมผู้ร่วมกิจกรรม ขณะที่นักศึกษาที่ต้องไปรายงานตัวที่ สภ.ขอนแก่นก็ยังไม่ได้เดินทางไปรายงานตัวแต่อย่างใด

บรรยง พงษ์พานิช : ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง...ปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง...ทำได้จริงหรือ?.

ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง...ปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง...ทำได้จริงหรือ?....(7 มิย.2558)
สองประโยคข้างบนนั้น เราได้ยินกันจนเบื่อ ...ตั้งแต่ปลายปี 2556 ต่อเนื่องมาถึงเดือน พค. 2557 ท่านกำนันนำตะโกนก้องเรียกร้องปฏิรูปตามท้องถนนเสียจนได้รับการประทาน"ปฏิวัติ"มาให้แทน ...เค้าว่าปฏิวัติเพื่อมาปฏิรูป สร้างแม้นำ้ห้าสาย วางRoad Map ชัดเจนว่า จะใช้เวลาปีเศษ ไม่เกินสองปี วาง"แนว"ปฏิรูป แล้วเราก็จะได้กลับสู่"ประชาธิปไตย"(ในรูปแบบอ่อนแก่ตามที่แม่นำ้จะวางไว้ให้) แต่อย่างน้อยก็จะมีการเลือกตั้งผู้ที่จะมาบริหารประเทศเสียที
ล่วงเลยมาได้ปีเศษ ถนนทำท่าจะไม่ราบรื่นตามที่เคยวาดฝัน แม่นำ้ไหลไม่ราบเรียบ ก็เลยมีผู้รวมกลุ่มกันเสนอว่า น่าจะต่ออายุการสร้างถนนไปอีกสักสองปี โดยใช้เหตุผลอ้างว่าควรรอให้การปฏิรูปเสร็จลุล่วงเสียก่อน เสียงเรียกร้องตะโกนก้อง ให้"ปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง"จึงกลับมาดังกระหึ่มเมืองอีกครั้งหนึ่ง
ผมไม่อยากคาดเดากล่าวหาว่า ผู้ที่ลุกขึ้นมาริเริ่มเรื่องนี้มีประโยชน์ทับซ้อนใดๆหรือไม่ ท่านได้รับประโยชน์จากระบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้จนถวิลหาไม่อยากให้สิ้นสุดไปเร็วๆ หรือว่า ท่านหวังดีต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง จึงยอมที่จะเหนื่อยที่จะสละเวลามานั่งเป็น สนช. สปช.กันต่ออีกตั้งสองปี ...เอาเป็นว่า ผมเชื่อว่าเป็นอย่างหลัง คือ เจตนาดีจริงๆ
แต่ผมอยากจะถามว่า ...ที่เรียกว่า "ปฏิรูปให้เสร็จ"นั้น หมายความว่าอย่างไร ...ปฏิรูปแปลว่าอะไร ...จะปฏิรูปอะไรบ้าง ด้านไหนบ้าง ...แล้วทำไปถึงไหน วัดผลแค่ไหน ท่านถึงจะเรียกว่า"เสร็จ" ...เพราะถ้าไม่นิยามให้ชัด มันก็เป็นแค่วาทกรรมที่มีเจตนาแอบแฝง หามีความหมายใดๆไม่
ขออธิบายคำว่า"ปฏิรูป"อีกสักครั้งนะครับ (อธิบายหลายครั้งแล้ว) ...อันคำว่า"การปฏิรูป"ซึ่งแปลมาจากคำว่า Reform นั้น มันเป็นคำกลาง ที่อยู่ระหว่าง "พัฒนา"(Development) กับ "ปฏิวัติ"(Revolution) 
...อันว่า"พัฒนา"นั้น ก็หมายถึง สร้างสิ่งที่ควรมีให้มี ปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งๆขึ้นไป ซึ่งเป็นกระบวนการที่ง่ายกว่า เพราะสามารถมีสภาพWin-Winได้ เพราะว่าจะมีผลิตภาพเพิ่มที่จะไปแบ่งปันกัน ...แต่การ"ปฏิรูป"นั้น มันหมายถึงว่า สิ่งที่มี สิ่งที่เป็นอยู่นั้น มันไม่เหมาะสม ครั้งหนึ่งอาจจะเคยดี เคยwork แต่มาวันนี้มันต้องปรับใหม่ มันต้องเปลี่ยน ต้องวางกรอบกันใหม่ ซึ่ง การปรับใหม่ ก็เลยมักจะทำให้เกิด"การแบ่งใหม่"ไปด้วย เลยทำให้มีคนได้ มีคนเสีย ไม่เกิดสภาพWin-Win เลยเป็นเรื่องยากกว่า ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ต้องสร้างกระบวนการให้มีการต่อรอง ต้องใช้เวลา ...ในขณะที่การ"ปฏิวัติ"นั้น หมายถึง การเปลี่ยนแปลงอย่างถอนราก ถอนโคน อย่างฉับพลันทันใด เข้าสู่สิ่งที่ต้องการ หรือสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง (ผมหมายถึง การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบ-Revolution นะครับ ไม่ใช่ปฏิวัติรัฐประหาร-Coup)
ประวัติศาสตร์บอกว่า"การปฏิวัติ"นั้นมักมีต้นทุนที่สูงมาก(การพัฒนาประเทศอาจชะงักงันไปได้เป็นช่วงอายุคนเลยทีเดียว) เพราะต้องทำลายรากฐานเดิมๆลงไป เช่น การปฏิวัติฝรั่งเศส การปฏิวัติบอลเชวิคของรัสเซีย การปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมาเจ๋อตุง การปฏิวัติเวียตนาม เขมร หรือพวกอาหรับสปริงส์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ...ดังนั้น "การปฏิรูป"จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับการเปลี่ยนแปลง
อย่างที่บอกแหละครับว่า การ"ปฏิรูป"นั้น มันเป็นกระบวนการ มันควรจะต้องให้ผู้เกี่ยวข้องได้เสียมีส่วนร่วม มันต้องดำเนินอย่างต่อเนื่องไปตลอด ยิ่งในโลกปัจจุบันซึ่งมีพลวัตสูง แทบจะบอกได้เลยว่า"การปฏิรูป"นั้นต้องทำต่อเนื่องไปตลอด ...แล้วมันจะเสร็จได้อย่างไรล่ะครับ ...แล้วเมื่อไหร่จะได้เลือกตั้งกัน ...จอมพลสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส ใช้เวลา 12 ปี ร่างรธน.ให้เราได้เลือกตั้งกัน คราวนี้ท่าทางจะนานกว่านั้น
เอาเข้าจริงแล้ว "การปฏิรูป"ที่ดี ในความหมายที่เราควรทำในช่วงเปลี่ยนผ่านนั้น มันเป็นแค่การวางกรอบ วางกติกา วางแนวทาง กับริเริ่มเพื่อให้มันเปลี่ยนแปลงไปสู่ทิศทางที่ต้องการ ไม่ให้มีการบิดเบือน บิดเบี้ยวในสิ่งที่ไม่ต้องการได้อีก ...และเนื่องจากเราไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ถูกต้องไปทั้งหมด กรอบ กติกา แนวทางที่ว่านั้น ก็ต้องมีความยืดหยุ่นให้ผู้คนในอนาคตสามารถปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมันคืออนาคตเขา ไม่ใช่อนาคตเรา ...ยังจำรธน.50ได้ไหมครับ เค้าบังคับให้ถ้ายุบสภาต้องเลือกตั้งใหม่ใน30วัน เลยไม่ให้รัฐบาลรักษาการณ์มีอำนาจ ทำอะไรไม่ได้เลย เจตนานั้นดี แต่พอเอาเข้าจริงจัดเลือกตั้งไม่ได้ ประเทศเลยเป็นอัมพาต พิการไปเกือบครึ่งปี เสียหายมากมาย
แล้วเราจะปฏิรูปด้านไหนบ้างล่ะครับ ...ด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านการศึกษา ด้านประสิทธิภาพรัฐ ด้านต่อต้านคอร์รัปชั่นฯลฯ หลายสิบด้าน จาระไนไม่หมด ...แล้วจะทำให้เสร็จได้อย่างไร
ในความเห็นของผม ...การปฏิรูปที่สำคัญที่สุด ก็คือด้านการเมือง แต่ผลที่ออกมาได้ ก็จะเป็นเพียงกฎกติกา การเข้าสู่อำนาจรัฐ กรอบในการใช้อำนาจรัฐ และกลไกตรวจสอบคานอำนาจต่างๆ ...ผมเห็นด้วยว่าเราต้องวางกรอบ ไม่ยอมให้ผู้มีอำนาจนำเอาทรัพยากรอนาคตของลูกหลานมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยไร้เหตุผล มาทำประชานิยมซื้อเสียงระยะสั้น ...ผมเห็นด้วยว่าเราต้องวางกฎ วางระบบ ให้การโกงกิน การคอร์รัปชั่นเอื้อประโยชน์ให้พรรคพวกนั้น จะทำไม่ได้ง่ายๆอีกต่อไป ...ผมเห็นด้วยว่า เราต้องจำกัดขนาด บทบาท และอำนาจรัฐลง. แต่การจะใส่กรอบ ใส่กฎ ใส่กลไกคาน มากจนเกินไป ย่อมเกิดต้นทุนอนาคต ขาดความยืดหยุ่นในการบริหาร ยิ่งร่างรธน.บางส่วน ยังแทบจะไปคาดการณ์วางนโยบายบริหารให้อนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
อย่างเรื่องสองเรื่อง ที่ผมไปช่วยทำอยู่ คือ เรื่องปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ กับการออกมาตรการป้องกันคอร์รัปชั่นนั้น ขอเรียนยืนยันความเห็นว่า ไม่ได้ต้องการเวลาเพิ่มเลย มาตรการที่เตรียมไว้ ถ้าไม่ได้ทำ ไม่ได้เริ่มในปีนี้ ก็คงไม่ได้ทำตลอดกาลอยู่ดี แถมมาตรการที่ว่าก็เป็นเพียง การวางกรอบ วางระเบียบ วางองค์กร ที่จะใช้ปฏิรูปไปเรื่อยๆภายใต้ระบอบปชต.ปกติ ซึ่งหมายถึงเลือกตั้งเมื่อไร ระบบก็ควรจะยังคงอยู่ต่อไป และเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีเหตุผลอันสมควร
ประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่ได้สอนเราว่า การปฏิรูปที่ดีนั้น เกิดขึ้นได้ดีที่สุดในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบบที่สามารถสร้างกลไกที่จะกดดัน ส่งเสริม สนับสนุน และควบคุมการปฏิรูปให้ประโยชน์ตกกับคนส่วนใหญ่ได้ดีที่สุด
ที่น่ากังวลสำหรับผม...มีคนไม่น้อย ที่พยายามชี้นำว่า ระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งนั้น ไม่เหมาะกับประเทศไทย เนื่องจากว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้เพียงพอ
ไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วจะให้เป็นอะไรล่ะครับ...
โลกมีการปกครอง 4 แบบ ราชาธิปไตย เผด็จการเบ็ดเสร็จ(ที่เราเป็นอยู่วันนี้) คณาธิปไตย และประชาธิปไตย แต่ละอย่างก็มีดีกรีอ่อนแก่ไม่เท่ากันอีก
อย่างประชาธิปไตย ซึ่งตามนิยามของลินคอล์น ก็คือ การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ก็มีหลักการสำคัญที่สุด คือ เสรีภาพ และ เสมอภาค ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า ในระยะยาว จะนำความเจริญ มั่งคั่ง มั่นคง และสงบสุข มาให้เหนือกว่าระบบอื่นๆ
ถ้าท่านนำ ดรรชนี 3 ตัว มาเรียงกัน คือ ดรรชนีความมั่งคั่งที่วัดโดย per capita GDP ดรรชนีความโปร่งใสที่วัดโดย Corruption Perception Index และดรรชนีความเป็นประชาธิปไตยที่วัดโดย Democracy Index ของทุกประเทศในโลกมาพลอตกราฟด้วยกัน ก็จะเห็นความสัมพันธ์(Correlation)กันอย่างสูงของทั้งสามดรรชนี ซึ่งหมายความว่า ประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูง ก็ย่อมมีการคดโกงน้อย และมีความมั่งคั่งสูงตามไปด้วย อย่างเช่น นอร์เวย์ ซึ่งเป็นอันดับ1 ด้านการเป็นปชต. ก็รำ่รวยอันดับ6ของโลก และมีคอร์รัปชั่นน้อยเป็นอันดับ6 เช่นเดียวกัน ...มีข้อยกเว้นไม่กี่ประเทศเท่านั้น เช่น ในจำนวนประเทศที่รำ่รวยและโกงน้อยที่สุด22 แห่ง มีแค่สองประเทศเท่านั้น ที่มีระดับความเป็นประชาธิปไตยตำ่ คือ สิงคโปร์ กับ ฮ่องกง (ซึ่งเราไม่มีทางเอาแบบอย่างได้ ผมว่าถ้า ลี กวน ยู มาเกิดเมืองไทย ท่านก็ยากที่จะได้รับความสำเร็จอย่างนี้) ...กับมีบางประเทศที่รำ่รวยทั้งๆที่ไม่เป็นปชต.กับยังมีโกงกิน แต่ก็เป็นเพราะมีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ เช่น ประเทศนำ้มันแถบตะวันออกกลาง แต่สมบัติส่วนใหญ่ก็เป็นของชีค ไม่ได้เป็นของประชาชน
ระบบที่อาจยังมีผู้เรียกร้อง ก็คือระบบ คณาธิปไตย หรือเรียกอีกอย่างว่า Aristocracy ซึ่งแปลตรงๆได้ว่า Rule of the Best หมายความว่า ให้คนดีเท่านั้นได้โอกาสปกครอง ...ปัญหามันอยู่ที่ว่า "กลุ่มคนดี"นั้น จะคัดสรรจัดหามาได้อย่างไร จะให้ใครมีสิทธิ์ ใครไม่มีสิทธิ์ ...จะเอาสายเลือดชาติตระกูลอย่างกรีกโบราณก็ไม่น่าจะใช้ได้แล้ว ...จะเอาระดับการศึกษาก็เป็นเรื่องวัดไม่ได้แล้ว(ผมเห็นนักการเมืองที่พวกท่านเกลียดก็จบดอกเตร์กันเป็นแถว เช่น ดร.ฉ. ดร.ท.) ...จะเอาระดับจ่ายภาษีก็เป็นเรื่องเลือกคนรวยและก็ผิดหลักการภาษีนั่นเอง ...เอาตำแหน่งราชการก็ห่วยแน่ๆ ...หรือจะเอาระดับคุณธรรมยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเห็นคนโกงแล้วไปสร้างวัด ไปไหนพระสงฆ์องคเจ้าท่านก็นับหน้าถือตาให้นั่งแถวหน้าเวลาทำบุญทุกที
...นี่แหละที่พัฒนาไปพัฒนามาก็เลยมาลงเอยที่"ประชาธิปไตย" คือ ให้ทุกคนเลือกโดยมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน จะผิดจะพลาดไปบ้างบางเวลา ก็ยังมีเสรีภาพที่จะส่งเสียง ที่จะชักชวนกันแก้ไขในคราวหน้า ถ้ากลัวประชาชนยังไม่มีความรู้ ก็มาแก้กันที่การให้ความรู้ ...ถ้าเราบอกว่า เขาไม่รู้เลยต้องให้เราปกครอง รับรองว่าจะมีคนพยายามทำให้เขาไม่รู้ตลอดไป
เขียนยืดยาว คงต้องขอสรุปเสียที ....ปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ที่ทำได้และควรทำ คือ วางกรอบ วางแนว วางระบบ ที่จะให้การปฏิรูปเร่ิมต้นและจะพัฒนาต่อได้ น่าจะรีบๆแก้วิกฤติการร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วกลับมาสู่Road Map กรอบเวลาเดิมให้ได้ ..."ทำให้น้อย แล้วถอยให้เร็ว"นี่เป็นทางที่จะได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งต่อท่านผู้นำเอง และต่อประเทศชาติ ...อย่าไขว้เขวไปกับเสียงเรียกร้องให้อยู่ต่อนะครับ พิจารณาให้ดีนะครับ ว่าเขาเรียกร้องเพื่อท่าน เพื่อชาติ หรือ เพื่อสนองประโยชน์ของเหล่าผู้เรียกร้องเอง

แห่ศพลูก บุกร้อง “บิ๊กตู่“ ปมตำรวจประตูน้ำจุฬาฯ ยิงดับคาโรงพัก

พ่อแม่ สุดคาใจ !
แห่ศพลูก บุกร้อง “บิ๊กตู่“ ปมตำรวจประตูน้ำจุฬาฯ ยิงดับคาโรงพัก
หลังจากกรณีเกิดเหตุชายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงเสียชีวิต ที่สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ตร.เผยนาทีหนุ่มถือมีดบุกโรงพัก บอก"จะมาฆ่าคน")
ในวันนี้ (8 มิ.ย.) นายกิตติศักดิ์ ขุนทองไทย อดีตนายกเทศมนตรีธัญบุรี พร้อมด้วยจีระพงษ์ เจริญวินิช บิดาพร้อมภรรยาและญาติ ได้นำศพบุตรชายนาย อัศนีย์ชัยพล เจริญวานิช เข้าร้องเรียนถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ศูนย์บริการประชาชน ฝั่งกพ. เพื่อขอความเป็นธรรม
โดยระบุว่าได้ขอตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดในเวลาเกิดเหตุ แต่ได้การปฏิเสธจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงเห็นว่าไม่ได้รับความยุติธรรม อีกทั้งยังติดใจที่ผู้เสียชีวิตถูกยิงใกล้จุดสำคัญ เหมือนเป็นการยิงจงใจเพื่อหวังผล มากกว่าที่จะเป็นการยิงระงับยับยั้งเหตุ เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุ
พร้อมกันนี้นายกิตติศักดิ์ ยังระบุว่าผู้เสียชีวิต ไม่มีอาการทางประสาทตามที่เป็นข่าว และยังติดใจกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า ผู้เสียชีวิตได้พกมีดเข้าไปอาละวาดบนโรงพัก เพราะผู้เสียชีวิตเป็นคนดีมีการศึกษา อีกทั้งที่ไปโรงพักเพื่อต้องการร้องทุกข์ และเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจควรจะเป็นผู้ระงับเหตุ มากกว่าเป็นผู้ก่อเหตุ