สืบเนื่องจากกรณีที่ “สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม” สื่อมวลชนอาวุโส ได้มีแนวคิดจัดทำโครงการขับเคลื่อนสังคมไทยด้วยประชาธิปไตยภายใต้จารีตประเพณีวิถีไทยโดยใช้ชื่อว่า“สถาบันทิศทางไทย” ซึ่งจะเป็นการรวมตัวกันของเหล่าบรรดานักคิด นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ และผู้มีความรู้ ความสนใจ เพื่อเพิ่มช่องทางเลือกตัว ให้กับคนรุ่นใหม่ หรือผู้ที่ส่วนใจ สำหรับการเป็นประชาธิปไตย ที่ไม่ได้หลงลืมรากเหง้าของตนเอง โดยไม่มีเจตนาให้เป็นองค์กรสู้รบทางการเมืองหรือมีพรรคใดพรรคหนึ่งเป็นศัตรู
ล่าสุด ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในรายชื่อคณะกรรมการผู้ก่อตั้ง "สถาบันทิศทางไทย" ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว ระบุ... Manifesto (คำประกาศ) ของสถาบันทิศทางไทย / สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, สุวินัย ภรณวลัยและเวทิน ชาติกุล
(หนึ่ง) แลไปข้างหน้า ...
ในอีก 30 ปีต่อจากนี้ จำนวนประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 7, 536 ล้านคน มาเป็น 9,847 ล้านคน การคาดการณ์จำนวนประชากรในประเทศที่สำคัญ อินเดีย- 1,676 ล้านคน, จีน- 1,343 ล้านคน, สหรัฐ- 397 ล้านคน
ส่วนประเทศไทย จำนวนประชากรจะลดลงจาก 66.1 ล้านคน เป็น 62.6 ล้านคน อันเป็นผลมาจาก "คนมีลูกน้อยลง ครอบครัวหนึ่งเลือกที่จะมีลูกแค่ 1-2 คน หรืออาจจะไม่มีเลย", ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป, การวางแผนครอบครัว, ความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพ ฯลฯ
นอกจากนี้การพัฒนาการทางเทคโนโลยีใหม่ๆ ประเภท"คลื่นลูกที่สี่-คลื่นลูกที่ห้า" จะทำให้เกิดการ "ทำลายล้าง" (disruption) ทางสังคม/ เศรษฐกิจ/ การเมือง/ วิถีชีวิต ในสังคมไทยและสังคมอื่นๆทั่วโลก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตามการประมวลของ McKinsey Global Institute การ Disruption ทางเทคโนโลยี่ที่สำคัญจะเกิดในสาขาพื้นที่ดังต่อไปนี้
1. เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI), เทคโนโลยี Mobile Internet, เทคโนโลยี Automation of knowledge Work และ เทคโนโลยี Internet of Things (IOT)
จะส่งผลทำให้ การทำธุรกรรมการเงินผ่านอินเตอร์เน็ต, การตรวจโรคระยะไกล, ซอฟต์แวร์ “ฉลาด” ที่คิดวิเคราะห์ได้ สามารถวินิจฉัยโรคจากข้อมูลและอาการ ร่างคำฟ้อง และแนะนำเรื่องกฎหมาย, ตัวสินค้าทุกอย่างจะมี IP address เพื่อส่งข้อมูลสื่อสารกลับได้, สามารถประเมิน คุณภาพของดินจาก sensors ที่โรยไว้ ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค, ภาคการเงิน, ภาคสื่อ, ภาคกฏหมาย-ความยุติธรรม จะได้รับผลกระทบและต้องปรับตัว
2. เทคโนโลยี Advanced robotics และ Autonomous vehicles (drones)
จะทำให้เกิดหุ่นยนต์ผ่าตัดได้อย่างแม่นยำ, เกิดการทดแทนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม, รถยนต์ไร้คนขับ, การสำรวจที่มนุษย์เข้าไปไม่ได้, การสำรวจผลิตผลการเกษตรขนาดใหญ่ และ การสงคราม ทำให้ภาคแรงงาน ภาคอุตสาหกรรม ภาคความมั่นคง ต้องปรับตัว
3. เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล (Cloud technology) และ เทคโนโลยี Blockchain
จะทำให้เกิดระบบข้อมูลแบบอภิมหภาค (Big-Data) ของทุกๆเรื่อง และการเชื่อมต่อของเครือข่ายข้อมูลที่เข้าถึงตัวบุคคล มีความปลอดภัย และโปร่งใสมากขึ้น เช่น การตรวจสอบธุรกรรมการเงิน, การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ, การใช้เงินภาษีประชาชน จะส่งผลให้ ปัจเจกบุคคลมีอำนาจตรวจสอบเพิ่มขึ้น การสนับสนุนเสรีภาพ ประชาธิปไตยจะเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ
4. เทคโนโลยี Genomics
ที่สามารถปรับปรุงพัฒนายีนส์เพื่อรักษาโรค, พัฒนาพันธุ์สัตว์ พืช ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ส่งผลต่อภาคเกษตร ประมง ป่าไม้ รวมถึง การแพทย์
5. เทคโนโลยีพลังงาน แบบ Renewable
ที่สามารถ ผลิตไฟฟ้าจากแหล่งต่างๆที่ไม่มีวันหมด เช่นจากแสงแดด ลม คลื่น ส่งผลต่อภาคพลังงาน
อนึ่ง ที่ผ่านมาการกำหนดทิศทางของสังคม/การเมือง/ เศรษฐกิจโลก จะอยู่ในมือของผู้กุมอำนาจและครอบงำทางการเงินของอเมริกา ที่รู้จักกันในชื่อ Federal Reserve of New York สาขาหลักของ Federal Reserve Systems ที่พิมพ์เงินดอลล่าร์และดูแลความมั่นคงทางการเงินของสหรัฐ โดยมีผู้ถือหุ้นเป็น "เอกชน" 8 ตระกูลใหญ่ โดย 4 ตระกูลใหญ่อยู่ในอเมริกา (Goldman Sachs, Rockefellers, Lehmans และ Kuhn Loebs) และอีก 4 ตระกูลอยู่ในยุโรป (Rothshlics of Paris and London, Warburg of Hamburg, Lazards of Paris และ Isael Moses Seifs of Rome)
แต่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีแบบทำลายล้างครั้งนี้ได้ทำให้กลุ่มอำนาจทางการเงินที่เคยยึดกุมและครอบงำเศรษฐกิจโลกอยู่ จำต้องปรับเปลี่ยนดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต และจะขยายกรอบให้มากกว่าเพียงนโยบายการเงินและการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ โดยจะครอบรวมไปถึงตลาดทุนที่เป็นต้นตอของวิกฤติเศรษฐกิจ และ การเข้าไปควบคุมการผลิตเศรษฐกิจปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเสียเอง
ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มอำนาจทางการเงินกลุ่มนี้ ยังเตรียมนำเงินคริปโต (Cryptocurrency) อย่าง Libra มาทดแทนเงินดอลลาร์สหรัฐที่ใกล้จะล่มสลายในฐานะเงินสกุลหลักของโลก เพื่อครอบงำการเงินโลกสืบต่อไปอีกด้วย
พวกเรา, ชาวสถาบันทิศทางไทยแลเห็นแต่ "วิกฤตเชิงซ้อน" และ "การทำลายล้างระดับหายนะ" รออยู่เบื้องหน้า การจะขับเคลื่อนสังคมไทยให้อยู่รอดและรุดหน้าไปอย่างมั่นคงได้นั้น พวกเรานอกจากต้องเห็นป่าทั้งป่าแบบนักยุทธศาสตร์แล้ว พวกเรายังจำเป็นต้องตั้งโจทย์ให้ถูกและตีโจทย์ให้แตกด้วย ถึงจะสามารถนำพา "นาวาสยาม" ฝ่าพายุร้ายที่ตั้งเค้าอยู่เบื้องหน้า โดยเรือไม่ล่มจมใต้ท้องทะเลลึกได้
พวกเรา, ชาวสถาบันทิศทางไทย ได้ตั้งโจทย์หลัก 3 ข้อ โดยถือเป็นภารกิจทางประวัติศาสตร์ของสถาบันทิศทางไทย ดังต่อไปนี้
1. คนไทยทั้งประเทศต้องร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้กับ การครอบงำ-การผูกขาดของอำนาจทุนข้ามชาติ และอำนาจการเงินของทุนนิยมสามานย์โลก ที่สามารถบดขยี้ประเทศเล็กๆให้ล่มสลายหรือย่อยยับได้ เพียงเพื่อผลประโยชน์อันเห็นแก่ตัวของทุนนิยมสามานย์โลก ด้วยสถานะทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศไทยในปัจจุบัน ทำให้ประเทศของเราเป็นที่หมายปองของเหล่าประเทศมหาอำนาจที่กำลังแข่งขันช่วงชิงความเป็นจ้าวโลกกันอย่างดุเดือดด้วยเดิมพันที่สูงยิ่ง
2. คนไทยทั้งประเทศต้องช่วยกันสถาปนา "ระบบเศรษฐกิจรากฐาน" ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพื่อให้สังคมไทยมีความแข็งแรง สามารถยืนอยู่ได้บนขาตัวเอง อันเป็นแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวางรากฐานไว้แล้ว การบริหารทรัพยากรของชาติร่วมกัน เพื่อให้เราสามารถพึ่งพาตนเองได้ อยู่รอดได้ด้วยตนเองแม้โลกตกอยู่ในภาวะวิกฤตอันเนื่องมาจากสงครามการค้า วิกฤตเศรษฐกิจโลก และการก่อสงครามตัวแทนเพื่อช่วงชิงการเป็นจ้าวโลก
3. คนไทยทั้งประเทศต้องเห็นพ้องต้องกันในการสถาปนาระบอบการปกครอง เพื่อให้มีการเกิดดุลของอำนาจในสังคมที่เป็น "อัตลักษณ์" ของตนเอง ไม่ใช่กลไกเสรีประชาธิปไตยแบบสุดโต่ง ที่เปิดช่องให้เกิดการแทรกแซงทั้งทางการเมือง ด้านความมั่นคง และทางเศรษฐกิจ จาก "ต่างชาติ" ที่เป็นมหาอำนาจ
(สอง) มายาคติของ "เสรีนิยม-ประชาธิปไตย" ...
บนหนทางที่พัฒนาการทางเทคโนโลยีล้ำหน้าไปอย่างก้าวกระโดด แต่ยึงยึดติดอยู่กับระบบคิดแบบ "เสรีนิยม-ประชาธิปไตย" แบบตะวันตกกำลังพาสังคมตะวันตกไปยืนอยู่บนปากเหวของความล่มสลายทางเศรษฐกิจ สังคมอย่างเห็นได้ชัด
สหภาพยุโรปที่หลังยุคสงครามเย็นกลับฟื้นตัวมีความมั่งคั่งเหนืออเมริกาและจีนจากชัยชนะของโลกเสรี แต่บัดนี้กำลังตกอยู่ในภาวะโซชัดโซเซ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของยุโรปในปัจจุบันอยู่ในระดับกะปลกกะเปลี้ย และความไม่เสมอภาคกันทางเศรษฐกิจสังคมกำลังเพิ่มสูงขึ้น รวมถึง การเพิ่มขึ้นของพรรคการเมืองที่ระแวงสงสัยการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวของยุโรป (Euroskeptic parties) ที่โจมตีโมเดลการรวมตัวแบบกึ่งสหพันธรัฐของอียู, ลัทธิเหยียดเชื้อชาติ (racism) และอาการเกลียดกลัวต่างชาติ (xenophobia) ตรงกันข้ามกับจินตนาการของอดีตนายกรัฐมนตรีมาร์กาเรต แธตเชอร์ (Margaret Thatcher) ของอังกฤษที่ประกาศในทศวรรษ 1980 ว่าโลกไม่มีทางเลือกอื่น (“there is no alternative” =TINA) นอกจากลัทธิเสรีนิยมที่อิงพลังตลาด (market liberalism)
ส่วนประเทศเสรีนิยมประชาธิปไตย อย่างสหรัฐฯนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายซึ่งมีอยู่กำลังอยู่ในอาการเสื่อมโทรมผุพัง และการขยายตัวใหญ่โตเกินไปของเครือข่ายผลประโยชน์ร่วมระหว่างฝ่ายทหารกับอุตสาหกรรม (military-industrial complex) กำลังเป็นภัยคุกคามที่จะทำให้เศรษฐกิจล้มละลาย ไม่นับถึงความฉ้อฉลในกลุ่มธนกิจการเงินที่นำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจในประเทศครั้งใหญ่
แม้กระนั้นโลกตะวันตก ก็ยังดำเนินการ "แทรกแซง" และ แทรกซึม" ทั้งทางเปิดเผย (ผ่าน ฑูต, องค์กรจัดตั้ง, สื่อตะวันตก) ในรูปแบบการ ”สนับสนุนจากต่างประเทศ” และทางลับ ให้มีการเคลื่อนไหวเพื่อ "สร้างกระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตย" แก่กลุ่มนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ สื่อ และพรรคการเมืองในประเทศที่เป็น "เป้าทางยุทธศาสตร์" ของโลกตะวันตก (แน่นอนว่าประเทศไทยคือหนึ่งในเป้าทางยุทธศาสตร์ของโลกตะวันตก)
"นโยบายต่างประเทศ" ของประเทศเหล่านี้ (สหรัฐ อังกฤษ แคนาดา) ล้วนเป็นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อ ”ประชาธิปไตย” และมีผลประโยชน์ร่วมกันกับกลุ่มอำนาจและกลุ่มผลประโยชน์ในประเทศที่ตนให้การ ”สนับสนุน” อยู่ ดังปรากฏการมีส่วนร่วมของสหรัฐ อังกฤษ แคนาดาใน "การก่อสงครามที่มิชอบด้วยกฎหมาย" ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ลิเบียในแอฟริกาเหนือ ซีเรียในตะวันออกกลาง ไปจนถึงอัฟกานิสถานในเอเชียกลาง รวมไปจนถึงการร่วมกันให้ความสนับสนุนเผด็จการอย่างแท้จริงเช่น ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ และยูเครนที่มีแนวคิดแบบนีโอนาซี หรือการแสดงเจตนา "แทรกแซง" และละเมิด "อธิปไตยทางการฑูต" ในกรณีของการไปแสดงตนตามหมายเรียกของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ความเสื่อมทรุดในตัวเองของโลกเสรีตะวันตก ความล้มเหลวของนโยบายต่างประเทศเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเค้าลางแห่งความหายนะและความพ่ายแพ้ของโลกตะวันตก และอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยแบบสุดโต่ง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก ตั้งแต่ความพยายามอย่างงุ่มง่ามในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของเวเนซูเอลา ไปจนถึงความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายในซีเรีย และสงครามในอัฟกานิสถานที่ค้างคาอยู่กว่าสองทศวรรษ ในส่วนของภูมิภาคนี้
รวมถึงความล้มเหลวในประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่สหรัฐจะถูกชิงความเป็นใหญ่โดยจีนและอำนาจอื่นในภูมิภาคที่แข็งแกร่งขึ้น ในทางแพร่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการกวาดล้างทางเทคโนโลยี และ ลัทธิเสรีนิยม-ระบอบประชาธิปไตยนิยม-เศรษฐกิจทุนสามานย์โลก
ประเทศไทยจำเป็นต้องมี "ทางเลือกอื่น" ที่จะรับมือบนพื้นฐานของทรัพยากรที่มี และรากฐานทางวัฒนธรรมที่เข้มแข็งของตนเองอย่างเร่งด่วน
นั่นคือความจำเป็นที่ต้องมุ่งเน้น "ความเข้มแข็งบนตัวของตัวเอง" ด้วยการวางโครงสร้้างทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับทรัพยากรของประเทศไทย และสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของโลก
นั่นคือ การพัฒนาโครงสร้างทางเศรษฐกิจด้านการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับ 25.07 ล้านคน (38.14% ของประเทศ)ให้มั่นคง
โดยเฉพาะการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับอาหารเพื่อตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงของประชากรโลกในอีก 30 ปีข้างหน้า ซึ่งประชากรของไทยจะไม่เพิ่มขึ้น จะมีพื้นที่ที่สามารถใช้ได้เต็มที่ เลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ (เช่น Smart Farm) เพื่อการปฏิรูปพื้นที่เกษตร ปฏิรูปการเพิ่มผลผลิตฯลฯ สร้างกระบวนการผลิตเป็น "ชุมชน" ที่เลี้ยงดูตัวเองและมีความมั่นคง แต่มีการเชื่อมโยง สื่อสาร ปฏิสัมพันธ์กับเป็น "สังคม" ด้วยระบบเทคโนโลยีและฐานข้อมูลที่ทันสมัย โดยสัมพันธ์กับระบอบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งเป็นรากฐานของขนบ จารีต แบบแผนอันดีงามของไทย
นี่คือหนึ่งในแนวทางที่สถาบันทิศทางไทยต้องการนำเสนอต่อคนไทยทั้งประเทศในตอนนี้ และเป็นความชอบธรรมทางประวัติศาสตร์ของการก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย ที่เป็นเครือข่ายแห่งคลังปัญญาของประเทศนี้
(สาม) ทิศทางของสถาบันทิศทางไทย ....
1. สถาบันทิศทางไทยก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป็น "เครือข่ายแห่งคลังปัญญาของประเทศนี้" ที่บูรณาการองค์กรสื่อทั้งสื่อหลักและสื่อโซเชียลเข้ากับเครือข่ายปัญญาชนผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆ เพื่อช่วยกันยกระดับการรับรู้และสติปัญญาของผู้คนในสังคมโดยรวมให้มุ่งไปในทิศทางที่สร้างสรรค์และยั่งยืน
2. คณะผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทยไม่ได้มีเจตนาสร้างสถาบันทิศทางไทยนี้ให้เป็นองค์กรสู้รบทางการเมืองหรือมีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเป็นศัตรูโดยเฉพาะ แต่เรามุ่งมองไปข้างหน้าอย่างสร้างสรรค์และอย่างเป็นองค์รวมตามความเป็นจริงและปฏิบัติได้จริงโดยถือเป็นความสำคัญลำดับต้นๆของสถาบันทิศทางไทย
3. เนื้อหาของหลักสูตรหลักๆของสถาบันทิศทางไทย
(1) องค์ความรู้เกี่ยวกับอนาคต จะเข้าใจอนาคตของโลกในภาพรวมหลังจากนี้ได้อย่างไรโดยไม่หลงทาง หรือติดอยู่ในกับดักทางความคิดจนไม่เห็นความเป็นจริงของตัวเองและสังคมอย่างที่มันเป็นจริงๆ
(2) องค์ความรู้เกี่ยวกับทักษะพื้นฐานในศตวรรษที่ 21 อะไรคือทักษะพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 21 ที่คนไทยควรมี ที่เราคิดอยู่ คือ ทักษะทางจิตกับทักษะการตื่นรู้(ความรู้ตัว) เพื่อแปรข้อมูลเป็นปัญญา
(3) องค์ความรู้เกี่ยวกับปัจจุบัน รู้ทันความเป็นไปของสังคมและของโลก อย่างไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร จนสามารถมองปัจจุบันอย่างเป็นองค์รวมในทุกๆมิติตามที่มันเป็นจริง และไม่ถูกบิดเบือน ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือการรับรู้ความเป็นจริงโดยไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์และอุปทานรวมหมู่
(4) องค์ความรู้เกี่ยวกับอดีต รักษาและถ่ายทอดภูมิปัญญาโบราณที่ทรงคุณค่าเอาไว้เพื่อมอบให้เป็นมรดกทางความคิดและมรดกทางจิตวิญญาณแก่อนุชนคนรุ่นหลัง
สำหรับรายชื่อกรรมการผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทยประกอบด้วย ...