PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

เดียร์ โพสFb ว่าด้วยการเรียกปรับทัศนคติ



ขัตติยา สวัสดิผล@via
นับแต่มีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จนถึงวันนี้...ก็เป็นเวลากว่า 600 วันแล้วค่ะ ที่รัฐบาลทหารยังคงเรียกตัวบุคคลที่ใช้เสรีภาพในการแสดงออกของตน (ที่แม้จะมีอยู่เพียงน้อยนิด) ไป “ปรับทัศนคติ” แบบไม่หยุดหย่อน เดียร์ไม่แน่ใจว่า...ทางรัฐบาลทหารเคยลองคิดน้อมรับความเห็นหรือคำวิจารณ์ เพื่อนำไปหาแนวทางในการบริหารประเทศหรือหาแนวทางในการปรองดองอย่างที่ปากบอกว่าต้องการหรือไม่ แต่เดียร์ว่าประชาชนทั่วไปน่าจะคิดได้ว่า...วิธีแบบไหนจะทำให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า และแบบไหนจะทำให้ประเทศถอยหลังลงคลอง และการกระทำแบบไหนคือการทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน และแบบไหนคือการกระทำเพื่อต่ออำนาจให้ตัวเองและพวกพ้อง
จากที่สัมผัสมา...นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี รวมถึงส.ส. (โดยเฉพาะที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน) ถือหลักว่าทุกคะแนนเสียงที่ประชาชนเลือกเราให้เข้าไปเป็นตัวแทนเขาในสภานั้นมีคุณค่า ผู้ที่ได้รับเลือกเข้าไปจึงต้องตั้งใจทำงานเพื่อตอบแทนทุกคะแนนเสียงที่มีให้ และแม้จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว (ไม่ว่าจะด้วยการยุบสภาหรือโดนปล้นไปก็ตาม) หน้าที่หลักในการพูดแทนประชาชน เป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน และสะท้อนความทุกข์ร้อนของประชาชนให้ดังขึ้นเพื่อรับการแก้ไขนั้น ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ติดตัวอดีตนายกฯ อดีตรัฐมนตรี และอดีตส.ส. อยู่ตลอดเวลา
เช่นเดียวกับกรณีของพี่เงาะ (วรชัย เหมะ) และอาไก่ (วัฒนา เมืองสุข) ค่ะ ทั้งคู่เป็นอดีตส.ส. และตัวอาไก่เองก็เป็นอดีตรมต. ด้วย ที่แม้จะถูกข่มขู่จากรัฐบาลทหารหลายต่อหลายครั้งเกี่ยวกับการออกมาแสดงความเห็นทางการเมือง แต่การที่ทั้งคู่ออกมาเสนอความคิดหรือตั้งคำถามไปยังรัฐบาลนั้นก็ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อสะท้อนความคิดหรือคำถามของประชาชนให้รัฐบาลทหารได้ฟัง และเพื่อให้รัฐบาลทหารได้ตอบคำถามในสิ่งที่ประชาชนอยากรู้ เดียร์จึงขอส่งกำลังใจจากโพสต์นี้ของเดียร์ไปยังอาไก่และพี่เงาะนะคะ
เดียร์ว่า...ให้โอกาสเราได้พูด ได้แสดงความเห็น ได้สะท้อนความคิดของประชาชนให้ท่านฟังบ้างเถอะค่ะ
เพราะสุดท้ายแล้วไม่ใช่นักการเมืองแต่เป็นประชาชนนี่แหละ
ที่จะเป็นคนเลือกทางเดินให้กับประเทศ

'วรเจตน์' เตรียมขึ้นศาลทหาร สืบพยานคดีฝ่าฝืนรายงานตัวคสช.

'วรเจตน์' เตรียมขึ้นศาลทหาร สืบพยานคดีฝ่าฝืนรายงานตัวคสช.
พรุ่งนี้( 29 มีนาคม 2559) ศาลทหารกรุงเทพนัดสืบพยานคดี ฝ่าฝืนคำสั่งเรียกรายงานตัวตามประกาศคสช. ที่ 5/2557 ของวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พยานในนัดนี้คือ ร.ท. เอกชัย บุญประเทืองวงศ์ ทหารจากกองทัพภาคที่ 1 ทำหน้าที่รับตัววรเจตน์ไปที่หอประชุมกองทัพบกเทเวศน์
โดยสืบพยานนัดนี้ถูกเลื่อนจากวันที่ 28 ตุลาคม 2558 หลังพยานมีปัญหาเรื่องเอกสาร
คดีนี้ย้อนไปเมื่อหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ประกาศเรียกวรเจตน์ให้มารายงานตัวตามประกาศ ที่ 5/2557 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 แต่วรเจตน์ไม่สามารถเข้ารายงานภายในกำหนด กระทั่ง16 มิถุนายน 2557 วรเจตน์ประสานงานกับเจ้าหน้าทหารเพื่อเข้ารายงานตัว ก่อนจะถูกแจ้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่งรายงานตัวฯ
อีกสองวันถัดมา เจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามนำตัววรเจตน์ ไปยังศาลทหารกรุงเทพฯ เพื่อยื่นขอฝากขัง ศาลทหารอนุมัติฝากขัง วรเจตน์จึงถูกนำตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และครอบครัวยื่นหลักทรัพย์เงินสด 20,000 บาทเพื่อขอประกันตัว ต่อมาศาลมีคำสั่งอนุญาตประกันตัว กำหนดเงื่อนไขห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง ต้องขออนุญาตก่อนออกนอกราชอาณาจักรและให้มารายงานตัวตามวันที่นัดหมาย
หลังครบกำหนดรายงานตัว สิงหาคม 2557 อัยการทหารสั่งฟ้อง วรเจตน์ 2 ข้อหา คือ ความผิดฐานไม่เข้ารายงานตัวตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 5/2557 และ 57/2557
ทั้งนี้ศาลอนุญาตให้ประกันตัว ในวงเงินประกันตัว 20,000 บาท ซึ่งในชั้นสอบคำให้กาาร วรเจตน์ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาขอสู้คดี
24 พฤศจิกายน 2557 นัดตรวจพยานหลักฐาน ทนายความวรเจตน์ ยื่นคำร้องในประเด็นที่ว่าประกาศคสช. ฉบับที่ 37/2557 และ38/2557 ที่ให้คดีอยู่ในอำนาจของศาลทหารนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 และขัดกับหลักกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ไอซีซีพีอาร์) ซึ่งมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญฯ กำหนดให้พันธะกรณีที่ไทยมีอยู่นั้นต้องผูกพันด้วย จึงทำคำร้องขอให้ศาลทหารส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ประกอบพ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498
ซึ่งศาลทหารได้รับคำร้องนี้ไว้ กระทั่ง 26 มกราคม 2558ศาลทหารยกคำร้องโดยระบุว่าศาลทหารเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามประกาศของคสช.และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2557 บัญญัติให้ความคุ้มครองสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองตามกติการะหว่างประเทศไว้แล้วจึงไม่ขัดต่อบทบัญญัติของพันธะสัญญาระหว่างประเทศตามที่วรเจตน์อ้างมา ประกอบกับตามรัฐธรรมนูญฯ มีบทบัญญัติให้อำนาจเฉพาะศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ หรือศาลปกครองสูงสุดเท่านั้น ที่จะส่งความเห็นหรือคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดว่าบทบัญญัติใดขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญหรือไม่ จึงไม่มีบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลทหารมีอำนาจหน้าที่ต้องส่งความเห็นหรือคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ดังนั้นคำร้องจึงตกไป
หลังจากนั้นศาลจึงตรวจพยานหลักฐาน อัยการโจทก์ขอนำพยานเข้าสืบ 7 ปาก ส่วนพยานของวรเจตน์ มี 6 ปาก โดยกว่าคดีจะเริ่มสืบพยาน ก็เดือนพฤษภาคม 2558 เเล้ว ก่อนหน้านี้สืบพยานไปทั้งสิ้นเพียง 2 ปาก
ตามอ่านรายละเอียดคดีวรเจตน์ทั้งหมดได้ที่ -->http://freedom.ilaw.or.th/th/case/618

ยโส โง่ หรือระยำ?

27มีนาคม 2559
โดย ไสว บุญมา

ยุคนี้มีสิ่งดีๆ มากมายรวมทั้งสังคมออนไลน์ด้วย ผู้เข้าถึงอาจใช้สังคมออนไลน์ทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อเป้าหมายหลากหลายอย่าง หนึ่งในนั้นได้แก่การรำพึงความรู้สึกลึกๆ ออกมาเมื่อไม่แน่ใจว่าจะมีผู้รับฟังหรือไม่ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีผู้ส่งรายงานใน “โพสต์ทูเดย์” เรื่อง “ธปท.แจงนำทุนสำรองลงหุ้นไม่แตะเงินบริจาคหลวงตาบัว” ผมรู้สึกอึดอัดใจ แต่ไม่รู้จะพูดกับใครจึงนำไปรำพึงไว้ในสังคมออนไลน์เฟซบุ๊กพร้อมกับคำถามสั้นๆ ว่า “ยโส โง่ หรือระยำ?” หลังจากนั้นไม่นาน ปรากฏว่ามีผู้เข้าไปตอบคำถามว่า “ระยำ” บ้าง “ทั้งสามอย่าง” บ้าง จำนวนมากไม่ตอบ แต่ออกความเห็นไปในทางแย้งแนวคิดที่จะนำทุนสำรองของชาติไปซื้อหุ้น 
ยโส โง่ หรือระยำ?
(เครดิตโพสต์ทูเดย์)
        ความอึดอัดใจของผมมีที่มาที่ไปหลากหลายและยาวนาน เกี่ยวกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ความเชื่อมั่นอันยาวนานของผมตั้งแต่ครั้งที่ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ยังดำรงตำแหน่งผู้ว่าการฯ สั่นคลอนเมื่อตอนก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ในช่วงนั้นผมไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ธปท.จึงมองไม่เห็นว่าอาจเกิดอะไรร้ายแรงเมื่อเปิดเสรีทางการเงินผ่านองค์กรที่ตั้งขึ้นใหม่ชื่อ “กรุงเทพวิเทศธนกิจ” และเพราะอะไรจึงปล่อยให้คนไทยกู้เงินตราต่างประเทศจำนวนมหาศาลมาเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์และสมาชิกสนามกอล์ฟกันอย่างกว้างขวางจนเกิดภาวะฟองสบู่
       
       การกู้เงินชาวบ้านมาเก็งกำไรเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดวิกฤตเมื่อฟองสบู่แตก ผู้เก็งกำไรมีอยู่ทั่วไปในทุกวงการ รวมทั้งข้าราชการและนักเศรษฐศาสตร์ที่มีปริญญาระดับดุษฎีบัณฑิต ยิ่งกว่านั้น ธปท.ยังมีบทบาทสำคัญในการดำเนินกลยุทธ์ผิดพลาดอย่างมหันต์ นั่นคือ การทุ่มทุนสำรองกว่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ที่มีอยู่ต่อสู้กับนักโจมตีค่าเงินบาท กลยุทธ์จะเกิดจากความยโส หรือความโง่ยากที่จะฟันธง ส่วนผลลัพธ์ย่อมเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วหลังเมืองไทยสูญทุนสำรองของประเทศจนเกือบหมดสิ้นและเดินเข้าสู่ภาวะกึ่งล้มละลายจนแทบจะต้องนำดอกไม้ใส่พานไปขอยืมเงินจากต่างชาติ รวมทั้งจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มาเป็นทุนสำรองชั่วคราวเมื่อปี 2540 การไปยืมเงินครั้งนั้นทำให้ไทยต้องขายทรัพย์สินสารพัดซึ่งยังมีผลยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น ยังมีผลทำให้นักการเมืองสามานย์นำไปอ้างเอาหน้าว่าใช้หนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนดเวลาอีกด้วย
       
       รายละเอียดของกระบวนการที่นำไปสู่การสูญทุนสำรองและวิกฤตครั้งนั้นมีอยู่ในหนังสือที่คนไทยทุกคนควรอ่านอย่างยิ่งชื่อ “รายงาน ศปร.”หากผู้ใดไปเปิดอ่านในตอนนี้ ขอเสนอให้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการประชุมลับสุดยอดเรื่องค่าเงินบาทที่หน้า 140-141 ด้วยความพินิจพิจารณาเป็นพิเศษ นอกจากนั้น ควรดูด้วยว่า ธปท.ดัดหลังชาวต่างชาติที่โจมตีค่าเงินบาทอย่างไรผ่านการใช้มาตรการรุนแรงที่หน้า 126-127 ข้อมูลเหล่านั้นบ่งชี้ว่า ผู้ที่ทำกำไรได้มหาศาลจากการโจมตีค่าเงินบาทน่าจะเป็นนักเก็งกำไรชาวไทย มิใช่นักเก็งกำไรชาวต่างชาติซึ่งอาจเป็นแพะรับบาปมากกว่า อย่างไรก็ตาม การดัดหลังชาวต่างชาติสำเร็จครั้งนั้นเป็นเสมือนการรบชนะในสมรภูมิขนาดเล็กที่ไม่น่าภูมิใจเพราะเมืองไทยแพ้สงครามในตอนจบเมื่อทุนสำรองหมด ต้องลดค่าเงินบาทและเดินเข้าสู่ภาวะกึ่งล้มละลายและวิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรง 
ยโส โง่ หรือระยำ?
        หลังจากเศรษฐกิจฟื้นคืนชีพจากวิกฤต เมืองไทยเริ่มสะสมทุนสำรองรวมทั้งทองและเงินตราต่างประเทศที่หลวงตามหาบัวได้นำทำผ้าป่ามามอบให้ ทุนสำรองกองใหม่นี้ใหญ่กว่ากองที่สูญไปตอนก่อนวิกฤตมาก เพียงไม่นานจึงมีการเสนอให้ดึงส่วนหนึ่งของทุนสำรองกองใหม่ออกมาตั้ง “กองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ” ในแนวเดียวกันกับที่ชาวต่างประเทศทำ ผมคัดค้านแนวคิดนั้นแบบหัวชนฝามาตลอดผ่านการพูดและการเขียนบทความลงตามสื่อหลายแห่ง เหตุผลที่ผมคัดค้านมีอยู่ 3 ประการหลักๆ ด้วยกัน
       
       ประการแรก ผมไม่เห็นด้วยกับการนำทุนสำรองของชาติไปซื้อสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงกว่าตราสารจำพวกพันธบัตรรัฐบาลประเทศใหญ่ๆ แทบที่ไม่มีความเสี่ยงเพราะโอกาสที่ประเทศเหล่านั้นจะไม่ใช้หนี้มีเพียงใกล้ศูนย์
       
       ประการที่สองผมไม่มั่นใจในความสามารถของผู้บริหารและคณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นมาดูแลกองทุนดังกล่าว จริงอยู่ ธปท.มีนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความสามารถสูงซึ่งจำนวนหนึ่งธนาคารให้ทุนสนับสนุนไปเรียนจนสำเร็จจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศ แต่ความสามารถของนักเศรษฐศาสตร์เหล่านั้นมาจากตำรามากกว่ามาจากประสบการณ์ในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีความสลับซับซ้อนสูงมากและเต็มไปด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรดในด้านการลงทุน ปั่นหุ้นและเก็งกำไร ความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในการต่อสู้กับนักโจมตีค่าเงินเมื่อปี 2540 เป็นตัวชี้วัดอย่างดี นอกจากนั้น ยังมีตัวอย่างที่ข้าราชการบำนาญคงไม่ลืมเกี่ยวกับความสูญเสียในกองทุนบำเหน็จบำนาญซึ่งครั้งหนึ่งผู้บริหารคุยนักคุยหนาว่ามีความสามารถเหนือชั้น แต่ก่อนจะรู้ว่านั่นเป็นเพียงความยโสอันน่าอับอายก็สายเกินไปแล้ว
       
       จริงอยู่ ธปท.อาจจ้างผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญสูงจากต่างประเทศได้ แต่นั่นไม่ใช่ประกันที่พึ่งได้เสมอไป สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้ติดตามกิจการบริหารกองทุนในต่างประเทศ ขอเรียนว่าจำนวนมากมิได้ทำกำไรได้ดังคำเล่าลือ แม้แต่ผู้ที่มีสมญานามว่าพ่อมดการเงิน เช่น จอร์จ โซรอส ยังขาดทุนครั้งละเป็นพันล้านดอลลาร์ได้ ตัวอย่างที่ร้ายกว่านั้นคือ กองทุนขนาดใหญ่ที่มีนักเศรษฐศาสตร์ชั้นรางวัลโนเบลถึงสองคนเป็นแกนนำยังล้มไม่เป็นท่า ผู้สนใจอาจไปอ่านรายละเอียดในหนังสือชื่อ “When Genius Failed” 
ยโส โง่ หรือระยำ?
        ประการที่สาม ผมไม่มั่นใจในความซื่อตรงของผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเหล่าต้นคิดที่ผลักดันให้ตั้งกองทุนมาเป็นเวลานาน ผมมองว่าคนเหล่านั้นมีวาระซ่อนเร้น หรือจิตใจระยำพร้อมที่จะนำสมบัติของชาติไปใส่กระเป๋าตนเองด้วยวิธีแยบยลที่คนไทยโดยทั่วไปไม่มีทางตามทัน ในปัจจุบัน คนเหล่านั้นจึงมักมีบัญชีมากมายอยู่ในแหล่งฟอกเงินต่างๆ ทางหมู่เกาะบาฮามาส และเคย์แมน
       
       ความพยายามที่จะตั้งกองทุนมั่งคั่งดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะการคัดค้านจากเสียงนกเสียงกาของประชาชาชนเช่นผม หากเป็นการคัดค้านของผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบายของประเทศ เช่น อดีตผู้ว่าการ ธปท. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เนื่องจากตอนนี้รัฐบาลสามารถใช้อำนาจเผด็จการได้ การเปลี่ยนกฎหมายให้นำทุนสำรองไปซื้อหุ้นจึงเกิดขึ้นแบบแทบจะเป็นสายฟ้าแลบหลังเปลี่ยนผู้ว่าการฯ เมื่อเกิดเสียงคัดค้านหนาหูในสังคมออนไลน์ ผู้ว่าการฯ คนใหม่ออกมาแถลงว่าจะไม่แตะต้องทองและเงินที่หลวงตาหามาบริจาคให้ คำอธิบายจะพูดอย่างไรก็ได้ แต่หลังเปลี่ยนกฎหมายแล้วสูญเงินสำรองกองใหญ่ใครรับกรรม?
       
       การเสนอให้นำทุนสำรองของชาติไปซื้อหุ้นเป็นเสมือนการลงทุนจำพวก “หมาเห็นเงา” ที่เมืองไทยเรามักใช้ในนามของการพัฒนา การปล่อยของที่มีอยู่ในมือไปไม่ว่าจะเป็นการเกษตรแบบโบราณ ซึ่งผสมผสานหลายสิ่งหลายอย่างเข้าด้วยกันอันเป็นการลดความเสี่ยงและไม่ต้องใช้สารเคมี หรือการใช้สมุนไพรป้องกันโรค เพื่อหวังจะได้สิ่งที่มองว่าใหญ่หรือดีกว่าเป็นเสมือนหมาเห็นเงาโดยแท้ แม้การนำทุนสำรองของชาติออกไปซื้อหุ้นจะไม่มีความยโส ความโง่ หรือความระยำเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ค่าตอบแทนที่หวังจะได้กลับมาในอัตราสูงกว่าเป็นเพียงเงาในจินตนาการเท่านั้น 

สลน.เตรียมส่งมอบรถเบนซ์กันกระสุนรุ่นใหม่ !!! ให้นายกฯ 2 คัน



สลน.เตรียมส่งมอบรถเบนซ์กันกระสุนรุ่นใหม่ !!!
ให้นายกฯ 2 คัน วีไอพี 2 คัน กว่า 80 ล้าน !
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า จากกรณีที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์ รุ่น S600 Guard Sedan Long จำนวน 4 คัน จากบริษัท เมอร์เซเดสเบนซ์ จำกัด เป็นรถกันกระสุนคันละ 19.5 ล้าน รวมประมาณ 80 ล้านบาท โดย 2 คันแรกเพื่อใช้ในการรับรองแขกวีไอพีจากต่างประเทศ และเป็นรถประจำตำแหน่งใหม่ให้แก่นายกรัฐมนตรีจำนวน 2 คัน ซึ่งทางเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ตรวจดูรถแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
และวันเดียวกันนี้ เวลา 15.30 น. ทีมรักษาความปลอดภัยได้รับรถที่ใช้เป็นรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการจำนวน 2 คัน ทะเบียน 4 กด 29 กรุงเทพมหานคร และ 4 กต 29 กรุงเทพมหานคร จากสำนักสถานที่และรักษาความปลอดภัย (สสร.) ทำเนียบรัฐบาล
รายงานแจ้งว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ทำสัญญาจัดซื้อรถเบนซ์จำนวนดังกล่าวเมื่อ วันที่ 30 มิ.ย. 2558 เลขที่สัญญา 32/2558 อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ไม่มีข้อมูลระบุว่ารถยนต์จำนวนดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นรถประจำตำแหน่งบุคคลคนสำคัญในรัฐบาลหรือไม่ และจากการตรวจสอบพบว่ารถยนต์รุ่นดังกล่าวเป็นรุ่นล่าสุดของค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนีชนิดหุ้มเกราะกันกระสุนซึ่งเปิดตัวมาไม่นานมานี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้รถเบนซ์กันกระสุนส่วนตัวสีดำ ทะเบียน ญค 1881 กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ สำหรับรถประจำตำแหน่งของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นรถตู้โฟล์กกันกระสุนสีดำ ทะเบียน ฮภ 2923 กรุงเทพมหานคร ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์จะใช้เป็นครั้งคราวเท่านั้นเฉพาะเวลาที่นำรถเบนซ์ส่วนตัวเข้าเช็กสภาพ
.................
s.news

ว่าด้วย นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งที่ 3

Vachara Riddhagni 
วันนี้ฟังข่าวแล้วเศร้าใจ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งที่ 3 ของรัฐบาลเพื่อหวังให้คนไทยมีอำนาจการซื้อมากขึ้น ด้วยแนวคล้ายประชานิยมของระบอบทักษิณลยล่ะ
การขึ้นเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อย 1.5 หมื่นล้าน เพื่อหวังให้มีเม็ดเงินกระจายในช่วงสงกรานต์เพื่อให้คนไปเที่ยว กิน พักแรมและใช้จ่ายเต็มที่เพื่อเพิ่ม GDP ในที่สุดก็เอา GDP เป็นมาตรวัดความเจริญทางเศรษฐกิจอีกอย่างเคย
ใครๆก็คิดออกวิธีนี้ ผมก็คิดออก แต่มันย้อนแนวประหยัดและเก็บออม แต่ไม่ได้รักษาแนวเศรษฐกิจพอเพียง และมันเป็นแนวทางทุนนิยม 100 % โดยให้กับข้าราชการระดับล่างและกลางที่ไม่มีเงินประจำตำแหน่ง ซึ่งมีอยู่ 1 ล้านคน จะได้รับเงินเฉลี่ยคนละกว่า 1,000 บาท คาดว่าจะจ่ายเงินได้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายในช่วงวันหยุดยาว กระตุ้นการบริโภคทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เพิ่มเหมือนกับการลดภาษีช็อปปิ้งของรัฐบาลในช่วงส่งท้ายปีเก่า
เอาเป็นว่าใครได้อนิสงค์จากแนวทางนี้ จากเงิน 1,000 X 1 ล้าน และกระจายในหมู่พวกนายทุนเท่านั้น
1. ค่าเดินทางยังมีต้นทุนเท่าเดิม กรรมการและผู้ถือหุ้น ปตท.ได้อนิสงค์จากการใช้จ่ายน้ำมันเขื้อเพลิง
2. ค่าที่พัก นายทุนอสังหาริมทรัพย์และเจ้าของสถานที่พักได้อนิสงค์และมีอยู่ไม่มากนัก
3. การกินอยู่แบบซื้อของร้านซื้อสะดวกหรือ Modern trades นายทุนอุตสาหกรรมอุปโภคและบริโภคได้อนิสงค์ นายทุนผู้ถือหุ้นได้อนิสงค์
4. เจ้าของรถทัวได้อนิสงค์
5. ฯลฯ
หมายเหตุ ลูกจ้างในกลุ่มงานเหล่านี้ คงไม่ได้ค่าตอบแทนมากนักตามอัตราส่วนความรวยของนายทุน เพราะเป็นลูกจ้างรายวัน ไม่มีโบนัสหรือค่าตอบแทนพิเศษ
ข้อควารปฏิบัติอย่างกล้าหาญของรัฐบาล เน้นที่กล้าหาญครับ คือต้องลดต้นทุนการผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคให้ได้ ลดราคาเชื้อเพลิงและพลังงานให้ได้ ลดกำไรของปตท.อันเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารและผู้ถือหุ้นเท่านนั้น และรัฐวิสาหกิจที่ประชาชนพึ่ง เช่นค่าน้ำและค่าไฟ รฟท.และบขส.
หาดลดต้นทุนการผลิตสำเร็จ ราคาสินค้าลดลง ค่าครองชีพปกติลดลง กำไรของรัฐวิสาหกิจลดลง ค่าตอบแทนรัฐวิสาหกิจลดลง อำนาจการซื้อของประชาชนระดับล่างก็ดีขึ้นโดยทั่วไป ทั้งข้าราชการและผู้ใช้แรงงานและคนไทยทั่วไปครับ
ที่ผมเสนอนี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จแต่ปรัชญานั้นอยู่ที่ "ทำอย่างไรประชาชนถึงจะลดต้นทุนการดำรงชีพให้ได้" ไม่ใช่เอาใจแต่นายทุน หากนายทุนตายคนไทยไม่ได้ตายด้วยน่ะครับ เพราะจะมีคนอื่นมาลงทุนทดแทนทันที่ในอุตสาหกรรมนั้นๆเสมอ

อย่ามาโยนว่านายกฯต้องลาออกหากรธน.ไม่ผ่านประชามติ



เครียด.....
(25/3/59)บิ๊กตู่ ขู่ จัดการ พวกโยน นายกฯลาออก หากร่าง รธน.ไม่ผ่านประชามติถ้าไม่เรียบร้อย ผมต้องรับผิดชอบ พูดยังงี้อันตราย ระวังตัวไว้ ด้วยคนพูด ถาม มันเรื่องอะไรของคุณ ยอมรับ เครียดเหลือเกิน ผมเครียดมากทั้งการบริหารประเทศ ทั้งแก้ปัญหารัฐธรรมนูญ ทั้งการปฏิรูป คสช. เดี๋ยวเลือกตั้งอีก
พลเอกประยุทธ์. จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ยอมรับว่า วันนี้เครียดเหลือเกิน ผมเครียดมากทั้งการบริหารประเทศ ทั้งแก้ปัญหารัฐธรรมนูญ ทั้งการปฏิรูป คสช. เดี๋ยวเลือกตั้งอีก"
"มีบางคนบอกว่า ผมต้องรับผิดชอบให้ผมลาออก ถ้าพูดอย่างนี้อันตราย ระวังตัวไว้ ด้วยคนพูดอย่างนี้ บอกถ้าไม่เรียบร้อยไม่ผ่านผมจะต้องลาออก มันเรื่องอะไรของคุณ เดี๋ยวผมจะดำเนินการกับคุณทางกฎหมาย"

โฆษกคสช. แจงทหารเชิญตัว"วรชัย เหมะ"เข้ามทบ.11 เพราะพูดไม่สร้างสรรค์ ใช้คำเสียดสี ดูแคลน



โฆษกคสช. แจงทหารเชิญตัว"วรชัย เหมะ"เข้ามทบ.11 เพราะพูดไม่สร้างสรรค์ ใช้คำเสียดสี ดูแคลนบุคคลอื่นๆในลักษณะกล่าวหา หลัง จี้ นายกฯ บิ๊กตู่ ลาออก หาก ร่างรธน.ไม่ผ่านประชามติ
พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก คสช.กล่าวว่า จนท.จำเป็นต้องเชิญนายวรชัย เหมะ มาพูดคุย ที่ มทบ.11 เนื่องจากการให้ความเห็นในช่วงที่ผ่านมาส่วนใหญ่ดูไม่สร้างสรรค์ และใช้คำเสียดสี ดูแคลนบุคคลอื่นๆ ในลักษณะกล่าวหาขาดข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนบ่อยครั้ง
โดยภาพรวมของการแสดงออก อาจไปมีผลทำให้สังคมเข้าใจผิดในตัวบุคคลองค์กรที่ถูกพาดพิง ซึ่งอาจทำให้สังคมสับสนและเกิดความขัดแย้งได้
"พฤติกรรมโดยรวมดูไม่เป็นไปตามแนวทางการรักษาความสงบเรียบร้อย และไม่สอดคล้องกับบรรยากาศการเดินหน้าประเทศ "
ทั้งนี้ ถ้าไปไปตามแนวทางเดิม เราก็คงจะใช้การตักเตือน ทำความเข้าใจควบคู่ไปกับขอความร่วมมือเป็นลำดับแรก, โฆษกคสช.ระบุ
ทั้งนึ้ มีรายงานว่า การทหาร เชิญตัว"วรชัย เหมะ"จากบ้านพัก มา ปรับทัศนคติ ที่ มทบ.11 นั้น เพราะ นาย วรชัย จีนายกฯ ต้องลาออก ถ้ารธน.ไม่ผ่านประชามติ โดย พลเอกประยุทธ์ พูดเริ่องนี้ในรายการ คืนความสุข เมื่อคืน
Cr--Aofatit

คสช.แจงควบคุม"วัฒนา"เข้าค่ายทหารเพราความเห็นในFB



โฆษก คสช. แจงเหตุเชิญตัว"วัฒนา เมืองสุข" เข้าค่ายทหาร เพราะการแสดงความเห็นใน Facebookทำภาพลักษณ์คสช.เป็นลบ ยั่วยุ ทำแตกแยก สับสน เหตุเพราะไม่พอใจส่วนตัว และ ไม่สมประโยชน์ เผยเตือนหลายครั้งแล้ว แต่ยังพยายาม จนดูผิดธรรมชาติ และพยายามทำตัวเองให้มีปัญหาต่อการรักษาความสงบเรียบร้อย
พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก คสช. กล่าวถึงการที่ คสช. จะต้องเขิญตัว นาย วัฒนา เมืองสุข มาพบ ที่ มทบ.11 วันนี้ ว่า เป็นเพราะ การให้ข้อมูลผ่านทางโซเชียลมีเดียของ นายวัฒนา ไม่ใช่ครั้งแรก ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจส่วนตัวที่มีต่อ คสช. และจากการที่ไม่สมประโยชน์ในหลายสิ่งอย่าง จากการทำหน้าที่ของคสช. ซึ่งสังคมรับรู้ได้และคงไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร
เนื้อหาข้อมูลส่วนใหญ่ เหมือนเป็นความพยายามทำภาพลักษณ์ คสช.ให้ดูเป็นลบมาตลอด หรือทำอะไรก็ดูไม่ดี ในมุมของ นายวัฒนา ไปหมด จนดูผิดธรรมชาติ และเชื่อว่าสังคมก็คงรู้เท่าทัน เจตนาแท้จริงของนายวัฒนา เป็นอย่างดี
โฆษก คสช.กล่าวว่า ที่ผ่านมา นายวัฒนาไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่และพยายามทำตัวเองให้มีปัญหาต่อแนวทางการรักษาความสงบเรียบร้อย และเชื่อว่านายวัฒนา เองมีความเข้าใจต่อผลการกระทำของตนเองที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่มีการปฏิบัติอย่างให้เกียรติกับ นายวัฒนา มาตลอด อยากให้นายวัฒนา เลือกการสื่อสารที่ไม่ให้เกิดผลเสียต่อภาพรวมหรือสร้างความเข้าใจผิด
อีกทั้ง ประเด็นที่นำเสนอควรสร้างสรรค์ไม่ก่อให้เกิดความแตกแยก หรือยั่วยุให้เกิดความสับสนในสังคม ซึ่งการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ยังคงปฏิบัติตามขั้นตอนและหลักของกฎหมายที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจ อย่างมีเหตุผลและทำตามขั้นตอน

ปลัดกต.สหรัฐพบ"บิ๊กตู่"



นาง Sarah Sewall "ปลัด กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ด้านกิจการพลเมือง ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน และ นายGlyn Davies เอกอัครราชทูต และ นาย Patrick Murphy อุปทูตสหรัฐฯ เข้าพบ พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ฯที่ทำเนียบรัฐบาล ฯก่อนที่ นายกฯ จะบินไป Washington D.C. สหรัฐอเมริกา คืนพรุ่งนี้ ถกNuclear Summit โดย นายกฯ ได้ กางแผนผังการทำงานแม่น้ำ5 สาย ยุทธศาสตร์ชาติให้"ปลัดกต.สหรัฐฯ ดูพร้อมอธิบาย ชี้แจง และตอบคำถามในประเด็นที่มีข้อสงสัย
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือในประเด็นความร่วมมือด้านต่าง ๆ ขณะเดียวกัน นางซาร่าห์ ได้สอบถามในประเด็นต่างๆ รวมถึงแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ของประเทศไทยที่กำลังเดินเข้าสู่การเป็นประชาธิไตย ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้ยืนยันว่าขณะนี้รัฐบาลกำลังเดินหน้าตามโรดแมพ ที่จะมีการเลือกตั้งในปี 2560 ส่วนร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่จัดทำแล้วเสร็จก็กำลังเข้าสู่กระบวนการทำประชามติต่อไป

จบแล้ว....รับได้ บิ๊กป้อม ร่างรธน. จบแล้ว รับได้ ยัน รัฐบาล-คสช. แค่รับทราบ 29มีค.



จบแล้ว....รับได้
บิ๊กป้อม ร่างรธน. จบแล้ว รับได้ ยัน รัฐบาล-คสช. แค่รับทราบ 29มีค. แต่คงไม่มีใครกล้าแตะ เปรย พอรับได้ แม้ไม่ทุกข้อ เชื่อน่าจะไปได้
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม. กล่าวว่า ไม่ได้ติดใจอะไร กรธ. เพราะท่านคิดยังไง ทำอะไร อะไรบ้านเมืองเดินได้ก็ทำไป อะไรที่ไม่ดีทำให้บ้านเมืองไปไม่ได้ ก็อย่าไปทำ อะไรที่ทำให้เกิดความปรองดอง ก็ทำเถอะ มันก็จะอยู่ในรธน. เพราะสิ่งที่ คสช.-ครม.เสนอไปนั้น ชัดเจน ไม่มีอะไรที่ไม่ชัดเจน
เมื่อ กรธ.ส่งร่างรธน.มาให้รัฐบาล 29 มีค. นี้ ก็เพื่อรับทราบ แล่วคงให้ คสช.รับทราบด้วย
"คือจบแล้ว คงไม่มีใครกล้าไปแตะต้องอะไร เพราะให้เป็นเรื่องของการลงประชามติ ให้ประชาชน ไปตัดสิน"
"ในการลงประชามติ แล้วแต่ประชาชน เพราะผมตัดสินใจไม่ได้ ผมเป็นในฐานะปชช. อันไหนรับได้ ก็รับ รับไม่ได้ ก็อยู่ในใจ แต่ในภาพรวมมผมว่า น่าจะเดินได้ แต่จะให้ถูกใจถูกข้อ คงเป็นไปไม่ได้ " พลเอดประวิตร กล่าว

บิ๊กตู่ เผย จากนี้ คสช.ชัดเจนใครทำผิดกม.ขัดคำสั่ง ต้องเรียกมา

บิ๊กตู่ เผย จากนี้ คสช.ชัดเจนใครทำผิดกม.ขัดคำสั่ง ต้องเรียกมา ยันไม่ได้ทำร้าย ยันต้องเจอคดีอาญา หรือเข้าหลักสูตรอบรม ถ้ายังคิดไม่เป็น ก็ไม่ควรเป็นนักการเมือง ลั่น ส่วนตัวรับไม่ได้ ที่มีการออกมาวิพากษ์ วิจารณ์อยู่แบบนี้
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ได้กล่าวในการประชุม ตอนหนึ่งว่า เรื่องการสร้างความปรองดอง การปรับทัศนคติ นั้น คสช.ดำเนินการให้ชัดเจนขึ้น โดยต้องเรียกทุกฝ่ายมา หากทำผิดกฎหมาย หรือ ทำผิดคำสั่งที่ออกไว้แล้ว ก็เรียกมา
ยืนยันว่า ไม่ได้ทำร้ายอะไรต่าง ๆ แต่ถ้าต้องดำเนินคดีอาญาก็ส่ง ให้กระบวนการยุติธรรม ดำเนินการต่อไป หรือจะให้ความรู้ ศึกษา จัดหลักสูตร อบรม ก็ต้องดูแลคนเหล่านี้ เพราะต่อไปก็ต้องเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งในอนาคต
ประเด็นสำคัญ คือ เขาอาจจะไม่ฟัง ซึ่งเราเป็นรัฐบาล ทำอย่างไร ก็ต้องชี้แจง ไม่ใช่ให้ใครมาว่า เพราะส่วนตัวรับไม่ได้ ที่มีการออกมาวิพากษ์ วิจารณ์ อยู่แบบนี้
“ต่อไปนี้ การเรียกคนมาทั้งหมด ต้องมีการอบรมทำความเข้าใจ สอบถามพฤติกรรมต่าง ๆที่ทำในอดีต มีความถูกผิดอย่างไร และ ถ้าเขาเป็นรัฐบาลจะทำอะไร และสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่
อยากถามกลับไปว่าเข้าใจหรือไม่ ถ้าคิดไม่เป็นก็ไม่ควรเป็นนักการเมืองต่อไป ถ้าคิดไม่ได้แบบนี้ในอนาคต ผมไม่ต้องการอุ้มใคร ให้เขาพอใจผม มันไม่ใช่” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

สำนึกไทย ไม่โกง...คตช.ดึง ดารา นักร้อง นางงาม ร่วมแคมเปญ พร้อมแต่งเพลงปลุกสำนึกต้านโกง

สำนึกไทย ไม่โกง...คตช.ดึง ดารา นักร้อง นางงาม ร่วมแคมเปญ พร้อมแต่งเพลงปลุกสำนึกต้านโกง "สิงโต-เมสซี่ เจ-น้องแนท" ร่วม
ที่ ทำเนียบรัฐบาล ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) บนตึกไทยคู่ฟ้า นั้น
“สิงโต นำโชค” นายนำโชค ทะนัดรัมย์ แคมเปญแอมบาสเดอร์โครงการรณรงค์ “ สำนึกไทย ไม่โกง” ซึ่งเป็นโครงการของคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ คตช. ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการ”โตไปไม่โกง” ได้มารณรงค์ แคมเปญนี้
สิงโต กล่าวว่า ในฐานะศิลปินจะช่วยรณรงค์ร่วมมือโดยการใช้ บทเพลงที่ถนัดเพื่อรณรงค์ให้เยาวชนไทยมีจิตสำนึกที่ไม่โกง
วันนี้ดีใจที่ คตช.ได้เลือกให้เป็นตัวแทนร่วมกับนักฟุตบอลทีมชาติไทย นางแบบ ส่วนตัวอยากพบ พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี สักครั้ง
พร้อมจะร้องเพลงให้ ถ้านายกรัฐมนตรีอยากฟัง
โดย เพลง “คนอย่างนี้ก็มีด้วย” โดยเนื้อหา เป็นการเผยแพร่ข้อมูลการต่อต้านคนที่ประพฤติไม่ดีหรือทุจริต และช่วยแบ่งปันข้อมูลดีๆหากพบเห็น คนที่ทำความดี เพื่อให้คนโกงไม่กล้าทำผิดและเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ทำความดี
นอกจากนี้ คตช.มีการผลิตสปอท รณรงค์ 4 เรื่อง ได้แก่คนโกงเราต้องแชร์เรื่อง โกงเราต้องแชร์ -คนอย่างนี้ก็มีด้วย -ทริปห้องกรง- กรรมติดจรวด เป็นทุกเรื่องจะตอกย้ำคำว่าโกงเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกให้ผู้รับชม
นางจุรี วิจิตรวาทการ กรรมการการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมาได้พยายามปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกให้เยาวชนไทยต่อต้านและไม่ยอมรับการโกง และการทุจริตคอรัปชั่นด้วยหลักสูตร “โตไปไม่โกง” ก่อนก้าวครั้งใหญ่ไปสู่ “สำนักไทยไม่โกง”
โดยจะมีการผลิตสปอร์ตรณรงค์ใน 4 หัวข้อที่แตกต่างกัน ได้แก่ “คนโกงเราต้องแฉ เรื่องโกงเราต้องแชร์” “คนอย่างนี้ก็มีด้วย” “ทริปห้องกรง” และ “กรรมติดจรวด”
นอกจากนี้ยังมีการจัดทำเพลง “บ้านของเรา” ขับร้องโดย ชาติ The Voice และเพลง “คนอย่างนี้ก็มีด้วย” ขับร้องโดยสิงโต นำโชค ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างให้ทุกสถานีโทรทัศน์ช่วยเผยแพร่
อีกทั้งยังได้แต่งตั้งแคมเปญแอมบาสเดอร์ได้แก่ สิงโต นำโชค เมสซี่เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย แนท อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2015 ติช่า กันติชา ชุมมะ The face ThaiLand ซึ่งทั้งสี่คนเป็นที่รู้จักของคนทุกเพศทุกวัย จึงจะช่วยเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญให้ประเทศชาติต่อไป

บิ๊กปัอม ลั่น ตรวจสอบ-จัดการคนใกล้ตัว "นายกฯ-รมต.-ตนเอง"อ้างชื่อหาประโยชน์

บริวาร เป็นพิษ ???....
บิ๊กปัอม ลั่น ตรวจสอบ-จัดการคนใกล้ตัว "นายกฯ-รมต.-ตนเอง"อ้างชื่อหาประโยชน์ บอกมีอะไรถามได้ อย่ามโน เขียนเรื่อยเปื่อย ยันชีวิตตั้งแต่ร้อยตรี ถึงผบ.ทบ.ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้ เสียหาย ทำคนทำงานท้อใจ
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ตอนนี้ มีคน
ใกล้ตัวนายกฯ ใกล้ตัวผม รมต. และ คสช. อ้างชื่อไปเรียกรับผลประโยชน์ เราก็กำลังหากันอยู่ว่า ใครไปอ้าง อ้างส่งเดช
แต่สำคัญอยู่ที่คนเชื่อ ขอให้ถามผมได้ตลอด ถามเลย ว่า ให้ใครไปทำอะไรจริงมั้ย ไม่ใช่ไปเขียนเรื่อยเปื่อยมโน ไปเรื่อย เพราะทำให้เกิดความเสียหาย บอกว่า คนรอบตัวผม คนไหนทำ ต้องบอกว่าทำอะไรเสียหาย ไม่อย่างนั้นคนทำงานท้อใจ ผมเองทำงานให้ ทั้งๆที่ เงินเดือนไม่ได้มากเท่าไหร่
"ยิ่ง ผมตั้งแต่ร้อยตรี จนเป็นผบ.ทบ.ไม่เคบมีเรื่องพวกนี้ นะ บางทีมันก็ท้อใจ เราไม่ได้ไปทำอะไร ยังงั้นเลย ก็มากล่าวหา คนทำงานกับผม คนใกล้ชิดผม ก็เหมือนกัน เขาก็ไม่ได้ทำ แต่มาถูกกล่าวหา ก็ท้อกันนะ คนทำงานน่ะ ผมก็แย่เหมือนกัน ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ยังโดน"
พลเอกประวิตร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงเรื่องการทุจริต อย่างมาก. แต่ถามว่า เรื่องแบบนึ้ ผมจะสั่งนอกรอบได้หรือ ไม่ได้หรอก อย่าไปพูดส่งเดช อาจเป็นพวกเชื่อเอง อ้างเอง

รถเบนซ์กันกระสุนคันใหม่ของ นายกฯบิ๊กตู่ นายกฯคนที่ 29 รุ่น S 600 Guard sedan long



 รถเบนซ์กันกระสุนคันใหม่ของ นายกฯบิ๊กตู่ นายกฯคนที่ 29 รุ่น S 600 Guard sedan long หลังวันนี้ได้ส่งมอบให้ทีม รปภ.นายกฯแล้ว เผย เลขทะเบียน 4กด 29 และ 4กต 29 หลังสั้ง ซื้อ4คัน 78ล้าน เป็นรถรับรอง Vip 2 และรถตำแหน่งนายกฯ2 คัน
ภายหลังจากที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์ เมอร์ซิเดส เบนซ์ กันกระสุน รุ่น S 600 Guard sedan long จำนวน 4 คัน จาก บริษัท เมอร์เซเดสเบนซ์ จำกัด วงเงิน 78 ล้านบาท ตกราคา คันละ 19.5 ล้าน เมื่อ มิย.2559 ที่ผ่านมา
โดย 2 คัน จะใช้ในการรับรองแขกคนสำคัญของรัฐบาล และอีก 2 คันเป็นรถประจำตำแหน่งใหม่ให้กับนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ บิ๊กอ้อ พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ตรวจรถไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยมีรายงานว่า ในวันนี้ มีการส่งมอบรถ2 คัน ให้ทีมรักษาความปลอดภัยของ พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี เพื่อนำไปใช้เป็นรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ โดย เลขทะเบียน คือ 4 กด 29 กรุงเทพมหานคร และ 4 กต 29 กรุงเทพมหานคร
โดยในวันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังคงใช้รถเบนซ์ส่วนตัว สีดำ คันเดิม ทะเบียน ญค 1881 คาดอาจใช้ วันประชุม ครม. พรุ่งนี้ หรือไม่ก็ รอกลับจาก ไปประชุม Nuclear summit ที่ สหรัฐอเมริกา 31 มีค.-2เมย. เลย

‘กรณ์’ นำทีมยื่นหนังสือถึงนายกฯ " แผนการลงทุนรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ –นครราชสีมา "

‘กรณ์’ นำทีมยื่นหนังสือถึงนายกฯ " แผนการลงทุนรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ –นครราชสีมา "
.
วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๙ นายกรณ์ จาติกวณิช ประธานคณะนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ และคณะทีมนโยบายด้านคมนาคมพรรคประชาธิปัตย์ อันประกอบด้วย ดร. สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และนายอนุชา บูรพชัยศรี อดีต ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ไปยื่นหนังสือในฐานะตัวแทนหัวหน้าพรรคฯ ต่อนายกรัฐมนตรี “ เรื่อง แผนการลงทุนรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ –นครราชสีมา ” ที่ทำเนียบรัฐบาล โดย พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบราง รวมถึงการลงทุนในรูปแบบที่เหมาะสมในโครงการรถไฟความเร็วสูงและในสมัยที่กระผมเป็น นายกรัฐมนตรี รัฐบาลของกระผมในสมัยนั้นมีเจตนาที่จะให้โครงการนี้เป็นโครงการระดับภูมิภาคในรูปแบบร่วมทุนกับจีน โดยที่จะใช้พื้นที่วางรางเป็นทุน และจะมีการก่อตั้งบริษัทร่วมทุน ไทย-จีนเป็นผู้ก่อสร้างเส้นทางรถไฟ รวมไปถึงการเป็นผู้บริหารรถไฟบนเส้นทางนี้ต่อไป
.
ก่อนหน้านี้รัฐบาลภายใต้การนำของ ฯพณฯ ได้มีการเปลี่ยนความเร็วของรถไฟจากความเร็วสูงเป็นรถไฟระดับความเร็วปานกลาง วิ่งบนเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย และได้เพิ่มเส้นทางแก่งคอย-มาบตาพุดขึ้นมา ทั้งนี้กระผมเข้าใจว่าแนวทางการเจรจากับรัฐบาลจีนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ไทยต้องเป็นผู้รับผิดชอบการลงทุนส่วนใหญ่ โดยได้มีการเจรจาที่จะกู้ยืมเงินจากจีนเป็นมูลค่ากว่า ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท
.
ล่าสุด ปรากฎเป็นข่าวว่า รัฐบาลของ ฯพณฯจะเดินหน้าลงทุนด้วยตนเอง โดยปรับให้รถไฟกลับไปเป็นรถไฟความเร็วสูง และมีการลดเส้นทางในระยะแรกลงเหลือเพียงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ซึ่งส่งผลให้งบประมาณที่คาดว่าจะต้องใช้ในระยะนี้ลดลงเหลือ ๑๗๐,๐๐๐ ล้านบาท
.
“กระผมมีความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวดังนี้”
๑. เส้นทางรถไฟความเร็วสูงแต่เดิมกำหนดไว้ว่าต้องไปถึงหนองคายเพื่อจะเชื่อมกับรถไฟความเร็วสูงที่จีนมีแผนจะสร้างจากคุนหมิงผ่านลาวเพื่อมาต่อกับเส้นทางของเรา กระทรวงคมนาคมมีสมมติฐานว่าในระยะแรกจะมีผู้โดยสารบนเส้นทางนี้ ๗.๕ ล้านเที่ยวต่อปี ซึ่งในระยะยาวจะเพิ่มเป็น ๒๐ ล้านเที่ยวต่อปี ดังนั้นการที่รถไฟในแผนใหม่ของรัฐบาลจะไปถึงเพียงนครราชสีมาและไม่เชื่อมกับรถไฟจีน จะมีผลกระทบในทางลบกับสมมติฐานนี้อย่างมากและจะส่งผลให้ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและการเงินลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน ตลอดจนทำให้มิติความร่วมมือในภูมิภาคนี้ขาดหายไปอย่างชัดเจน
นอกจากนี้โครงการนี้อาจจะซ้ำซ้อนกับโครงการรถไฟทางคู่ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจะพัฒนาในระบบ ราง ๑ เมตรในเส้นทางเดียวกันซึ่งในระยะทางที่ลดลงเหลือเพียง ๒๕๐ กิโลเมตรอาจทำให้ความได้เปรียบทางเวลาลดลง
.
๒. ขอย้ำว่าโครงการนี้มีความเสี่ยงทางการเงินมากเกินกว่าที่ฝ่ายไทยจะแบกรับภาระไว้ได้ในฐานะผู้ลงทุนแต่เพียงผู้เดียว แม้เราสมมติว่าจีนยังจะคงให้กู้จะด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ ๒ และรัฐบาลไทยต้องกู้ยืมเงินลงทุนประมาณ ๑๗๐,๐๐๐ ล้านบาท นั่นหมายความว่า รัฐบาลไทยจะมีภาระดอกเบี้ยสูงประมาณ ๓,๔๐๐ ล้านบาทต่อปี
.
ถ้าเรามีสมมติฐานเพิ่มเติมว่าค่าโดยสารจะกำหนดไว้ที่ เที่ยวละ ๕๐๐ บาท(มากกว่า ๓ บาท / กม.)หมายความว่าจะต้องมีผู้โดยสารถึง ๗ ล้านเที่ยวต่อปี เพียงเพื่อมีรายได้เพียงพอต่อการชำระดอกเบี้ย ซึ่งเป็นจำนวนผู้โดยสารในสมมติฐานเดิมของกระทรวงคมนาคมในกรณีที่รถไฟวิ่งผ่านขอนแก่น อุดรธานี ไปถึงหนองคาย และเชื่อมรับผู้โดยสารจากลาวและจีน บวกกับผู้โดยสารบนเส้นทางแก่งคอย-ระยองที่ได้มีการยกเลิกไปด้วย ดังนั้นกระผมจึงมองว่าโครงการนี้จะคุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจและการเงินได้ในกรณีที่เราให้จีนร่วมลงทุนด้วยเท่านั้น
.
หากรัฐบาลไทยไม่ดำเนินการตามนี้ จะมีความเสี่ยงสูงมากที่โครงการนี้จะเป็นภาระต่อผู้เสียภาษีที่จะต้องชดเชยการขาดทุนในอนาคตต่อไป
.
๓. ขอเสนอเพิ่มเติมว่าการลงทุน การบริหารและการดูแลกิจการรถไฟความเร็วสูงนี้ ควรดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งใหม่ เนื่องจากการรถไฟแห่งประเทศไทยมีภารกิจมากอยู่แล้วในการดำเนินการลงทุนสร้างทางคู่ในระบบรถไฟปัจจุบัน และยังมีความจำเป็นในการปฏิรูปการบริหารการรถไฟเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรด้วย
.
๔. การลงทุนในโครงการนี้และโครงการขนาดใหญ่โครงการอื่นๆควรต้องผ่านการพิจารณาของผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป และผลต่อสิ่งแวดล้อมให้รอบคอบตามขั้นตอนกฎหมายปกติ มิเช่นนั้นโครงการจะหมดความยอมรับและอาจไม่บรรลุผลตามความตั้งใจที่ดีของรัฐบาล
.
๕. กระผมมั่นใจว่า การเจรจากับรัฐบาลจีนจะบรรลุล่วงได้ต่อเมื่อ ฯพณฯ เป็นผู้เจรจาในหลักการสำคัญโดยตรงกับผู้นำรัฐบาลจีนเท่านั้น เนื่องจากความล่าช้าที่ผ่านมา เกิดจากปัญหาความสับสนและความไม่สามารถตัดสินใจของหน่วยงานจากทั้งสองฝ่าย เพราะขาดความมั่นใจ และการให้ความสำคัญต่อข้อพิจารณาในภาพรวม ตลอดจนความสำคัญของโครงการนี้ ในเชิงยุทธศาสตร์ของความสัมพันธ์ระหว่าง ๒ประเทศ
.
๖. การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงจะเน้นการขนส่งผู้โดยสารเป็นหลัก มิใช่เพื่อการขนส่งสินค้าดังนั้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศรัฐบาลจึงควรให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อย่างเร่งด่วน ด้วยการดำเนินการเร่งรัดโครงการต่างๆเพื่อรองรับการขนส่งสินค้าอาทิโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่และโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศโดยเร็ว
.
“อนึ่งกระผมใคร่ขอฝากข้อสังเกตทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของท่านในการพิจารณาแนวทางการเดินหน้าในโครงการสำคัญนี้ และในการพัฒนากิจการรถไฟของประเทศไทย”
.
“:กระผมพร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอย่างเต็มกำลังความรู้และความสามารถเพื่อทำให้รถไฟเส้นทางสำคัญนี้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนคนไทยทุกคนตามความมุ่งหวังที่ตรงกันของเรา”

"มีชัย" เผยรธน.เสร็จวันนี้ ติงสื่อชอบบิดเบือน งง สนช.ไม่ให้กรธ.ชี้แจงปชช.

"มีชัย" เผยรธน.เสร็จวันนี้ ติงสื่อชอบบิดเบือน งง สนช.ไม่ให้กรธ.ชี้แจงปชช.
ปธ.กรธ. เผย ยังปรับแก้ถ้อยคำร่างรธน. เชื่อเสร็จวันนี้ รับรัฐไม่มีท่าทีขอปรับแก้ โทษสื่อทำเข้าใจผิดนายกฯคนนอก บ่นชอบบิดเบือน วอนทำความเข้าใจเห็นแก่ชาติ งง สนช.ตัดไม่ให้กรธ.แจงร่างรธน.ปชช. รับทำจริงกระทบประชามติแน่ ปัดน้อยใจ
วันนี้ (28มี.ค.) นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เผยถึง การประชุมกรธ.ในวันนี้ (28มี.ค.) ว่ายังอยู่ในช่วงของการปรับแก้ถ้อยคำ ที่ยังไม่จบดี ยังต้องไล่คำผิดคำถูก ส่วนในเรื่องบทเฉพาะกาลที่มีข่าวว่ายังไม่เสร็จนั้น เรากำลังอ่านดูว่าที่เขียนขัดกับข้างในอย่างไร ต้องปรับแก้ตัวเลขมาตราอย่างไร เพราะมีการเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าจะเสร็จภายในวันนี้และส่งมอบได้ในวันที่ 29 มี.ค. และยังมีเวลาเหลืออีก 3 วันเผื่อแก้ไขตัวอักษร และจนถึงวันนี้ยังไม่มีท่าทีในการขอปรับแก้มาจากทางรัฐบาล
ส่วนกรณีที่สวนดุสิตโพล ระบุว่า ประชาชนเป็นห่วงในเรื่องที่มานายกรัฐมนตรี หรือนายกฯคนนอกนั้น นายมีชัย กล่าวว่า เป็นการเข้าใจผิดของสื่อเอง ที่ให้มีการประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมเพื่อขอยกเว้น ถ้ารัฐสภาให้ข้อยกเว้นก็กลับไปสภา เพื่อไปพิจารณาตั้งกันเอาเอง เป็นเรื่องของสภาตามปกติ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการเกิดช่องให้คนนอกเข้ามา เพราะไม่ได้ระบุ 3 ชื่อไว้ตั้งแต่แรกว่าเป็นใคร เพียงแต่ยกเว้น ใน 3 ชื่อเท่านั้น ซึ่งผลโพลที่ปรากฏก็ยังบอกว่าชอบคนนอกด้วย
“ผมเชื่อว่าจะทำความเข้าใจกับประชาชนได้ไม่ยาก แต่ทำความเข้าใจกับสื่อยากกว่า เพราะบางทีชอบเอาไปบิดเบือนตามอัธยาศัย รวมถึงประเด็นส.ว.ที่ว่าเป็นการสืบทอดอำนาจจนทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ซึ่ง มีการเสนอให้สรรหา ส.ว.ทั้งหมดตั้งแต่ต้นแบบถาวร แต่กรธ. กำหนดให้แต่เฉพาะชั่วคราว และยังเพิ่มให้มีการคัดเลือกจาก 20 กลุ่มวิชาชีพมาส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการทดลองด้วยก็ต้องช่วยกันทำความเข้าใจ นึกเสียว่าเห็นแก่ชาติบ้านเมืองอย่าเอาแต่สนุก”
ส่วนแผนการทำความเข้าใจกับประชาชนต่อร่างรัฐธรรมนูญ นายมีชัย กล่าวว่าก็มีการเสนอให้สนช.เพิ่มเติมข้อความในร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ให้กรธ.สามารถไปทำความเข้าใจกับประชาชน แต่ทราบว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างดังกล่าวจะตัดออกไม่ให้ไปชี้แจง ซึ่งก็สงสัยว่า หากไม่ให้กรธ.ไปชี้แจง แล้วจะให้ใครไปชี้แจง หากจะให้กกต.ไปชี้แจงก็คงไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญ และกกต.เองก็ต้องระมัดระวังจะบอกว่าดีหรือไม่ดีไม่ได้ จึงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับสนช. เพราะ หากไม่ให้กรธ.ไปชี้แจงจะกระทบต่อการประชามติแน่นอน ซึ่งเรากำลังคุยกันและคงต้องบอกไปทางรัฐบาลว่าจะทำอย่างไรต่อไป ส่วนกรณีที่มีการเสนอให้เสนอคำถามในการทำประชามตินายมีชัยไม่แสดงความเห็น
“เราไม่ยุ่งเลย จำกัดแต่เฉพาะหน้าที่ของเรา คน 220คน(สนช.)ย่อมดีกว่าและรอบคอบกว่า 21คนแน่นอน และไม่ได้น้อยใจอะไร”นายมีชัยกล่าว

ก.ล.ต. กล่าวโทษบุคคล 3 ราย มีเจตนาซื้อหุ้นเนชั่น มัลติมีเดีย “NMG” เพื่อครอบงำกิจการ

28 มีนาคม 2016
ที่มาภาพ : http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201504/30/302bb9.jpg
ที่มาภาพ : http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201504/30/302bb9.jpg
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กล่าวโทษบุคคล 3 ราย ได้แก่ (1) บริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (NEWS) หรือเดิมชื่อบริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ จำกัด (มหาชน) (SLC) (2) บริษัท โพลาริส แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) (POLAR) หรือเดิมชื่อบริษัท วธน แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) (WAT) และ (3) นายศิร์วสิษฎ์ สายน้ำผึ้ง กรณีมีพฤติกรรมชักชวนกันเพื่อให้ได้มาซึ่งหลักทรัพย์ของบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (NMG) เพื่อครอบงำกิจการโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหลักทรัพย์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.)
สำนักงานก.ล.ต.ได้รับแจ้งข้อมูลจากผู้ชี้เบาะแสและตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า NEWS POLAR และนายศิร์วสิษฎ์ มีพฤติกรรมและเจตนาร่วมกันให้ได้มาซึ่งหลักทรัพย์และครอบงำกิจการ NMG ในเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน โดยไม่รายงานการได้มาซึ่งหลักทรัพย์ให้ครบถ้วนถูกต้อง และไม่ได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ NMG โดยเมื่อกลุ่มบุคคลดังกล่าวร่วมกันได้มาซึ่งหุ้น NMG ข้ามจุดทุกร้อยละ 5 และคิดเป็นสัดส่วนเกินกว่าร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมดของ NMG อันเป็นการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ ซึ่งต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์และรายงานการได้มาซึ่งหลักทรัพย์ให้ครบถ้วนถูกต้อง
การกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 246 และ 247 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งกลุ่มบุคคลทั้ง 3 รายดังกล่าว ไม่ประสงค์เข้ารับการเปรียบเทียบความผิด ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษต่อ ปอศ. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนดุลพินิจของศาลยุติธรรมตามลำดับ