PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

‘จ่านิว’ปัดเซ็นหยุดเคลื่อนไหว ‘ศรีวราห์’ยันคุมตัวตามกฎหมาย ส่งรพ.ศิริราชตรวจร่างกาย


เมื่อวันที่ 21 มกราคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ด้านความมั่นคง กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่จับกุมนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว ตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพข้อหาฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฐานชุมนุมทางการเมือง หรือมั่วสุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปว่า ขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ามีบุคคลแต่งกายคล้ายทหารหลายคนบุกจับกุมผู้ต้องหาบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตนั้น ตนไม่ทราบ ทราบเพียงในส่วนของตำรวจ อย่างไรก็ตามจากบันทึกจับกุมระบุไว้ว่า พนักงานสอบสวน สน.นิมิตรใหม่รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ทหารสังกัด ร.2 พัน.2 รอ.ว่า คุมตัวนายสิรวิชญ์เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับเอาไว้ ให้พนักงานสอบสวน สน.นิมิตรใหม่ไปรับตัว ก่อนจะนำตัวไปยังสถานีตำรวจรถไฟธนบุรีเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวนเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ในบันทึกจับกุมระบุด้วยว่าขณะเข้าจับกุมมีการนำหมายจับไปสอบถามผู้ต้องหาว่าเป็นคนในหมายจับหรือไม่แล้ว และนายสิรวิชญ์ลงนามในบันทึกจับกุมด้วย อย่างไรก็ดีตอนนี้ได้รับรายงานว่าภายหลังจับกุมนายสิรวิชญ์ได้แล้ว มีผู้ต้องหาอีก 3 คนเข้ามอบตัว คือ น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว, น.ส.ชนกนันท์ รวมทรัพย์ และ นายกรกช แสงเย็นพันธ์ ยังเหลืออีก 2 คน คือ นายอภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธุ์ และนายธเนตร อนันตวงษ์ ที่หลบหนีไปต่างประเทศ
รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า เมื่อตำรวจรับตัวผู้ต้องหามาจากเจ้าหน้าที่ทหาร ตนสั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่นำตัวนายสิรวิชญ์ไปตรวจร่างกายที่ รพ.ศิริราชทันที เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของเจ้าหน้าที่ว่าไม่ได้มีการซ้อมทรมานแต่อย่างใด โดยสั่งการไปแล้ว คาดว่าจะทราบผลเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตามการจับกุมต้องถูกเนื้อต้องตัว เช่น การจับแขนเพื่อพาตัวไปขึ้นรถ อาจเกิดรอยฟกช้ำกันบ้าง แต่ยืนยันไม่ใช่การซ้อมทรมานอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ขอให้สังคมรอผลการตรวจร่างกายจากทาง รพ.ศิริราช เป็นโรงพยาบาลคนกลาง ที่เข้ามาดำเนินการแทน รพ.ตำรวจเพื่อป้องกันข้อครหาว่าโรงพยาบาลเข้าข้างเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“เจ้าหน้าที่ตำรวจทำตามขั้นตอนกระบวนการกฎหมายทุกอย่าง และระมัดระวังอยู่แล้ว ใช้ทั้งหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ พูดคุยกับผู้ต้องหาและให้เซ็นยอมรับข้อตกลงว่าจะไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองอีก และจะปล่อยตัวไป แต่ทราบว่าผู้ต้องหายังไม่ยอมเซ็น ขณะที่การขอประกันตัวนั้นเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะขอหรือไม่ขอก็ได้ หากผู้ต้องหาขอประกันเจ้าหน้าที่ตำรวจจะอนุญาตให้ประกันออกไปก่อนได้ แต่หากยืนยันไม่ขอประกันตัว เป็นสิทธิของเขา ต้องเข้าสู่กระบวนการกฎหมายต่อไป ส่วนการรับสารภาพตามข้อกล่าวหาหรือไม่ ไม่จำเป็น ผมในฐานะพนักงานสอบสวนยึดตามพยานหลักฐานที่มี คดีนี้ต้องสืบสวนสอบสวนถึงเบื้องหลังการออกมาเคลื่อนไหวขัดคำสั่ง คสช.ด้วยว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง เพื่ออะไร ส่วนตัวมองว่าการเคลื่อนไหวแสดงออกเช่นนี้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มีอนุสาวรีย์บุรพกษัตริย์ เป็นสิ่งไม่เหมาะสม” พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าว

ประวัติของมาตรา 44 และการตรวจสอบโดยศาล


ประวัติของมาตรา 44 และการตรวจสอบโดยศาล
ศุภณัฐ บุญสด
          ภายหลังรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ออกคำสั่งและประกาศจำนวนที่ส่งผลกระทบต่อระบบกฏหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย โดยกฏหมายสำคัญที่จะไม่ถูกกล่าวถึงไม่ได้คือ มาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่ได้ทำให้อำนาจเผด็จการเข้ามาอยู่ในระบบกฏหมายอย่างเป็นทางการและรับรองความชอบด้วยกฏหมาย ชอบด้วบรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุดเสมอให้กับการใช้อำนาจตามมาตราดังกล่าว ผลคือองค์กรหนึ่งองค์กรมีอำนาจเบ็ดเสร็จและถูกทำให้ปลอดจาการถูกตรวจสอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากองค์กรตุลาการ จึงหมายความว่าบุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการใช้อำนาจตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่อาจอาศัยกลไกของศาลในการคุ้มครองสิทธิได้  บทความนี้จึงเป็นการสำรวจประวัติศาสตร์ที่มา การใช้บทบัญญัติทำนองเดียวกับมาตรา 44 และรูปแบบการทำงานของศาลที่ผ่านมาในการตรวจสอบการใช้อำนาจชนิดนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
1. มาตรา 17 ต้นแบบของมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 : ที่มา ความเหมือนและความต่าง
          §  นายวิษณุ เครืองาม ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในวันแถลงชี้แจงเนื้อหารัฐธรรมนูญว่ารับต้นแบบของมาตรา 44 มาจากมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 25021  และหากค้นต่อไปจะพบว่าต้นแบบอีกทีของมาตรา 17 ตามคำบอกเล่าของสมภพ โหตระกิตย์ ระบุว่า พระยาอรรถการีย์นิพนธ์ร่างขึ้นมาโดยนำบทบัญัติมาตรา 16 ของรัฐธรรมนูญ 1958 ของประเทศฝรั่งเศสมาเป็นต้นแบบ  เนื่องจากต้องการลอกแนวคิดที่ให้มีองค์กรรัฐองค์กรหนึ่งสามารถใช้อำนาจ“เผด็จการ”เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐในช่วงที่เกิดวิกฤตได้2
          §  และถึงแม้จะมีแนวคิดพื้นฐานอาจจะคล้ายกัน แต่หากดูในรายละเอียดแล้วกลับปรากฎความแตกต่างที่สำคัญ 2 เรื่องของบทบัญญัติทั้งสอง ดังนี้
          (1) เรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตยในแง่บุคคลและเนื้อหา เพราะของมาตรา 16 ของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส คือ ให้อำนาจเผด็จการชั่วคราวกับประธานาธิปดีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนในการปกป้องระเบียบการเมืองประชาธิปไตย  แต่มาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502 คือ การทำให้อำนาจนอกกฎหมายของคณะรัฐประหารถูกบรรจุเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมาย เพื่อให้นายกรัฐมนตรีที่เข้าดำรงตำแหน่งโดยการใช้กองทัพยึดอำนาจยังคงสามารถใช้อำนาจเบ็ดเสร็จและปราศจากความรับผิดต่อไปได้เมื่อมีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองแล้ว3
          (2) เรื่องการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมาย เพราะแม้ว่าการใช้อำนาจตามมาตรา 16 ของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสจะมีลักษณะเป็นอำนาจเผด็จการแบบเดียวกับมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502  แต่ปรากฎว่าการประกาศและการใช้มาตรการต่างๆตามมาตรา 16 ของฝรั่งเศส สามารถถูกตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายโดยศาลได้ แต่ในส่วนมาตรา 17 ของไทย กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม ศาลไม่อาจตรวจสอบการประกาศและการใช้อำนาจตามมาตรานี้ได้ เนื่องจากมีการรับรองให้การใช้อำนาจตามมาตรานี้ชอบด้วยกฎหมายเสมอ
          §  โดยในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมามีรัฐธรรมนูญหลายฉบับที่มีบทบัญญัติเช่นเดียวกับมาตรา 17 ได้แก่ ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2515 มาตรา 17  ,รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2519 มาตรา 21 ,ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2520 มาตรา 27 ,ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2534 มาตรา 27 และรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 44  ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ถูกประกาศใช้ภายหลังรัฐประหารของผู้นำกองทัพ
2. ประวัติศาสตร์การใช้มาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502 ถึงธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2515 : กำราบศัตรูทางการเมืองและระบบราชการพิเศษ
          §  ตั้งแต่เริ่มมีการบัญญัติกฎหมายที่มอบอำนาจเผด็จการให้กับองค์กรรัฐองค์กรเดียวใช้  มาตรานี้ถูกใช้ใน 2 ลักษณะใหญ่ๆได้แก่ ลักษณะแรก ใช้ในการจัดการศัตรูทางการเมืองของรัฐบาล ซึ่งในยุครัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนถึงรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร มีการใช้อำนาจตามมาตรา 17 สั่งประหารประชาชนถึง 76 คนและสั่งจำคุกอีกเป็นจำนวน 113 คน4  และถูกใช้ในการประกาศยึดทรัพย์สินของอดีตผู้นำรัฐบาลมาเป็นของรัฐภายหลังการเปลี่ยนรัฐบาลถึงสองครั้ง
          §  ในอีกลักษณะคือ ใช้ในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนต่างๆโดยการสร้างขั้นตอนพิเศษขึ้นมาเพื่อข้ามขั้นตอนระเบียบบริหารราชการตามกฎหมายปกติ เช่น คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่สลร.32/2517 เรื่อง การให้ความช่วยเหลือชาวนาชาวไร่ให้ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน เป็นต้น
          §  ในปัจจุบันลักษณะการใช้อำนาจตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ก็ได้ถูกใช้ไปในสองลักษณะดังกล่าวเช่นกัน
          §  สุดท้ายแม้ว่าจะมีนักกฎหมายบางท่านกล่าวว่า มาตรา 17 จะมีข้อดีอยู่บ้าง หากใช้ไปในทางที่มีคุณธรรมและสร้างสรรค์ แต่ในอดีตที่ผ่านความอันตรายของมาตรานี้ที่ถูกใช้บ่อยและปราศจากการควบคุมก็กระทบเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างมาก มีหลายคนถูกสั่งประหารถูกสั่งจำคุกโดยไม่ผ่านกระบวนการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมและไม่มีแม้โอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง จนภายหลังต่อมาผู้ยกร่างมาตรานี้ถึงกับกล่าวว่า5 “ไม่นึกเลยว่า มาตราที่พวกเราช่วยกันสร้างขึ้นมาจะมีฤทธิ์เดชมากมายถึงเพียงนี้”
3. การทำงานของศาลในการตรวจสอบการใช้การอำนาจเผด็จการตามมาตรา 17 และมาตรา 44 : เวลาเปลี่ยนแต่ศาลไม่เปลี่ยน
          §  ถึงแม้มาตรา 17 จะได้มอบอำนาจเผด็จการและปราศจากความรับผิดให้แก่ผู้ใช้อำนาจ แต่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งตามมาตรานี้ก็ได้มีความพยายามอาศัยกลไกของกระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งในการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการใช้อำนาจดังกล่าวเสมอ แม้ท้ายที่สุดทุกคดีศาลจะยกฟ้องและปฏิเสธการใช้อำนาจตุลาการยับยั่งและตรวจสอบอำนาจของฝ่ายบริหารตามมาตรา 17 มาโดยตลอดซึ่งปรากฎในคดีดังต่อไปนี้
          §  คดีแรก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2510 ท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ เป็นโจทก์ฟ้องจอมพลถนอม กิจติขจร นายกรัฐมตรีและพวกต่อศาลว่า การคำสั่งอายัดทรัพย์สินจากกองมรดกของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชตที่เป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่งของนายกรัฐมนตรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นการใช้อำนาจที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนของมาตรา 17 เพราะโจทก์ไม่ได้เป็นผู้ร่วมกระทำการบ่อนทำลายด้วย ท้ายที่สุดคดีนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องคดีโดยให้เหตุผลว่าการใช้อำนาจตามมาตรา 17 นั้นธรรมนูญการปกครองให้ถือว่าชอบด้วยกฎหมายเสมอ
          โดยหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาคดีนี้คือ จิตติ ติงศ์ภัทิย์ ผู้พิพากษาที่เขียนคำพิพากษาฎีกาที่ 646 - 647/2510 วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าถึงแม้กฎหมายจะบัญญญัติให้คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง“เป็นที่สุด” แต่ศาลก็ยังสามารถตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งดังกล่าวได้ ซึ่งต้องถือว่าเป็นการตีความกฎหมายที่สอดคล้องกับหลักการแบ่งแยกอำนาจ ถึงแม้ผู้ร่างกฎหมายดังกล่าวจะประสงค์ให้คำสั่งดังกล่าวเป็นที่ยุติและไม่อาจนำไปฟ้องศาลได้ก็ตาม แต่การตีความกฎหมายเช่นนี้กลับไม่ถูกนำมาใช้ในคดีนี้
           §  คดีที่สอง คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1785/2513 นายกิมหยู่ แซ่ตั้ง ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยตัวเนื่องจากถูกควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 โดยผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่าผู้ร้องและบุคคลอื่นต้องหาว่าร่วมกันมีไว้เพื่อขายซึ่งยาปลอมโดยรู้ว่าเป็นยาปลอม ในระหว่างคดีอยู่ในการวินิจฉัยของพนักงานอัยการว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่  นายกรัฐมนตรีโดยมติของคณะรัฐมนตรีได้สั่งโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๗ แห่งธรรมนูญการปกครองให้จำคุกผู้ร้องไว้คนละ ๑๐ ปี อ้างว่าการกระทำของผู้ร้องเป็นภัยร้ายแรงต่อชีวิตและอนามัยของประชาชนนับว่าเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร ผู้ร้องจึงโต้แย้งว่าการกระทำของผู้ร้องไม่ได้เป็นการบ่อนทำลายความมั่นคง คำสั่งนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 17 และการใช้อำนาจตามมาตรานี้ขัดต่อหลักแบ่งแยกอำนาจ
           ท้ายที่สุดศาลฎีกามีคำพิพากษายกคำร้องโดยให้เหตุผลว่า ประเด็นแรก การใช้อำนาจตามมาตรา 17 เป็นดุลพินิจของนายกรัฐมนตรีโดยเฉพาะ รวมถึงไม่มีกฎหมายใดให้ศาลมีอำนาจรื้อฟื้นแก้ไขการใช้ดุลพินิจของนายกรัฐมนตรีและประเด็นที่สอง มาตรา 17 เป็นข้อยกเว้นที่ถูกกำหนดไว้ในธรรมนูญการปกครองจึงไม่ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ
            §  และในปัจจุบันมาตรา 44 และมาตรา 47 แห่งรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ได้บัญญัติให้ถือคำสั่งที่ออกตามมาตรา 44 ประกาศคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและการปฏิบัติตามประกาศคำสั่งดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุด ถึงแม้รัฐธรรมนูญจะได้อุดช่องว่างทางกฎหมายไว้ทั้งหมดแล้ว แต่ก็เช่นเคยเหมือนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา บุคคลที่ได้รับผลกระทบจากอำนาจชนิดนี้ก็ยังคงหวังให้ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายเสมอ โดยเฉพาะศาลปกครองที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพจากการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายบริหาร
            §  แต่ปรากฎว่าคำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ 1811/2558 ศาลปกครองกลางก็ยังคงปฏิเสธการทำหน้าที่ดังกล่าว โดยได้วินิจฉัยยกฟ้องคดีที่นายวัฒนา เมืองสุขโต้แย้งว่าการออกประกาศ คสช. ฉบับที่ 21/2557 เรื่องห้ามบุคคลเดินทางออกนอกราชอาณจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลปกครองกลางได้ยึดตามแนวตีความกฎหมายของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2510 ยกบทบัญญัติมาตรา 47 ของรัฐธรรนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ได้ระบุว่าให้ประกาศหรือคำสั่งหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุด ศาลปกครองจึงไม่อาจรับคำฟ้องไว้พิจารณาได้ จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ6
            §  จึงกล่าวได้ตั้งแต่เริ่มมีบทบัญญัติในทำนองมาตรา 17 จนถึงมาตรา 44 ในปัจจุบันสามารถกล่าวได้ว่าศาลยึดแนวทางทำหน้าที่ในการรับรองความชอบด้วยกฎหมายและปฏิเสธที่จะทำหน้าที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนจากความไม่สมเหตุสมผลของการใช้อำนาจเผด็จการชนิดนี้ผ่านคำพิพากษามาโดยตลอด
4. บรรยากาศคำพูดของรัฐและการเรียกร้องให้ใช้มาตรา 44 รัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 : อำนาจเผด็จการใช้แบบสร้างสรรค์ ?
            §  เมื่อเนื้อหาของรัฐธรรนูญ(ฉบับชั่วคราว..2557 ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในวันแถลงข่าวเมือวันที่ 23 กรกฎาคม 25577 ปรากฎว่าบทบัญญัติในทำนองเดียวกับมาตรา 17 ถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในรูปของมาตรา 44 ที่ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติออกคำสั่งที่มีสามารถมีผลในทางบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการได้เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูป การสร้างความสามัคคีและการรักษาความมั่นคงของชาติ ถูกบรรจุไว้บทบัญญัติหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับนี้
            §  ปฏิกิริยาแรกต่อสถานการณ์นี้คือการแสดงความกังวลต่ออำนาจเบ็ดเสร็จในลัษณะนี้โดยอิงจากบทเรียนความเลวร้ายในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทางที่ปรึกษากฎหมายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงได้รีบออกมาตอบข้อกังกลเหล่านั้นโดยกล่าวว่า มาตรา 44 จะถูกใช้อย่างสร้างสรรค์ในการดูแลความสงบเรียบร้อยและการใช้อำนาจนี้ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ระบุไว้ในมาตรา 44 เท่านั้น แม้กระทั้งตัวพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเองก็ยังต้องออกมาย้ำหลายรอบเช่นกันว่า จะใช้อำนาจดังกล่าวอย่างสร้างสรรค์ ไม่กลั่นแกล้งใคร8 เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับมาตรา 44  
            §  และในขณะเดียวกันนอกจากกระแสความกังวลที่มีต่อมาตรา 44 แล้วยังมีอีกกระแสที่ประชาชนและองค์กรภาคประชาสังคมจำนวนหนึ่งที่ได้เสนอให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติใช้มาตรา 44 เพื่อดำเนินการปฏิรูปและแก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆที่รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถกระทำในช่วงปกติ เรียกว่าเป็นกลุ่มที่ให้การสนับสนุนการใช้มาตรา 44
บทสรุปและความเห็นทางกฎหมายต่อการตรวจสอบการใช้อำนาจตามมาตรา 44 รัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557
             §  โดยหลักการแล้วต้องถือว่าการรวมอำนาจบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการไว้กับองค์กรรัฐเพียงองค์กรเดียวย่อมเป็นอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรงโดยธรรมชาติของตัวมันเองเสมอ9 โดยมิพักต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์หรือรายละเอียดของการใช้อำนาจในรูปแบบนี้ว่ามีเหตุผลทางการเมือง ศีลธรรมหรือจริยธรรมสูงส่งรองรับหรือไม่อย่างใด ดังนั้น ถึงที่สุดแล้วจึงสมควรกล่าวว่าบทบัญญัติเช่นนี้ไม่ควรมีอยู่ในระบบกฏหมายอีกต่อไป
             §  แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งที่สามารถจะกระทำได้ทันทีเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน คือ องค์กรศาลทั้งหลายที่มีหน้าที่ต้องตีความกฎหมายมาตราในทำนองมาตรา 17 หรือ 44 เพื่อใช้วินิจฉัยชี้ขาดคดี จะต้องสร้างวิธีการตีความให้สอดคล้องกับหลักนิติรัฐ โดยเฉพาะหลักแบ่งแยกอำนาจและหลักความรับผิดของรัฐ เพื่อให้ศาลสามารถเข้าไปตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายและยุติการยกเว้นความรับผิดของการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จชนิดนี้  ในทำนองเดียวกับวิธีการตีความกฎหมายที่ปรากฎในคำพิพากษาฎีกาที่ 646 - 647/2510
- See more at: http://blogazine.pub/blogs/jejehenry/post/5617#sthash.pnRJgf16.dpuf

'หนุ่ย' นักกิจกรรมส่องโกงราชภักดิ์ นอนคุก 1 คืน เพื่อนๆ เตรียมหมอนมุ้งเฝ้ายันเช้า


'หนุ่ย' นักกิจกรรมส่องโกงราชภักดิ์ นอนคุก 1 คืน เพื่อนๆ เตรียมหมอนมุ้งเฝ้ายันเช้า
==========================
21 ม.ค. 2559 เมื่อเวลา 18.27 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ หนุ่ย อภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธ์ 1 ในนักกิจกรรมส่องโกงราชภักดิ์ ถูกจับกุมเมื่อประมาณ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมาที่หน้าศาลทหาร
ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้รับข้อมูลจากทนายความว่า หนุ่ยจะถูกคุมขังไว้ที่ สน.ตำรวจรถไฟธนบุรี 1 คืน เนื่องจากพนักงานสอบสวนไม่สามารถพาตัวหนุ่ยไปของฝากขังที่ศาลทหารได้ทันเวลาราชการ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กลุ่มเพื่อนที่มาให้กำลังใจหนุ่ยได้จัดเตรียมของใช้จำเป็นไว้ให้เขาแล้ว โดยบางส่วนเปิดเผยว่าจะมานอนเฝ้าหนุ่ย ที่ สน. ด้วย
ทั้งนี้ หนุ่ยถูกจับกุมตัวที่หน้าศาลทหารเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา เขาเดินทางมาจากต่างจังหวัดและไปให้กำลังใจเพื่อนๆ หลังทราบข่าวการจับกุมและเตรียมขอศาลทหารฝากขังเพื่อนของเขา 4 คนที่ถูกออกหมายจับในคดีเดียวกัน
นักกิจกรรมทั้งหมด 6 คนถูกออกหมายจับจากกรณีนี้ ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ชุมนุมเกิน 5 คนจากการทำกิจกรรมนั่งรถไฟไปราชภักดิ์ ส่องแสงหากลโกงเมื่อธ.ค.ปีที่แล้ว

เรียกร้องตรวจสอบกรณีบุกอุ้ม 'จ่านิว' -ลงโทษวินัย-อาญา จนท.ที่เกี่ยวข้อง

Thu, 2016-01-21 13:26

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมออกแถลงการณ์กรณีบุกอุ้ม "จ่านิว" กลางดึก เรียกร้องเร่งตรวจสอบว่าเป็นการกระทำของหน่วยงานใด พร้อมให้แสดงความรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิ และดำเนินการทางอาญาและวินัยต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว

ภาพจากกล้องวงจรปิด จะเห็นรถปิคอัพสีบรอนซ์เงินจอดหน้าประตูเชียงราก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต และมีเจ้าหน้าที่เดินลงมาอย่างน้อย 5 นาย เพื่อควบคุมตัวสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ที่กำลังเดินกลับเข้ามาในเขตมหาวิทยาลัย (มุมซ้ายของจอภาพ) ก่อนนำตัวขึ้นรถปิคอัพสีบรอนซ์เงิน ที่จอดขวางประตูเชียงราก (กลางจอภาพ) และขับรถมุ่งไปทางถนนพหลโยธิน ขณะที่มีรถปิคอัพสีน้ำเงิน ขับตามประกบ
21 ม.ค. 2559 จากกรณี สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว ถูกชายในเครื่องแบบทหารบุกอุ้มบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อเวลาประมาณ 22.30 น. เมื่อคืน (20 ม.ค.) ที่ผ่านมา มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ออกแถลงการณ์ เรื่อง "ยุติการจับกุมผู้ต้องสงสัยตามหมายจับโดยวิธีการอุ้ม" โดยเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าวอย่างจริงจังและอย่างเร่งด่วนว่าเป็นการกระทำของผู้ใด หน่วยงานใด และขอให้มีการแสดงความรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังกล่าว รวมถึงทำให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดพฤติกรรมอุกอาจรุนแรงต่อนักกิจกรรมทางสังคม นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนอีก พร้อมกันนี้ยังขอให้มีการดำเนินการทั้งทางอาญาและทางวินัยต่อเจ้าหน้าที่ที่กระทำ สนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำดังกล่าวด้วย
"การอุ้มหายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย โดยรัฐจะต้องไม่ยินยอมให้เกิดขึ้นได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะสถานการณ์ เหตุผล หรือต่อบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น" แถลงการณ์ระบุ

แถลงการณ์ ยุติการจับกุมผู้ต้องสงสัยตามหมายจับโดยวิธีการอุ้ม
ตามที่เป็นข่าวในทางสาธารณะและสื่อออนไลน์ว่ามีการจับกุมนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ “จ่านิว” นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มประชาธิปไตยศึกษา เมื่อเวลาประมาณ 22.30 น. ของวันที่ 20 มกราคม 2559 โดยภายหลังมีการเผยแพร่ภาพวงจรปิดของทางมหาวิทยาลัยพบเห็นเป็นกลุ่มบุคคลแต่งกายแบบทหารมาด้วยรถกระบะจำนวนสองคัน เดินออกจากรถเข้าจับกุมชายใส่เสื้อสีขาวแล้วขึ้นรถกระบะขอออกไปจากบริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต (ฝั่งประตูเชียงราก) ขณะนั้นนายสิรวิชญ์ฯ และเพื่อนจำนวนสองคนกำลังเดินบนทางเดินทางหลังจากการรับประทานอาหาร เพื่อนทั้งสองคนจึงเป็นพยานเห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจนพร้อมกับกลุ่มประชาชนที่อยู่ใกล้เคียง สถานที่เกิดเหตุอยู่บนถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมา ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งนอกจากเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในร่างกายนายสิรวิชญ์แล้ว ยังเป็นการกระทำที่อุกอาจในพื้นที่สาธารณะที่คุกคามสิทธิมนุษยชนสร้างความหวาดกลัวในชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนเป็นการทั่วไปด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการบังคับบุคคลให้สูญหาย ซึ่งมีหมายความว่า การจับกุมคุมขังลักพาหรือกระทำด้วยประการใดที่เป็นการลิดรอนเสรีภาพในร่างกายต่อบุคคลซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับคำสั่งการสนับสนุนหรือการรู้เห็นเป็นใจจากเจ้าหน้าที่รัฐ และมีการปฏิเสธว่ามิได้มีการจับกุมคุมขังลักพาหรือกระทำการนั้น แม้ว่าการบังคับให้สูญหายในกรณีนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์เป็นเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง เพราะต่อมาได้มาการนำตัวมาส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนิมิตรใหม่ ในเวลา 01.00 น. ของวันที่ 21 มกราคม 2559 ดังปรากฏในบันทึกการจับกุมซึ่งจัดทำขึ้นในเวลา 03.00 น. โดยอ้างว่าเป็นการติดตามจับกุมตามหมายจับ
จากกรณีที่เกิดขึ้นนี้มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเห็นว่า การที่เจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัวและจับกุมผู้ต้องสงสัยตามหมายจับศาลทหารนั้นต้องกระทำตามเจตนารมณ์ของกฎหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญา และซึ่งเป็นหลักการที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้และมาตรฐานระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน อีกทั้งต้องหลีกเลี่ยงการดำเนินการในเวลากลางคืน เนื่องจากนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์มิได้เป็นผู้ต้องสงสัยในคดีที่มีความรุนแรงหรือมีพฤติกรรมไปในทางการใช้ความรุนแรง นายสิรวิชญ์เป็นนักกิจกรรมนักศึกษาที่ดำเนินกิจกรรมทางสังคมเพื่อการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งทางราชการสมควรมีวิธีการที่ละมุนละม่อมและการดำเนินการตามกฎหมายอาญาอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ กระบวนการยุติธรรมทางอาญาได้กำหนดขึ้นเพื่อบุคคลทุกคนภายใต้กฎหมายเดียวกัน รวมทั้งผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมืองหรือผู้ที่ถูกออกหมายจับโดยศาลทหาร และหากมีการควบคุมตัวในสถานที่เปิดเผยซึ่งได้รับรองอย่างเป็นทางการ ต้องไม่ควบคุมตัวโดยปราศจากการติดต่อกับโลกภายนอก และจะต้องสามารถเข้าถึงทนายความและแพทย์ที่เป็นอิสระ เป็นต้น ด้วยสิทธิดังกล่าวเหล่านี้เป็นหลักประกันเพื่อคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ป้องกันการถูกซ้อมทรมานการอุ้มหายและการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมและย่ำยีศักดิ์ศรี รวมทั้งสิทธิในชีวิตของผู้ถูกควบคุมตัวและจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นในลักษณะเป็นผู้กระทำความผิดมิได้
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอเสนอให้นายกรัฐมนตรีโปรดดำเนินการดังนี้
1.  ขอให้มีการตรวจสอบอย่างจริงจังและอย่างเร่งด่วนเกี่ยวกับเหตุการณ์คืนวันที่ 20 มกราคม ต่อเนื่องวันที่ 21 มกราคม 2559 ว่าเป็นการกระทำของผู้ใด หน่วยงานใด และขอให้มีการแสดงความรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังกล่าว และทำให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดพฤติกรรมอุกอาจรุนแรงต่อนักกิจกรรมทางสังคม นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนอีก
2.  เมื่อปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงที่เชื่อได้ว่า การบังคับบุคคลให้สูญหาย ได้แก่ การจับ ควบคุมตัว ลักพาตัว หรือวิธีการอื่นใดในการทำให้บุคคลสูญเสียอิสรภาพ กระทำโดยตัวแทนของรัฐ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลโดยการอนุญาต การสนับสนุน หรือ การรู้เห็นเป็นใจจากรัฐ และรัฐปฏิเสธการกระทำนั้น หรือโดยปกปิดชะตากรรม หรือสถานที่อยู่ของบุคคลนั้น ทำให้บุคคลนั้นต้องตกอยู่ภายนอกความคุ้มครองของกฎหมาย ขอให้มีการดำเนินการทั้งทางอาญาและทางวินัยต่อเจ้าหน้าที่ที่กระทำ สนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำดังกล่าวด้วย
การอุ้มหายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย โดยรัฐจะต้องไม่ยินยอมให้เกิดขึ้นได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะสถานการณ์ เหตุผล หรือต่อบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น

ป๋าเปรม -บิ๊กแอ้ด- นายกฯ ร่วมงานเลี้ยงวันกองทัพบก บิ๊กตู่ ชมเป็น"ทหารอาชีพ"


ป๋าเปรม -บิ๊กแอ้ด- นายกฯ ร่วมงานเลี้ยงวันกองทัพบก บิ๊กตู่ ชมเป็น"ทหารอาชีพ" ที่ดูแลขาติ ประชาชน ขอร่วมปฏิรูปประเทศ ยัน รัฐบาลพร้อมสนับสนุนกองทัพบกในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้มีศักยภาพพร้อมปฏิบัติงานในทุกมิติ และเป็นกองทัพที่มีความเข้มแข็ง
(20/1/59)ที่ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รศ. นราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันกองทัพบก ประจำปี 2559
โดยมีพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พร่อมทั้ง พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี พลเอกประวิตรมวงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม พร้อมคณะทุตานุทูต ผู้ช่วยทูตทหาร ผู้บังคับบัญชาชั้นสูง อดีตผู้บังคับบัญชาชั้นสูงทหารบก
รวมทั้ง พลเอกปรีชา ปลัดกลาโหม พลเอกสมหมาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และภริยา
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสุนทรพจน์ เพื่อเป็นเกียรติเนื่องในวันกองทัพบก ตอนหนึ่งว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันกองทัพบก และได้มาพบปะกับทุกคนที่ได้ทำหน้าที่ของ "ทหารอาชีพ"ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่ เพื่อดูแลประเทศชาติและประชาชน
ทั้งนี้ กองทัพบกมีหน้าที่สำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติ โดยมุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจเพื่อป้องกันเอกราชอธิปไตยของชาติให้มีความปลอดภัย มั่นคง ตลอดจนให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกสถานการณ์ และร่วมแก้ไขปัญหาสังคม พร้อมกับขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในด้านความมั่นคงของชาติ แสดงให้เห็นความพร้อมของกองทัพที่จะอยู่เคียงข้างประเทศชาติและประชาชนเสมอ
นายกฯกล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ได้รับทราบถึงการปฏิบัติหน้าที่ของทุกคนด้วยความชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจ ความทุ่มเท ความเสียสละ เพื่อพิทักษ์สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ตามปณิธานที่ได้ยึดถือไว้ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ได้ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เพื่อวางรากฐานให้กับอนาคตที่จะก้าวไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ในการดำเนินภารกิจทั้งการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย ตลอดจนการร่วมสร้างสังคมที่มีความรัก ความสามัคคี สามารถอยู่ร่วมกันด้วยความปรองดองสมานฉันท์ มีความเสมอภาคและเป็นธรรมในสังคมไทย
โดยรัฐบาลและกองทัพบกต่างมีอุดมการณ์ และความมุ่งหมายที่สอดคล้องกัน มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน เพื่อรักษาความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยของชาติบ้านเมือง การทำนุบำรุงศาสนา การปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดีอย่างสูงสุด และยึดเอาความต้องการ ความพึงพอใจ ตลอดจนสวัสดิภาพของประชาชนเป็นเป้าหมายหลักในการปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในนามรัฐบาลขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคน รวมถึงกำลังพลของกองทัพที่กำลังปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบอย่างดีที่สุด สมเกียรติ และศักดิ์ศรีของการเป็นทหารของชาติและประชาชน พร้อมร่วมกันใช้ความรู้ความสามารถในการดำเนินงานด้วยความมีเอกภาพให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย เพื่อให้เป็นคุณประโยชน์แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ โดยรัฐบาลพร้อมให้การส่งเสริมสนับสนุนกองทัพบกในทุก ๆ ด้านอย่างเต็มที่ เพื่อให้มีศักยภาพพร้อมปฏิบัติงานในทุกมิติ และเป็นกองทัพที่มีความเข้มแข็งของภูมิภาคอาเซียนต่อไป

บรรยากาศ งานเลี้ยงรับรอง วันกองทัพบก เพลง นายกฯ เพลง ป๋า กระหึ่ม

บรรยากาศ งานเลี้ยงรับรอง วันกองทัพบก เพลง นายกฯ เพลง ป๋า กระหึ่ม

(20/1/59)ที่ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดีรังสิต พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และ
รศ.นราพร จันทร์โอชา ภรรยา ร่วมงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพบกปี 2559
โดยมีบุคคลสำคัญจำนวนมากมาร่วมงาน ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี สมาชิก คสช. ผู้นำเหล่าทัพ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เอกอัครราชทูตต่างประเทศ อดีตผู้บังคับบัญชา และผู้บริหารภาคเอกชน อาทิ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยและอดีต ผบ.ทบ.พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม
พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.)พล.ร.อ.ณะ. อารีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.ตรีทศ สนเทศ ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เป็นต้น
ทั้งนี้ภายในงานได้มีการนำม้าจากกองพันทหารม้าที่ 29 รักษาพระองค์ (ม.พัน 29 รอ.) จำนวน 12 ม้า มาเข้าแถวต้อนรับผู้ที่มาร่วมพิธี“
บรรยากาศภายในห้องจัดเลี้ยง ว่าในส่วนพิธีการสำหรับการดำเนินงานทางเจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมเพลงในพิธีไว้ 7 เพลง หลังจากแขกรับเชิญและประธานในพิธีมาครบ จะมีการบรรเลงเพลง เราคือประเทศไทย ที่เป็นเพลงที่ทางพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้แต่ง ต่อด้วยเพลงข้าบดินทร์ และเพลงชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นเพลงที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรี และรัฐบุรุษ เป็นผู้แต่ง จากนั้นจะเข้าพิธีการ ต่อด้วยการฉายสื่อผสม วีทีทัศน์ เกี่ยวกับภารกิจ หน้าที่ และนโยบาย กองทัพบก ประมาณ 10 นาที จากนั้นเป็นการขับร้องเพลงของกรมดุริยางค์ทหารบก อีก 3 เพลงประกอบด้วย เพลง skyfall ของ ADELE ต่อด้วยเพลง Bridge over troudled water และเมดเล่ย์ หลังจากนั้นเป็นการแสดง ของกรมดุริยางค์ทหารบก ชุด เลดี้ อาร์มี่ แบนร์โชว์ ในชุด สตรอง แอนเทินเลดี้ หรือ เข็มแข็ง และอ่อนหวาน ใช้เวลาประมาณ 12 นาที จากนั้นเป็นขับร้องเพลงจะอยู่อย่างจงรัก จะตายอย่างภักดี ก่อนจบงาน

โฆษก คสช. แจง ทหารอุ้ม"จ่านิว" ไม่มีรุนแรง ให้เกียรติ


โฆษก คสช. แจง ทหารอุ้ม"จ่านิว" ไม่มีรุนแรง ให้เกียรติ ละมุนละม่อม เผย จนท.ระมัดระวัง อยู่แล้ว ขออย่าบิดเบือน เผยอะลุ้มอล่วย มานาน ระบุ จ่านิว เคลื่อนไหว ยั่วยุมากขึ้น เตือนพวกที่จะไปชุมนุม กดดัน จะถูกดำเนินการตามกม.
พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก คสช. ชี้แจงกรณี จนท.ทหาร ควบคุมตัว นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ตามหมายจับของศาลทหารกรุงเทพ ส่งให้ จนท.ตร.สน.นิมิตรใหม่ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป นั้นว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่ การดำเนินการทุกขั้นตอนเป็นไปตามกรอบกฎหมาย ปฏิบัติอย่างให้เกียรติละมุนละม่อม ไม่มีรุนแรง อย่างที่บางคนพยายามจะบิดเบือน
เพราะที่ผ่านมาต่อกรณีผู้เห็นต่าง จนท.จะใช้แนวทางการขอความร่วมมือและทำความเข้าใจเป็นลำดับแรกอยู่แล้ว
แต่กรณีนายสิรวิชญ์ฯ หรือในบางบุคคล ไม่พยายามเข้าใจ และไม่พยายามให้ความร่วมมือ จึงเลยไปถึงขั้นต้องออกหมายจับกัน หลังจากที่ จนท.พยายามที่จะหาวิธีอะลุ้มอล่วยให้กันมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามผู้ถูกกล่าวหายังสามารถไปแก้ต่างได้ตามขั้นตอนกระบวนการ
ทั้งนี้ มีข้อสังเกตบางประการ ระยะหลัง นายสิรวิชญ์ฯ ค่อนข้างมีพฤติกรรมเชิงยั่วยุมากขึ้น จะด้วยเจตนาแท้จริงประการใดก็ตาม เชื่อว่าสังคมที่ติดตามข่าวอยู่จะสามารถรู้เท่าทันได้
อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เกิดภาพหรือความรู้สึกที่ไม่ดีกับ จนท. โดยเฉพาะกรณีที่อาจมีผู้ไม่หวังดีพยายามจะหาเหตุนำไปขยายผลให้เกิดภาพในเชิงลบ จนท.จึงต้องดำเนินการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง
สำหรับกรณีจะมีบางกลุ่มนัดหมายมวลชนมาเรียกร้องกดดัน จนท.ก็ คงต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะถ้าเข้าข่ายผิดกฎหมาย จนท.ก็คงจำเป็นจะต้องดำเนินการ เพื่อให้ภาพรวมของการบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพกับทุกๆ กรณี

บิ๊กตู่ สั่งทหาร หยุดไปแถวบ้าน หลังนักข่าวที่ไปงานปีใหม่ บ้าน"ยิ่งลักษณ์"

บิ๊กตู่ สั่งทหาร หยุดไปแถวบ้านนักข่าว หลัง นักข่าวที่ไปงานปีใหม่ บ้าน"ยิ่งลักษณ์" โดนทหารไปแถวบ้าน นายกฯ แจงไปแค่ดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่รับผิดชอบ เท่านั้น แต่ยังเหน็บสื่อ ไปรับเครื่องราง ของแจก ปีใหม่ บ้านยิ่งลักษณ์
นายกฯ งง ไม่รู้มีทหารตามนักข่าวถึงบ้าน เปรย อาจไปดูแลความเรียบร้อยให้มั้ง ลั่นเดี๋ยวจะสั่งไม่ต้องไป เกิดอะไรก็รับผิดชอบเอง.....ยังติดใจ แขวะรอบ2 สื่อที่ไปงานปีใหม่บ้าน"ยิ่งลักษณ์" เปรย ผมรู้มีใครไปบ้าง ผมมีข้อมูล มีภาพ ไปปีใหม่ ไปรับของแจกด้วย ตระกรุด3ดอก เหน็บ เครื่องรางใด ก็สู้กม.ได้หรอก
ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ นายกฯ ทำหน้างง เมื่อสื่อถามว่า ทำไมทหารต้องไปเฝ้าหน้าบ้านนักข่าวด้วย โดยนายกฯถามว่า บ้านใคร เมื้อสื่อแจ้งว่าเป็นนักข่าวที่ไปงานปีใหม่ บ้าน อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ พลเอกประยุทธ์ จึงบอกว่า เขาคงไปลาดตระเวณดูแลตามปกติในพื้นที่รับผิดชอบ ผมจะสั่งไม่ให้ไปแล้ว เมื่อเกิดอะไรขึ้น ก็ให้ดูแล รับผิดชอบตัวเอง แล้วกัน
ก่อนหน้านั้น นายกฯพูดในงาน One map พาดพิงสื่อที่ไปงานเปิดบ้านปีใหม่ของ "ยิ่งลักษณ์" อดีตนายกฯ เปรย ผมรู้มีใครไปบ้าง ผมมีข้อมูล มีภาพ ไปปีใหม่ ไปรับของแจกด้วย ตระกรุด3ดอก เหน็บ เครื่องรางใด ก็สู้กม.ได้หรอก
ทั้งนี้ นายกฯเคย เปรยเรื่องนี้มาแล้ว เมื่อสัปดาห์ ที่แล้ว
พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผช.โฆษกฯ เผยว่า หน่วยทหารที่ดูแลในพื้นที่ สุขาภิบาล 5 แจงว่า ไปแค่ลาดตระเวณดูแลความเรียบร้อยปกติ ด้วยรถยนต์ทางทหารดัดแปลงแบบ50

ประยุทธ์"แจงจับ"จ่านิว"ตามกฎหมาย-ลองต่อต้านสิ

"ประยุทธ์"แจงจับ"จ่านิว"ตามกฎหมาย-ลองต่อต้านสิ
Thursday, January 21, 2016 - 15:56
วันนี้(21ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีทหารเข้าจับกุมนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ “จ่านิว” สมาชิกกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ว่า ตนก็แจ้งไปแล้วว่าให้ดูอยู่ ซึ่งเขาก็บอกว่าต้องระมัดระวังเรื่องแบบนี้ ต้องเข้าใจว่ากฎหมายมีหลายฉบับ อย่าลืมว่าคนที่เห็นด้วยกับเขามีส่วนหนึ่ง แต่ก็มีคนที่ไม่เห็นด้วยก็มีจำนวนมาก ซึ่งคนที่เห็นด้วยก็จะบอกว่าหมายจับมีแล้ว ทำไมไม่ทำ การละเว้นผิดมาตรา 157 แล้วอยากถามว่า เจ้าหน้าที่จับจ่านิวเรื่องอะไร ออกหมายจับเรื่องอะไร ความผิดอยู่ตรงไหน กรณีเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ เป็นคนละเรื่อง เขามีความผิดตั้งแต่กฎหมายปกติมาตรา 116 หรือ 117 กรณีการสร้างความวุ่นวายสับสนในที่สาธารณะ กีดขวางการจราจร ต้องดูกระบวนการเริ่มต้นว่าความผิดนั้นอยู่ตรงไหน ซึ่งถ้ามีการเดินทางไปยังอุทยานราชภักดิ์ก็ผิดเรื่อง พรบ.การชุมนุมในพื้นที่สาธารณะ ขัดคำสั่ง คสช. ในเรื่องการห้ามตามกฎหมายอยู่แล้ว ผิดแน่นอน แล้วจะผิดต่อที่ 2 คือเป็นการชุมนุมอีกพื้นที่หนึ่งต่างเวลา ถือว่าต่างกรรม ต่างวาระ เป็นสิ่งที่ตนห่วง ไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ จะไปพูดไปสื่อหรือเรียกคนมาประชาชนเองก็จะผิดกันทั้งพวง ถ้าไม่เคารพกฎหมายกันอย่างนี้แล้วจะอยู่กันอย่างไรเล่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่เจ้าหน้าที่ไปอุ้มขึ้นรถอย่างนี้จะถูกมองในแง่ไม่ดี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าเขาก็จับทุกรูปแบบ ทำไมจับแล้วให้พวกเธอเห็นแล้วถ่ายรูปจะได้ไปต่อต้านเจ้าหน้าที่กันหรืออย่างไร แล้วกรณีไปจับโจรอื่นทำไมไม่พูดกันบ้าง
เมื่อถามว่าแต่กรณีนี้เป็นนักศึกษาจึงเป็นประเด็นที่อ่อนไหว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามว่า "เป็นนักศึกษาเรียนมากี่ปีแล้ว รู้หรือไม่ แล้วเมื่อไหร่จะจบ ไปทำในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่อยู่นั่นแหละ ไม่จบก็ไม่จบ ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะต้องดูแล้วนะ ผมไม่ได้มองว่าเขาออกมาต่อต้าน แต่ถามว่ามันต่อต้านได้ไหมเล่า ลองสิ ใครมาต่อต้านสิ เอาหรือไม่เล่าแล้วพวกคุณจะปล่อยให้คนเหล่านี้ต่อต้านหรือ ผมพูดไปก็ไม่ฟังกัน พูดจนเหนื่อยปาก เดี๋ยวชกเลย แล้วก็ไปเขียนเฉพาะไอ้ที่แสบๆ นายกฯ อารมณ์เสียอย่างนั้น อย่างนี้ ฟังกันบ้างเรื่องที่เป็นสาระ แล้วถ้าจะปล่อยให้เขาทำกันอย่างนั้น คนอื่นผมก็ทำอะไรไม่ได้ มันก็ขัดแย้งกันอยู่อย่างนี้ กฎหมายเขาเขียนไว้แล้ว เขาไม่ได้เขียนว่าห้ามไปอุทยานราชภักดิ์ ไปแล้วผิด ไม่ได้เขียนห้ามชุมนุมเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กฎหมายเขามีไว้อยู่แล้ว ความจริงไม่ต้องใช้มาตรา 44 ไม่ต้องมี คสช.ถ้าทุกคนทำตามกฎหมาย พรบ.การชุมนุมฯ แล้วทำไมวันนี้ที่เขาชุมนุมเรื่องยางจึงไม่ถูกจับเพราะเขาขออนุญาต รู้จักกฎหมายกันบ้าง ไม่ใช่อะไรก็จะประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนแล้วมันเป็นอย่างไรที่ผ่านมา"
ถามว่า การจับกุมนักศึกษา ต่างประเทศมักจะมีท่าทีต่างๆ ออกมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าก็ช่างต่างประเทศ ตนชี้แจงได้อยู่แล้ว ตอนนี้ก็ชี้แจงไปหมดแล้ว พฤติกรรมของใครที่อยู่ต่างประเทศ ผิดกฎหมายอะไรบ้าง ตนส่งไปหมดแล้ว ผิดกฎหมายอะไรบ้าง ทุกตัว ไม่กลัวใครอยู่แล้ว ที่ผ่านมาไม่กล้าพูดกัน ก็เอาเรื่องข้อเท็จจริงส่งไปยังสถานทูตทุกประเทศ ว่าใครผิดตรงไหนอย่างไร ให้เข้าใจว่ากฎหมายไทยคือกฎหมายไทย ไม่ใช่อำนาจของตน เป็นอำนาจของกฎหมาย ที่ออกมาเพื่อคนทั้งประเทศ เราต้องคิดให้ออก ไม่เช่นนั้นก็แก้ปัญหาประเทศไม่ได้.

“ปณิธาน” ชี้ ไม่แปลก “มะกัน” ออกแถลงการณ์กังวลจับ “จ่านิว”

“ปณิธาน” ชี้ ไม่แปลก “มะกัน” ออกแถลงการณ์กังวลจับ “จ่านิว” ย้ำไม่กลัวนศ.เดินทางไปอุทยานฯ แต่หวั่นเกิดการปะทะ
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์กรณีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาแสดงความกังวลเรื่องสิทธิมนุษยชนในไทยกรณีเจ้าหน้าที่ทหารจับกุมนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ (จ่านิว) แกนนำนักศึกษากลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ว่า การที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐมีท่าทีต่อเรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติเพราะได้ทำเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องสิทธิมนุษยชนจะมีความละเอียดมาก ซึ่งลงลึกในกรณีเฉพาะและเรื่องดังกล่าวต้องมีคนให้ข่าวกับทางสถานทูตอเมริกาประจำประเทศไทย รวมถึงทางการไทยก็ต้องแจ้งไป ทางนั้นจึงทำงานง่าย และแถลงการณ์ที่ออกมาต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลก
นายปณิธานกล่าวอีกว่า ฝ่ายความมั่นคงไม่ได้กลัวความเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่จะเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ แต่กังวลว่าจะเกิดการปะทะกับกลุ่มที่เห็นต่าง ในมุมมองของทหารอยากให้สถานการณ์สงบนิ่งที่สุด จึงต้องสกัดกลุ่มนักศึกษาไว้ อย่างไรก็ตามบรรยากาศที่กำลังเข้าสู่โรดแมปในช่วงนี้ อาจมีการเคลื่อนไหวในเรื่องต่างๆ ส่วนจะปล่อยได้เพียงใดจะเป็นผลดีกับฝ่ายความมั่นคงอย่างไรคงต้องมีการหารือ ส่วนที่มองกันว่ายิ่งปิดกั้นกลุ่มเคลื่อนไหว จะยิ่งมีกิจกรรมเคลื่อนไหวมากขึ้นนั้น ตามความเป็นจริงต้องปล่อยไปเรื่อยๆ แต่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีว่ากรณีใดจะแสดงความคิดเห็นได้หรือไม่ได้  เรื่องนี้ทางฝ่ายความมั่นคงได้เนินการพิจารณามาโดยตลอด แต่อาจจะเห็นไม่ชัด

ศาลทหารคัดค้านฝากขัง’จ่านิว’ และพวก ส่งผลให้ทั้งหมดถูกปล่อยตัวชั่วคราว

จากกรณีนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว อายุ 23 ปี แกนนำนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่ ได้ถูกบุคคลแต่งกายคล้ายทหาร จำนวน 8 คน เข้าคุมตัวไปจากบริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต (ฝั่งประตูเชียงราก) เมื่อเวลา 22.30 น. วันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมานั้น
เมื่อเวลา 13.30 น. ภายหลังจากการสอบปากคำ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว อายุ 23 ปี แกนนำนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่ พร้อมน.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว อายุ 22 ปี น.ส.ชนกนันท์ รวมทรัพย์ อายุ 22 ปี นายกรกช แสงเย็นพันธ์ อายุ 23 ปี โดยทั้ง 4 รายเป็นผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับ ในข้อหา”มั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ที่มีตั้งแต่5คนขึ้นไป”โดยใช้เวลานานกว่า 6 ชั่วโมง กระทั่งน.ส.ชลธิชา เดินลงมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมชูกำปั้นขึ้น ส่วนนายสิรวิชญ์สีหน้าไม่สู้ดีนัก เนื่องจากมีอาการปวดขาทางด้านซ้าย พร้อมด้วยเสียงตะโกนจากผู้มารอให้กำลังใจ “นิวสู้ๆ” ในระหว่างควบคุมตัวผู้ต้องหาขึ้นรถตู้สีขาว หมายเลขทะเบียน ฮก 2258 ไปฝากขังที่ศาลทหารนั้น มีทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูกว่า 10 นาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสอบปากคำเสร็จนายสิรวิชญ์ได้ขอใช้สิทธิ์ตรวจร่างกายโดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราชมาทำการตรวจร่างกาย พบว่ามีร่างกายที่แข็งแรงดี
ขณะที่เมื่อเวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมตัว นายอภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธุ์ 1ในผู้ต้องหา ที่นั่งอยู่ ร่วมกับประชาชนที่มาให้กำลังใจกลุ่มนักศึกษา บริเวณหน้าศาลทหาร โดยผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ว่าค่อนข้างตึงเครียด เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 30 นาย เข้าประชิดกลุ่มผู้ให้กำลังใจ ก่อนอ่านหมายจับ และเข้าควบคุมตัวขึ้นรถไป
หลังจากนั้น ศาลทหารได้พิจารณายกคำร้องของเจ้าพนักงานสอบสวนฝากขัง สิรวิชญ์ หรือ นิว และพวกรวม 4 คน ส่งผลให้ทั้งหมดถูกปล่อยตัวชั่วคราว ในเวลาประมาณ 16.20 น.ที่ผ่านมา

3สัญญาณ เตือนเศรษฐกิจไทยพิสูจน์ฝีมือเทคโนแครตยุคทหาร


The Hel(l)met Show EP64: 3สัญญาณ เตือนเศรษฐกิจไทยพิสูจน์ฝีมือเทคโนแครตยุคเผด็จการ
ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งวิธีการที่ได้เห็นกันบ่อยๆ คือ การสร้างดีมานด์ที่อาจจะเป็นดีมานด์เทียม การสนับสนุนให้คนดึงเงินในอนาคตมาใช้ ทำให้คนเป็นหนี้มากขึ้น ไอเอ็มเอฟได้จัดอันดับการเป็นหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี พบว่าไทยติดอันดับที่ 15 ของโลก และหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีตั้งแต่ปี 2555-2557 ของไทยก็เพิ่มขึ้นทุกปี จนในปี 2557 อัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยอยู่ที่ 85.9%
แนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจมีหลากหลาย แต่ต้องยอมรับว่าในเบื้องต้นภาครัฐก็เน้นการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ และกระตุ้นด้วยการสร้างดีมานด์ จึงมีโครงการหรือแคมเปญกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐออกมาต่อเนื่อง อาทิ รถคันแรก บ้านหลังแรก มาตรการคืนเงินภาษี แต่เงินของรัฐที่จะอัดฉีดนั้นก็มีสัดส่วนเพียง 1 ใน 5 ของระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ทำให้แม้รัฐจะมีมาตรการกระตุ้นอย่างไร เศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้นตัวอย่างที่เห็นในทุกวันนี้
ขณะที่แคมเปญของเอกชน ก็มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตลอดอยู่แล้ว แต่ในปัจจุบันความเข้มข้นของการใช้แคมเปญรุกมีมากขึ้น ธุรกิจอสังหาฯมีการกระตุ้นยอดขายชัดเจน อาทิ ซื้อห้องชุด 1 ห้อง แถม 1 ห้อง ส่วนลดพิเศษ ซื้อคอนโดแถมบิ๊กไบค์ และอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ ธุรกิจอาหาร ที่ร้านอาหารบางแห่งต้องงัดแคมเปญผ่อน 0% ออกมา
คุณสุรนันทน์มองว่า ในมุมมองส่วนตัวที่ทำธุรกิจร้านอาหาร ขอรับเงินสดดีกว่าให้ลูกค้าผ่อนผ่านบัตรเครดิต เนื่องจากยังไม่ได้เงินหลายเดือนและยังถูกหักค่าบริการอีก 3% แต่ถ้าบริหารแคชโฟลว์ดีๆ ก็สามารถทำได้ ด้าน อ.พิชญ์มองว่า ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คอนโดในบางพื้นที่อยู่ในภาวะโอเวอร์ซัพพลาย เนื่องมาจากตามหัวเมืองใหญ่ ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าจะมีรถไฟความเร็วสูงและรถไฟส่วนขยายต่างๆ ทำให้มีการสร้างคอนโดเตรียมไว้ แต่แผนการลงทุนด้านคมนาคมได้ชะลอออกไป
ส่วนในกรณีของการเป็นหนี้ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไปหากผู้ที่กู้ยืมยังมีความสามารถในการผ่อนชำระ และต้องยอมรับว่าการเติบโตของธุรกิจก็เกิดจากการกู้ยืม ที่ต้องควบคู่ไปกับการบริหารจัดการความสามารถในการชำระหนี้ที่ดีด้วย แต่ปัญหาของคนที่เป็นหนี้คือ แม้ว่าจะมีพื้นฐานดี แต่อาจจะหาเงินไม่เป็น นอกจากหาเงินไม่เป็นแล้ว ยังใช้จ่ายเงินออกไปเรื่อยๆ อีกด้วย

พรุ่งนี้ดีเอสไอเรียกสอบ โอ๊ค -กาญจนาภา -พ่อศิธาเข้าชี้แจงคดีปล่อยกู้ กฤษฎามหานคร


 21 ม.ค. 2559 - พรุ่งนี้ดีเอสไอเรียกสอบ โอ๊ค -กาญจนาภา -พ่อศิธาเข้าชี้แจงคดีปล่อยกู้ กฤษฎามหานคร พร้อมทยอยเรียกสอบพนักงานฮาวคัมได้รับสิทธิซื้อหุ้นผุ้มีอุปการะคุณทอท.พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการสอบสวนคดีฟอกเงินจากการอนุมัติปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กลุ่มบริษัทกฤษดามหานคร ว่าพนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ส่งหนังสือเรียกผู้เกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินกรุงไทย3รายเข้าให้ปากคำในวันพรุ่งนี้( 22ม.ค.)เวลา10.00น.ประกอบด้วยนายพานทองแท้ ชินวัตร นางกาญจนาภา หงส์เหิน และ นายมานพ ทิวารี พ่อของน.ต.ศิธาทิวารีเพื่อชี้แจงประเด็นที่มีชื่อเป็นผู้รับเช็คที่มาจากการอนุมัติเงินกู้ธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มกฤษดามหานครว่าเป็นการจ่ายเช็คเพื่อชำระมูลหนี้ใดโดยขอให้ชี้แจงถึงมูลหนี้รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับหนี้ทั้งนี้พนักงานสอบสวนได้รายงานให้อัยการรับทราบความคืบหน้าการสอบสวนว่าคดีอยู่ระหว่างการเรียกผู้มีรายชื่อรับเช็คเข้าชี้แจงแต่การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จเพราะพยานยังเข้าให้การไม่ครบเช่นพนักงานบริษัทฮาวคัมที่ต้องชี้แจงถึงการได้รับหุ้นการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยในราคาของผู้มีอุปการะคุณรวมถึงการเรียกสอบบริษัทหลักทรัพย์กิมเองและภัทรเข้าใหข้อมูลถึงการได้มาของหุ้นอุปการะคุณที่นำไปจำหน่ายต่อให้กับพนักงานบริษัทฮาวคัมรองอธิบดีเอสไอกล่าวต่อว่าล่าสุดยังไม่ได้รับติดต่อจากบุคคลทั้ง3ว่าจะเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหนังสือเรียกหรือเลื่อนการเข้าให้ปากคำออกไปก่อนส่วนพยานรายอื่นที่มีความชัดเจนว่ามีการรับเงินไปชำระค่าที่ดินและจ่ายคืนให้กับลูกค้าที่ซื้อบ้านในโครงการกฤษดามหานครแล้วการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จจึงมีการคืนบ้านซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ยืนยันว่านายวิชัยกฤษดาธานนท์เจ้าของโครงการหมู่บ้านกฤษดามหานครนำเงินกู้จากธนาคารกรุงไทยไม่ตรงวัตถุประสงค์ที่มีการอนุมัติซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายองค์ประกอบความผิดคดีฟอกเงิน"
อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv/main/content/crime/378486343/

เรื่องเล่าการถูกควบคุมตัว 22-28 พ.ค. 57


data21Jan16ธิดาคุมตัว

เรื่องเล่าการถูกควบคุมตัว 22-28 พ.ค. 57
อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ
13 มิถุนายน 2014 ·

การประชุม 7 คณะ ที่สโมสรทัพบกที่ ผบ.ทบ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ขอนัดหลายฝ่ายรัฐบาล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ กปปส. นปช. คณะกรรมการ กกต. วุฒิสภา และผู้บัญชาการเหล่าทัพ

พร้อม ผบ.ตร. เพื่อพบปะกัน โดยอ้างว่าเชิญมาตกลงเจรจากันเพื่อหาทางออกให้ประเทศ ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากทุกฝ่าย ฝ่ายละ 5 คน
การเจรจาในวันแรก (21 พ.ค.) ให้ต่างฝ่ายแสดงความคิดเห็น ทิ้งประเด็นไว้ให้กลับมาพูดคุยใหม่ อันเกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรี, รัฐบาลกลาง, การเลือกตั้ง, การลงประชามติ, การสร้างบรรยากาศที่

ดีและการยุติการชุมนุมทั้ง 2 ฝ่าย
ในวันรุ่งขึ้น (22 พ.ค.) ก็นัดประชุมใหม่เวลาบ่าย 2 โมง สำหรับพวกเรากลุ่ม นปช. ส่วนมากของแกนนำถูกฟ้องข้อหาก่อการร้าย ศาลนัดไต่สวนพยานในวันที่ 22 และขอให้ศาลอนุญาตให้ไปประชุม

ได้ในเวลาบ่าย 2 โมง กับคณะของพลเอกประยุทธ์ (กอ.รส. ปัจจุบันกลายเป็น คสช.) พวกเรา นปช. 5 คนมี จตุพร, ณัฐวุฒิ, ผู้เขียน, ก่อแก้ว และคุณวีระกานต์ ก็ไปรับประทานอาหารพูดคุยกันก่อน

เวลานัดหมายประชุม ก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากมาย เพราะมีแฟนคลับบ้าง แขกที่บังเอิญเห็นบ้างเข้ามาทักทายเป็นระยะ ๆ แล้วก็ออกเดินทางไปถึงสถานที่ประชุมเวลาประมาณบ่ายโมงครึ่ง เพื่อ

เตรียมตัวเข้าประชุม
ครั้นได้เวลาประชุมฝ่ายรัฐบาลก็เปิดการประชุมด้วยการยินดีถอยร่นให้คณะรัฐมนตรีได้ลดบทบาท Low Profile ให้ปลัดกระทรวงทำงานเป็นหลัก ยกเว้นเรื่องที่ต้องให้รัฐมนตรีทำ เช่น การรับสนอง

พระบรมราชโองการ งานรัฐพิธี ราชพิธี เท่านั้น ตามข้อเสนอสูตรหนึ่งของ กกต. เพื่อเตรียมการเข้าสู่การเลือกตั้ง แน่นอนว่าฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์โดยคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่เห็นด้วย ส่วน นปช.

โดยคุณจตุพร พรหมพันธุ์ ยังใช้ข้อเสนอเดิมคือทำประชามติก่อน ในที่สุดฝ่าย กปปส. ขอเวลานอกให้ได้พบปะกับ นปช. เป็นการขอเจรจาอ้างว่าขอความร่วมมือฝ่ายประชาชนด้วยกัน ซึ่งยังอยู่ใน

กระบวนการเจรจา ยังไม่มีข้อยุติใด ๆ ทหารก็มาเตือนให้กลับเข้าห้องประชุมใหญ่
เมื่อกลับมายังห้องประชุมคุยกันได้ไม่กี่ประโยคลงท้าย ผบ.ทบ. ก็ลุกขึ้นยืนบอกว่า “ผมยึดอำนาจแล้ว” จากนั้นทหารถืออาวุธกรูกันเข้ามาในห้องประชุมแล้วก็เชิญออกมาควบคุมตัวขนาบ 2 ข้างที

ละราย ที่ผู้เขียนเห็นคนแรกคือท่านรัฐมนตรีชัชชาติ ถัดมาเป็นคุณวีระกานต์ ต่อมาเป็นคุณจตุพร แล้วก็เป็นผู้เขียน ตามด้วยคุณก่อแก้ว จากนั้นจะควบคุมตัวใครอย่างไรผู้เขียนก็ไม่มีโอกาสรู้ จะควบ

คุมตัวฝั่ง กปปส. และพรรคฝ่ายค้านไปด้วยหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ แต่เดาว่าเขาคงควบคุมตัวด้วยชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วคงปล่อยไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ 5 คน
ส่วนตัวผู้เขียนเองถูกควบคุมตัวขึ้นรถตู้ เข้าใจว่ามีคุณก่อแก้วนั่งมาด้วย สักพักก็มีทหารใช้หมวกไหมพรมดำมาครอบหัวจงใจปิดตาเพื่อไม่ให้มองเห็น แล้วเอาเอ็นรัดข้อมือมามัดมือ 2 ข้างไว้ด้วยกัน

หมวกไหมพรมครอบศรีษะ ปิดตาใช้ครอบซ้ำ 2 ชั้นเพื่อไม่ให้มองเห็นได้เลย ผู้เขียนคาดเดาว่ารถตู้ที่นำมาเพื่อขึ้นเฮลิคอปเตอร์ก็เป็นความจริง ก่อนหน้านี้ ณัฐวุฒิได้พูดในวงอาหารแล้วว่า ได้ข่าวว่า

มีการเตรียมเฮลิคอปเตอร์ น่าจะเอา 2 ฝ่ายไปเก็บหมด แต่ไม่ได้ตระหนักว่าเป็นความจริง รวดเร็วเพียงไร แต่ละฝ่ายขนหัวหน้ามาหมด ยกเว้นฝ่ายรัฐบาลที่คุณนิวัฒน์ธำรงไม่มา และคุณจารุพงศ์หัว

หน้าพรรคไม่มา
นี่ต้องยอมรับว่าฝั่งเราประเมิน ผบ.ทบ. ต่ำไปในแง่นี้ แต่ถามว่าการสรุปทางออกว่าอย่างไร เขาต้องทำรัฐประหารแน่นั้นเราสรุปเช่นนี้มาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปราศรัยของผู้เขียนใน 2-3 วัน

ก่อนรัฐประหารว่า เมื่อวิถีทางต่าง ๆ ล้มเหลวในการกำจัดรัฐบาลและสิ่งที่เรียกกันว่า “ระบอบทักษิณ” ผู้เขียนได้ประเมินด้วยว่าจะประกาศใช้กฎอัยการศึกและทางสุดท้ายเขาจำเป็นต้องทำรัฐ

ประหารในที่สุด นี่เป็นคำปราศรัยหลายครั้งที่ถนนอักษะ
เมื่อเฮลิคอปเตอร์บินมาสักพักก็จอด (ก่อนหน้าขึ้นเฮลิคอปเตอร์ แว่นตาผู้เขียนก็ถูกยึดไป และได้รับคืนในเวลาต่อมา) ผู้เขียนถูกนำตัวขึ้นรถปิ๊กอัพ ยังถูกหมวกไหมพรมคลุมหัวจนถึงจมูก แล้วก็ถึง

บ้านที่เขาให้เก็บตัว มีทหารถือปืนรักษาการณ์เข้มแข็ง หน้าบ้านและหลังบ้านมีลวดหนามกลมขนาดใหญ่เต็มล้อมบ้านไว้ ตอนแรกยังคาดว่าจะได้อยู่กับก่อแก้ว แต่กลายเป็นอยู่คนเดียว แล้วก็มาเสื้อ

ผ้าชุดเดียว ไม่มีกระเป๋าติดมาเลย ปกติต้องกินยารักษาความดันโลหิตทุกวัน ก็บอกเขาแล้วว่ายารักษาโรคความดันโลหิตสูงต้องรับประทานทุกวัน และยาสำหรับผู้สูงอายุอื่น ๆ ที่สำคัญคือยาความ

ดันโลหิต
วันที่ 23 เช้า ยังออกมายืดเส้นยืดสายได้บ้าง แต่ไม่ถึงชั่วโมงทหารก็ขอให้ขึ้นไปอยู่เฉพาะในห้องข้างบน จะอยู่ภายในบ้านชั้นล่างก็ไม่ได้ ดังนั้นจากวันที่ 23 ถึงวันที่ได้รับการปล่อยตัวผู้เขียนก็ต้องอยู่

ในห้องเล็ก ๆ 3.5 x 3.5 เมตร ตลอดเวลา...คนเดียว...ไม่มีหนังสือพิมพ์ ในวันที่ 26 จึงได้รับอนุญาตให้ดูทีวีได้ ดังนั้น 3 วันแรกนับจากถูกตำตัวออกมาจากห้องประชุม 7 ฝ่ายนั้น ผู้เขียนไม่ได้รับรู้ข่าว

คราวข้อมูลใด ๆ ของพี่น้องประชาชนและสังคมไทยเลย
สิ่งที่ตัวเองได้รับการปฏิบัติ ไม่ว่าจะใช้ถุงครอบหัวและมัดมือดุจอาชญากร ไม่ได้ทำให้วิตกกังวลใด ๆ เมื่อเทียบกับชะตากรรมของพี่น้องประชาชนเสื้อแดงที่ถนนอักษะและในทุกพื้นที่ที่ไม่รู้ว่าจะ

เผชิญสภาพเลวร้ายเพียงใด เมื่อได้ดูทีวีจึงพอรับรู้ข้อมูลว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างเท่าที่โทรทัศน์จะสามารถให้ข้อมูลได้ อย่างน้อยก็ได้รับรู้ประกาศของ คสช.
ความจริงผู้เขียนต้องการเขียนบันทึกทุกวัน แต่เขาไม่ให้แม้แต่กระดาษเปล่า จึงเขียนได้ 4-5 หน้า หนังสือที่เอามาให้อ่านก็มีแต่หนังสือธรรมะแบบเดียวกับคนในคุก ประมาณว่าเป็นอาชญากร

สมควรอ่านหนังสือธรรมะได้อย่างเดียว ผู้เขียนก็บอกว่าหนังสืออะไรก็ได้ ประวัติศาสตร์ ท่องเที่ยว อะไรก็ได้ เพราะตอนนั้นไม่แน่ใจว่าจะถูกขังอยู่นานเท่าไร?
ไม่ได้พูดกับใครเลย เขาให้อยู่ชั้นบน ห้องขนาด 3.5 x 3.5 เมตร แต่ยังดีมีแอร์คอนดิชั่น และช่วงหลังได้ดูทีวีบ้าง ของไทยไม่มีอะไรดูก็ไปดูสารคดีและหนังต่างประเทศบ้าง วันแรก ๆ ผู้เขียนมอง ๆ

ดูชั้นล่างเห็นหนังสือชีวประวัติอาจารย์เสาร์ เล่มเบ้อเริ่ม อ่านแล้วได้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพระป่าธรรมยุติและประวัติศาสตร์ของประชาชนอีสานส่วนหนึ่ง ถือว่าได้หนังสือดี ได้รับรู้เรื่อง

ราวเชิงประวัติศาสตร์ของพระสายธรรมยุติอีสาน สายอาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่น ที่ผู้เขียนพูดกับนักข่าวว่า หนังสือธรรมะก็สนุกเหมือนกันคือเล่มนี้นี่เอง มีเรื่องราวกบฏ
ผีบุญ ซึ่งผู้เขียนเพิ่งรู้ว่าไม่ได้มีคนเดียว
สถานที่ที่ควบคุมตัวเป็นบ้านพักนายทหาร มองออกมามีต้นไม้ใหญ่ ด้านหน้ามีไม้ใหญ่เช่นมะม่วง ด้านขวามือมีต้นมะขามใหญ่ หน้าบ้านมีไม้ดอกลีลาวดีต้นใหญ่ รอบบ้านถูกล้อมด้วยลวดหนาม (

หีบเพลง) มีทหารเฝ้าหน้าบ้าน หลังบ้าน ในบ้าน
แรก ๆ ก็ให้รับประทานอาหารกล่องแบบเดียวกับทหาร แต่หลังจากนั้น 2-3 วันก็เริ่มมีอาหารใส่จานเดินมาส่ง และก็พยายามบริการอาหารเครื่องดื่มดียิ่งขึ้น แต่ไม่เห็นมีใครมาคุยเลย โดยเฉพาะนาย

ทหารคงจะไม่มีเวลากระมัง จนถึงวันสุดท้ายที่จะปล่อยตัว จึงมีนายทหารมาแจ้งและได้คุยกันเล็กน้อย พร้อมทั้งแจ้งว่ามีกระเป๋าเสื้อผ้าและยาจากครอบครัว
ผู้เขียนเข้าใจว่าคุณหมอสลักธรรมคงจะพยายามฝากยาและเสื้อผ้าให้แม่และพ่อ ลูกของเราคงจะยากลำบากในสถานการณ์เช่นนี้ และมารู้ภายหลังว่าในเย็นวันที่ 22 มีทหารมาค้นบ้าน ดีที่หมอสลัก

ธรรมอยู่บ้านจึงได้เชิญตำรวจมาร่วมตรวจสอบและลงบันทึกหลักฐานและการตรวจสอบ วันรุ่งขึ้นทหารก็เอาเอกสารที่เก็บไปมาคืนที่สถานีตำรวจ
นอกจากนั้นลูกได้ไปยื่นหนังสือกับ ผบ.ทบ. ในนามครอบครัวร่วมกับภรรยาแกนนำอื่น ๆ เพื่อขอเยี่ยมในฐานะคนในครอบครัว ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกฎหมายระหว่างประเทศและข้อตกลงให้สัตยาบันกับ

องค์กรสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ต้องเปิดเผยสถานที่คุมขัง ญาติต้องเยี่ยมได้ แต่ในที่สุดแม้จะเป็นประกาศกฎอัยการศึกเองก็รวมให้คุมขังไม่เกิน 7 วัน ไม่ว่าจะถูกคุมขังแบบไหนก็ตาม ซึ่งจริง ๆ

หลักการของสังคมอารยะชน การจำกัดสิทธิเสรีภาพ การคุกคามและเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้
จึงอยากเรียกร้องมายังผู้กระทำรัฐประหารและประกาศกฎอัยการศึกให้เข้าใจประชาชนที่เขาต้องออกมาคัดค้านการทำรัฐประหารว่า ไม่ใช่เรื่องเกลียดชังส่วนตัว แต่เป็นปัญหาหลักการของ

ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ดังที่ท่านก็ทราบดีว่าวิธีการทหารไม่อาจแก้ปัญหาทางการเมืองได้จริง แต่อารยชนในสังคมโลกและสังคมไทยย่อมไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารยึดอำนาจประชาชน

การจับกุมคุมขังประชาชน และต้องการให้คืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว
คืนวันที่ 27 พ.ค. ก็มีนายทหารมาพูดคุยแจ้งว่าให้เตรียมตัวกลับพรุ่งนี้เช้าเวลา 06.00 น. ขอให้ตื่นตั้งแต่ 04.30 น. โดยจะให้ทหารมาเรียกที่ประตูพร้อมทั้งมีกระเป๋าใบเบ้อเร่อฝากมาให้ เราก็บอกเขา

ว่าต้องรีบเอามานะเพราะกลับไปแล้วจะต้องมาทวงคืนแน่นอน ก็ได้ผลคือเขารีบเอามาให้หลังจากนั้นทันที คุณหมอหวายขนเสื้อผ้ากับยามาเพียบเลยโดยเฉพาะยากับหนังสือสองเล่ม คงเข้าใจว่าแม่

ต้องอยู่นานกระมัง ก็เลยได้มีโอกาสใช้ครีมล้างหน้าเพราะก่อนหน้าแชมพูสระผมเพียงขวดเดียวใช้งานในทุกกรณี
ผู้เขียนตื่น 04.00 น. โดยไม่ต้องมีใครมาปลุก จากนั้นทหารมาเรียกให้ลงไปรอประมาณตีห้าเศษและใช้ผ้าปิดตา ต่อมามีนายทหารมาโวยวายและขอโทษเพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องปิดตาและออกมา

รอ
จากนั้นประมาณหกโมงเศษก็ถูกนำขึ้นรถตู้และปิดตามาจนถึงกทม. สังเกตว่าบ้านใกล้ ๆ ก็มีรถตู้มาจอดอยู่ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นบ้านที่ควบคุมตัวคุณวีระกานต์ จนมาถึงใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ

เขาก็เปิดตา ถือว่าเข้าเขตกรุงเทพฯ แล้ว ก็ตรงมาที่หอประชุมกองทัพบก เทเวศร์ เมื่อรถจอดจึงเห็นว่ามีรถตู้ตามกันมา 5 คัน ก็เข้าใจได้ว่าคงจะตามมาด้วยจตุพร ณัฐวุฒิ ก่อแก้ว ครบ 5 คนพอดี แล้ว

ได้มาพบกันพร้อมหน้าในห้องประชุมเล็กเพื่อพูดคุยกันจนถึงบ่าย จากนั้นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ (มาก ๆ) ก็มาคุยแลกเปลี่ยนขอความเห็นใจในการทำรัฐประหารและขอความร่วมมือ
ผู้เขียนก็ได้แสดงความคิดเห็นดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นคือ คนที่ต่อต้านการทำรัฐประหารนั้นเป็นปัญหาหลักการของผู้รักประชาธิปไตยไม่ใช่ปัญหาส่วนตัว ขอให้หลีกเลี่ยงการจับกุมคุมขัง ในการ

แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนพวกเราตกลงกันว่าให้คุณจตุพรเป็นผู้แถลงต่อหน้าสื่อเพียงคนเดียว และอันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเป็นกังวลสักเท่าไร เพราะมีสื่อของกองทัพเพียงสื่อเดียวเท่านั้น จากนั้น

นพ.สลักธรรมก็มารับพ่อกับแม่กลับบ้าน
มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ได้แลกเปลี่ยนกันก่อนหน้านี้ได้ถามผู้เขียนว่าทำไมหน้าตาเฉย ๆ ไม่ยิ้มแย้มดีใจที่ได้กลับบ้าน ผู้เขียนกล่าวว่าจะยิ้มและดีใจได้อย่างไรเพราะยังมีคนที่ไม่ได้รับการปล่อยตัวอีก

มาก!!!
เป็นอันว่าจบเรื่องไปตอนหนึ่ง ต้องถือโอกาสขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้ความเป็นห่วงปัญหาความปลอดภัยของแกนนำทุกท่าน แต่ว่าจริง ๆ เราเป็นห่วงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน

มากกว่า ดังนั้นความลำบากหรืออิสรภาพในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ไม่เท่ากับความห่วงใยซึ่งกันและกันของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกคน ขอบคุณและยังไม่รู้ว่าจะมีเรื่องทำนองนี้ให้เล่าในเวลาต่อ

ไปอีกหรือเปล่า.
รักและห่วงใยพี่น้องทุกคน
ธิดา ถาวรเศรษฐ
13 มิ.ย. 57

ศาลทหารยกคำร้องฝากขังจ่านิวและพวก ปล่อยตัว*



วันนี้, 16:36น.



หลังเจ้าหน้าที่คุมตัวนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว แกนนำนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่ พร้อมด้วยน.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว, น.ส.ชนกนันท์ รวมทรัพย์ , นายกรกช แสงเย็นพันธ์ รวม4 คน เข้าขออำนาจศาลเพื่อฝากขังผัดแรก ในข้อหามั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กรณีนั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์  ล่าสุด  ศาลทหารกรุงเทพ พิจารณายกคำร้อง กรณีพนักงานสอบสวน สน.รถไฟธนบุรี ขออำนาจฝากขังผัดแรก นายสิรวิชญ์ กับพวกอีก 3 คน ในความผิดฐานมั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2558 ข้อ 12 เป็นผลทำให้เจ้าหน้าที่ ต้องปล่อยตัวทั้ง 4 คน


นางสาวภาวินี ชุมศรี  ทนายความจากศูนย์สิทธิเพื่อมนุษยชน ยืนยันว่าจะไม่ให้ความชอบธรรมกับกระบวนการครั้งนี้ เพราะการเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์นั้น เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ พร้อมกับได้ยื่นเอกสารคัดค้านการฝากขัง นายสิรวิชญ์และพวก รวม4 คน ด้วยเหตุผลว่า ทั้ง4 คนไม่มีท่าทีที่จะหลบหนีแต่อย่างใด ขณะที่นายสิรวิชญ์ ได้แจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่เข้าควบคุบตัวด้วยเช่นกัน


ส่วนข้อหานั้น ยังอยู่ในระหว่างการปรึกษาหารือ   โดยศาล ได้พิจารณายกคำร้อง เนื่องจากเห็นว่านายสรวิชญ์ไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ได้ พร้อมกับได้มีการสอบปากคำเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องฝากขัง จึงมีคำสั่งให้ปล่อยตัว ทั้ง 4 คน โดนหลังจากนี้ทนายความจะติดต่อไปที่สภ.คลองหลวง เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เข้าควบคุมตัวนายสิรวิชญ์


ด้านนนายสรวิชญ์ กล่าวหลังถูกปล่อยตัว จะยังคงมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองและตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ต่อไป
 ข่าวทั้งหมด

ครั้งที่สอง คสช.จับจ่านิว


ดีใจกับ "จ่านิว" กับเพื่อน
นี่เป็นครั้งที่ ๒ ที คสช เล่นเกมส์แบบนี้ ครั้งก่อนคือเมื่อปลายเดือนมิถุนายน-ต้นเดือนกรกฎาคม ปีกลาย ที่ศาลสั่ง "ปล่อย" (ไม่รับคำร้องขอฝากขังต่อของตำรวจ) ๑๔ นักกิจกรรมกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ (ใครอยากดูทบทวน ทีนี่ครับ http://www.prachatai.com/journal/2015/07/60207 ครั้งนั้นมีการจับไปขังคุกอยู่ ๒ สัปดาห์) คิดว่าคงเป็นเพราะ คสช ยังไม่ต้องการให้เรื่องบานปลายในสถานการณ์ขณะนี้
แต่เฉพาะกรณีจ่านิวเมื่อคืนนี้ อาจจะมีอะไรมากกว่านั้น คืออาจจะเป็นเรื่อง "ผิดแผน" ของพวกเขาก็ได้ ดังทีผมพูดถึงใน ๒ กระทู้ที่ผ่านมา การจับครั้งนี้ เป็นเรื่องการตัดสินใจของทหารเอง ไม่ได้ประสานกับตำรวจไว้ก่อน และชวนให้สงสัยด้วยว่า ตอนแรกไม่ได้วางแผนจะเอาไปส่งตำรวจเร็วขนาดนั้น จึงไม่มีการประสานกันส่งตัวให้ "ถูกโรงพัก" - ไม่แน่ว่า เฉพาะกรณีจ่านิว อาจจะเดิมคิดเอาไป "ปรับทัศนคติ" อย่าง "เงียบๆ" อะไรก่อนก็ได้ แต่พอดีมีคนเห็น มีคลิปออกมา และข่าวแพร่ไปรวดเร็ว เลยเปลี่ยนแผนมาส่งให้ตำรวจแทน (และเดิมเมื่อคืนคงคิดจะ "จัดการ" กับ "จ่านิว" คนเดียวก่อน ที่มีการมาจับเพิ่ม ๓ คนนี่ คงตำรวจ "ทำตามหน้าที่" คือ ๓ คนนั้นไปหน้าโรงพักเพื่อให้กำลังใจ "จ่านิว" ตำรวจเห็นทหารจับ "จ่านิว" มาส่ง ก็เลยจับ ๓ คนนั้น "ตามน้ำ" ไปด้วย)
แน่นอน ถ้านี่เป็นสังคมที่่มีขื่อแปปรกติ จะต้องมีการสอบสวนว่า เมื่อคืนทหารมีแผนการอะไรกับ "จ่านิว" กันแน่ จึงต้องทำการจับในลักษณะนั้น? (ลักพาตัว คลุมหัว พาเข้าพงหญ้า ข่มขู่ ฯลฯ)
////////


คสช ต้องหนักแน่นนะครับถ้าบ้าจี้ไปตามไปแผนการโลกล้อมประเทศของอ้ายกันกับสัมภเวสีหนีคุก ปล่อยตัวนักเคลื่อนไหวรับจ้างไปให้ออกมาเล่นละครลิงเยาะเย้ยเหมือนที่ผ่านมา คำสั่ง คสช ก็เหมือนกับสั่งขี้มูก ติดตามดูความเคลื่อนไหวของกลุ่มกวนเมืองกลุ่มนี้ตั้งแต่ เมื่อคืน พบว่ามีการประสานงานกันเป็นระบบ เป้าหมายคือให้อ้ายกันลูกพี่ใหญ่ของพวกมันแทรกแซง
ทันที่ที่เด็กกวนตีนคนนั้นถูกรวบตัว ข่าวสดออนไลน์ ภาษาอังกฤษ ออกข่าวว่า อ้ายเด็กอุบาทว์ถูกลักพาตัว โดยชายฉกรรจ์ใส่หมวกอ้ายโม่งคลุมหน้า พร้อมกับคำสัมภาษณ์ทนายขี้ขี้แม้วบอกว่าตอนนี้กำลังติดต่อองค์ต่างประเทศให้ช่วยติดตามตัวเด็กอุบาทว์ ที่เขียนภาษาอังกฤษคงต้องการจะสื่อกับเจ้านายฝรั่งพวกมัน
เช้ามืดมีฝรั่งขี้นกสองสามคนที่สุมหัวกันอยู่ในสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ โพสต์ข้อความในทวิเตอร์ อ้างข่าวจากไทยพีบีเอส ภาษาอังกฤษอีกเช่นกันว่า เด็กนรกคนนั้นอ้างว่าถูกทำร้ายร่างกายโดยคนที่ใส่หมวกอ้ายโม่งคลุมหน้า และไม่นานสื่อภาษาอังกฤษทั้งหลายก็ออกข่าวดรามา เรื่องเด็กนรกถูกลักพาตัว
ประมาณ 12.00 เมืองไทย กระทรวงต่างประเทศอเมริกา ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลถึงการจำกัดเสรีภาพและสิทธิในการแสดงออกอย่างสงบในเมืองไทย รองโฆษกกระทรวงต่างประเทศไม่ได้เอ่ยชื่อเด็กนรกแต่อ้างถึงการจับกุมในประเทศที่ยังไม่มีรายละเอียด เมื่อมีรายละเอียดแล้วจะแถลงอีก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงบอกได้ว่าที่อ้ายเด็กนรกมันกร่างอยู่ได้เพราะอ้ายกันกับขี้ข้าในเมืองไทยให้ท้าย ดูการประสานงานของพวกมัน แสดงว่าอ้ายกันมันได้เตรียมแถลงการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว อะไรมันจะขยันขนาดนั้นเวลาเที่ยงวันในเมืองไทย ไม่ใช่เวลาทำงานของฝรั่งขี้นก
ครั้งนี้ถ้า คสช เหยาะแหยะบอกได้เลยว่า คำสั่งต่อๆไปจะเป็นสั่งขี้มูก