PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

บิ๊กตู่ เปรียบ"ผมเป็นกระท้อน สาว"....

บิ๊กตู่ เปรียบ"ผมเป็นกระท้อน สาว"....
นายกฯ บิ๊กตู่ มาลูกอ้อน ส่งยิ้มสื่อ ยกสื่อสำคัญ เป็นผู้นำ มีผลต่อประเทศ 50% ขอเสนอข่าวเป็นกลาง มีจรรยาบรรณ ขอบคุณทุกคนที่ติชมอย่างมีสาระ ขอบคุณที่ ให้กำลังใจ ผมจดจำไว้ในใจหมด ใครพูดถามอะไร ยันทำวันนี้เพื่อประวัติศาสตร์ของวันหน้า ถ้าทำสำเร็จ ต้องทำไม่งั้นจะแย่กว่านี้
เผยผมไปตปท.ก็รีบกลับ ไม่เคยพักผ่อน เสร็จงาน เข้าห้องนอน ตื่นมาทำงาน แล้วรีบกลับ เพราะคิดถึงพวกเรา กลับมาเจอคำถามเลือดสูบฉีดขึ้นหัว นิดหน่อยดี ทำให้พอมีแรง เปรียบตัวเองเป็นเหมือน"กระท้อน"ยิ่งทุบยิ่งหวาน กระท้อนสาว อร่อย เนื้อแน่น ยันไทยต้องโตแบบผลไม้ไทย เนื้อไม่ดีคัดออก "ผมเป็นเหมือน"กระท้อน"สาว ยิ่งทุบยิ่งหวาน อร่อยมเนื้อแน่น ไทยต้องโตแบบผลไม้ไทย เนื้อไม่ดีคัดออก เราต้องมีตัวตนในโลก ให้เขาเห็นเราสามัคคี อัจฉริยะ ไม่ใช่ถูกคัดออก ไม่มีตัวตน วันนั้เราต้องสร้างระบบ จำคำผมไว้นะ


ใครดีกว่าใครไม่ดีกว่าระหว่าง"ทักษิณ"กับ"ทหาร"

////////////
Nithinand Yorsaengrat
เห็นด้วยกับอาจารย์ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
"เอาล่ะ สมมตว่า ข้อมูลที่พูดมาทั้งหมดถูกหมดเลย ผมก็ยังเข้าใจไม่ได้อยู่ดีว่า ทำไมถึงต้องแห่กันไปสนับสนุนทหารทำรัฐประหาร
"ถ้าผมจะเขียนเล่าเรื่องความชั่วร้าย ความทุจริตของฝ่ายทหาร ก็คงได้ความยาวไม่แพ้กันนี้
"ไม่มีหลักฐานใดเลยที่จะบอกว่าฝ่ายทหารดีกว่า หรือโกงน้อยกว่า
"ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราไม่รัฐประหาร สู้กับทักษิณด้วยประชาธิปไตย มาถึงป่านนี้ ทักษิณ จุ้ง แพ้เลือกตั้งอย่างน่าอับอายไปนานแล้ว หรืออาจจะแพ้แล้วกลับมาชนะ อะไรก็ตาม แต่ถ้ามั่นใจว่าทักษิณเลว ก็เผยแพร่ข้อมูลต่อประชาชน แล้วให้ประชาชนเขาเลือก ไม่ใช่เที่ยวให้ทหารมั่ง ตุลาการมั่ง มามั่วสร้างความเลวร้ายกันแบบนี้"
///////////
ข้อเท็จจริงที่ควรรู้ เกี่ยวกับ "ทักษิณ"
ปกติผมไม่เคยขอให้ใครแชร์อะไร แต่ครั้งนี้เพื่อบ้านเมือง อยากให้ช่วยแชร์กันเยอะๆครับ พี่น้องที่ยังไม่รู้ จะได้รู้ข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น แล้วเลือกตั้งครั้งใหม่ ลองตัดสินใจดู อยากได้คนแบบนี้ มาอยู่เบื้องหลังการบริหาร ประเทศรึเปล่า ก่อนหน้านี้ ทักษิณ ก็เป็นเหมือนคนปกติทั่วไปที่อยากจะร่ำรวย
เริ่มจากการอยากร่ำรวยทางลัด ยุคปฏิวัติ รสช สมัยสุนทร คงสมพงษ์....ทักษิณ ก็ให้เงินทหารที่ปฏิวัติ เพื่อแลก สัมปทานมือถือแบบง่ายๆ ... "ยัดเงินทหาร ไม่ต้องประมูลสัมปทานอย่างยุติธรรม ให้มันยุ่งยาก" หลังจากทักษิณได้สัมปทาน รัฐฯ จากการยัดเงินใต้โต๊ะแล้ว ทักษิณก็เริ่มอยากปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง เพราะการมีอำนาจเอง ก็คงดีกว่าการคอยพึ่งบารมีผู้มีอำนาจ นักการเมือง ข้าราชการที่คอยแต่จะรีดไถ่ ทักษิณก็เลยโดดมาเล่นการเมือง เพื่อการมีอำนาจซะเองเลย
เริ่มที่พรรคพลังธรรม ทำหน้าที่เป็นนายทุนให้พรรค เติบโตมาพร้อมๆ กับ เจ้หน่อย ซึ่งสมัยนั้น ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก ถือเป็นนักธุรกิจไฟแรง ที่ผันตัวเองมาเล่นการเมือง เมื่อทักษิณเล่นการเมืองมีอำนาจรัฐฯ อยู่ในมือแล้ว เป็นรองนายก แม้ไม่ถึงขั้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็เห็นช่องทางแห่งความร่ำรวย
--เริ่มจากตัดลดงบประมาณต่างๆ ทำองค์กรโทรศัพท์ให้อ่อนแอ ขาดงบประมาณในการซ่อมแซมดูแล ใช้งานไม่ได้มากๆ เข้า ก็เป็นการบีบประชาชนโดยทางอ้อมให้จำเป็นต้องซื้อโทรศัพท์มือถือ เพราะยุคนั้นตู้โทรฯสาธารณะแทบจะใช้ไม่ได้ซักตู้
--พอทักษิณเล่นการเมืองไปนานๆ เข้า ก็เห็นว่าอำนาจรัฐมีประโยชน์ สร้างความร่ำรวยให้ได้มากมาย ความคิด... ก็เข้าครอบงำ จากนั้น..... ตามมาๆ
--ยุคนายก จิ๋ว ฟองสบู่แตก + ลดค่าเงินบาท ยุคนั้น ทักษิณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเสนอให้ ชวลิตลดค่าเงินบาท ซึ่งถือเป็นผู้รู้ข้อมูลภายในล่วงหน้า (insider) .... ทักษิณ ได้ใช้ข้อมูลนั้นในการดำเนินการประกัน ค่าเงินของ ทรัพย์สินและบริษัท ในตระกูลของตนเองและพวกพ้องทั้งหมดไว้ แค่นั้นยังไม่พอ.. ทักษิณและพวกพ้องกลุ่มนายทุนใหญ่ ระดับชาติ ใช้กลยุทธการ "ไซฟ่อนเงิน" เพื่อความร่ำรวย และซ้ำเติมความหายนะของชาติให้มากขึ้นไปอีก เพรายิ่งไทยหายนะเท่าไหร่ ค่าเงินบาทไทยก็ยิ่งลดลงไปมากเท่านั้น ซึ่งก็คือ...
--ทักษิณและพวกพ้อง ใช้วิธีกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ ในประเทศให้ได้มากที่สุด แล้วนำไปแลกดอลล่าร์ไว้ เพราะรู้ข้อมูลล่วงหน้าว่า จะมีการประกาศลดค่าเงินบาท และเมื่อชวลิตลดค่าเงินบาทตามคำแนะนำของกลุ่มทักษิณ.. ค่าเงิน จาก 25 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ ก็ดิ่งลงสู่หายนะในเวลาอันรวดเร็ว โดยต่ำสุดอยู่ที่ 58 บาท ต่อ 1 ดอลล่าร์ ....... ทักษิณ และพวกพ้อง ก็เอาดอลล่าร์กลับมาแลกคือเป็นเงินบาทไทย "กำไรทันทีเกิน เท่าตัว!!!!"
--ทฤษฏีของ สสาร ง่ายๆ คือ สสารไม่มีวันหายไปจากโลก เหมือนเม็ดทรายในท้องทะเล แค่ย้ายจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งเท่านั้นเอง ความร่ำรวย และยากจนก็ไม่ต่างกัน... เมื่อทักษิณ และพวกพ้องมีกำไรจากการประกันค่าเงิน และ ไซฟ่อนเงินเป็นมูลค่ามหาศาลเกิน 100% คนที่ขาดทุนก็คือประชาชนคนไทย และ ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจริงๆก็เหมือนมีเงินในกระเป๋าเท่าเดิม แต่ค่าของเงินหายไปเกินครึ่ง!!!
--ทักษิณและพวก ร่ำรวยขึ้นเป็นเท่าตัว บนความยากจนลงๆ ของประชาชน ทั้งประเทศ จากการลดค่าเงินบาทในครั้งนี้ คราวนี้ทักษิณก็มีทุน กระสุนดินดำ ไว้ใช้ในการเล่นการเมืองเต็มตัวแล้วสิ..... ทักษิณก็เริ่มใช้เงินที่ได้มา ซื้อพรรคการเมืองต่างๆ กวาด สส.พรรคต่างๆ เข้าพรรคของตัวเอง เพราะเวลาทักษิณจะออกกฏหมายหรือเปลี่ยนแปลงกฏหมายอะไร จะได้มี สส. ลูกน้องคอยยกมือโหวดผ่านร่างในสภา ให้กฏหมายผ่านง่ายๆ ตามแต่ใจที่ต้องการ
--หลังจากทักษิณกวาดต้อน ใช้เงินซื้อ สส.ที่ขายตัวมาเป็นลูกน้องคอยยกมือให้ในสภาแล้ว ก็เริ่มจัดการแก้กฏหมายต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ เพื่อสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองก่อนเลย โดย ทักษิณแก้กฏหมาย วิธีการจ่ายภาษีสัมปทานมือถือให้รัฐฯ โดยให้ บ. ตัวเองจ่ายน้อยลง ทำให้รัฐสูญเสียเงินรายได้ จากการจัดเก็บภาษีสัมปทานมือถือในทุกๆปี เป็นจำนวนเงินหลักหมื่นล้าน/ต่อปี...
--ผลจากการแก้กฏหมายดังกล่าว ......."รัฐฯจะสูญเสียรายได้ส่วนนี้ไปอีกนานแสนนาน" เป็นไงละ...ก็ เพราะทักษิณคุมอำนาจรัฐฯไว้ในมือ แต่ในขณะเดียวกัน ครอบครัวของทักษิณก็ดันทำธุรกิจกับภาครัฐฯ ไปด้วย... แล้วคิดว่า ทักษิณจะอยากให้รัฐฯได้ประโยชน์มากกว่า หรือ อยากให้ครอบครัวตัวเองได้ประโยชน์ มากกว่าหละ แน่นอนเมื่อสัญญาถูกแก้ ให้ครอบครัวทักษิณจ่ายภาษีมือถือน้อยลง รัฐก็จะมีเงินรายได้เข้าคลังน้อยลง เงินที่จะนำไปใช้ในการบริหารประเทศ ช่วยเหลือคนจนก็จะน้อยลง ยิ่งช่วงนั้น ไทยประสบปัญหา ฟองสบู่แตก ด้วย เงินในคลังก็ยิ่งน้อยลง
--ที่นี้ ทักษิณอยากได้เงินเข้าคลังเยอะๆ เพราะทักษิณเป็นรัฐบาลจะได้เอาเงินไปใช้จ่ายโครงการต่างๆ เพื่อให้พวกพ้องโกงกิน แต่ไทยยังติดหนี้ IMF และยัง มีเงินในคลังน้อยอยู่ แล้วทักษิณจะทำไงดีละ.... ตามมาๆๆ ก็ขายสมบัติชาติไง เพราะพอขายแล้ว ชาติจะได้มีเงินเข้าคลังเยอะๆ ทักษิณและพวกพ้อง สส.จะได้เอาไปถลุง + โกงกินทุกโครงการให้สบายใจ
--โดยเริ่มจากขาย ปตท. ซึ่งเดิมที ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือเรียกง่ายๆว่า ธุรกิจของรัฐฯ 100% ซึ่งหมายความว่า.."กำไร" จากการขายน้ำมัน /ปิโตรเคมี /อะโรเมติค /พาราไซรีน ฯลฯ ทุกอย่างทุกชนิด ทุกบาท ทุกสตางค์ ของ ปตท จะกลับเข้าคลัง ไปเป็นงบประมาณของรัฐฯ เพื่อนำเงินนั้น กลับมาบำรุงชาติ/ประชาชน แต่ทักษิณก็ขาย... ซึ่งนั้นหมายความว่า กำไรจาก ปตท ที่ รัฐฯ เคยเก็บได้ทุกปี 100% เต็ม "ตลอดอายุประเทศไทย".... จะไม่ได้เท่าเดิมอีกแล้ว เพราะต้องเอากำไรของชาติ ไปแบ่งให้ผู้ถือหุ้นด้วย ประเทศไทยจะสูญเสียรายได้ในส่วนนี้ตลอดไป แถมทักษิณยังขาย ปตท. แบบโกงราคาสัดส่วนหุ้นต่อหน่วยลงทุนด้วย!! งง มั้ย คืองี้....
--ปตท คือรัฐวิสาหกิจของประเทศ ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของ เราเลือก สส + นายกมาเป็นผู้บริหารประเทศ หรือเรียกง่ายๆว่า ตัวแทน "ผู้จัดการมรดก" ทีนี้เมื่อทักษิณเป็นรัฐบาล เป็นนายก เป็นผู้จัดการมรดกของชาติ ก็มีความคิดเอาทรัพย์สินของชาติไปขาย เพื่อให้มีเงินเข้าคลังเยอะๆ แทนที่ทักษิณจะขายให้ได้กำไร หรือ อย่างน้อยเท่าทุน เพื่อให้ชาติได้เงินตามสมควร... แต่ทักษิณเอาสมบัติชาติไป.. "ขายขาดทุน โดยให้พวกพ้อง ญาติ เป็นคนซื้อ"
--ทักษิณให้ญาติ และพวกพ้อง สส.ของพรรค ซื้อสมบัติชาติ จนหมด และในราคา ต่ำกว่าต้นทุนหลายๆเท่า ดังตัวอย่างเช่น ประชาชน"คนแรก"ที่ไปรอต่อแถวซื้อหุ้น ปตท ตั้งแต่ตี 4 แค่กรอกใบสมัคร 1.14 นาที หุ้นก็หมดไปแล้ว... แต่ผู้ที่ได้มีสิทธซื้อหุ้น เป็นจำนวนหลายล้านหุ้นต่อคน กลับเป็นคนในนามสกุลที่เรารู้จักกันดีทั้งนั้น ทั้งๆ ที่กฏหมายห้ามซื้อเกินคนละ 1 แสนหุ้น??? แถม...ราคาหุ้นที่พวกทักษิณได้มีสิทธิซื้อนั้น ต่ำกว่าราคาของความเป็นจริง หรือเรียกง่ายๆ ว่าให้ญาติซื้อสมบัติชาติ ในราคาต่ำกว่าต้นทุนนั้นเอง
--ผลที่ได้คือ พวกพ้อง ญาติร่ำรวย +ประชาชนไม่รับรู้ + ประเทศชาติ (พูดไม่ได้)ขาดทุน .......และยังมีเงินจากการขาย ปตท ครั้งนี้ เข้าคลังไปถลุง ซึ่ง..."น้อยกว่าที่ควรจะเป็น" อีกต่างหาก....เฮ้อ. นั้นคือ สาเหตุ ที่ราคาหุ้น PTT ณ.วันเปิดเข้าตลาดหลักทรัพย์ กับวันนี้ราคาสูงขึ้น เป็น 10 เท่าตัว.... กำไร 1000%
--สรุป ทักษิณบริหารสมบัติชาติ -- ชาติ (ประชาชน )ขาดทุนย่อยยับ ญาติ พวกพ้องมัน ร่ำรวย เพราะซื้อสมบัติของชาติต่ำกว่าทุน ... หน้าทีอีกอย่างของ ปตท คือ คอยถ่วงดุล + กดดัน + ควบคุมระดับราคาน้ำมันภายในประเทศ ไม่ให้แพงเกินจริง ซึ่ง...
--ว่าง่ายๆ ก็คือ ถ้า ปตท ไม่ขึ้นราคาน้ำมันซะอย่าง แล้ว บ.น้ำมันข้ามชาติ เช่น เชล เอสโซ่ คาร์เทค จะขึ้นราคาน้ำมันมากแค่ไหนก็ตามใจ เพราะไม่มีใครอยากไปเติมของแพง เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้า ปตท พยายามกดดันราคาน้ำมันไว้ พวก บ.น้ำมันข้ามชาติทั้งหลาย ก็ไม่กล้าจะขึ้นราคาน้ำมันให้แพงเวอร์นัก เพราะ ประชาชนก็จะมีทางเลือกเติม ปตท ที่คิดราคาน้ำมันถูกกว่า ทีนี้ลองคิดตามนะ......
--ถ้า พวกทักษิณ เป็นรัฐบาล ควบคุมกลไกรัฐ ควบคุม ปตท.มีหน้าที่คอยถ่วงดุล+กดดัน+ควบคุมระดับ ราคาน้ำมันภายในประเทศ ไม่ให้แพงเกินจริง.."แต่ขณะเดียวกัน พวกทักษิณ ก็ดันถือหุ้น ปตท ไปด้วย" ??? --นั้นหมายความว่า..."ถ้า ปตท กำไรมาก พวกทักษิณก็จะกำไรมากๆด้วย !!!" แล้วทักษิณ และพวกพ้อง ซึ่งเป็นผู้ควบคุมกลไกรัฐฯ จะอยากทำให้น้ำมันแพงหรือถูกดีหละ....??? เพราะถ้าทักษิณ ทำตามหน้าที่โดยกดดันให้น้ำมันถูก ประชาชนก็จะได้ประโยชน์ ..แต่พวกทักษิณซึ่งถือหุ้น ปตท อยู่ ....."ก็จะกำไรน้อย" แต่ถ้าทักษิณปล่อยให้น้ำมันขึ้นๆแพงๆๆ ให้ประชาชนจ่ายค่าน้ำมันแพงๆเข้าไว้ โดยไม่คอยควบคุมกดดัน พวกทักษิณที่ถือหุ้น ปตท ก็จะได้กำไรเยอะตามไปด้วย!!
--จากการขาย ปตท พวกทักษิณ กำไร 3 เด้ง ...คือ
1. กำไรจากการได้ซื้อสมบัติชาติในราคาถูก
2. ปล่อยราคาน้ำมันขึ้นให้ประชาชน เติมน้ำมันแพง พวกทักษิณถือหุ้น ปตท
ก็รวยไปด้วย
3. คลังมีเงินจากการขายสมบัติชาติ มาให้ถลุงเล่น
--นั้นคือเหตุผลที่ว่า น้ำมันทุกค่ายจับมือกันแพง จับมือกันขึ้นราคาไง จากยุคเชาวลิต 12-13 บาทต่อลิตร จน 45-48 บาทต่อลิตร และ... บ. ปตท กำไร ปีละเป็นแสนๆ ล้าน เยี่ยมมั้ย ไอ้ทักษิณ!!
--จากนั้น...รัฐบาลทักษิณ ก็ได้เงินเข้ามาจากการขาย+โกง สมบัติชาติ เข้าคลัง... และ คลังก็มีเงินให้พวกทักษิณเอาไปถลุงเล่นแล้ว... มาดูกันว่าทักษิณ จะทำอะไรได้บ้าง ... ไทยมีเงินให้ถลุงแล้ว แต่ไทยก็ยังมีหนี้ IMF และเสียดอกเบี้ยอยู่ ทำไงดี ให้เอาเงินในคลังไปถลุงง่ายๆ โดยไม่โดนฝ่ายค้านโจมตี และ ประชาชนด่า ทักษิณก็ปลดหนี้ IMF ไง จะได้ดูดี ไม่มีหนี้แล้ว เก่งด้วย
--กองทุน IMF เค้าให้ค่อยๆ ผ่อน ค่อยๆ เสียดอก แต่ ทักษิณ ดันจ่ายทั้งต้น ทั้งดอก ทั้งหมดเลยทีเดียว คนจะได้ว่าข้าเก่ง และเอาเงินไปทำอย่างอื่นได้ โดยไม่โดนประชาชนด่า แล้วมันไม่ดีตรงไหนช่ายมะ ..ดูนะ --ต้น+ดอกเบี้ย ทุกปีอะ เค้าให้เราทะยอยจ่าย โดยคำนวนไว้แล้ว เหมือนคุณผ่อนบ้านอะ สมมุติผ่อนบ้านเดือนละ 5 หมื่น ผ่อน 20 ปี .. คำถามก็คือว่า "ค่าของเงิน" 5หมื่นในวันนี้ กับ "ค่าของเงิน" 5หมื่นใน อีก 20 ปีข้างหน้ามีค่าเท่ากันมั้ย...คำตอบคือ...ไม่เท่าแน่ๆ
--ถ้าให้จ่ายแบบปิดเงินต้น แล้วดอกมาคิดกันใหม่ก็ว่าไปอย่าง เหมือนเราจะเทบ้าน เทต้น อะไรแบบนี้ แต่ถ้าต้องรวบยอด ทั้งต้นทั้งดอก ทั้งหมดจ่ายเลยวันนี้ "ค่อยๆผ่อนไปไม่ดีกว่าเหรอ" อีก 20 ปีข้างหน้า ถึงเราจะต้องจ่ายเท่าเดิม แต่ ค่าของเงินก็เปลี่ยนไป ก็เหมือนเราจ่ายจำนวนเงินเท่าเดิม แต่ค่าของเงินนั้น น้อยลง แต่รู้มั้ย ทักษิณทำเพื่ออะไร???
--คำตอบก็คือ ทักษิณต้องการให้ธนาคาร เอ็กซิมแบ้งค์ของรัฐ ปล่อยกู้พม่า ค่อนหมื่นล้าน โดยทักษิณตกลงกับพม่า ให้นำเงินก้อนนี้ "กลับมาซื้อสัมปทาน เครือค่ายโทรศัพท์ของตระกลูชินวัตรไง" ....รัฐบาลมีเงินในคลังแล้วนิ รวยแล้ว.. วิธีการก็ง่ายๆ ก็โอน 10% ให้นายพลเผด็จการพม่าใต้โต๊ะ อีก 90% เข้าบัญชีพจมานเลย เพราะกลัวพม่าโกง..แถมปล่อยกู้พม่า โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ถูกแสนถูก ถูกกว่าที่ไทยกู้จาก IMF มากนัก
--สรุป ปลดหนี้ จ่ายรวบ ดอกเบี้ย IMF ที่แแพงกว่า มาปล่อยกู้พม่า ในดอกเบี้ยที่ถูกกว่า...เพื่อให้พม่า เอาเงินมาซื้อสัมปทาน มือถือ ของตระกูลตัวเอง หลังจากนั้นก็เริ่ม อภิมหาโครงการโกง ต่างๆ เช่น โคล้านตัว กล้ายาง กองทุนหมู่บ้าน สนุกสนานกันเข้าไป ยกตัวอย่างเด่นๆ ดังต่อไปนี้....
--ดาวเทียมไทยคม เคยรู้กันมั้ย?? --ประเทศแต่ละประเทศ ตามสนธิสัญญาสากล ทุกประเทศ มีสิทธิในการใช้วงจรดาวเทียม ซึ่งแต่ละประเทศได้จำนวนวงโคจร มากน้อยนั้นไม่เท่ากัน... ขึ้นกับสัดส่วนพื้นที่ของแต่ละประเทศ และปัจจัยต่างๆมากมาย ดาวเทียม 1 ดวง สามารถหารายได้ จำนวนมหาศาล จากมัน เพราะขีดความสามารถทางด้านก ารสือสาร ทุกชนิด แล้วมีโครงข่ายสูง.... ทักษิณ เลยจัดการประมูลให้เอกชน เป็นผู้ได้สัมปทาน???
--เงื่อนไข ผู้มีสิทธิเข้าประมูล คุณสมบัติ แต่ละข้อนั้น ทักษิณกำหนดเอง ตั้งข้อจำกัดในเงื่อนไข จนให้ บ. ของตัวเองได้ในที่สุด และกำกับท้ายว่า ผู้ชนะการประมูล ให้ยกเว้น+ลดค่าสัมประทานให้กับรัฐฯ ให้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย !!! รัฐ สูญเสียรายได้ ที่ควรจะจัดเก็บเข้าคลังได้อีกปีละเป็นหมื่นล้าน...รายได้เข้าคลังจะน้อยลง กว่าที่ควรจะเป็นไปอีกหลายสิบปี... ผลจากการประมูลสัมปทานดาวเทียม ซึ่งมีได้เพียงดวงเดียวในประเทศไทย ดังกล่าว ......."รัฐฯจะสูญเสียรายได้ส่วนนี้ ไปอีกนานแสนนาน" อีกแล้ว... FTA
--เกษตรกรทั้งหลาย คงไม่เข้าใจว่าทำไมทุกวันนี้ พืชผลทางการเกษตรถึงตกต่ำ ราคาถูกแสนถูก ถ้าอยากรู้ คุณต้องเข้าใจคำว่า FTA ก่อนนะ มาดูกัน.... เริ่มที่.... "ยุคอดีต" ประเทศแต่ละประเทศ ไม่ได้มีการติดต่อการค้าสัมพันธ์กัน คนในประเทศ มีการเพราะปลูก พืชผล การผลิต ก็มักจะขายกันแต่ภายในประเทศ แน่นอนมันจะเกิดภาวะที่ว่า สินค้าบางอย่างมีปริมาณมากเกินไป แต่สินค้าบางอย่างก็ขาดแคลน
--"ยุคอดีต" สินค้าล้น มีปริมาณมากไปราคาก็จะถูกเพราะเกินความจำเป็น ส่วนสินค้าที่ขาดแคลน ราคาก็จะแพงโดด เพราะมีปริมาณความต้องการสูง เกิดความยากลำบากในการดำรงค์ชีวิต ของประชาชน ต่อมา.....
--"ยุคกลาง" มีการติดต่อ การค้าระหว่างประเทศ และเริ่มมีการนำสินค้า ที่มีปริมาณมากเกินไป "เหลือใช้" จากประเทศหนึ่ง ส่งไปค้าขายอีกประเทศหนึ่ง ที่มีความต้องการหรือขาดแคลนสินค้านั้นๆ "ยุคกลาง" แน่นอนว่า...ถึงจะเป็นสินค้าขาดแคลน แต่สินค้าที่ขาดแคลนชนิดนั้นๆ ก็ยังมีประชาชนในประเทศ "บางส่วน" เป็นผู้ผลิตอยู่บ้าง ซึ่งอาจเป็นคนส่วนน้อยของประเทศ "ยุคกลาง" ดังนั้น การนำเข้ามาสินค้าที่ขาดแคลนเข้ามาขาย ก็จะกระทบคนกลุ่มน้อยในส่วนนี้ด้วย ด้วยเหตุนี้ รัฐจึงต้องใช้มาตราการ การตั้งกำแพงภาษี เพื่อช่วยเหลือคนกลุ่มน้อย ไม่ให้ถูกตัดราคาสินค้าจากประเทศอื่นๆ ที่ส่งสินค้าเหลือใช้เข้ามาขาย "ยุคกลาง" เพราะเมื่อภาษีสูง คนที่นำสินค้าที่มีปริมาณเกินความจำเป็นของประเทศเค้าเข้ามาขายในประเทศเรา ก็จะมีต้นทุนในการนำเข้าสูงตามไปด้วย จึงไม่สามารถขายตัดราคาสินค้าของคนที่เพาะปลูกในประเทศได้
--สุดท้าย...."ยุคปัจจุบัน" เจตนารมณ์ของ FTA ก็คือ ลดกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าที่มีปริมาณมาก เกินความจำเป็นของแต่ละประเทศ เพื่อชดเชยความต้องการของประเทศที่ขาดแคลน และต้องการสินค้านั้นๆ เหมือนกัน เพื่อให้เกิด "ดุลลภาพทางด้านการค้า" --"ยุคปัจจุบัน" เมื่อเปิดเสรีการค้ามากขึ้น รัฐก็จะมีรายได้จากภาษีของผู้ที่นำเข้าสินค้านั้นๆ มาขายภายในประเทศ ในสัดส่วนที่มากขึ้นตามไปด้วย และรัฐฯก็จะนำเงินภาษีที่ได้ไปอุดหนุ่นไปช่วย เกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าที่ถูกตัดราคาจากสินค้าที่นำเข้ามา " นี่คือเจตนารมณ์ ของ FTA "
--แต่ ยุคทักษิณทำไงรู้มั้ย คนส่วนใหญ่ของประเทศไทยเรา เพาะปลูก ทำไร่ ทำสวน สินค้าพวกนี้จึงน่าเป็นสินค้าส่งออก เพราะเป็นสินค้าที่มีปริมาณมากในประเทศ แต่... ทักษิณตกลง FTA กับจีน โดยยอมให้จีนนำพืชผลทางการเกษตรเข้ามาตีชาวไร่ ชาวสวน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในบ้านเรา เพื่อ...แลกกับการนำเข้า อะไหล่รถยนต์ ซึ่งเป็น บ.ของพวกทักษิณเองไปจีน ผลก็คือ บ.พวกทักษิณร่ำรวย ส่งสินค้าเข้าจีนขายได้ถล่มทลาย แต่ เกษตรกร ชาวไร่ ชาวสวน ชาวนา ในประเทศ ตาย..เพราะถูกผลไม้จีนตีตลาด ถูกจนเหลือเชื่อ เช่น มะม่วงเหลือโลละ 10 บาท ฯลฯ สายการบิน
--ต่อมาก็เรื่องสายการบิน ทุกๆ ประเทศมีสายการบินประจำชาติ ประเทศไทยชื่อ การบินไทย และเส้นทางการบินของสายการบินนั้นๆ บ้างก็มีขาดทุน บ้างก็มีกำไร เช่น กรุงเทพไป นิวยอร์ก กำไรทุกปี แต่กรุงเทพไป.. อาจขาดทุน แต่สายการบินเป็นของรัฐ ยังไงก็ต้องรองรับระบบพื้นฐานโลจิสติกของไทย ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน ก็ต้องบิน โดยหากเกิดการขาดทุน รัฐจะเป็นผู้ให้เงินสนับสนุนชดเชยให้ เมื่อทักษิณกุมอำนาจการบริหารประเทศ ทักษิณก็ถือหุ้นใหญ่ สายการบิน แอร์เอเชีย จากนั้น ก็ง่ายนิดเดียว ยกเลิกเส้นทางการบินของรัฐที่มีกำไร ไปให้แอร์เอเชียบิน ...ส่วนอันไหนขาดทุน ให้การบินไทยบินต่อไป ให้รัฐจ่าย.. แอร์เอเชียก็กำไรมโหฬาร ส่วนการบินไทย ก็ตามมีตามเกิดไป .......นั้นหละ การโกงในเชิงนโยบาย
+++เมื่อทักษิณจัดการธุรกิจทุกอย่างจนได้สัญญาสัมปทาน ผูกขาดกับรัฐ ไปอีกหลายนานแสนนาน แถมสัญญาที่ทำกับรัฐในทุกสัญญานั้น ทั้งได้เปรียบเอาเปรียบ ลดภาษี ลดค่าสัมปทาน "จนเหมือนแทบจะเหมือนได้เปล่า.." จากนั้นทักษิณก็จัดการแก้กฏหมาย เพื่อให้สามารถขายบริษัททั้งหมดให้กับต่างชาติ โดยบวกกำไรส่วนเพิ่ม ที่ทักษิณได้ทำสัญญาการเอาเปรียบรัฐ ต่างๆ ไว้ นั้นก็คือ... กฎหมายขยายเพดานการถือหุ้น ของชาวต่างชาติ ในบริษัทโทรคมนาคมของประเทศ มีผลบังคับใช้วันที่ 21 มกราคม 2549 และสองวันต่อมา ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ก็ขายหุ้นชินคอร์ป ให้กับบริษัทเทมาเส็ก แห่งประเทศสิงคโปร์ เป็นจำนวนเงิน 73,300 ล้านบาท รวยขึ้นทันตาเห็น เดิมจาก 2หมื่นกว่าล้าน ขายทีเดียวได้เกิน 3 เท่า หรือกว่า 300% ".......จริงๆทุกอย่างแทบจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพราะถึงจะโกงยังไง สส.ตัวแทนประชาชนทุกคนที่ทักษิณใช้เงินฟาดหัวซื้อไว้ ก็ยกมือโหวดกฏหมายต่างๆ ให้ผ่านร่าง พรบ. ได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย ใครก็เอาผิดทักษิณไม่ได้!!!!!!"
+++แต่ความโลภ และหลงอำนาจของทักษิณ เลยทำให้ทักษิณชะล่าใจ ใช้อำนาจเอื้อหนุนในการซื้อที่ดินรัชดา เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนวงเงินมัดจำการประมูลจาก 10 ล้าน เป็นเงินสด 100ล้าน ภายในวันเดียวเพื่อให้ผู้ร่วมเข้าประมูลเตรียมเงินสดไม่ทัน จากนั้นการประมูลทางอินเตอร์เน็ตก็ไม่พบผู้ร่วมประมูล ทั้งๆที่ บ. แลนด์แอนเฮ้า LPN ฯลฯ กว่า 7 ราย ก็เข้าร่วมประมูล แต่ทักษิณบอกเป็นการผิดพลาดทางด้านเทคนิค แถมทักษิณยังประกาศแก้ไขวันหยุดสิ้นปีของปีนั้นๆ เป็นวันทำการ เพื่อให้สามารถซื้อขายที่ดินแปลงนั้นได้ก่อนสิ้นปี ก่อนที่จะมีการบังคับใช้กฏหมายการใหม่ในปีถัดไปอีกด้วย
+++สรุปราคาการซื้อขาย จากเดิมที่กองทุนฟื้นฟูซื้อมาที่ต้นทุนราคา 4,889 ล้านบาท .....แต่ทักษิณ ให้พจมาน ซื้อไปได้ในราคา 772 ล้านบาท .... ก็คิดเอาเองละกานนะ เฮ้อ..คนไทยบางคน ยังภูมิใจกับเศษเงินที่เขาให้มา แลกกับการโกงชาติไปมากมาย สัญญาต่างๆ ที่เขาทำไว้ เป็นสัญญาที่ผูกพันกับรัฐไปอีกนานแสนนาน รัฐจะสูญเสียเงินที่ควรจะเก็บภาษีต่างๆ ที่ควรได้ในทุกๆ ปี หายไปอีกปีละกว่าหลายหมื่นล้าน ทั้งยังเสียประโยชน์จากการดำเนินนโยบาย ที่มุ่มเน้นแต่การเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง ตลอดจนถึงการทุจริตเชิงนโยบาย รวมทั้งสิ้นปีละเป็นแสนล้าน เงินในคลังก็จะน้อยลง ไทยก็จะยากจน การพัฒนาก็จะน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็นไปอีกหลายสิบปี คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ คนยากจน ที่รักทักษิณ ตามต่างจังหวัด ที่ต้องพึ่งพาสวัสดิ์การจากรัฐตั้งแต่เกิดนั้นแหละ
-+-ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทักษิณ กุมอำนาจเสร็จเด็ดขาดทุกอย่าง ตั้งแต่ สส.ในสภา การแต่งตั้ง ผบ.ทหาร /ตำรวจ ข้าราชการประจำ จนถึงแก้ไขระบบผู้ว่าราชการจังหวัด ให้เป็นแบบ ผู้ว่า CEO ก็เป็นพวกของทักษิณทั้งนั้น ถ้าทักษิณครองเมืองได้ ถึงมีผู้รู้ทันมากสักแค่ไหน ก็ขวางทักษิณไม่ได้ การที่ยุคสมัยนึงคนไทยรักเลือกทักษิณ เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจในการทุจริต ในเชิงนโยบายของเขา --" แล้วใครละจะคอยขวางทางทักษิณ "......ไม่ให้ทักษิณแต่งตั้งเอา ญาติและพวกพ้อง คนชั่วมามีอำนาจ...เพื่อยึดอำนาจ ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมใจเขา
-+-ระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดี แต่ประชาชน ต้องมีความรู้ แล้วการจะมีความรู้ได้ ต้องได้รับข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอในการประกอบการตัดสินใจ เลือก สส. ตัวแทนประชาชน มารักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของพวกเรา.....

“องค์กรเสรีไทย” เปิดแนวรบสู้ “บิ๊กตู่” ล้างสมอง “เยาวชน” เกลียดชัง “ท็อปบูต”

“องค์กรเสรีไทย” เปิดแนวรบสู้ “บิ๊กตู่” ล้างสมอง “เยาวชน” เกลียดชัง “ท็อปบูต”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์30 มิถุนายน 2557 21:07 น.
       จับตาองค์กรเสรีไทยฯ เป็นแค่ นปช.เปลี่ยนหัว จาก “จตุพร-ณัฐวุฒิ” เป็น “จารุพงศ์-จักรภพ” วางโครงสร้างเป็นองค์กรหลัก ขยายแนวร่วมเชื่อมทุกกลุ่ม เพื่อไทย-นปช.-มูลนิธิกระจกเงา เป้าหมายหลักนักศึกษา-เยาวชน สร้าง “อุดมการณ์” เกลียดชัง “ทหาร-ปฏิวัติ-รัฐประหาร” เบื้องต้นใช้คนแค่ 5,000-10,000 ใช้งบไม่เกิน 100 ล้าน ผุดขบวนการใต้ดินป่วน “บิ๊กตู่” มั่นใจยุทธวิธีแยกกันเดินร่วมกันตี จะประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับการรัฐประหาร!
“องค์กรเสรีไทย” เปิดแนวรบสู้ “บิ๊กตู่” ล้างสมอง “เยาวชน” เกลียดชัง “ท็อปบูต”
      
       การเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจเก่าอย่างนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และนายจักรภพ เพ็ญแข ด้วยการออกแถลงการณ์ประกาศจัดตั้ง “องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย” หรือ “The Organization of FreeThai for Human Rights and Democracy (FT-HD)” เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น แม้หลายๆ ฝ่ายจะบอกต่อกันว่าอย่าให้ค่าหรือให้ราคากับคนกลุ่มนี้หรือแถลงการณ์ขององค์กรนี้ก็ตาม
      
       แต่สำหรับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้า คสช. คงจะคิดเช่นนั้นไม่ได้ เพราะการที่นายจารุพงศ์และนายจักรภพ กล้าออกมาประกาศเช่นนี้ มันก็คือเกมท้าทายอำนาจของ คสช.โดยตรง
      
       อีกทั้งเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า ระบอบทักษิณ ยังคงอยู่ และรอวันที่จะลุกขึ้นมาประกาศชัยชนะตามที่ “ผู้นำ” ของพวกเขาวาดหวังไว้
      
       “องค์กรเสรีไทย” ใช้ยุทธวิธีพรรคคอมมิวนิสต์
      
       แหล่งข่าวจากอดีตคนเดือนตุลา บอกว่า การประกาศจัดตั้งองค์กรเสรีไทยฯ นั้นมีที่มาที่ไปชัดเจน และมีการเตรียมการอย่างเป็นกระบวนการ ซึ่งของเดิม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และผู้ที่เกี่ยวข้องวางแผนไว้จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น หากกองทัพเข้าทำการปฏิวัติ รัฐประหาร และจะมีมวลชนที่สนับสนุนระบอบทักษิณลุกขึ้นมาต่อต้าน ในทุกๆ รูปแบบ โดยเฉพาะมีการใช้กองกำลังติดอาวุธเข้าต่อสู้
“องค์กรเสรีไทย” เปิดแนวรบสู้ “บิ๊กตู่” ล้างสมอง “เยาวชน” เกลียดชัง “ท็อปบูต”
สัญลักษณ์ขององค์กรเสรีไทย
      
       เนื่องเพราะตั้งแต่ปี 2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกยึดอำนาจจาก คมช.ก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่น แต่เริ่มชัดเจนขึ้นก็ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ที่มีการออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของกลุ่ม กปปส.ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ จึงมีการเตรียมการในระดับที่เรียกว่าพร้อมมาก
      
       “มาพลาดก็ตรงที่มีการรัฐประหาร แล้วทหารไปรู้รายละเอียดของการเคลื่อนไหว จึงเข้าไปจับกุมแกนนำสำคัญๆ ตรวจค้น จับกุมอาวุธ ประกบตัวไว้ สั่งให้ไปรายงานตัว ขยับอะไรไม่ได้”
      
       เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่เป็นแกนนำที่อยู่ใน กทม.และในเมืองสำคัญๆ ก็ต้องหยุดนิ่ง ปล่อยให้คนที่ออกไปได้แล้วหรือไปอยู่ต่างประเทศก่อน เป็นผู้พลิกยุทธศาสตร์ต่อไปว่าจะทำอย่างไร และตรงนี้จึงนำไปสู่กระบวนการใต้ดินที่เคยใช้ในพรรคคอมมิวนิสต์มาแล้ว
      
       แต่ปัญหาสำคัญที่จะทำให้คนมาหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อต่อสู้กับอำนาจ คสช.นั้นจะต้องไม่ใช่ “เงิน” เป็นตัวขับเคลื่อนอีกต่อไป แต่จะต้องเร่งปลุกกระแส “อุดมการณ์” ให้เกิดขึ้น ด้วยการสร้างความเกลียดชัง “กองทัพ-ทหาร” และอำนาจรัฐประหารให้จงได้
      
       นี่คือเป้าหมายสำคัญของคนกลุ่มนี้!
      
       ดังนั้นเมื่อบรรดาแกนนำหลายคนที่ไม่ยอมมารายงานตัวและหลบหนีคำสั่ง คสช.ต่างก็มีการส่งสัญญาณและไปรวมพล ณ ที่แห่งหนึ่ง ดึงยุทธศาสตร์สำรองมาใช้เพราะพวกเขาวิเคราะห์สถานการณ์ตั้งแต่ช่วงที่มีการต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ช่วง 6 เดือนตลอดมาจึงเชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์มีโอกาสเพลี่ยงพล้ำได้แน่
      
       “จรัล มีความเชื่อ ความคิดแบบนี้ บอกกล่าวกันว่าถึงที่สุดก็ต้องไปสร้างขบวนการใต้ดิน จึงจะเคลื่อนไหวได้สะดวก จึงเป็นที่มาขององค์กรเสรีไทยฯ” แหล่งข่าวเล่าถึงการพูดคุยกับ จรัล ดิษฐาอภิชัย
      
       ใช้คนแค่ 5 พัน-1 หมื่นสู้ “บิ๊กตู่”
      
       แหล่งข่าวบอกว่า องค์กรเสรีไทยฯ จะทำงานใต้ดิน มีการเคลื่อนไหวที่ “ลึกซึ้ง” ที่จะทำให้ คสช.ประเมินการเคลื่อนไหว ผลุบๆ โผล่ๆ ตรงไหนได้ค่อนข้างลำบาก เพราะจะมีต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะเป็นการประสานระหว่างต่างประเทศ และในประเทศไทยไปพร้อมๆ กัน และการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสรีไทย จะต่างกับกลุ่มคนเสื้อแดง ภายใต้แกนนำอย่างนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์
      
       “เสรีไทย ก็เป็นฮาร์ดคอร์ แต่การเคลื่อนไหวจะไม่เหมือนกัน นปช.เดิมซึ่งพูดจาก้าวร้าว มีการใช้กำลังเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่อันนี้จะสุขุมลุ่มลึก ใช้อุดมการณ์ เป็นตัวจักรสำคัญ ที่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายให้คนเห็นดี เห็นชอบ เกลียดชังทหาร”
      
       ส่วนผู้ที่เปิดตัวขณะนี้ สังคมอาจจะเห็นแค่ นายจารุพงศ์ กับนายจักรภพ แต่ข้อเท็จจริงแล้วยังมีอีกหลายคนที่อยู่ในระดับแกนนำ เพื่อเชื่อมต่อเป้าหมายให้ได้แนวร่วมในระดับ 5,000-10,000 คน ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนไหวง่ายขึ้นทั้งในเมืองและต่างจังหวัดในเวลาเดียวกัน เพราะหากมีคนจำนวนมากไปกว่านี้ จะควบคุมได้ยากและทำให้ความลับรั่วไหลได้ง่ายเช่นกัน
“องค์กรเสรีไทย” เปิดแนวรบสู้ “บิ๊กตู่” ล้างสมอง “เยาวชน” เกลียดชัง “ท็อปบูต”
นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณและนายจักรภพ เพ็ญแข แกนหลักขับเคลื่อนองค์กรเสรีไทย
      
       แหล่งข่าวบอกว่า ในต่างประเทศนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคดีอาญาพัวพันคดีทุจริตคอร์รัปชัน และนายจักรภพ ซึ่งมีความผิดข้อหาหมิ่นเบื้องสูงตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีการเคลื่อนไหวประสานกลุ่มต่างๆ ไว้แล้ว เนื่องจากทั้ง 2 คนต้องระหกระเหินมาอยู่ต่างประเทศเป็นเวลาหลายปี และก็รู้ว่าเป็นการยากที่จะกลับเข้าประเทศไทยโดยไม่ถูกดำเนินคดี และเมื่อเขาเลือกที่จะสู้แล้ว จึงหาทุกๆ ช่องทางที่จะทำให้สิ่งที่เขาคิดไว้บรรลุผล
      
       องค์กรเสรีไทย จึงเป็นช่องทางเดียวในเวลานี้ที่น่าจะทำได้ ส่วนจะนำไปสู่รัฐบาลพลัดถิ่นได้หรือไม่นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และแกนนำ คงต้องใช้เวลานานจึงจะก้าวสู่ตรงนั้น
      
       เดินหน้ามุ่งสู่ยุโรป
      
       อย่างไรก็ดี ผู้ที่มีบทบาทในองค์กรเสรีไทยฯ นั้น คนเดือนตุลาฯ บอกว่า ต้องยกให้ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย กับนายสุนัย จุลพงศธร ที่มีการผนึกพลังกันเคลื่อนไหวมาเป็นเวลาปีกว่าแล้ว ซึ่งนายจรัลนั้น มีจุดแข็งตรงที่เป็นคนที่สามารถเชื่อมต่อได้ทั้งในและต่างประเทศ ด้วยประสบการณ์การทำงานมวลชนในเขตเหนือ อีสาน ต่อไปยังประเทศลาว
      
       โดยในช่วงหลังเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาฯ นายจรัลซึ่งเป็นแกนนำนักศึกษาและเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยอาวุธกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ด้วยการเดินทางเข้าไปทางเขตฐานที่มั่นเขาค้อ-ภูหินร่องกล้า จากนั้นถูกส่งไปยังฐานที่มั่นน่านเหนือ ร่วมกับกลุ่มปัญญาชนปฏิวัติคนอื่นๆ และจากจุดนี้ทำให้เขามีสหาย เหนือ อีสาน และฝั่งลาวที่เคยร่วมอุดมการณ์มาด้วยกัน และเป็นจุดสำคัญที่มีการบอกกล่าวกันว่าเขาใช้เส้นทางที่ประเทศเพื่อนบ้านที่เขาคุ้นเคยต่อเครื่องบินไปยังประเทศทางยุโรปซึ่งมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ฝรั่งเศส ที่จรัลคุ้นเคยอยู่แล้ว ในช่วงที่เขาออกจากป่า ก็บินไปเรียนต่อด้านประวัติศาสตร์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะบินกลับมาทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
“องค์กรเสรีไทย” เปิดแนวรบสู้ “บิ๊กตู่” ล้างสมอง “เยาวชน” เกลียดชัง “ท็อปบูต”
นายจรัล ดิษฐาอภิช้ย อีกหนึ่งแกนนำที่ขับเคลื่อนองค์กรเสรีไทย
      
       แหล่งข่าวบอกอีกว่า หลังเขากลับจากปารีสและมาทำงานด้านสิทธิมนุษยชนนั้น ถือว่าเขากลับเข้ามาสู่เส้นทางนักเคลื่อนไหวจากป่าสู่เมือง และเป็นการสร้างฐานมวลชนในเมืองได้เป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งมาจากหน้าที่การงานที่เขาทำมีส่วนหนุนในฐานะประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.), กรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.), กรรมการวางแนวปฏิบัติและแผนแม่บททางด้านสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, กรรมการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ที่ปรึกษาคณะกรรมการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเขายังเป็นแกนนำชุดแรกของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นต้น
      
       “มีการเคลื่อนไหวจัดตั้งในเขตเมืองเป็นทางลับมายาวนาน ในภาคเหนือ อีสานและภาคกลาง ด้วยนิสัยเขาสุขุม เงียบๆ ไม่ได้โฉ่งฉ่างเหมือนสุนัย จึงระดมคนสร้างแนวคิดได้ดี”
“องค์กรเสรีไทย” เปิดแนวรบสู้ “บิ๊กตู่” ล้างสมอง “เยาวชน” เกลียดชัง “ท็อปบูต”
นายสุนัย จุลพงศธร ผู้ร่วมกับเคลื่อนองค์กรเสรีไทย
      
       ส่วนนายสุนัย แม้จะเป็นนักกิจกรรม แต่ก็เป็นการเดินแบบนักการเมืองเพราะเส้นทางชีวิตของสุนัย ก็อยู่ในสายการเมืองโดยตรง จึงมีการเดินสายแลกเปลี่ยน เปิดเวที และสานสัมพันธ์กับกลุ่มเสื้อแดง ทั้งในประเทศและต่างประเทศมาโดยตลอดเช่นกัน
      
       ขณะที่นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คนนี้อาจไม่โดดเด่นในสายตาของคนเดือนตุลาฯ ในการที่จะเข้ามาเป็นแกนนำในการทำงานใต้ดิน แต่คนเดือนตุลาฯ ก็เชื่อกันว่าด้วยศักยภาพและสายสัมพันธ์ตั้งแต่รุ่นพ่อ คือ จารุบุตร เรืองสุวรรณ อดีตประธานวุฒิฯ อดีตประธานรัฐสภา และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดขอนแก่น 5 สมัย ที่มีฐานมวลชนในแถบอีสาน เหนือ บวกกับตัวนายจารุพงศ์ ที่เป็นข้าราชการฝ่ายปกครองและเข้ามาทำงานการเมืองในมุ้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ หลายปี ก็จะสามารถนำพาองค์กรเสรีไทยฯ ก้าวไปสู่จุดสำเร็จได้
      
       ส่วนนายจักรภพก็มีความโดดเด่น เป็นตัวของตัวเองสูง มีความรู้ ความสามารถ มีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง และทำให้ดูเหมือนว่าแยกกันเดินกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ดีกว่าบรรดาแกนนำคนเสื้อแดง
      
       “จักรภพ ในสายตาคนเดือนตุลาฯ เขาเป็นตัวของตัวเองสูง มีความเป็นผู้นำได้ และดูไม่ใช่ซุกอยู่ใต้ปีกทักษิณ เหมือนจตุพร ณัฐวุฒิ แรมโบ้ โกตี๋ ซึ่งปฏิบัติกับทักษิณเสมือนเป็นแนวร่วม ไม่ใช่ทักษิณเป็นหัวหน้าเขา”
      
       อย่างไรก็ดี ในการเคลื่อนไหวขององค์กรเสรีไทยฯ นั้น แหล่งข่าวย้ำว่าจะมีโครงสร้างที่ชัดเจน คือองค์กรเสรีไทยฯ จะเป็นองค์กรหลัก และมีแนวร่วมที่เปรียบเสมือนแขนขาที่สามารถสื่อสาร ติดต่อเชื่อมโยงกันได้ทั้งหมด ทั้งพรรคเพื่อไทย, นปช., มูลนิธิกระจกเงา, รากหญ้า (ชาวนา), นักวิชาการ, นักศึกษาและเยาวชน เป็นต้น
      
       “เขาจะหาวิธีสื่อไปยังคนที่ไม่ชอบการรัฐประหาร โดยผ่านแนวร่วมที่ถูกกำหนดประมาณ 5 พันถึง 1 หมื่น เพื่อการดูแลได้ง่าย ความลับจะต้องไม่รั่วไหล”
      
       แค่ 100 ล้านปลุก “อุดมการณ์” เกลียดทหาร
      
       อีกทั้งข้อดีการเคลื่อนไหวในรูปองค์กรเสรีไทยฯ นั้น แหล่งข่าวบอกว่า ใช้งบประมาณน้อย เพียงแค่ 100 ล้านบาท ก็จะสามารถอยู่ได้นานหลายปี ไม่เหมือนกับการทำมวลชนแบบแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะมีค่าใช้จ่ายสูงมากทั้งค่าใช้จ่ายรายหัวผู้ที่เข้ามาร่วมชุมนุมในแต่ละครั้ง ค่าจัดกิจกรรมต่างๆ ค่าเวที ค่าอาหาร ที่ใช้เงินสูงเป็นหลักหลายร้อยล้านในแต่ละครั้ง และยังทำให้ความลับก็รั่วไหลได้ง่าย และคนที่จะมาเข้าร่วมในองค์กรเสรีไทยเวลานี้จะอยู่ที่คำว่า “อุดมการณ์” เป็นหลัก!
      
       “ดูให้ดีองค์กรเสรีไทยฯ ไม่ได้เริ่มต้นนับหนึ่ง แต่เขาสามารถสวมได้เลยจากกลุ่มมวลชนที่มีอยู่ พูดง่ายๆ เหมือน นปช.เปลี่ยนหัว คือเอา จารุพงศ์ จักรภพ ไปสวมแทน จตุพร ณัฐวุฒิ เปลี่ยนแนวทางการเดินด้วยการมุดลงใต้ดินแทนการสู้บนดิน แถลงการณ์ฉบับที่ 1 ของเสรีไทย ก็เป็นการป่วน คสช.ได้เหมือนกัน”
      
       ดังนั้นไม่ว่าองค์กรเสรีไทยฯ จะเคลื่อนไหวอย่างไร ทาง คสช.ก็ไม่สามารถรู้ได้ จนกว่าสิ่งต่างๆ จะถูกสื่อออกไปถึงมวลชน คือรู้พร้อมๆ มวลชนนั่นเอง
“องค์กรเสรีไทย” เปิดแนวรบสู้ “บิ๊กตู่” ล้างสมอง “เยาวชน” เกลียดชัง “ท็อปบูต”
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคชส.ที่ตกเป็นเป้าหมายต่อต้านขององค์กรเสรีไทย
      
       แหล่งข่าวบอกว่า การเดินขององค์กรเสรีไทยฯ จากนี้ไปก็คือการใช้ขบวนการแนวร่วมจากภายนอกเป็นตัวเสริมให้เป็นพลังขับเคลื่อน โดยเฉพาะการสื่อไปยังคนที่มีอุดมการณ์ไม่ชอบรัฐประหาร ซึ่งไม่ใช่แนวร่วมทางตรงแบบ นปช. มูลนิธิกระจกเงา พรรคเพื่อไทย แต่จะเป็นแนวร่วมที่เป็นพลังบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยอุดมการณ์ ซึ่งหมายถึงพลังเยาวชนคนรุ่นใหม่ พลังนักศึกษา ที่ต่างเชื่อว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยคืออะไร
      
       “อุดมการณ์ในแนวคิดของคนกลุ่มนี้ มันไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่มันลึกลงไปก็คือความเกลียดชังทหาร รัฐประหาร เผด็จการ ซึ่งอาจไม่ใช่ตัวตนชัดเจน แต่มันคือชุดความคิดที่ว่า สร้างอุดมการณ์ที่เกลียดชังทหาร ต่อต้านทหารได้สำเร็จ จะไปได้ไกล และนั่นคือประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ของพวกเขา”
      
       ดังนั้นถ้าสามารถก้าวไปสู่การสร้าง “อุดมการณ์” ให้บรรลุในสังคมได้แล้ว “ทหาร” ก็ไม่สามารถใช้อำนาจที่มีอยู่เข้ามาทำการปฏิวัติ รัฐประหารได้อีกต่อไป
      
       ยุทธวิธีแยกกันรบ “ใต้ดิน-บนดิน”
      
       ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้น แหล่งข่าวบอกว่า วันนี้พรรคก็ต้องเดินไปตามบทบาทและหน้าที่ในฐานะพรรคการเมือง จัดทำยุทธศาสตร์พรรค ดูแลสมาชิกพรรค ดูแลมวลชนของพรรค เดินตามเงื่อนไขที่ คสช.กำหนด และต้องเตรียมความพร้อมหาก คสช.ก้าวสู่วาระที่ 3 ตามโรดแมปที่กำหนดไว้ คือจัดให้มีการเลือกตั้ง พรรคก็พร้อมที่จะลงเลือกตั้งเช่นกัน
      
       “ที่พรรคปฏิเสธไม่เกี่ยวข้องกับจารุพงศ์และจักรภพ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ใครจะบ้าไปบอกว่าสนับสนุน รู้เห็น ก็ถูกยุบพรรคเพื่อไทยน่ะซิ หรือใครว่าไม่จริง เราถูกยุบพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน และกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีกันมาแล้ว เราคงไม่ยอมให้ซ้ำรอยเดิม”
      
       ทุกคนในพรรคเพื่อไทยจึงต้องระมัดระวังในการทำงานการเมืองเป็นอย่างมาก เพื่อไม่ให้ คสช.พุ่งเป้ามาที่พรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้พรรคเพื่อไทยแข็งแกร่ง มีโอกาสชนะการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในครั้งต่อไป
      
       “ยุทธศาสตร์ของเราก็คือ แยกกันเดินร่วมกันตี สู้ใต้ดินเป็นเรื่ององค์กรเสรีไทยฯ กับแนวร่วม สู้บนดินตามกติกาก็เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทยที่ต้องก้าวไปสู่เป้าหมายชนะการเลือกตั้งให้ได้ โดยปลุกอุดมการณ์ให้ไปสู่ความสำเร็จไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้ แต่ต้องก้าวต่อไป”
      
       ดังนั้น จากนี้ไปต้องจับตาดูว่า องค์กรเสรีไทยฯ จะผุดแถลงการณ์ฉบับที่ 2, 3, 4, 5.......ออกมาอย่างไร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.จะดำเนินการกับบุคคลเหล่านี้อย่างไร?

นายกฯเตือนนักศึกษา ต้องหลาบจำ ศาลเมตตาปล่อยตัวแล้ว เตือนสื่ออย่าจุดชนวน

นายกฯเตือนนักศึกษา ต้องหลาบจำ ศาลเมตตาปล่อยตัวแล้ว เตือนสื่ออย่าจุดชนวน เปรียบประเทศไข้ลด แต่ยังไม่หาย เขื้อโรคมารุมเยอะ อย่ากินยาผิดซอง
พลเอก ประยุทธ์ เปรียบประเทศ เวลานี้ ไข้ลดลง แต่ยังไม่หาย ถ้าให้ยาผิดซอง เชื้อโรคมากันเยอะ รอทิ่มตำ อยู่รอบๆ เรื่องนักศึกษาอีกแต่นี่ศาลทหารให้ปล่อยตัว14นศ.แล้วแต่กม.ศาลเมตตา แต่ต้องคิดว่า จะได้อีกมั้ย หลักการกม.ต้องมีหลาบจำ เพราะมันคือกม. จะบอกว่ากม.กว่า300ฉบับไม่ถูกต้องงั้นหรือ อย่าดื้อรั้น
ขอร้อง เพราะอาจมีพวกสนับสนุนออกมา จะให้ตีกันอีก สื่อก็อย่าจุดชนวน สื่อมีส่วนสำคัญ 50% เลยนะ คนเสพสื่อมาก เหมือนสื่อเป็นผู้นำ ผมไม่เท่าไหร่ ผมเดินหน้า 4-5งาน เวลากลับบ้านไปนอน ก็คิดว่าเราทำอะไรสำเร็จบ้าง ไม่คิดเป็นศัตรูใคร เราเป็นคนไทย ด้วยกัน ขอเก็บอาฆาตเกลียดชังไว้
ขอสื่อ เสนอข่าว สองฝ่าย เป็นกลาง มีจรรยาบรรณ เพราะถ้าเสนอทางนั้นที ทางนี้ที บ้านเมืองเป็นแบบนึ้ พวกท่านรับผิดชอบกันเอง ถ้ามันบานอีกที อย่าคิดว่า เป็นเรื่องสนุก จะเอายังไงกับผม ก็ว่ามา อย่างมาก วันหน้าผมเลิกทำ ก็อยู่กันไปอย่างนี้


"บิ๊กตู่"ลั่นแผนซื้อ"เรือดำน้ำ"มีไว้ให้น่าเกรงใจไม่ได้ไปรบกับใคร ซื้อมากว่าจะผ่อนหมดเรือผุไปเเล้ว

"บิ๊กตู่"ลั่นแผนซื้อ"เรือดำน้ำ"มีไว้ให้น่าเกรงใจไม่ได้ไปรบกับใคร ซื้อมากว่าจะผ่อนหมดเรือผุไปเเล้ว

Prev
1 of 1
Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 07 ก.ค. 2558 เวลา 15:50:59 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7 ก.ค. 2558) เวลา 14.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเเละหัวหน้าคณะรักษาความสงบเเห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมร่วมระหว่างคณรัฐมนตรี โดยได้ตอบคำถามกรณีที่กระทรวงกลาโหมจะเสนอให้จัดซื้อเรือดำนำจำนวน 3 ลำ จากประเทศจีน งบประมาณทั้งสิ้น 3.6 หมื่นล้าน โดยผู้สื่อข่าวถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่า นายกฯคิดว่าประเทศไทยจำเป็นต้องซื้อเรือดำน้ำหรือไม่ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มันเป็นเรื่องแผนงานพัฒนากองทัพ อย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องว่ามันจำเป็นหรือไม่จำเป็น ต้องมองว่ากองทัพเขาต้องมีแผน 10 ปี 20 ปี ที่มองไปล่วงหน้า เป็นเรื่องกันมานานแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นต้องดำเนินการภายในรัฐบาลนี้หรือไม่ พล.ประยุทธ์ กล่าวตอบว่า ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องของรัฐบาลนี้ตอนนี้มันยังอยู่ในขั้นตอนของเขา (กองทัพ) เขาก็กำหนดความต้องการของเขามาว่าจะยังไง มีที่ไหน เป็นเรื่องภายในของเขา ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ซื้อสักลำเลย จะอะไรกันหนักหนา ทำไมต้องโยงกันไปหมด โยงรถไฟโน่นนี้  งั้นตนก็ไม่ต้องทำอะไรเลยนะ อยู่เฉย ๆ ดีกว่า

"เขาก็กำลังอยู่ในกระบวนการของเขา จะซื้อหรือไม่ซื้อ เขาก็พูดให้ฟัง มันเป็นเรื่องภายในเป็นแผนกองทัพ 10-20 ปี แผนปฎิรูปกองทัพก็มี แผนปฎิรูปตำรวจก็มี ปฎิรูปข้าราชการมีหมด แล้วถามว่าปฎิรูปการเมืองน่ะมีไหม ไม่เคยทำหรอก มีแต่อยากใช้อำนาจ แล้วก็ใช้อำนาจกันเหมือนที่ผ่านมา ต้องรอดู ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอน ถ้ามันซื้อได้ ต้องไปพิจารณาว่ามันจำเป็นที่ต้องซื้อไหม มีไว้เพื่ออะไร จะมีไว้เพื่อรบกับใครหรือไม่รบกับใคร จะเอาไว้ที่ไหน ทะเลอ่าวไทย ทะเลอันดามันต้องได้รับการพิทักษ์ทรัพยากรทางทะเลหรือไม่ ไม่ได้มีเพื่อไปรบไปยิงใคร"

"..ไม่ได้เอาไว้จะไปรบกับใคร มีไว้ให้เกรงใจ จะรักษาการเดินเรืออย่างไร การประมงอย่างไร ทะเลอื่นเขาก็มีปัญหากันอยู่ วันหน้าเราจะไม่มีปัญหาหรือไง เป็นการแสดงศักยภาพแค่นั้นเอง ถ้ามีก็ใช่ว่าจะใช้วันนี้ ผ่อนกันไม่รู้อีกกี่ปี กว่าจะผ่อนเสร็จ เรือผุไปหมดแล้ว"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การจะซื้อเรือดำน้ำจากจีน ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่ นายกรัฐมนตรีตอบว่า ไม่จำเป็นต้องซื้อกับเขาหรอก ไทยกับจีนก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอยู่เเล้ว เเละตอนนี้ตนดีกับทุกประเทศทั่วโลก เว้นแต่ติดคำว่าประชาธิปไตย คำเดียว ตนแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของตนที่พร้อมจะดีกับทุกประเทศ  

เรือดำน้ำจีน "ถูกและดี" แต่มีคำถามเรื่องความจำเป็น?

เรือดำน้ำจีน "ถูกและดี" แต่มีคำถามเรื่องความจำเป็น?

เขียนวันที่
วันอังคาร ที่ 07 กรกฎาคม 2558 เวลา 08:00 น.
เขียนโดย
ทีมข่าวอิศรา
เปิดสมรรถนะเรือดำน้ำจากจีนมูลค่า 36,000 ล้านบาทที่กองทัพเรือมีมติจัดซื้อ และเตรียมเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ชี้เทคโนโลยีทันสมัยสุดๆ อยู่ใต้น้ำได้นานถึง 21 วัน แต่ยังมีคำถามเรื่องความจำเป็นและระดับภัยคุกคามถึงขนาดต้องมีเรือดำน้ำเข้าประจำการหรือไม่ 
submarine
          เรือดำน้ำ 3 ลำที่กองทัพเรือเสนอให้จัดซื้อเข้าประจำการนั้น มีรายงานว่าเป็นรุ่น Yuan Class S-26T มีระวางขับน้ำ 2,600 ตัน ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ติดตั้งระบบ Air Independent Propulsion system หรือ AIP ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ทำให้อยู่ใต้น้ำได้ต่อเนื่องถึง 21 วันโดยไม่ต้องขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อชาร์จไฟ นับว่าเป็นรุ่นที่อยู่ใต้น้ำได้นานที่สุดของเรือดำน้ำที่ไม่ได้ใช้ระบบนิวเคลียร์เป็นพลังงาน ขณะที่เรือดำน้ำปกติจะดำน้ำได้นาน 7-10 วันเท่านั้น
          ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านยุทโธปกรณ์ ระบุว่า เรือดำน้ำรุ่น รุ่น Yuan Class S-26T พัฒนาเป็นพิเศษขึ้นจากคลาสปกติของ Yuan ซึ่งไม่ได้ติดตั้ง ขีปนาวุธต่อต้านเรือ หรือ ASM (Anti-Ship missile) แต่เรือดำน้ำที่ไทยเตรียมสั่งต่อขึ้นเป็นพิเศษนั้น จะมีระบบ ASM รวมอยู่ด้วย
วัดขุมกำลังเรือดำน้ำเพื่อนบ้านอาเซียน
          เมื่อนำสมรรถนะของเรือดำน้ำที่กองทัพเรือเตรียมจัดซื้อมาศึกษาเปรียบเทียบกับเรือดำน้ำที่มีประจำการของประเทศในกลุ่มอาเซียนรอบบ้านไทย พบว่า เรือดำน้ำที่กองทัพเรือเสนอจัดซื้อ มีสมรรถนะดีที่สุด และราคาอยู่ในระดับยอมรับได้ กล่าวคือ
          มาเลเซีย ใช้เรือดำน้ำรุ่นสกอร์เปี้ยน สามารถยิงขีปนาวุธต่อต้านเรือได้ แต่ไม่มีระบบ AIP 
          อินโดนีเซีย ใช้เรือดำน้ำ Chang Bogo-class รุ่น DW1400 ยิงขีปนาวุธต่อต้านเรือ หรือ ASM ไม่ได้ และยังไม่มีระบบ AIP ด้วย 
          สิงคโปร์ ใช้เรือดำน้ำที่สั่งต่อเอง รุ่น 218 SG ยิง ASM ไม่ได้ แต่มีระบบ AIP
          เวียดนาม ใช้เรือดำน้ำที่ซื้อจากรัสเซีย คลาส Kilo สามารถยิงขีปนาวุธต่อต้านเรือได้ แต่ไม่มีระบบ AIP
          จากข้อมูลดังกล่าว ถือว่าในแง่สมรรถนะและราคา อาจไม่ใช่ปัญหาของการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ แต่ประเด็นที่ถูกตั้งคำถาม คือ ความเหมาะสมและจำเป็นของการจัดหาเรือดำน้ำเข้าประจำการในห้วงเวลานี้
จีนชงขายเรือดำน้ำระหว่างเยือนไทย
          เปิดเส้นทางกว่า 2 ทศวรรษโครงการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือ คาดประสบความสำเร็จได้เสริมเขี้ยวเล็บทางทะเลสมใจในยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบ
          โครงการจัดหาเรือดำน้ำ 3 ลำของกองทัพเรือที่เตรียมขออนุมัติคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน วงเงิน 36,000 ล้านบาทนั้น แม้กองทัพเรืออ้างว่าได้มีการตั้งคณะกรรมการ 17 คนเพื่อศึกษาเปรียบเทียบเรือดำน้ำของ 5 ประเทศ  คือ จีน เกาหลีใต้ รัสเซีย เยอรมนี และสวีเดน กระทั่งคณะกรรมการเสียงข้างมากมีมติให้จัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน Yaun class รุ่น S-26T และ พลเรือเอกไกรสร จันทร์สุวาณิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมาก็ตาม

          ทว่าจากการตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีย้อนหลัง พบว่าเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2558 คณะรัฐมนตรีได้รับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของมนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ ตามที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนอ
          มติคณะรัฐมนตรีตอนหนึ่ง ได้รับทราบข้อเสนอของมนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างการเข้าเยี่ยมคำนับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยเสนอให้มีการฝึกผสมระหว่างกองทัพอากาศ และเพิ่มการฝึกระหว่างนาวิกโยธินให้มากยิ่งขึ้น โดยเน้นการฝึกทางทะเลและการยกพลขึ้นบก พร้อมเสนอความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเกี่ยวกับโครงการจัดหาเรือดำน้ำชั้น (คลาส) S-26T ให้กับกองทัพเรือ และพร้อมให้การสนับสนุนโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ของฝ่ายไทยในราคาที่เหมาะสม เช่น เครื่องบินและรถถัง เป็นต้น
          จากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ทำให้เห็นว่าโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนนั้น พลเอกประวิตร ทราบเรื่องมาโดยตลอด และยังให้สัมภาษณ์สนับสนุนหลังจากผู้บัญชาการทหารเรือแถลงมติการจัดซื้อด้วย ฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าเมื่อโครงการนี้ถูกนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี จะได้รับความเห็นชอบอย่างแน่นอน แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณของประเทศบางหน่วยจะทำความเห็นคัดค้าน เพราะเห็นว่าจะเป็นภาระกับงบประมาณในระยะยาว และสถานการณ์ภัยคุกคามทางทะเลของไทยยังไม่มีความจำเป็นถึงขั้นต้องจัดหาเรือดำน้ำเข้าประจำการก็ตาม
ลูกประดู่รอเรือดำน้ำกว่า 2 ทศวรรษ
          สำหรับเส้นทางการจัดหาเรือดำน้ำเข้าประจำการเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บทางทะเลของไทยนั้น กองทัพเรือเสนอโครงการจัดหาเรือดำน้ำครั้งแรกตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปัจจุบันนับรวมเวลาถึง 21 ปี ซึ่งตลอดมามีความพยายามจัดหาเรือดำน้ำทั้งจากเยอรมนี สวีเดน และประเทศอื่นๆ จำนวน 1 ลำบ้าง 2 ลำบ้าง แต่ก็ติดปัญหาเรื่องงบประมาณ และกระแสสังคมที่คัดค้านในแง่ของความจำเป็น รวมถึงระดับภัยคุกคามทางทะเลของไทยซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เรือดำน้ำ
          18 กันยายน 2555 คณะรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีมติให้ชะลอโครงการออกไปอย่างไม่มีกำหนด ทำให้เรื่องเงียบหายไประยะหนึ่ง
          กระทั่งมาถึงยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. มีความพยายามผลักดันโครงการจัดหาเรือดำน้ำอีกครั้ง โดยรัฐบาลจีนเสนอขายเรือดำน้ำ Yuan class รุ่น S-26T ระหว่างที่รัฐมนตรีกลาโหมของจีนเดินทางเยือนไทยระหว่างวันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ 2558 จากนั้นคณะรัฐมนตรีได้รับทราบเรื่องนี้เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2558
คลังทักท้วง - จีนแถม 1 ลำ?
          ต่อมากระทรวงกลาโหม ได้มีหนังสือลับมาก ด่วนมาก ลงวันที่ 17 มีนาคม 2558 สอบถามความเห็นของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ปรากฏว่ากระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. และสำนักงบประมาณ ได้มีหนังสือลงวันที่ 26 มีนาคม 27 มีนาคม และ 17 เมษายน 2558 ตามลำดับ ตั้งข้อสังเกตถึงความเหมาะสมจำเป็นของโครงการ พร้อมข้อกังวลเรื่องภาระงบประมาณที่ต้องใช้จำนวนมาก และผูกพันนาน 7-10 ปี
          อย่างไรก็ดี ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2558 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ และเลขาธิการสภาพัฒน์ ได้เสนอความเห็นต่อที่ประชุมเพิ่มเติมว่า ทั้งกระทรวงการคลังและสภาพัฒน์ไม่ขัดข้องให้กองทัพเรือศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ โดยใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท ทำให้คณะรัฐมนตรีมีมติยกเลิกมติคณะรัฐมนตรียุครัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่สั่งชะลอโครงการ
          จากนั้นวันที่ 29 เมษายน กระทรวงกลาโหมได้ทำหนังสือเรื่องโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ เตรียมเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี โดยแนบความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพร้อมกันด้วย โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำที่กระทรวงกลาโหมเสนอเรื่องนั้น เป็นการจัดซื้อเพียง 2 ลำ ไม่ใช่ 3 ลำตามที่กองทัพเรือแถลงในภายหลัง โดยมีรายงานว่ากองทัพเรือชี้แจงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า งบจัดซื้อ 36,000 ล้านบาทนั้น เดิมจัดซื้อได้เพียง 2 ลำ แต่รัฐบาลจีนเสนอให้ 3 ลำโดยใช้งบประมาณเท่าเดิม เท่ากับรัฐบาลจีนลดราคาให้ถึง 12,000 ล้านบาท
          สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 เมษายนนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการคลัง และสภาพัฒน์ ต่างยืนยันว่าที่ประชุมมีมติเพียงให้กองทัพเรือศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเท่านั้น ยังไม่ได้อนุมัติให้จัดซื้อ พร้อมข้อสังเกตเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปะการัง ขณะที่การจัดซื้อเรือดำน้ำ จนถึงขณะนี้ยังไม่มีบรรจุในรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2559 ที่อยู่ระหว่างจัดทำ
          นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐฒนตรีเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2558 มีมติให้กองทัพเรือไปศึกษาความเหมาะสมของโครงการ ยังไม่ได้อนุมัติให้จัดซื้อ หากกองทัพเรือจะจัดซื้อ ก็ต้องเสนอโครงการเข้ามาให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอเรื่องต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ส่วนจะใช้งบกลางในการจัดซื้อหรือไม่ ต้องดูวิธีการจัดซื้อว่าจะใช้วิธีไหน แต่ขณะนี้กองทัพเรือยังไม่ได้เสนอเรื่องเข้ามา
เรือดำน้ำ...จำเป็นจริงหรือ?
          นักวิชาการและหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ไม่ใช่ทหาร เห็นตรงกันว่าสถานการณ์รอบบ้านไทยในขณะนี้ ยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องจัดซื้อเรือดำน้ำเข้าประจำการ
          ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับบีบีซีไทย ว่า การมีเรือดำน้ำของไทยไม่ช่วยตอบโจทย์ด้านความมั่นคง เนื่องจากไทยไม่ค่อยมีข้อพิพาททางทะเลโดยตรง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีเรือดำน้ำอยู่แล้ว ซึ่งเผชิญกับปัญหาหมู่เกาะสแปรดลีย์ ขณะที่บางประเทศมีความจำเป็นด้านภูมิศาสตร์ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือเวียดนาม แต่ไทยไม่มีความจำเป็นในแง่นี้
          ขณะที่หน่วยงานความมั่นคงที่ไม่ใช่ทหาร ประเมินว่าไทยยังไม่มีความจำเป็นต้องจัดหาเรือดำน้ำมาประจำการในขณะนี้ ด้วยเหตุผลคือ 
          1.ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ไม่เกี่ยวกับไทย 
          2.ความจำเป็นด้านความมั่นคงที่กองทัพเรือต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม หรือปัญหาโจรสลัด ขบวนการค้ามนุษย์ ที่มาทางเรือ ซึ่งใช้เรือรบบนผิวน้ำก็เพียงพอ 
          3.ประเทศที่เป็นศัตรูหรืออาจเป็นศัตรูของไทยในอนาคตยังไม่มี หรือถ้ามีก็เป็นประเทศที่ไม่มีศักยภาพทางทะเล 
          4.เขตอธิปไตยไทยมีสองฝั่ง คือ ด้านอ่าวไทยกับอันดามัน ความจำเป็นในการใช้กำลังทางเรือจึงควรเป็นเรือตรวจการณ์ เรือฟริเกตมากกว่า 
          5.ความจำเป็นต้องร่วมกับพันธมิตรในการทำสงครามทางทะเลยังไม่มี เพราะมีนโยบายวางตัวเป็นกลาง 
          และ 6.ในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า ยังไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าจะเกิดสงครามทางทะเลในอาเซียน ในทางกลับกันอาเซียนกำลังจะรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ถือเป็นสถานการณ์เชิงบวกว่าทุกประเทศจะไม่สู้รบกัน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณ : ขอบคุณภาพเรือดำน้ำ Yuan class จากเฟซบุ๊ค Pat Hemasuk https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1054372221273055&set=a.112655038778116.6787.100001008622491&type=1&theater ซึ่งนำมาจากสำนักข่าวชิงหัวของจีน