PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

พปชร. เปิดตัว 5 นโยบายเศรษฐกิจ กทม.

พปชร. เปิดตัว 5 นโยบายเศรษฐกิจ กทม. เผยคะแนนยิมดีต่อเนื่อง เพราะไม่สร้างความขัดแย้ง เตือนอย่าดึงกองทัพมาเกี่ยวการเมืองเพราะรัฐประหารที่ผ่านมาเกิดจากนักการเมือง กองทัพไม่ใช่ต้นเหตุ
เวลา 09.50 น. ที่ร้าน S N P แกนนำพรรคพลังประชารัฐ นำโดยนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค นายณัฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรค และนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ กรรมการบริหารพรรค แถลงเปิด 5 นโยบายเศรษฐกิจ กรุงเทพมหานคร ภายใต้แคมเปญ ‘Bangkok OK’ ได้แก่
1.Super high speed wifi 5G นำร่อง 9 พื้นที่ทั่วกรุงเทพมหานคร ได้แก่ บางขุนเทียน สีลม จตุจักร เยาวราช ดอนเมือง เจริญนคร เจริญกรุง สยาม-ราชประสงค์
2. เว็บไซต์ Bangkok Ok Shop ให้เป็นพื้นที่ค้าขายออนไลน์เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ระดับโลกโดยรับสินค้าจากคนกรุงเทพฯ เพื่อโปรโมทไปทั่วโลก ลดต้นทุนการตลาดและประชาสัมพันธ์ของผู้ผลิต พร้อมทั้งส่งเสริมโปรโมชั่นจากสินค้าต่างๆในเว็บไซต์
3.เปิดถนนคนเดินประชารัฐ 50 เขต ทั่วกรุงเทพฯ ให้เป็นสถานที่ค้าขายและพักผ่อนหย่อนใจ ทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว จัดระเบียบผู้ค้าขายให้เหมาะสมปลอดภัย
4.start up สามารถจดทะเบียนและอนุมัติได้ภายใน 1 วัน
5.ติดปีกธุรกิจ กองทุนสนับสนุนสมาร์ทไอเดีย เปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นเงินทุน สามารถระดมทุนสร้างธุรกิจได้จริง
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า นโยบายกรุงเทพมหานครจะเชื่อมโยงกับนโยบายภาพรวมประเทศของพรรค โดยมีผู้สมัคร ส.ส.ร่วมพิจารณาช่วยกันทำให้ตอบสนองกับความต้องการของประชาชน จึงขอให้มั่นใจว่าพรรคไม่ได้พูดนโยบายไปเรื่อยๆ แต่ต้องตอบโจทย์และขับเคลื่อนได้ในทางปฏิบัติ และในทุกวันอังคารหลังจากนี้อีก 3 สัปดาห์ขอให้ติดตามนโยบายใหม่ๆ ของพรรคได้ เรียกได้ว่าเร้าใจอย่างแน่นอน
นายสนธิรัตน์ ให้สัมภาษณ์ กล่าวว่า ความนิยมของพรรคเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พรรคไม่ประมาทเพราะช่วงโค้งสุดท้ายถือเป็นการต่อสู้ของพรรคการเมืองหลายๆ พรรค พรรค พปชร. มีจุดยืนที่ชัดเจนคือไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งกับใครและทำให้ประเทศเดินต่อไปข้างหน้า จึงเชื่อว่าสิ่งนี้ทำให้ประชาชนเลือกสนับสนุนพรรค
ส่วนกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ยื่นเรื่องต่อ กกต. ให้ยุบพรรค พปชร. นายสนธิรัตน์ ระบุว่า พรรคไม่ต้องเตรียมอะไร นอกจากความจริง เพราะการเมืองมักจะสร้างประเด็น แต่บางประเด็นก็ไม่อยู่บนข้อเท็จจริง ดังนั้นพรรคก็จะเตรียมข้อเท็จจริงไปชี้แจง และมั่นใจว่าพรรคไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ผิดรัฐธรรมนูญ หรือผิดเงื่อนไขซึ่งเรื่องดังกล่าวทางฝ่ายกฎหมายพรรคจะเป็นผู้ดำเนินการ
นายสนธิรัตน์ ยังชี้แจง กรณีที่หลายพรรคการเมืองเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าร่วมเวทีดีเบต ว่าต้องไปดูข้อกฎหมาย แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯในนามของพรรค แต่สถานะยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงไม่เหมาะที่จะลงมาดีเบต และ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่จำเป็นต้องดีเบตเพราะที่ผ่านมาก็ได้แสดงวิสัยทัศน์ในนามนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องอยู่แล้ว พปชร. เรียนเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ มานั่งแคนดิเดตนายกฯ เพราะตัวตนของ พล.อ.ประยุทธ์ ส่วนหน้าที่ดีเบตและการนำเสนอนโยบายเป็นหน้าที่ของพรรค ดังนั้นโดยกฎหมายไม่อนุญาตให้ลงมาดีเบตได้ เนื่องจากไม่ใช่สมาชิกพรรค ขอให้แยกให้ชัดเจน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการปฏิรูปกองทัพที่หลายพรรคเสนอนโยบายตัดงบประมาณและยกเลิกเกณฑ์ทหาร นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ประเด็นปฏิรูปกองทัพเป็นกรอบความคิดที่กองทัพเองไม่ได้ปฏิเสธการปฏิรูป และนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เน้นการปฏิรูปในทุกด้าน ไม่เฉพาะเจาะจง และในทางปฏิบัติกองทัพก็ได้ปฏิรูปตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ที่เป็นประเด็นขณะนี้ หลายพรรคไปเจาะจงที่การลดงบประมาณซึ่งไม่ใช่การปฏิรูปทั้งระบบ สิ่งเหล่านี้ต้องดูความเป็นจริงประกอบกัน พปชร. ก็ได้ศึกษาเรื่องดังกล่าวไว้ แต่ไม่ได้เจาะจงที่กองทัพอย่างเดียว เพราะปฏิรูปต้องปฏิรูปทั้งประเทศ ดังนั้นการพูดถึงกองทัพขณะนี้ไม่ใช่การปฏิรูปที่แท้จริงแต่เป็นประเด็นทางการเมืองให้กองทัพต้องมารับผิดชอบทางการเมืองมากกว่า
นายสนธิรัตน์ ปฏิเสธด้วยว่ากองทัพไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง หน้าที่ของกองทัพคือการดูแลความมั่นคง ส่วนรัฐประหารทุกครั้ง ต้นเหตุเกิดมาจากนักการเมือง ไม่ได้เกิดจากกองทัพ ดังนั้นการแก้ที่กองทัพเพื่อป้องกันรัฐประหารจึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ถ้าย้อนหลังกลับไปรัฐประหารทุกครั้งเกิดจากความล้มเหลวของฝ่ายการเมืองที่ไม่สามารถดำเนินการแบบปกติได้ แม้กระทั่งการรัฐประหารเมืองปี 2557 ก็ไม่ได้รัฐประหารรัฐบาลที่มาจากประชาชน แต่เป็นรัฐบาลรักษาการที่เดินหน้าไม่ได้ ประเทศไปต่อไม่ได้ เลือกตั้งก็ไม่ได้ เกิดการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน กองทัพจึงเข้ามาแก้ปัญหา ดังนั้นการปฏิรูปกองทัพวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน อยากให้เอาเวลาไปแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองที่เร่งด่วน เพราะส่วนตัวเชื่อว่ากองทัพรับฟังในความคิดเห็นต่างๆ แต่สิ่งเรานั้นยังมีเวลาในการพูดคุยพิจารณา

ล้มโต๊ะเข้าทางใคร

เพลง “หนักแผ่นดิน” ดังกระหึ่มเมือง

บรรยากาศแบบที่ “อ๋องการเมือง” เบอร์ใหญ่ๆพูดตรงกัน เพลงนี้ขึ้นทีไร นึกถึง “6 ตุลา”

ม่านหมอก “ฝุ่นพิษการเมือง 2.5” ฟุ้งอยู่ในภาวะอึมครึม

เพราะมันคือ “รอบตัดเชือก”

อารมณ์แบบที่ “สารวัตรเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำสายบู๊พรรคเพื่อไทย ปราศรัยบนเวทีช่วยลูก “วัน อยู่บำรุง” โดยมี “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง ร่วมอยู่ในฉากบู๊ล้างผลาญประกาศตัดงบฯกระทรวงกลาโหม โละเกณฑ์ทหาร

ชูมือโชว์พลัง “เรียกขวัญ” ลูกข่ายทีมดูไบ

สู้กับหมาก “250 ส.ว.” และบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญที่เปิดทางทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลากเทอมยาวต่อได้ถึง 8 ปี

โอกาสสุดท้าย ถ้ารอบนี้ “นายใหญ่” พลิกเกมชิงอำนาจคืนไม่ได้ มีหวังแพ้สังขาร หมดแรงไปตามกาลเวลา

ไฟต์บังคับ เดิมพันเป็นเดิมพันตายระดับนี้ ทีมดูไบไม่ยอมถอยแน่

แต่ในสถานการณ์ลำบาก จากโจทย์ยากๆที่ต้องไล่เก็บแต้ม เบ่งตัวเลขสู้กับ 250 ส.ว. พอเปิด “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ของพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ก็ยิ่งเหนื่อยหนักไปกันใหญ่

“ไพ่ตาย” ยี่ห้อ ทษช.ส่อทำพังยกรัง

เกมถนัดเลือกตั้งของยี่ห้อ “ทักษิณ” ไม่ได้อยู่ในจุดได้เปรียบอีกต่อไป

ในจังหวะที่จับไต๋ อ่านทางได้ ทีมดูไบ ลูกข่าย “นายใหญ่” เปลี่ยนเกมเล่น หันมาเน้น “สงครามประสาท” เปิดเกมจิตวิทยากับฝ่ายคุมเกมอำนาจท็อปบูต

ตามสูตร ยั่ว ยุ แหย่

และนั่นก็เข้าเหลี่ยมพอดี กับปรากฏการณ์ “หนักแผ่นดิน” ที่ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. คำรามใส่ “เจ้าแม่เมืองกรุง” พรรคเพื่อไทย

แทบจะทันทีทันใด ลูกข่ายสายตรงแนวร่วมทีมดูไบทั้งในและนอกประเทศ แปรรูปขบวนรบ รุมถล่ม “จ่าฝูงกองทัพบก” ย้อนศร ย้อนเกล็ดกันมันปาก

สนามรบโซเชียลมีเดียร้อนเป็นไฟ

นก หนู กระรอก กระแต แหย่ “กระตุกหาง” ราชสีห์กันสนุกสนาน

หาญกล้าท้าทายถึงขั้น “ทนายคนเสื้อแดง” ประกาศลั่น ถ้าฝั่ง “ทักษิณ” ชนะเป็นรัฐบาล ภารกิจแรกคือปลด “บิ๊กแดง” จาก ผบ.ทบ.

“ยั่วตบะ” กันสุดฤทธิ์

ล้อไปกับปฏิบัติการดิสเครดิต ทีมทนาย “ทักษิณ” มือปืนรับจ้าง “สอย” ของทีมดูไบ เดินหน้าไล่ฟ้องยุบพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร้องคัดค้านคุณสมบัติ

เตะสกัด “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อในบัญชีนายกฯ พปชร.

ย้อนศร เบิ้ลกลับ สถานการณ์ยุบพรรคไทยรักษาชาติที่ส่อลามถึงค่ายหลักพรรคเพื่อไทย

เดินหมากลากเข้ามุมอับ วัดใจล้มทั้งกระดาน

เร้าฉาก “มโนโซเชียลฯ” ทีมกองเชียร์ “ทักษิณ” สื่อฝั่งถือหางทีมดูไบ กระพือกระแส แห่ข่าวลือรัฐประหารกันรายวัน
เหมือนต้านปฏิวัติ แต่ลึกๆแอบลุ้น “ล้มกระดาน” เพื่อหวังการณ์ใหญ่ข้างหน้า

ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นฝ่ายขุนทหาร คสช. ทั้ง “นายกฯลุงตู่” และ “บิ๊กแดง” ที่ประสานเสียงยืนยัน เดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม ตามกำหนดเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ขอให้ทุกฝ่ายทำไปตามหน้าที่ อย่าล้ำเส้น

ตามรูปการณ์ทหารอ่านเกมออก มองขาดสถานการณ์ที่ทีมดูไบเพลี่ยงพล้ำจาก “บิ๊กเซอร์ไพรส์” พรรคไทยรักษาชาติ พลาดตั้งแต่ต้นเกม

ไม่ชนะแน่ ต้องเปลี่ยนเกมล้มกระดาน

โดยเงื่อนไขสถานการณ์ อ่านกันมุมนี้ ยังไงก็ไม่น่ามีรายการ “แอ่นแอ๊น”

ในเมื่อทุกอย่างยังเดินหน้า โอกาสอยู่ในมือ “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อตามเส้นทางธรรมชาติ

หรือถึงแม้เกิดเหตุพลิกผันจำเป็นต้องผ่าทางตันด้วยปฏิบัติการล้มกระดาน อำนาจก็ยังอยู่ในมือ “นายกฯลุงตู่”

กับสถานะของ “ผู้ถูกเลือก” ยังไงก็ใช่อยู่วันยังค่ำ.

ทีมข่าวการเมือง

ชำแหล่ะธนาธรร้ายยิ่งกว่าทักษิณ

    "บิ๊กตู่" เดินตลาดต้องชม อยุธยา ชวนปชช.ไหว้พระสวดมนต์ขอบ้านเมืองเป็นสุข ยันแค่มาเที่ยวไม่เกี่ยวอย่างอื่น วอนหาเสียงอย่าโจมตีกันจนประเทศเสียหาย "พรรคการเมือง" ลงพื้นที่คึกคัก  "อ๋อย-เต้น" ลั่นพร้อมช่วยผู้สมัคร ทษช.ขอคะแนน ย้ำไม่พูดเรื่องยุบพรรค "เจ๊หน่อย" ควง "โอ๊ค" ลุยอุบลฯ บอกพรรคไม่มีเส้นต้องทำงานหนัก "พานทองแท้" ผวา! ซ้ำรอยพ่อ ปัดเล่นการเมืองเต็มตัว "ขรก.คลัง" ชำแหละนโยบายพรรคอนาคตใหม่ ชี้ทำจริงไม่ได้สักอย่าง ซัด "ธนาธร" ปลิ้นปล้อนอันตรายยิ่งกว่าทักษิณ
    เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่วัดวชิรธรรมาราม จ.พระนครศรีอยุธยา ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีปลูกหน่อพระศรีมหาโพธิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมคณะ ได้เดินชมตลาดต้องชม (ตลาดหลวงปู่ทวด) ทักทายกับพ่อค้าแม่ค้าและประชาชน พร้อมถ่ายรูปเป็นที่ระลึก โดยตลอดเส้นทางนายกฯ ค่อนข้างระมัดระวัง ไม่ได้พูดถึงการทำงานของรัฐบาลหรือเรื่องการเมือง โดยขอให้ประชาชนช่วยกันไหว้พระสวดมนต์ให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข
    พล.อ.ประยุทธ์ได้ยืนคุยกับประชาชนในระหว่างพักผ่อนอิริยาบถที่ร้านกาแฟกรุงศรี บริเวณอาคารริมน้ำ ว่าตลาดนี้เป็นตลาดของรัฐบาล เรามีตลาดด้วยกันหลายแบบ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยจะขายของลำบาก ร้านค้าจึงต้องหาอะไรมาดึงดูดใจ ขอให้สะอาด สวยงาม น่าเที่ยว ชาวต่างชาติจะนิยมชมชอบ โดยรัฐบาลนี้ได้จัดทำตลาดลักษณะนี้กว่าหมื่นแห่งทั่วประเทศ ซึ่งทุกตลาดดีขึ้น ตลาดใดไม่เปลี่ยนแปลง สกปรก จะลำบาก และขออย่าขายของแพงมากนัก ขอให้ช่วยลูกค้าด้วย 
    "วันนี้เป็นวันมาฆบูชา ขอให้มีความสุข นายกฯ มาทำพิธีปลูกหน่อพระศรีมหาโพธิที่นี่ ก็เลยถือโอกาสมาเที่ยว ไม่ได้มาทำเพื่ออะไรทั้งสิ้น เข้าใจไหม เรารู้กันอยู่แล้ว เรารักกันอยู่แล้ว รักกันทุกวันใช่ไหม เมื่อมีการเลือกตั้งก็ขอให้ช่วยกันหาเสียงในทางที่ดี อย่าโจมตีกันไปมา มันไม่ได้ เพราะทำให้ประเทศชาติเสียหาย ไม่มีใครเขาทำแบบนี้หรอก ประจานตัวเองอย่างนี้ไม่ได้ อย่าทำเลย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอยู่นั้น มีประชาชนกลุ่มหนึ่งพร้อมใจกันพูดว่า “รักพ่อนะคะ” 2-3 ครั้ง ซึ่งเป็นคำที่ก่อนหน้านี้กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ใช้เรียกนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่า “ฟ้ารักพ่อ” นอกจากนี้ก่อนเดินทางกลับนายกฯ และคณะได้เดินทักทายกับประชาชนตลอดทาง และได้หยุดโยนเหรียญเสี่ยงทายใส่ในบาตร ซึ่งเหรียญได้หล่นเข้าไปในบาตรที่ระบุคำว่า “ผู้เป็นที่รัก", "พ้นทุกข์", "ก้าวหน้า" และ "สำเร็จ” ส่วนแบงก์พันได้ตกนอกบาตร หลังคำว่า “สมบูรณ์พูนสุข” 
    ด้านพรรคการเมืองต่างๆ ตลอดทั้งวันหยุดราชการวันมาฆบูชา ได้ออกหาเสียงกับประชาชนตามสถานที่ต่างๆ อย่างคึกคักเหมือนเช่นทุกวัน โดยพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรค พปชร. กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้อยากจะขอให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศให้โอกาส พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งอยู่ในบัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรค ได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อบริหารประเทศต่อไป  
    รองโฆษกพรรค พปชร.กล่าวว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์มีผลงานที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการอีอีซี รถไฟฟ้า รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รวมทั้งทำให้บ้านเมืองสงบ เมื่อบ้านเมืองสงบทำให้มีนักท่องเที่ยวปีละ 37 ล้านคนเข้ามาเที่ยว ทำเงินเข้าประเทศปีละกว่า 2.7 ล้านล้านบาท ในส่วนของปัญหาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศนั้น ตนเชื่อว่าหากพรรคได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จะมีผู้บริหารมืออาชีพมากมายมาช่วยบริหารทางด้านเศรษฐกิจ จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นอย่างแน่นอน
    "หากมองให้ลึกแล้วกลุ่มการเมืองที่จับมือกันและอยู่ตรงข้ามกับพรรค ไม่ได้เป็นกลุ่มประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะมีคนต่างแดนอยู่ข้างหลังหรือไม่ อยากให้พี่น้องประชาชนไตร่ตรองให้ดีว่า ที่ผ่านมานั้นปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันจนบ้านเมืองเสียหาย นำมาซึ่งความขัดแย้งต่างๆ นั้นมาจากใคร ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนทราบดี ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้ อย่าปล่อยให้เครือข่ายหรือสายพันธุ์ทุจริตกลับมาอีก" รองโฆษกพรรค พปชร.กล่าว
ทษช.ฮึดลุยหาเสียงต่อ
    ที่พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรค ทษช. พร้อมด้วยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรค, นายนิคม ไวรัชพานิช, นายสุธรรม แสงประทุม, นพ.เหวง โตจิราการ,  นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.อีกจำนวนหนึ่ง ร่วมกันแถลงข่าวเดินหน้าทำกิจกรรมการเมืองหาเสียงเลือกตั้ง แต่จะไม่ขอพูดถึงกระบวนการต่อสู้คดียุบพรรค
    นายจาตุรนต์กล่าวว่า หลังจาก กกต.ยื่นยุบพรรคต่อศาลรัฐธรรมนูญ เราได้ชี้แจงเพื่อป้องกันเหตุแทรกซ้อน จึงงดการปราศรัยไว้ก่อน เพื่อให้คณะกรรมการบริหารพรรคได้มีเวลาไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ล่าสุดกรรมการบริหารพรรคได้หารือมาทางคณะกรรมการรณรงค์หาเสียง โดยได้ฟังเสียงสะท้อนจากผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตต่างๆ ที่ยังคงหาเสียงเป็นปกติ ยังได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างดี และอยากให้แกนนำพรรคไปช่วยหาเสียง 
    "เราจึงได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ทั้งคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง แกนนำพรรค จะกลับมาทำหน้าที่ปกติ ไปช่วยผู้สมัครหาเสียง ส่วนการปราศรัยเปิดเวทีขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ ขอดูสถานการณ์สั้นๆ อีกระยะ ถ้าไม่มีเหตุแทรกซ้อนหรือที่อาจจะเป็นปัญหา การปราศรัยใหญ่จะเกิดตามปกติอย่างที่เคยทำ โดยในการไปปราศรัยหาเสียงนั้นจะไม่มีคณะกรรมการบริหารพรรคเดินทางไปด้วย เนื่องจากอยากให้มีสมาธิในการต่อสู้คดียุบพรรค" นายจาตุรนต์กล่าว
    ส่วนนายณัฐวุฒิกล่าวถึงกรณี กกต.ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าจะยุบหรือไม่ยุบพรรค ยืนยันจะดำเนินการต่อสู้ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น หากมีการเคลื่อนไหวกรณีนี้นอกศาล ไม่ได้เป็นการดำเนินการในนามพรรค หากใครเคลื่อนไหว ถือเป็นความรับผิดชอบของคนนั้นๆ 
    "ในการลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครระบบเขตเลือกตั้ง ทีมรณรงค์หาเสียง 7 ชุด จะขับเคลื่อนตามปกติ ส่วนเวทีปราศรัยใหญ่ แทบทุกพรรคได้เปิดเวที แต่กรณีของเราขอพิจารณาสถานการณ์ความพร้อมสักระยะ ถ้าเห็นว่าทุกอย่างเดินหน้าได้ จะประกาศในโอกาสต่อไป" นายณัฐวุฒิกล่าว
    จากนั้นนายจาตุรนต์พร้อมด้วยนายณัฐวุฒิลงพื้นที่แฟลตการเคหะบางนา แนะนำตัวนายกวีวงษ์ อยู่วิจิตร ผู้สมัครฯ เขตที่ 21 โดยการเดินพบปะประชาชนในพื้นที่ ซึ่งบรรยากาศประชาชนได้ให้การต้อนรับเข้ามาทักทายย่างเป็นกันเอง จากนั้นแกนนำได้ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีย่อย
    ที่ จ.อุบลราชธานี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย (พท.) ลงพื้นที่เขต 3 อำเภอวารินชำราบ อำเภอนาเยีย ช่วยน.ส.กิตติ์ธัญญา วาจาดี ผู้สมัคร ส.ส.พรรค พท. หาเสียง โดยคุณหญิงสุดารัตน์เดินทักทายพ่อค้าแม่ค้าประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอย พร้อมอวยพรให้ค้าขายดี และขอให้อดทนกับความยากลำบากในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา 
    "ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยต้องต่อสู้กับอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เมื่อเราเป็นพรรคการเมืองที่ไม่มีเส้น ก็จะต้องทำงานหนักกว่าเขา" คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว
โอ๊คเข็ดกลัวซ้ำรอยพ่อ
    ต่อมาคุณหญิงสุดารัตน์พร้อมด้วยนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ลงพื้นที่ตลาดสด ช่วยผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 อุบลราชธานีหาเสียง โดยคุณหญิงสุดารัตน์กล่าวระหว่างเดินตลาดตอนหนึ่งว่า วันนี้ไม่ได้มาคนเดียว มากับลูกชายของคนที่ท่านคิดถึงที่สุด พานทองแท้ ชินวัตร พานทองแท้ลูบได้ จับได้ กอดได้ ไม่ว่าอะไร เชิญเลย มาเลย คิดถึงใครก็มากอดให้หายคิดถึงได้ 
    นายพานทองแท้ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ได้มาเดินอย่างนี้ 4-5 ปีแล้ว มีกำลังใจ กลับไปมีแรงทำงาน ไม่เหนื่อย เจอชาวบ้านก็มีกำลังใจ ชอบ
    ถามว่าในอนาคตจะเป็นนักการเมืองหรือไม่ นายพานทองแท้ตอบทันทีว่า "ไม่ฮะ พยายามไม่เอา กลัว เห็นบทเรียนมาแล้ว ดูพ่อกับอาผมสิ"
    ถามอีกว่ายุคใหม่อาจจะไม่ร้ายแรง นายพานทองแท้กล่าวว่า ก็ขอให้เปลี่ยนก่อน แล้วค่อยมาว่ากัน
    ที่ จ.สตูล พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ (ปชช.) พร้อมแกนนำพรรค เดินทางมาร่วมถวายภัตตาหารและฟังธรรมเนื่องในวันมาฆบูชาโดยมีประชาชนเข้าร่วมกว่า 100 คน  ที่ป่าช้าจีน หมู่ 4 ต.คลองขุด อ.เมืองฯ จ.สตูล จากนั้นเดินทางไปที่ร้านสตารินทร์รีสอร์ท ต. พิมาน อ.เมืองสตูล เพื่อร่วมรับประทานอาหารร่วมกับนายรอสี ใบกาเด็ม ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 ของพรรค
    พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า นโยบายพรรคประชาชาติไม่ใช่นโยบายตามปกติเหมือนพรรคอื่นๆ พรรคยังมีนโยบายที่เรียกว่า รัฐสวัสดิการ หมายถึงว่าอะไรที่เป็นสวัสดิการ จะต้องเป็นสิทธิ และสิทธิจะต่างกับหน้าที่  สิทธิต้องเสมอกัน อย่างเช่น  การยกระดับบำนาญผู้สูงอายุ อายุ 60 ปี 3,000 บาท เป็นการแก้ปัญหาความยากจน และอย่างน้อยคนอายุ 60 ปี ต้องมีข้าวกิน เชื่อว่าผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทั้ง 2 เขตจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สตูลได้
    สำหรับพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เดินทางช่วยนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 25 บางขุนเทียน หาเสียงที่ตลาดบิ๊กซี พระราม 2 และหมู่บ้านการเคหะ ธนบุรี 2 ตั้งแต่เช้า โดยเดินพูดคุยทักทายพ่อค้าแม่ค้า
    นายปิยบุตรกล่าวว่า อยากให้ทุกๆ ท่านได้เห็นถึงความตั้งใจ และขอโอกาสให้กับคุณณัฐชา ผู้สมัคร ส.ส.เขต 25 บางขุนเทียน ผู้ชายที่มาจากครอบครัวธรรมดาๆ เรียนจบช่างกลสยาม และด้วยความมุ่งมั่น สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตจนเป็นผู้ก่อตั้งและผู้ก่อตั้ง บจก. ซีม ดีเวลลอปเมนท์ (ประเทศไทย) คุณณัฐชาเป็นคนที่ความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม พร้อมที่จะเข้าร่วมแก้ไขปัญหาในเรื่องความเป็นอยู่ และปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงดีขึ้น
    อย่างไรก็ตาม วันเดียวกัน ได้มีแฟนเพจ "Drama Fight - ศึกวันดราม่า" มีการเผยแพร่บทสัมภาษณ์ที่ระบุว่า มาจากนางณิฏฌาพัทน์ แป้นแก้ว หรือ "อัน" อดีตผู้สมัครลง ส.ส. เขต 1 จ.ลำปาง พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นผู้ชนะโหวตภายใน แต่พรรคกลับไม่ส่งเธอลงสมัคร และไปเลือกนางฑิพาฎีพ์ ปวีณาเสถียร แทน โดยนางณิฏฌาพัทน์ก็ระบุว่าเรื่องดังกล่าวนั้นเป็นความจริง
    นอกจากนี้ ช่วงหนึ่งของบทสัมภาษณ์ นางณิฏฌาพัทน์ยังได้เผยด้วยว่า เมื่อตนได้การสอบถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงส่งอีกคนเป็นตัวแทน ทั้งๆ ที่ตนเองชนะการโหวต ก็ได้รับคำตอบจากเลขาธิการพรรคว่า กลัวเสียหน้า นอกจากนี้เธอยังบอกด้วยว่าผู้สมัครอีกคนนั้นไม่เคยมาที่สำนักงาน ไม่มาประชุม รวมถึงไม่เคยมาร่วมกิจกรรมใดๆ ของพรรคเลย โดยมาแค่ครั้งเดียวตอนที่หัวหน้าพรรคมาเท่านั้น
ซัดแหลก'ธนาธร'ขายฝัน
    ขณะที่เฟซบุ๊ก Suvinai Pornavalai ของนายสุวินัย ภรณวลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่ข้อคิดเห็นของข้าราชการกระทรวงการคลังคนหนึ่ง เรื่อง "ทำไมพรรคอนาคตใหม่ของธนาธรอันตรายถึงขั้นจำเป็นต้อง ตระหนัก?"
    เนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า ก่อนเลือกตั้งผมจะต้องเขียนบทความที่ชี้แจงถึงความอันตรายของธนาธรว่าเขาเป็นคนโกหกหลอกลวง ตอแหลปลิ้นปล้อนขนาดไหน เพราะนโยบายทั้งหมดที่เขาได้กล่าวไปในการหาเสียง แทบจะทำจริงไม่ได้เลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการยกเลิกทหารเกณฑ์ การลดงบประมาณของกองทัพอย่างมหาศาล การให้สวัสดิการรักษาพยาบาลประชาชนเทียบเท่าข้าราชการ การปรับปรุงปฏิรูประบบทุน ทุกสิ่งที่พูดไปหากทำได้จริงประเทศก็จะล้มละลายภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งนั่นหมายความว่าเขารู้อยู่แล้วว่าทุกสิ่งที่พูดไปทำไม่ได้ แต่ก็ยังจะใช้หาเสียง มนุษย์คนนี้อันตรายยิ่งกว่าทักษิณ ชินวัตร
    "ถ้าหากให้พูดอย่างสั้นๆ เอาง่ายๆ ตั้งแต่การยกเลิกระบบการเกณฑ์ทหาร และเปลี่ยนมาใช้เงินจ้างในอัตราสูงๆ รวมถึงให้สวัสดิการทหารเกณฑ์ แน่นอนว่าแค่นโยบายนี้นโยบายเดียวก็ทำให้คลังแตกได้เลยเพราะหากจะต้องให้คนเต็มใจที่อยากจะเป็นทหารเกณฑ์หรือเป็นพลทหารโดยการใช้เงินเดือนสูงๆ มาล่อ ถ้าหากเราต้องการกำลังพลเพียง 50,000 หาเงินที่ต้องใช้มหาศาล ขณะที่เรียกได้ว่าต้องยุบข้าราชการประจำ 1 กระทรวงเล็กๆ เลยทีเดียว นอกจากนี้ หากให้สวัสดิการเทียบ ขรก. แถมพ่วงด้วยหมายถึงว่าเราจะต้องใช้งบประมาณทางด้านสาธารณสุขอย่างมหาศาลในการออกวิ่งคนพวกนี้ รวมถึงพ่อแม่และลูกเมียเขา ซึ่งนโยบายทางสาธารณสุข งบประมาณตรงนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ หากพ่อของพลทหารคนหนึ่งมีปัญหาที่ต้องฟอกไตทุกเดือน และแม่ของพลทหารคนหนึ่งมีปัญหาเรื่องเบาหวาน แค่นี้ค่าใช้จ่ายต่อหัวก็จะเพิ่มขึ้นมาเดือนนึงหลักแสน คนนึงต่อปีก็จะเป็นหลักล้าน แน่นอนว่า คลังไม่ได้มีเงินเยอะให้ขนาดนั้น นี่ยังไม่นับรวมนโยบายอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งทุกนโยบายล้วนไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ"
    ข้าราชการคลังรายนี้ยังระบุว่า ไหนจะนโยบายสาธารณสุขสุดเพ้อฝัน นั่นคือการชูคำว่าเท่าเทียมเพื่อต้องการเรียกและเป็นการสร้างอารมณ์ร่วมของประชาชน โดยยกเรื่องสิทธิสวัสดิการว่าจะให้สิทธิ 30 บาทบัตรทองและสิทธิเบิกจ่ายข้าราชการเท่ากันทั้งประเทศ แค่ทุกวันนี้สิทธิเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการก็แทบจะทำให้คลังไม่มีเงินอยู่แล้ว ซึ่งข้าราชการในแต่ละปี 10 น้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันแม้แต่การผ่าตาต้อ ข้าราชการก็ยังจะต้องสำรองจ่ายค่าเลนส์เทียม เพียงแต่ว่าค่าหัตถการและการผ่ายังสามารถทำเบิกจ่ายได้อยู่ โดยที่กรมบัญชีกลางจะส่งเงินตรงนี้ไปให้ สปสช. และให้ทางกระทรวงสาธารณสุขเบิกมาอีกที แต่ถ้าหากให้สิทธิเหล่านี้กับประชาชนทั้งประเทศ แน่นอนว่าล้มละลายภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งปีแน่นอน
    "เมื่อย้อนกลับมาพูดว่าทำไมข้าราชการประจำจึงจำเป็นต้องได้รับสิทธิสวัสดิการด้านการรักษาที่ดี คงต้องชี้แจงว่า ข้าราชการประจำ ถ้าหากดูเงินเดือนที่ได้รับกับงานที่ทำ นับได้ว่าต่ำกว่าภาคเอกชนอยู่มากพอสมควร หลายคนที่มีความสามารถเก่งกาจ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการกระทรวงการคลัง บางคนที่มีประวัติดีเลิศ เคยทำงานระดับ World Bank แต่ยอมเสียสละมาเป็นข้าราชการประจำรับเงินเดือนแค่ไม่กี่หมื่น ดังนั้น สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลจึงเป็นสิ่งที่ควรจำเป็นต้องให้ข้าราชการต่อไป และก็ไม่ต่างจากบริษัทเอกชนใหญ่ๆ ที่มีผลประกอบการดีหลายที่ที่ให้สวัสดิการรักษาพยาบาล หรือซื้อประกันให้กับพนักงานเพิ่ม หากจะต้องการทำให้ได้ดั่งที่เขาพูดจริงกระทรวงการคลังจะต้องทำการเก็บภาษีเพิ่มอย่างมหาศาล ซึ่งอันที่จริงส่วนนี้เขาก็ทราบดีว่าทำไม่ได้ เพราะโฆษกพรรคก็คือหมอที่จบจากโรงเรียนแพทย์ชั้นนำริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีหรือจะไม่รู้ แต่ร่วมกันหลอกลวงและมอมเมาประชาชนเพียงเพื่อต้องการได้คะแนนเสียง"
    เขาระบุด้วยว่า ขอย้อนพูดในส่วนของการเก็บภาษี ในฐานะที่เป็นนักเรียนเก่าเยอรมัน ภาษีของเยอรมันไม่ได้สูงแค่ในส่วนของ vat หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม เยอรมันเป็นหนึ่งในประเทศที่มีภาษีย่อยและเยอะมาก เก็บภาษีทุกอย่าง แม้แต่ภาษีวิทยุ ภาษีโทรทัศน์ และภาษีอินเทอร์เน็ต ถ้าพูดไปหลายคนคงไม่เข้าใจ เพราะภาษีเหล่านี้ไม่ได้มีการนำมาใช้ในประเทศไทย ยกตัวอย่างภาษีวิทยุ เช่น หากคุณเอมีรถ 1 คัน และในบ้านมีวิทยุ 2 ตัว นั่นหมายถึงว่าใน 1 เดือนคุณเอจะต้องจ่ายค่าภาษีวิทยุทั้งหมด 3 หน่วย เพราะแม้แต่วิทยุในรถก็ถือว่าเป็นภาษีหนึ่งหน่วย จะเห็นได้ว่าภาษี และครอบคลุมทุกอย่างมาก หากทำอย่างนี้กับคนไทย แน่นอนว่าคงโวยวายกันทั้งประเทศ.

รุมอัดผบ.ทบ.เอียงนักการเมืองตื่นหนักแผ่นดิน

วางตัวเป็นกลาง เด็กเพื่อไทยขู่เช็กบิลหากกลับมาใหญ่ “อดีตคนตุลา” สับเปิดเพลงหนักแผ่นดินตอกลิ่มความแตกแยก กลิ่นรัฐประหารโชยมา “พรรคเพื่อชาติ” มันส์ปากลาก "บิ๊กจ๊อด" มาขย่ม อนาคตใหม่ย้ำรื้อกฎหมายอัยการศึก-จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม  
    เมื่อวันอังคาร ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้บอกให้ผู้ที่เสนอตัดงบกระทรวงกลาโหมและงบกองทัพให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน โดยที่วัดวชิรธรรมาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์สั้นๆ หลังเสร็จสิ้นพิธีปลูกหน่อพระศรีมหาโพธิเนื่องในวันมาฆบูชาว่า ผบ.ทบ.เขาไม่ได้ลงมาขัดแย้งด้วยหรอก
    ขณะที่ซีกนักการเมืองนั้นก็มีการตอบโต้คำกล่าวของ พล.อ.อภิรัชต์อย่างมาก โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า การนำเสนอนโยบายต่างๆ รวมไปถึงเรื่องของกองทัพก็สามารถทำได้ ปชป.เองก็มีนโยบายเกี่ยวกับกองทัพเรื่องที่จะมีพลทหารที่สมัครใจ การปรับลดงบประมาณ ปรับแนวทางในการทำงานบางอย่าง แต่ว่าเราก็พยายามนำเสนอในแนวทางที่ไม่นำไปสู่ความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น 
    “ท่าน ผบ.ทบ. ท่านเองก็เป็นข้าราชการ ก็อยากให้ท่านชัดเจนว่าท่านมีความเป็นกลางทางการเมือง แต่ถ้าหากท่านมีประเด็นอะไรที่ท่านมองว่าเกี่ยวข้องกับองค์กรของท่านที่เป็นข้อเท็จจริง อยากชี้แจงก็อยากให้ทำแบบนั้นมากกว่า แล้วทุกฝ่ายจะได้ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเองไป" นายอภิสิทธิ์กล่าว และว่าถึงกรณี ผบ.ทบ.ไล่ให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน ว่ายังไม่ได้เห็นการสัมภาษณ์ละเอียด แต่ส่วนตัวไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องอารมณ์หรืออย่างใด 
    ด้านนายนคร มาฉิม ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก พรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “หนักแผ่นดิน อาจเป็นเหยื่อล่อของระบอบเผด็จการ” ว่า พล.อ.อภิรัชต์อย่าลุแก่อำนาจ ตำแหน่ง ผบ.ทบ. และตำแหน่งเลขาธิการ คสช. ไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจของประชาชน ให้จำไว้ คุณลุแก่อำนาจเกินไปแล้ว กรุณาเกรงใจเจ้าของเงินที่เลี้ยงดูคุณ ครอบครัวของคุณ คือประชาชนผู้เสียภาษีดูแลคุณด้วย พล.อ.อภิรัชต์ไม่ควรแม้แต่น้อยที่จะกล่าวหานักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนว่าเป็นคนหนักแผ่นดิน เพราะนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งคือผู้ได้รับมอบอำนาจจากประชาชน เป็นเจ้านายของพวกคุณ
ขู่เช็กบิล"บิ๊กแดง"
    “หากสำนึกได้ ก็ให้หันกลับมารับใช้ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยเสีย คุณอาจได้รับการให้อภัยจากประชาชน แต่หากยังฝืนกระแสประชาชนรับใช้เผด็จการอยู่ต่อไป อนาคตอาจไม่ดีเหมือนที่คุณเป็นอยู่ เพราะประชาชนคงไม่ปล่อยให้ระบอบเผด็จการให้อยู่อย่างลอยนวลแน่ จึงขอให้พี่น้องประชาชนใช้ความอดทน อย่าให้พวกเผด็จการและลิ่วล้อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความขัดแย้งเกิดความรุนแรงตามที่พวกเขาต้องการ เพื่ออ้างเป็นเงื่อนไขว่าเมื่อไม่สงบก็ไม่ต้องเลือกตั้ง และอาจเป็นเหตุผลอ้างทำการยึดอำนาจซ้อนขึ้นมาอีก” นายนครโพสต์ไว้
    ขณะที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวเช่นกันว่า ผบ.ทบ.พูดอย่างนี้ไม่ได้ เท่ากับแสดงความไม่เป็นกลางทางการเมือง ถือว่าผิดกฎหมาย ผิดระเบียบข้าราชการ โดยข้าราชการจะแสดงความไม่เป็นกลางทางการเมืองไม่ได้ มาพูดให้ร้าย พูดไม่ดี ต่อพรรคการเมืองที่เสนอลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม แต่มากกว่านั้นคือความไม่เข้าใจในกติกาต่อระบอบกติกาในการเลือกตั้ง การเสนอความคิดเห็นดังกล่าว หน่วยราชการนั้นๆ ไม่ควรแสดงท่าทีต่อต้าน ผบ.ทบ.ควรประพฤติตนเสียใหม่
    “ผมอยู่ในเหตุการณ์ตอนปี 2519 ไม่รู้ว่าตอนนั้น ผบ.ทบ.เข้าโรงเรียนเตรียมทหารหรือยัง เพลงนี้เป็นเพลงปลุกระดมให้คนไทยฆ่ากัน ผมฟังหลายเดือนในปี 2519 สุดท้ายจบลงที่รัฐประหาร สังหารหมู่นักศึกษา ประชาชน เป็นเหตุการณ์สร้างความเจ็บปวดให้สังคมไทย การหยิบเพลงนี้ขึ้นมา ทำให้เกิดความแตกแยก อาจทำให้คนเข่นฆ่ากัน ผบ.ทบ.ควรปกป้องประเทศไม่ใช่สั่งให้ไปเปิดเพลงจะทำให้คนไทยฆ่ากันเองหรืออย่างไร” นายจาตุรนต์ระบุ
    นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พรรค ทษช. กล่าวว่า ผบ.ทบ.ในฐานะที่เป็นประชาชนจะสนับสนุนใครหรือรักคนใดคนหนึ่งเป็นสิทธิโดยชอบธรรมในวันลงคะแนน แต่ในฐานะ ผบ.ทบ.ขอให้รักษาความเป็นกลาง ความสง่างาม ความน่าเชื่อถือของกองทัพไว้ให้มั่นคง การที่แสดงออกอย่างหนึ่งอย่างใดให้คนเข้าใจว่าเป็นการส่งสัญญาณสนับสนุนว่าที่นายกฯ หรือผู้สมัครจากบางพรรคการเมืองนั้น อาจทำให้คนสับสน เป็นการส่งสัญญาณไปยังกำลังพลหรือไม่ คงไม่มีใครอยากให้เกิดบรรยากาศแบบนี้
    “ใครจะหนักแผ่นดินหรือไม่ พูดกันไปกันมาไม่จบ การตัดสินใจประชาชนวันที่ 24 มี.ค. น่าจะตอบอะไรได้บ้าง หลายปีที่ผ่านมา งบกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ชาวบ้านเลยถามว่างบเพิ่มขนาดนี้ ไม่มีช่วงโปรโมชั่นลด 10% บ้างหรือ พอมีคนพูดขึ้นมา ท่านก็โมโหโกรธา” นายณัฐวุฒิกล่าว   
ผวา!รัฐประหารอีก
    ด้านนายสุธรรม แสงประทุม ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ทษช. และอดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวเช่นกันว่า เป็นหนึ่งในคนที่ได้ฟังเพลงนี้ตอนปี 2519 ปลุกกระแสคลั่งชาติ ต่อมาเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ ส่วนหนึ่งล้วนมาจากการเปิดเพลงนี้ ขนาดสมัยนั้นมีเพียงสถานีวิทยุเพียงอย่างเดียว ผิดกับวันนี้ การสื่อสารไปไกลมาก แผลเป็นจากวันนั้น ในวันนี้ยังไม่ได้รับการเยียวยา แล้วจะมารื้อเพื่อจะสร้างแผลใหม่อีกทำไม การที่มีการตอบโต้สั่งให้เปิดเพลงหนักแผ่นดิน แม้ต่อมาจะสั่งยกเลิกไม่ให้เปิดแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ไม่อยากเห็นเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่คนไทยฆ่ากันเหมือนในอดีต
    ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในฐานะผู้สนับสนุนพรรคเพื่อชาติ (พ.ช.) กล่าวว่า ต้องยอมรับความจริง เมื่อมีการยึดอำนาจทุกครั้งงบประมาณกระทรวงกลาโหมจะเพิ่มขึ้นทุกครั้ง ไม่สอดคล้องกับความเดือดร้อนประชาชน ถามว่าความอดอยากของประชาชนกับเรือดำน้ำอันไหนมีความสำคัญกว่า และการจะนำงบประมาณไปแก้ไขปัญหาความยากจน ไม่ใช่เป็นคนหนักแผ่นดิน หลักคิดนี้ไม่ใช่หลักคิดของคนหนักแผ่นดิน แต่มันสอดคล้องกับความเดือดร้อนของประชาชน บรรดาผู้นำเหล่าทัพควรมองโลกอย่างกว้างๆ แล้วมองด้วยความเป็นจริงว่า ขณะนี้เราไม่มีศึกสงคราม แต่ประชาชนจนจริง เดือดร้อนจริง
    “เพลงหนักแผ่นดินเป็นเพลงที่แต่งขึ้นและเผยแพร่ใน พ.ศ.2518 ด้วยเจตนารมณ์สร้างความแตกแยกภายในชาติ แบ่งซีกขวาและซ้าย เป็นแนวความคิดขวาพิฆาตซ้าย อันนำไปสู่เหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 เพราะฉะนั้นเพลงนี้นำไปสู่ความแตกแยกภายในชาติ เมื่อได้ยินเพลงนี้ทีไรจะตามมาด้วยการรัฐประหารทุกครั้ง วันนี้เราควรลดเงื่อนไขต่างๆ ขอเสนอให้ตามหาเพลงคืนความสุขมาเปิดแทน หรือไม่กล้าเปิด เพราะเพลงคืนความสุขฟ้องว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นความจริง” นายจตุพรกล่าว
    น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรค พ.ช.กล่าวว่า เมื่อมีพรรคการเมืองเสนอนโยบายตัดงบกองทัพ หรือทำกองทัพให้เล็กลงตามแนวโน้มโลกอนาคตให้ประชาชนพิจารณา พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าอย่าพูดเอาสนุกปาก นี่คือลักษณะเผด็จการ ไม่รับฟังความคิดเห็นและเหตุผลของผู้อื่น ส่วนผู้นำกองทัพซึ่งตามกฎหมายต้องทำตัวเป็นกลางทางการเมือง กลับออกมาตำหนิผู้เสนอว่าให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน ซึ่งในฐานะคนรุ่นใหม่ที่อายุไม่ถึง 30 ปี อยากถามว่าเป็นสิ่งสมควรหรือไม่ สำหรับผู้ที่หาเลี้ยงชีพด้วยเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศจะออกมาพูดเช่นนี้
    น.ส.พรพรหม พรหมชาติ รองโฆษก พ.ช. กล่าวว่า เพลงหนักแผ่นดินเหมาะกับคนรับราชการที่หาเลี้ยงชีพด้วยการรับเงินเดือนภาษีจากประชาชนทั้งชีวิต แต่พอเสียชีวิตมีการฟ้องแย่งทรัพย์สินกว่า 4,000 ล้านระหว่าง 2 ภรรยา คนแบบนั้นเรียกหนักแผ่นดินของจริง เพราะรับราชการทั้งชีวิต ถ้าไม่ใช้เงินเดือนเลยตลอดชีวิตราชการ จะมีทรัพย์สินไม่เกิน 10 ล้านบาท ไม่ใช่ 4,000 ล้านบาท ที่ไม่รู้ว่ามีที่มาจากที่ใด 
    “ส่วนคนอีกพวกที่เหมาะกับเพลงหนักแผ่นดินที่สุดคือคนที่ไม่เคารพกติกาการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ คือพวกไม่เคารพกฎหมาย คนที่ชอบฉีกรัฐธรรมนูญ ผบ.ทบ.รู้จักไหมคน 2 ประเภทนี้ ช่วยไปแนะนำให้เขาเปิดเพลงหนักแผ่นดินให้ลูกหลานเขาฟัง” รองโฆษก พ.ช.กล่าว
    ทั้งนี้ กรณีฟ้องแย่งทรัพย์สิน 4,000 ล้านบาทนั้น หมายถึงภรรยา 2 คน ของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ หรือบิ๊กจ๊อด อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) และอดีตประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) บิดาของ พล.อ.อภิรัชต์ ซึ่ง พล.อ.สุนทร คือบุคคลที่นายทักษิณ ชินวัตร เคยระบุว่า "ถ้าไม่มีพี่ชายผมคนนี้ ก็ไม่มีวันนี้”
รื้ออัยการศึก-จัดระเบียบกห.
    ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) อดีตแกนนำนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ กล่าวถึงนโยบายพรรคในการปฏิรูปกองทัพ ว่าจะแก้ไขกฎหมายการประกาศใช้กฎอัยการศึก การปรับปรุงพระราชบัญญัติจัดระเบียบข้าราชการกระทรวงกลาโหม โดย พ.ร.บ.กฎอัยการศึกเป็นกฎหมายเก่าแก่ออกมาตั้งแต่ พ.ศ.2457 ตั้งแต่สมัย ร.6 เป็นกฎหมายสมัยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ตกทอดมาถึงระบอบประชาธิปไตย ซึ่งต้องแก้ทั้งฉบับให้อำนาจการประกาศกฎอัยการศึกต้องเป็นของรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง ตามหลักรัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือทหาร 
    “การใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกต้องถูกตรวจสอบ ต้องมีการรับผิดด้วย ต้องเขียนให้ชัดว่าให้ตรวจสอบอำนาจทหารในยามประกาศใช้กฎอัยการศึกด้วย” นายปิยบุตรกล่าว และว่า พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมปี 2551 ที่ออกมาในยุครัฐประหาร นี่คืออีกหนึ่งมรดกที่ออกมาตอนรัฐประหารปี 2549 ที่เอาทหารขึ้นมาเหนือรัฐบาลพลเรือน ทำให้การเมืองไทยเป็นเรื่องของทหาร เราจึงมีนโยบายที่จะแก้โดยให้ประชาชนตัดสินใจ อันเป็นตามหลักรัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือทหารที่เป็นหลักสากล ถ้าคุณเอารัฐบาลทหารมาอยู่เหนือพลเรือน คุณไม่มีวันบริหารประเทศได้แน่นอน เพราะรอยึดอำนาจคุณได้ทุกวัน" เลขาธิการพรรค อนค.ระบุ
    ส่วนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ในฐานะประธานคณะทำงานเดินรณรงค์เชิญชวนประชาชนเป็นสมาชิกพรรค กล่าวว่า นักการเมืองต้องระมัดระวังในการพูดจา จะสังเกตดูพรรค รปช. เรากำชับลูกพรรคเลยว่าไม่ให้ไปด่าหรือโจมตีใคร เราไม่ทำ เรายึดในหลักของเรา เรามีอุดมการณ์อย่างไร มีเป้าหมายในการทำงาน มีนโยบายอย่างไร เราพูดอย่างนั้น แต่ว่าถ้านักการเมืองไปพูดแล้ว ก้าวล่วงไปถึงคนอื่นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องถูกตอบโต้ 
    “เคยฟังและชอบ เพราะเป็นเพลงที่เตือนสติคนว่าเวลาที่คุณคิดจะทำอะไร ต้องคิดถึงว่ามีผลกระทบต่อบ้านเมืองส่วนรวมหรือไม่ อย่างไร ถ้าคุณคิด คุณพูด คุณประพฤติ ในสิ่งที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย คุณก็เป็นคนหนักแผ่นดิน ก็ธรรมดา ผมเป็นกำนันอยู่ช่วงที่เพลงนี้ออกมา เขาปลุกให้คนรักชาติ รักแผ่นดิน มีเพลงหลายเพลงออกมาพร้อมๆ กัน” นายสุเทพกล่าวถึงเพลงหนักแผ่นดิน
    วันเดียวกัน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ประชาชนทุกระดับมีความตื่นตัวทางการเมือง โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้และเข้าใจการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น สำหรับสถานการณ์ก่อนการเลือกตั้ง ยังมีบางพรรคการเมืองพยายามหาเสียงจากประชาชนด้วยพฤติกรรมทางการเมืองแบบเดิมๆ คือการสาดโคลนป้ายสีให้ร้ายยั่วยุกันไปมา แสดงภูมิปัญญาและวุฒิภาวะผู้นำที่ไม่สร้างสรรค์ นำบางประเด็นมาเชื่อมโยงโน้มน้าวเรียกคะแนนเสียงจากประชาชน ดึงสถาบันต่างๆ เข้าไปเกี่ยวข้อง โดยไม่คำนึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น 
    "อีกทั้งพยายามลิดรอนเกียรติภูมิทหารและกองทัพ ซึ่งเป็นสถาบันหลักด้านความมั่นคงของประเทศ และเป็นที่พึ่งของประชาชนในยามประเทศชาติเกิดปัญหา หรือแม้กระทั่งปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่บานปลายนำมาซึ่งความอ่อนแอของกลไกของอำนาจรัฐ สถาบันหลักของชาติ และความแตกแยกของประชาชนภายในชาติ ผมขอความร่วมมือกันทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ใช้ความระมัดระวัง ไม่ยั่วยุบิดเบือนให้เกิดความแตกแยกทางสังคม ดังเช่นบทเรียนที่มีร่วมกันในอดีต พร้อมกันนี้กระทรวงกลาโหมยืนยันว่า กองทัพเป็นของประชาชน และเคารพการตัดสินของประชาชนในวิถีประชาธิปไตย  พร้อมรับฟังทุกความคิดเห็นที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ เพื่อพัฒนากองทัพและงานความมั่นคง" พล.ท.คงชีพกล่าว.