PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พลิกตำนานลอบสังหารผู้นำไทย

พลิกตำนาน “ลอบสังหาร” ผู้นำไทย เรื่องจริงหรืออิงนิยาย ?

เขียนวันที่ 
วันพุธ ที่ 07 พฤศจิกายน 2555 เวลา 06:00 น.
เขียนโดย
จำนง ศรีนคร 
หมวดหมู่
5
 
0
 
0
 
5
 

alt

     กระแสข่าว "การลอบสังหาร" หรือการลอบสังหารจริงๆ สำหรับผู้นำหรือบุคคลสำคัญของประเทศไทยนั้น ได้เกิดขึ้นหลายครั้งแบบต่างกรรมต่างวาระ

     ไม่เฉพาะกรณีล่าสุด ที่แฟนเพจ Oak Panthongtae Shinawatra ที่อ้างว่าเป็นของ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความ เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2555 ที่ผ่านมา ว่ามีแผนลอบสังหารบิดาที่จะเดินทางมา เยือนพม่าระหว่างวันที่ 8-10 พ.ย.2555 หลังกรณีเจ้าหน้าที่พม่าตรวจค้นบ้านชายชาวไทใหญ่ใกล้โรงแรมที่ พ.ต.ท.ทักษิณเตรียมเข้าพัก และพบอาวุธสงครามอาทิจรวดอาร์พีจีและเครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง

     งานนี้คอการเมืองจึงได้เต้นผาง! กันอีกครั้ง และวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา บ้างก็เชื่อว่าเป็นความจริง บ้างก็ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการสร้างข่าวเพื่อเบี่ยงกระแสอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือที่วงการสื่อเรียกกว่าเป็นการ "สปิน (spin) ข่าว" ที่ได้แก่การปั้นข่าวหนึ่งๆ ให้เป็นกระแสเพื่อมากลบอีกข่าวหนึ่ง

     ด้วยเทคนิคในการ Spin ทิศทางข่าว ถือเป็นความถนัดของฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เลือกใช้มาตลอด

     อย่างไรก็ตาม หากว่ากันที่ประวัติศาสตร์และความเป็นจริง สำหรับเหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำไทยในห้วงกว่า 80 ปี ได้เกิดขึ้นมาโดยตลอด อาทิ

 

@@ ลอบสังหารจอมพล ป. 3 ครั้งซ้อน กำเนิดฉายา “จอมพลกระดูกเหล็ก”

     ครั้งที่ 1 วันที่ 23 ก.พ. 2477 จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกฯและ รมว.กระทรวงกลาโหมในขณะนั้น ขณะเป็นประธานมอบรางวัลชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลระหว่างเหล่าทัพต่างๆ ที่ท้องสนามหลวง ได้ถูกคนร้ายบุกประชิดตัวใช้ปืนพกสั้นชนิด รีวอลเว่อร์ 9 ม.ม. ยิงในระยะเผาขน แต่เคราะห์ดีได้รับเจ็บเล็กน้อย ส่วนคนร้ายถูกจับได้และซัดทอดถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ว่าจ้างให้มาสังหาร

     การรอดตายมาได้ในครั้งนั้น ทำให้จอมพล ป. ได้รับฉายา “จอมพลกระดูกเหล็ก” !

     ครั้งที่ 2 วันที่ 9 พ.ย.2481จอมพลกระดูกเหล็กคนเดิมถูกคนรับใช้ในบ้านใช้อาวุธปืนพกยิง ขณะแต่งเครื่องแบบอยู่ในบ้านเพื่อเตรียมจะออกไปทำงานแต่กระสุนพลาด ขณะที่คนร้ายไม่ยอมซัดทอดว่าใครเป็นผู้จ้างวาน

     ครั้งที่ 3 วันที่ 9 ธ.ค.2581 จอมพล ป. ถูกแม่ครัวในบ้านลอบใส่ยาพิษในอาหารกลางวันที่นั่งรับประทานอาหารร่วมกับพลพรรค แต่เมื่อรู้ตัวว่าถูกยาพิษ ได้รีบไปล้างท้องที่โรงพยาบาลทหารบกได้ทัน ส่วนคนร้ายนั้นไม่ซัดทอดผู้จ้างวาน

 

@@ ลอบสังหาร "อุตลุต" พล.อ.เปรม-พล.อ.อาทิตย์

     ในปี 2525 เกิดเหตุการณ์ลอบสังหาร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ผบ.ทบ.ในขณะนั้น หลายต่อหลายครั้ง

     มีการกล่าวหาว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารทั้งหมดคือ "กลุ่มยังเติร์ก" หรือ นายทหาร จปร.7 ภายใต้การนำของ พ.อ.มนูญ รูปขจร พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร และ พ.อ.พัลลภ ปิ่นมณี (ยศในขณะนั้น) เนื่องด้วยกลุ่มยังเติร์กมักวนเวียนอยู่กับความพยายามในการทำรัฐประหารระหว่างวันที่ 1-3 เมษายน 2524 แต่ล้มเหลวจนต้องลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ

     ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 6-7 มี.ค.2525 มีการลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ในงานยกช่อฟ้าวัดจิระ อ.เมือง จ.ลพบุรี แต่ไม่สำเร็จ

     ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 8-25 มี.ค.2525 ลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ ขณะเดินทางไปเยี่ยมท่านผู้หญิงประภาศรี กำลังเอก ซึ่งป่วยและรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า แต่ล้มเหลวอีกครั้ง

     ครั้งที่ 3 วันที่ 5 พ.ค.2525 มีรถบรรทุกระเบิดจอดที่หน้าโรงเรียนพณิชยการสันติราษฎร์ในเส้นทางที่ พล.อ.อาทิตย์เดินทางผ่านไปทำงาน เพื่อลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ โดยใช้คลื่นวิทยุบังคับจุดระเบิด แต่รถได้เกิดระเบิดขึ้นก่อนที่ พล.อ.อาทิตย์จะผ่านไป

     ครั้งที่ 4 วันที่ 3 มิ.ย.2525 ลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ ขณะไปทอดกฐินที่วัดแก้วนิมิตร อ.เมือง จ.ลพบุรี แต่ไม่สำเร็จ

     ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 14-16 ก.ค.2525 ลอบสังหาร พล.อ.เปรม ขณะเดินทางไปเป็นประธานเปิดอนุสาวรีย์จอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ อ.เมือง จ.ลพบุรี แต่กระสุนจรวด 66 เอ็ม 72 พลาดเป้าหมายไปเพียงเล็กน้อย

     ครั้งที่ 6 วันที่ 1 ต.ค.2525 เกิดกระแสข่าวมีการตระเตรียมการที่จะลอบปลงพระชนม์พระบรมวงศานุวงศ์ท่านหนึ่ง ในพิธีเปิดการแข่งขันฟุตบอลควีนสคัพ ที่สนามกีฬาแห่งชาติ

     ครั้งที่ 7 วันที่ 17 ต.ค.2525 ลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ ขณะเดินทางไปทอดกฐินที่วัดหน้าพระเมรุ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา แต่ไม่สำเร็จ

     ครั้งที่ 8 วันที่ 20 ต.ค.2525 ลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ พล.อ.เปรม และตระเตรียมการลอบปลงพระชนม์พระบรมวงศานุวงศ์ท่านหนึ่ง ในพิธีปิดการแข่งขันฟุตบอลควีนสคัพ ที่สนามกีฬาแห่งชาติ กทม.

     ครั้งที่ 9 วันที่ 31 ต.ค.2525 ลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ ซึ่งจะเดินทางไปทอดกฐินที่วัดศรีสุทธาวาส อ.เมือง จ.เลย แต่ไม่สำเร็จ

     คดีลอบสังหาร พล.อ.เปรมกับ พล.อ.อาทิตย์ ยังเข้าไปพัวพันกับการรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ.2534 โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช.ซึ่งนำโดยกลุ่มนายทหาร จปร.5 ที่อยู่คนละขั้วกับ “กลุ่มยังเติร์ก” ได้เผยแพร่ภาพคำสารภาพของ พ.อ.บุลศักดิ์ โพธิเจริญ ส.ส.สิงห์บุรี พรรคพลังธรรม หนึ่งในผู้ต้องหาร่วมกับ พล.ต.มนูญ ในคดีลอบสังหาร โดย พ.อ.บุลศักดิ์ยอมรับความผิดที่ก่อขึ้น

     แต่หลังจากนั้น ในปี 2537 อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีลอบสังหาร ได้โต้ตอบว่า คำสารภาพของ พ.อ.บุลศักดิ์ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ในช่วง รสช. เป็นการสร้างหลักฐานเท็จหลอกลวงประชาชน

 

@@ ลอบสังหารทักษิณ เรื่องจริงหรือแค่ spin ข่าว?

     สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นผู้นำไทยคนหนึ่งที่ตกเป็นกระแสข่าวการปองร้ายและลอบสังหารหลายครั้ง

     โดยเหตุ “ลอบสังหาร 4 ครั้ง” ที่แฟนเพจอ้างชื่อโอ๊ค อ้างถึง มีดังนี้

     ครั้งที่ 1วันที่ 3 มี.ค.2544 เกิดเหตุระเบิดเครื่องบินการบินไทย ยี่ห้อ โบอิ้ง 737-400 ทะเบียน HS-TDC กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ที่คณะของ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปบ้านเกิดที่ จ.เชียงใหม่ก่อนเวลาออกเดินทางเพียงเล็กน้อย ทำให้เครือบินถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ มีผู้เสียชีวิต 1 รายหลังเหตุการณ์ใน พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์ว่า รายงานของเจ้าหน้าที่ค่อนข้างชัดเจนว่า สาเหตุของเครื่องบินระเบิดน่าจะมาจากวัตถุระเบิดที่มีผู้นำมาติดไว้ที่ใต้ท้องเครื่องบิน บริเวณที่นั่งวีไอพี

     "เป็นการปองร้าย ไม่ใช่การก่อการร้าย ไม่ทราบว่าปองร้ายใคร ส่วนคนที่ทำนั้นสิ้นคิด ไม่ต้องทำกับนายกรัฐมนตรี ทำกับใคร ประเทศชาติก็เสียหาย" พ.ต.ท.ทักษิณระบุ

     ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้โดยมี พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ รอง ผบ.ตร.ในขณะนั้น เป็นหัวหน้า ท่ามกลางกระแสข่าวการก่อวินาศกรรม ของกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติหรือขบวนการค้ายาเสพติด

     จากนั้นในวันที่ 5 มี.ค.2544 คณะกรรมการชุด พล.ต.อ.สันต์ ฟันธงเป็นการ "วางระเบิด" แน่นอน คาดว่าเป็น "ซีโฟร์" เนื่องจากตรวจพบสารอาร์ดีเอ็กซ์ที่เป็นส่วนประกอบของซีโฟร์กระจายอยู่ พร้อมแจกแจงการจุดระเบิดว่าน่าจะเป็นการใช้นาฬิกาประกอบกันเป็นระเบิดแบบแสวงเครื่องในการจุดชนวนแต่ไม่พบซากอุปกรณ์ดังกล่าวในที่เกิดเหตุ

     ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษากรณีเครื่องการบินไทยระเบิดควบคู่ไปด้วย โดย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ส.ส.อ่างทอง ประธาน กมธ.แถลงเมื่อวันที่ 3 เม.ย.2544 ว่า สาเหตุมีแนวโน้มว่าจะเป็นอุบัติเหตุ

     ด้านผลสรุปการสอบสวนของ “คณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา(NTSB)" ซึ่งเป็นองค์กรการบินระดับโลก ระบุสาเหตุจากอุบัติเหตุที่เกิดจากการเปิดแอร์ระหว่างเติมน้ำมัน สุดท้ายจึงมีแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐบาลไทยกับ NTSB ว่า คาดว่าสาเหตุมาจากอุปกรณ์ทำความเย็นทำงานต่อเนื่องอย่างหนักได้ปล่อยความร้อนออกมา เป็นเหตุให้ถังเชื้อเพลิงที่อยู่เหนืออุปกรณ์ทำความเย็นเกิดระเบิด

     เหตุการณ์ครั้งนั้นถูกบางฝ่ายมองว่าเป็นการสร้างข่าวเพื่อกลบกระแส “บกพร่องโดยสุจริต” ในคดี “ซุกหุ้น” ไว้กับคนรับใช้ คนสวน และคนขับรถในภาคแรก

     ครั้งที่ 2 ในปี 2546 ช่วงสงครามล้างยาเสพติดมีการปล่อยข่าวว่า กลุ่มว้าแดง” ได้ตั้งค่าหัวพ.ต.ท.ทักษิณไว้80 ล้านบาท เนื่องจากไม่พอใจนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลที่ทำให้สูญเสียผลกระโยชน์จำนวนมาก ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณต้องเปลี่ยนรถประจำตำแหน่งเป็นรถตู้หุ้มเกราะและสั่งเพิ่มทีมรักษาความปลอดภัย เรียกได้ว่าเป็นกองทัพขนาดย่อมๆ โดยมีการเพิ่มรถคุ้มครองหลายคัน มีชุดล่าสังหาร อาวุธครบมือ

     ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนั้น ตกอยู่ในห้วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกฝ่ายค้านและสังคมตั้งข้อสังเกตการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนโดยเฉพาะชินคอร์ปซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัว

     ครั้งที่ 3 ฮือฮาที่สุด วันที่ 24 ส.ค.2549 จับกุม ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ทหารสังกัด กอ.รมน. ขับรถเก๋งยี่ห้อแดวูภายในบรรทุกระเบิดไปจอดรออยู่บริเวณสี่แยกบางพลัด พบระเบิดทีเอ็นทีและซีโฟร์ผูกติดกันไว้ในกระโปรงท้าย รัศมีทำลายล้างไม่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร ใกล้บ้านพักของในซอยจรัลสนิทวงศ์ 69 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเป็นเส้นทางผ่านของขบวนรถนายกฯ  แต่ทีม รปภ.ของ พ.ต.ท.ทักษิณตรวจพบเสียก่อน

     มีการสรุปจากฝ่ายรัฐบาลว่า เป็นการมุ่งลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ โดยคนร้ายถูกดำเนินคดี ในความผิดร่วมกันเคลื่อนย้ายและมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาพยายามฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ องค์คณะตุลาการศาลทหารกรุงเทพได้ยกฟ้อง

     แต่เมื่อดูจากพยานหลักฐานและผลการสอบสวน เหตุการณ์ครั้งนั้นหลายฝ่ายจึงมองว่า เป็น “คาร์บ๊อง” มากกว่า “คาร์บอมบ์”

     โดยวลี “คาร์บ๊อง” มาจากคำพูดของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ถูกคำสั่งปลดกลางอากาศพ้นตำแหน่ง รอง ผอ.รมน.ในขณะนั้นเพราะถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง

     สำหรับสถานการณ์ในขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณกำลังอยู่ในช่วง “ขาลง” และถูกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาขับไล่ และตั้งข้อสังเกตุกรณีการขายหุ้นในเครือชินคอร์ปให้กับกองทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์

     ครั้งที่ 4 ช่วงรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ หลัง พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางกลับบ้านและกราบแผ่นดินเกิด ก่อนขออนุญาตศาลเดินทางออกนอกประเทศเพื่อชมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีนแล้วไม่กลับมาอีก พลพรรคฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ล้วนให้ข่าวตรงกันว่ามีแผนประทุษร้ายจากบางฝ่าย โดยมีการอ้างถึง "สไนเปอร์" หรือพลแม่นปืน ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องเดินทางออกนอกประเทศ

     กระแสข่าวทำนองนี้ เป็นเรื่องจริงหรืออิงนิยาย ไม่มีใครการันตีได้ แต่เมื่อคลี่หน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยออกดูแบบนี้ ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง กระดานการเมืองก็เปลี่ยนทิศทางทันที จึงต้องใช้วิจารณญาณพินิจพิเคราะห์ก่อนปักใจเชื่อกันพอสมควร!!!

 

หมายเหตุ : นายจำนง ศรีนคร เป็นผู้สื่อข่าวอิสระ ปัจจุบันอยู่ในกองบรรณาธิการนิตยสาร ค.คน

ข่าว2/2/60

ปฏิวัติซ้อน-ลอบฆ่า

"พล.อ.ประวิตร" โต้ วอชิงตัน โพสต์ ย้ำไทยไม่มีปฏิวัติซ้อน หากปรองดองสำเร็จ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่วอชิงตัน โพสต์ สื่อสหรัฐอเมริกา มีการเปิดเผยรายงานการจัดอันดับประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดรัฐประหารในปี 2560 ซึ่งพบว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงเป็นอันดับที่ 2 ว่า ทหารไม่ได้ต้องการที่จะทำการปฏิวัติอยู่แล้ว โดยยืนยันว่า ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจึงขอทุกฝ่ายเข้าร่วมปรองดอง ซึ่งหากสำเร็จ โอกาสที่จะไม่มีรัฐประหารก็สูง และเมื่อมีการเลือกตั้ง นักการเมือง ก็จะดูแลประชาชนอยู่แล้ว และฝ่ายทหารก็อยู่ภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลพลเรือนอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ยังปฏิเสธถึงทหารจะปฏิวัติซ้อน โดยยืนยันว่า ทหารเป็นหนึ่งเดียว และนายกรัฐมนตรี ก็ทำทุกอย่างเพื่อประเทศ ซึ่งไม่กังวลสื่อต่างชาติลงข่าวในลักษณะดังกล่าว
-------
"พล.อ.ประวิตร" เผย ถูกโพสต์ขู่ฆ่าในโซเชียล ระบุต้องระวังตัวมากขึ้น ไม่ยันคนโพสต์เป็นฝ่ายไหน โยนสื่อตรวจสอบ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่มีคนเขียนหรือโพสต์จะฆ่าในสื่อโซเซียล ว่า ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ เพราะมีการเขียนในโซเชียลมีเดีย โดยให้สื่อมวลชนไปดูเอง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายใด

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้สึกหวั่นไหว แต่จะต้องระวังตัว เนื่องจากมีคนคิดแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ทำงานให้บ้านเมือง และไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไร ทำไมต้องเป็นตนเอง
-------
นายกฯ หารือ รมว.กลาโหมอินโดนีเซีย ยืนยัน พร้อมร่วมมือทางการทหารต่อต้านก่อการร้าย - แก้ประมงผิดกฎหมาย

พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการหารือระหว่าง พล.อ.รามิชาร์ด ราชูดู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐอินโดนีเซีย และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณที่ประธานาธิบดีอินโดนีเซียและภริยา เดินทางมาวางพวงมาลาและถวายบังคม พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขณะเดียวกัน ยินดีกับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย ทั้งสองประเทศได้เฉลิมฉลองครบรอบ 65 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อปี 2558

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างยินดีที่กองทัพไทย - อินโดนีเซีย มีความสัมพันธ์อันดีและมีพัฒนาการความร่วมมือทางทหารระหว่างกันอย่างกว้างขวาง ทั้งสองฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการข่าว

และมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำทางทหารระดับสูงและระดับปฏิบัติงานของทั้งสองกองทัพอย่างต่อเนื่อง และพร้อมให้ความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้าย ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทย
พร้อมร่วมมือกับอินโดนีเซียเพื่อแก้ไขปัญหาด้านประมงทั้งการแก้ไขการทำประมงที่ผิดกฎหมายและลักลอบค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมง โดยหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกันต่อไป

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังขอให้อินโดนีเซียพิจารณาเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านการประมง ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในร่างบันทึกความเข้าใจดัง
กล่าวแล้ว เพื่อเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาการประมงและพิจารณาแนวทางความร่วมมือด้านการประมงในอนาคต
---------
พล.อ.เฉลิมชัย เชื่อ มีคนมุ่งปองร้ายนายกฯ - พล.อ.ประวิตร เร่งตรวจสอบ มั่นใจการรักษาความปลอดภัย ย้ำไม่มีปฏิวัติซ้อนแน่นอน 

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาเปิดเผยว่า มีบุคคลที่จะลอบทำร้ายในโซเซียลมีเดีย ว่า เป็นเรื่องของโซเซียล ซึ่งที่ผ่านมาได้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญอย่างเข้มงวดและเต็มที่ ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง เพราะโซเซียลมีเดีย ไม่ว่าคิดอะไรก็สามารถเขียนออกมาได้ รวมถึงกรณีที่มีการโพสต์ลอบทำร้ายนายกรัฐมนตรีด้วย จึงคงต้องมีการติดตามและตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม ยังมั่นใจว่า จะสามารถดูแลความปลอดภัยบุคคลสำคัญในรัฐบาลได้ ซึ่งหากพบว่ามีการกระทำจริง ต้องมีการดำเนินการตามกฎหมาย

ส่วนกรณีที่ วอชิงตัน โพสต์ รายงานข่าวการจัดอันดับ และพบว่าประเทศไทยเสี่ยงต่อการรัฐประหารเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ว่า เป็นเรื่องของต่างประเทศที่คาดการณ์ ซึ่งเรื่องนี้เคยกล่าวไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2559 หลังเข้ารับตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก เรื่องจุดยืนของกองทัพ เกี่ยวกับการเมืองไปแล้ว
--------
พล.อ.เฉลิมชัย ชี้ คำสั่ง คสช.1/2560 เพื่อลดขั้นตอน - เวลาทำงานของนายกฯ เชื่อไว้ใจ ผบ.เหล่าทัพทุกคน 

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงกรณีที่ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ค่ำสั่ง คสช. ที่ 1/2560 เรื่อง มอบอำนาจการอนุมัติให้เคลื่อนย้ายกำลังอาวุธ กระสุน วัตถุระเบิด และยุทธภัณฑ์ควบคุม โดยให้เลขาธิการ คสช. มีอำนาจลงนามแทน หัวหน้า คสช. ว่า เป็นการลดขั้นตอน และแบ่งเบาภาระ รวมทั้งลดเวลาในการทำงานของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมั่นใจได้ว่านายกรัฐมนตรี ไว้ใจผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคน แต่ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสุขแห่งชาติ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง จึงได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นี้ ถ้าหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศมีความเป็นเอกภาพ
-----------
ผบ.ทบ. แจง โครงการโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ ยัน ไม่ถือเป็นการผูกขาดกับต่างประเทศ ย้ำ จำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถ

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ระบุถึง การลงพื้นที่ร่วมกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อติดตามความคืบหน้ากองโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์สายสรรพาวุธ ศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์สิ่งอุปกรณ์สายสรรพาวุธ จ.นครราชสีมา วานนี้ (1 ก.พ.) ว่า เป็นการบูรณาการในภาพรวมของโรงงานซ่อมสร้างในอนาคตซึ่งจะนำไปสู่การจัดตั้งรวมถึงการร่วมทุน รัฐเอกชน และมิตรประเทศ เพื่อผลิตยุทโธปกรณ์มาใช้ในกองทัพ รวมถึงการผลิตในเชิงพาณิชย์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้สรุปว่าจะเป็นพื้นที่ไหน อยู่ระหว่างการสำรวจเบื้องต้น และเท่าที่ทราบประเทศจีนก็มาสำรวจข้อมูลเรื่องการส่งกำลังบำรุง เพื่อเตรียมจัดตั้งโรงงานซ่อมสร้างอาวุธรวมประเทศไทยเพื่อรองรับยุทโธปกรณ์ที่จัดซื้อมาจากประเทศจีน อาทิ รถถัง วีที 4 ซึ่งจะได้รับมอบในปีหน้า และเป็นการดูแลหลังการขายหนึ่งปี

ทั้งนี้ ยืนยันว่า ไม่ถือเป็นการผูกขาดกับต่างประเทศทั้งจีนและประเทศยูเครน แต่เพราะประเทศไทยต้องการพัฒนาขีดความสามารถ จึงต้องเชิญประเทศที่มีศักยภาพมาถ่ายทอดเทคโนโลยี และองค์
ความรู้
--------
"มีชัย" เผย วันเกิดครบ 79 ปี ขอประเทศสงบสุข แนะสื่อคุยกันปมเห็นแย้ง พ.ร.บ. งดตอบขัดรัฐธรรมนูญ

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม กรธ. โดยขอพร เนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบ 79 ปี ในวันนี้ ว่า ขอให้ประเทศสงบสุขและขอให้คนไทยมีความสุข

ขณะเดียวกัน กล่าวถึงกรณี ร่างพระราชบัญญัติการคุมครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ที่มีข้อถกเถียงอยู่ในขณะนี้ว่า คนเราก็แตกต่างได้ ต้องคุยกัน จึงจะได้

สิ่งที่ต้องการ แต่หากไม่พูดคุย ก็จะไม่รู้ถึงความต้องการของแต่ละฝ่าย ทั้งนี้ เห็นว่าการพูดคุยกันเป็นประโยชน์ที่สุด ส่วนจะเป็นการกดดันไม่ให้บรรจุในวาระหรือไม่นั้น มองว่า ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง

หรือชะลอไว้  เพราะยังมีเวลา

อย่างไรก็ตาม มองว่า ไม่ได้เป็นความขัดแย้งของสื่อกับรัฐบาล เพราะเป็นข้อเสนอของ สปท. ซึ่งยังไม่เป็นที่สุด และยังไปไม่ถึง สนช. และรัฐบาล แต่หากเบื้องต้นเห็นขัดแย้งกัน แต่คุยกันได้ ก็ถือ

เป็นการเริ่มต้นที่ดี และส่วนตัวยังไม่เคยเห็นร่าง จึงยังไม่ทราบว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น และไม่ได้เกี่ยวกับ กรธ. จะเข้าไปยุ่งไม่ได้ จึงตอบไม่ได้ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจาก สนช. เป็นผู้พิจารณา

กฎหมายเอง
-------
ปชป. เรียกร้องนำเรื่องซื้อขายหุ้น "ทักษิณ" ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เข้าที่ประชุม ศอตช. ภายในเดือนนี้

นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกา แถลงคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษา ว่า การซื้อขายหุ้นของ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ชอบด้วย

กฎหมาย จนนำไปสู่การฟ้องร้องทางอาญา นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรอีกหลายคน ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้รายงานให้ พล.อ.

ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบแล้ว และเตรียมที่จะเสนอเข้าที่ประชุมศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2559 แต่กลับไม่มีการเสนอเข้าที่

ประชุมโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนตัวจึงอยากให้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุม ศอตช. ภายในเดือนนี้ เพื่อให้กระบวนการเอาผิดจบสิ้น มิเช่นนั้นตนเองจะบอกให้สังคมทราบว่าใครเป็นผู้ดึงเรื่องนี้ออกจากการ

ประชุมเมื่อครั้งที่แล้ว
////////
รัฐธรรมนูญ

สนช. ประชุมเตรียมการพิจารณากฎหมายลูกทุกสัปดาห์ - เชื่อ ปฏิรูปประเทศเกิดผลงานมากกว่าอดีต

นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึง การประชุมเชิงปฏิบัติการของแม่น้ำ 4 สาย ว่า พล.อ.ประยุทธ์

จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้พูดถึงแนวทางในการดำเนินการปฏิรูปประเทศ ซึ่งพยายามให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยอาจจะมีการปรับคณะกรรมการให้เหลือเพียงชุดเดียว และคาดว่าจะมีผลงาน

มากกว่าในอดีต ซึ่งขณะนี้ทาง สปท. ได้พยายามทำวาระเร่งด่วนที่สามารถทำได้ เพื่อให้เห็นผลได้ภายใน 1 ปี

ทั้งนี้ นพ.เจตน์ กล่าวว่า ทางคณะกรรมาธิการรบรวมความคิดเห็น เสนอแนะ ประกอบการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญได้มีการประชุมเตรียมการพิจารณากฎหมายลูกทุกสัปดาห์ โดยได้นำข้อเสนอของ

องค์กรอิสระมาหารือในประเด็นต่าง ๆ ที่มีความแตกต่าง ซึ่งจะทำให้สามารถทำงานได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
--------------
กรธ. เร่งหารือพิจารณา พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. ชี้ผู้สรรหากรรมการต้องมีความละเอียดรอบคอบ - ทำให้สังคมเชื่อถือได้

ศ.ดร.อุดม รัฐอมฤต โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) โดย

พยายามตรวจสอบเบื้องต้นถึงความสอดคล้องของการยกร่างที่ ป.ป.ช. ได้เสนอมาว่ามีความสอดคล้องกับร่างรัฐธรรมนูญมากน้อยเพียงใด ซึ่งประเด็นผู้สรรหากรรมการนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีลักษณะ

ที่มีความละเอียดรอบคอบและสามารถทำให้สังคมเชื่อถือได้

ทั้งนี้ ศ.ดร.อุดม กล่าวถึง ความคืบหน้าการพิจารณา พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่า  กรธ. พยายามให้ศาลสามารถค้นหาความจริงให้ได้มากที่สุด โดยไม่ลง

โทษคนบริสุทธิ์และสามารถนำผู้ที่กระทำความผิดมาลงโทษได้ จึงได้หารือให้มีการใช้ระบบไต่สวน และเนื่องจากที่มีจำเลยหลบหนี จึงได้ให้ศาลสามารถดำเนินกระบวนการพิจารณาลับหลังได้ ซึ่ง

จะมีการหารือให้สอดคล้องกับร่างรัฐธรรมนูญต่อไป
//////

"พิชัย" บอก นายกฯ เช็กข้อมูลเศรษฐกิจให้ดีก่อนพูด หาที่ปรึกษา สร้างความเชื่อมั่นให้ต่างประเทศ

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาบอกว่า "หลายคนบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี ไม่มีคนมาลงทุน บอกว่าไม่มีใครคบค้า

สมาคม แล้วอยู่มาได้อย่างไร 2 ปีครึ่ง จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เช็กข้อมูลเศรษฐกิจให้ดีก่อนออกมาพูด ถ้าการลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกดีจริง เศรษฐกิจคงไม่แย่อย่างปัจจุบัน พล.อ.

ประยุทธ์ น่าจะสอบถาม นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ที่เพิ่งออกมาบ่นน้อยใจว่านักลงทุนไม่ยอมลงทุน แม้รัฐให้สิทธิประโยชน์มากมาย และเช็กกับแบงก์ชาติว่าการลงทุนจริง ๆ มี

เท่าไหร่ เพราะข้อมูลสาธารณะออกมาว่าปี 58 การลงทุนจากต่างประเทศหายไป 90% และปี 59 หายไปอีกเกือบ 100% ซึ่งไม่ได้มีใครบิดเบือน ดังนั้น ผู้ที่ให้ข้อมูลเศรษฐกิจแก่ พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะ

ให้ข้อมูลที่ผิดพลาด จึงอาจจะไม่ทราบความจริงว่าสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันย่ำแย่ขนาดไหน และตลอด 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา สภาวะเศรษฐกิจได้เสื่อมถอยมาโดยตลอด

ทั้งนี้ นายพิชัย กล่าวว่า นักลงทุนต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในการทำธุรกิจมากกว่าความสะดวกในการทำธุรกิจ ซึ่งสื่อหลักต่างประเทศออกมาบอกว่าไทยจะมีโอกาสเกิดปฏิวัติ

ได้อีกเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากประเทศบุรุนดี การลงทุนก็น่าจะยิ่งหดหายไปอีก ดังนั้น จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้หาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจที่มีความรู้ความชำนาญอย่างแท้จริงคอยช่วย

เหลือให้คำแนะนำและการสนับสนุน ไม่ใช่คอยให้ข้อมูลที่แก้ตัวอย่างเดียว เพราะประชาชนจะยิ่งลำบากเพิ่มขึ้นไปอีก

////////
ทุจริต

"วัชระ" แถลงค้าน สนช. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ชี้ อาจส่งผลให้เกิดการทุจริต

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงการคัดค้านการที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบร่าง
พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.... เรื่องจากในกฎหมายฉบับดังกล่าว ม.7 ได้บัญญัติ
ให้ยกเว้นไม่ให้บังคับใช้กับการจัดซื้อจัดจ้างของกน่วยงานรัฐวิสาหกิจ การจัดซื้ออาวุธยุปโธปกรณ์ด้วยวิธีรัฐบาลต่อ
รัฐบาล รวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อการวิจัยและพัฒนาของสถาบันอุดมศึกษา จะส่งผลให้เป็นการสรับสนุนให้หน่วยงาน
เหล่านี้กระทำการทุจริต เพราะในใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่มีการตรวจสอบยังพบว่ามีการทุจริต ส่วนตัวจึงอยาก
ตั้งข้อสังเกตว่าการที่ สนช. ออกกฎหมายฉบับนี้เพื่อผลประโยชน์ของใคร และประชาชนได้รับประโยชน์หรือไม่

พร้อมกันนี้ นายวัชระ ยังกล่าวถึงโพลของวอชิงตัน โพสต์ ที่มองว่า ประเทศไทยมีโอกาสจะเกิดการรัฐประหารซ้อนเป็น
อันดับ 2 ของโลก โดยมองว่า วอชิงตัน โพสต์ ประเมินผิดพลาด ประเทศไทยน่าจะเป็นอันดับ 1 ที่จะเกิดการรัฐประหาร
เพราะทหารของไทยสามารถจะทำการรัฐประหารได้ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใด และหากทหารเป็นรัฐบาลเสียเอง ก็จะอยู่ใน
ตำแหน่งจนกว่าจะมีชุดใหม่มาทดแทน
--------------
คกก. ตรวจสอบสินบน CCTV สภา ประชุดนัดแรก ยันเร่งดำเนินการ เตรียมชี้แจง ยธ. สัปดาห์หน้า ขอข้าราชการอย่ากังวล

การประชุมนัดแรกของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงสินบนกล้องวงจรปิดรัฐสภา ชุดที่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่งตั้งขึ้น เพื่อตรวจสอบกรณีที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลการจ่ายสินบนแก่บุคคลที่อ้าง
ตัวว่าเป็นที่ปรึกษาโครงการติดตั้งกล้องซีซีทีวีในรัฐสภาไทย เมื่อปี 2549 โดยมี พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ เป็นประธานกรรมการ
นางวัชรีวรรณ ฝ่ายทอง รองประธานกรรมการ ส่วนกรรมการ ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสำนักการคลังและงบประมาณ
ผู้อำนวยการสำนักรักษาความปลอดภัย ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์

ทั้งนี้ พล.อ.อ.วีรวิท กล่าวในที่ประชุมว่า ต้องเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นโดยเร็ว ก่อนไปชี้แจงกับทางกระทรวงยุติธรรม
ในสัปดาห์หน้า ซึ่งการดำเนินการตรวจสอบนั้น ขอให้พิจารณาโดยละเอียดรอบคอบ ทั้งนี้ ข้าราชการปัจจุบัน อย่าเป็นกังวลในการ
ทำหน้าที่ในการตรวจสอบครั้งนี้ เพราะการให้สินบน อยู่นอกขอบเขตการทำงานเจ้าหน้าที่รัฐสภา แต่ต้องเดินหน้าตรวจสอบข้อเท็จ
จริงตามกระแสข่าว
//////////
องค์กรสื่อ

ตัวแทน 30 องค์กร ยื่น สปท. คัดค้าน พ.ร.บ.คุมสื่อฯ หวั่น รัฐใช้อำนาจรัฐเข้าแทรกแซงการทำหน้าที่ ไม่สอดคล้องรัฐธรรมนูญ

ตัวแทนจาก 30 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึงสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ผ่าน นายอลงกรณ์ พลบุตร
รองประธาน สปท. เพื่อคัดค้านร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ที่
กรรมาธิการพิจารณาแล้วเสร็จ โดย 30 องค์กรสื่อเห็นตรงกันว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของหลักการ
ในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน แต่กลายเป็นการควบคุมสื่นแทน ด้วยการใช้อำนาจรัฐเข้าแทรกแซง
การทำหน้าที่ของสื่อมวลชน และไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านประชามติ

ดังนั้น จึงขอเรียกร้องไปยังสมาชิก สปท. ให้กรรมาธิการฯ นำกลับไปทบทวนให้สอกคล้องกับรัฐธรรมนูญ พร้อมต้องการให้เปลี่ยน
ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านสื่อสารมวลชน เพื่อให้ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถและเข้าใจการทำงานของสื่ออย่าง
แท้จริงเข้ามาทำหน้าที่แทน

ด้าน นายอลงกรณ์ ยืนยันว่า จะนำเอกสารข้อเรียกร้องดังกล่าว เข้าที่ประชุมของกรรมาธิการเพื่อพิจารณาให้สอดสอดคล้องกันแนวทาง
การปฏิรูปที่ สปท. วางไว้
--------
4 ตัวแทนสื่อ ยื่นลาออกจากอนุกรรมการสิ่งพิมพ์ใน กมธ. สื่อมวลชน สปท. ชี้ พ.ร.บ.สื่อฯ ขัดหลักการ

นายจักร์กฤษ เพิ่มพูล นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ นางสาวสุวรรณา สมบัติรักษาสุข และ น.ส.อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ อนุกรรมาธิการ
ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสิ่งพิมพ์ ในคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูป ประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สภา
ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือ สปท. ได้ยื่นหนังสือผ่าน นางประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด รองกรรมาธิการขับเคลื่อนการ
ปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน เพื่อขอลาออกจากตำแหน่งอนุกรรมาธิการ เนื่องจากที่ผ่านมา กรรมาธิการ ได้มอบหมาย
ให้อนุกรรมาธิการชุดดังกล่าว ศึกษา และนำเสนอรายงาน ต่อกรรมาธิการเรื่องการปฏิรูปการสื่อสารมวลชน ในการจัดทำร่าง
พระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งอนุกรรมาธิการได้พิจารณาศึกษา
และรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องจำนวนมาก แต่กรรมาธิการมีกลับข้อเสนอแนะที่แตกต่างกัน และหลักการ
ดังกล่าวยังขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานสำคัญในการรับรองสิทธิการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชนตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับ
ประชามติ
--------
วิป สปท. ยอมถอย ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสื่อฯ ให้ กมธ. ทบทวน หลัง 30 องค์กร เคลื่อนไหวคัดค้านอย่างหนัก

นายคำนูณ สิทธิสมาน เลขานุการและโฆษกกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (วิป สปท.) แถลงข่าว
ถึงผลการประชุมวิป สปท. ว่า ที่ประชุม ได้พิจารณาเรื่อง “การปฏิรูปการสื่อสารมวลชน : ร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครอง
สิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์
(ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... ของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการที่จะให้มีสภาวิชาชีพสื่อฯ ตามกฎหมาย แต่ในรายละเอียดนั้น วิป สปท. พิจารณาแล้วเห็นว่า
มีข้อสังเกตจากกรรมาธิการจำนวนมาก และเนื่องจากเป็นประเด็นสาธารณะที่มีความสำคัญและมีผลเกี่ยวข้องโดยตรงกับ
ประชาชน รวมถึงมีการยื่นคัดค้านอย่างหนักจาก 30 องค์กรประกอบกับมีร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง จำนวน 2 ฉบับ
จึงต้องการให้สมาชิกได้มีเวลาในการพิจารณาศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบ ดังนั้น จึงเห็นควรให้คณะกรรมาธิการขับเคลื่อน
การปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชนนำรายงานกลับไปปรับปรุงให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และนำกลับมาเสนอ วิป สปท.
อีกครั้งหนึ่ง

นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติให้งดการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ในวันจันทร์ที่ 6 และวันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์
2560เพื่อให้สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ได้ปฏิบัติหน้าที่กรรมาธิการได้อย่างเต็มที่

---------
"วัชระ" มอง พ.ร.บ.คุ้มครองสื่อฯ ทำให้เกิดการแทรกแซงการทำหน้าที่ - เตรียมขอความร่วมมืออดีต ส.ส. รวบรวมรายชื่อคัดค้าน

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเดินหน้าออกพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม
และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ของ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) โดยมองว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่อัปยศที่สุดของ
ไทย โดยเฉพาะประเด็นการเพิ่มคณะกรรมการในสภาองค์กรวิชาชีพสื่อ เป็น 13 คน โดยเพิ่มในส่วนของปลัดกระทรวงการคลัง กระทรวง
วัฒนธรรม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้เกิดการแทรกแซงการ
ทำหน้าที่ของสื่อมวลชนอย่างชัดเจน และไม่คิดว่าจะมีผู้ใช้โอกาสที่ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ยืมมือ สปท. ออกกฎหมายเช่นนี้ออกมา ดังนั้น
จากนี้ส่วนตัวจะเดินหน้าที่ความร่วมมือจากอดีต ส.ส. รวบรวมรายชื่อคัดค้าน พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และ
มาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน

"ประวิตร"ปูกข่าวขู่ฆ่า-ปฏิวัติซ้อน

พล.อ.ประวิตร ระบุไม่มีทางเกิดปฏิวัติซ้อน หากประเทศยังไม่ถึงทางตัน วอนทุกฝ่ายร่วมสร้างความปรองดอง เผยในโซเชียลฯมีคนขู่จะเอาชีวิต
2 ก.พ. 60 - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เว็บไซต์วอชิงตันโพสต์เสนอบทวิเคราะห์ว่าประเทศไทยติดอันดับ 2 ของประเทศที่มีความเป็นไปได้ในการเกิดการปฏิวัติรัฐประหารขึ้นในปี 2560 ว่า เรื่องนี้ตนยืนยันและให้ความมั่นใจได้ว่าทหารไม่มีใครอยากทำการปฏิวัติรัฐประหาร นอกจากประเทศเดินหน้าต่อไปไม่ได้ แต่ถ้าเราปรองดองกันและทุกฝ่ายให้ความร่วมมือกันแล้ว การทำปฏิวัติรัฐประหารไม่มีทางเกิดขึ้นได้ อีกทั้งทหารก็อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าเราทำเรื่องปรองดองสำเร็จแล้วโอกาสในการเกิดปฏิวัติรัฐประหารก็จะไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า โอกาสไม่เกิดการปฏิวัติรัฐประหารก็มีสูงมาก ถ้านักการเมืองทั้งหมดสามารถคุยกันได้ และสามารถดูแลประชาชนได้ ฝ่ายทหารก็อยู่ภายใต้นักการเมือง หากตกลงกันได้หมดแล้วไม่มีความขัดแย้งก็จะหาทางว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติอย่างไรต่อไป
เมื่อถามว่า ในรายงานบทวิเคราะห์เขียนเหมือนว่ารัฐบาลชุดนี้จะถูกล้มโดยการปฏิวัติรัฐประหารซ้อน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มีเพราะทหารเป็นหนึ่งเดียว ยืนยันว่าไม่มีปฏิวัติรัฐประหารซ้อน รวมถึงรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็เป็นหนึ่งเดียว เพราะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ทำทุกอย่างเพื่อประเทศ ก็มีเพียงแต่สื่อมวลชนคิดเรื่องการปฏิวัติฯ อีกทั้งรายงานบทวิเคราะห์ของเว็บไซต์วอชิงตันโพสต์ก็เขียนไปแบบนั้นและทีมีคนเขียนหรือโพสต์ว่าจะฆ่าตน ทำไมสื่อมวลชนไม่มาสอบถามกันบ้าง
จากนั้น ผู้สื่อข่าวได้ซักในรายละเอียดถึงข้อความดังกล่าว พล.อ.ประวิตร บอกว่า ไม่ทราบแน่ชัดแต่จากการตรวจสอบพบในโซเชียลมีเดีย ส่วนจะเป็นฝ่ายการเมืองหรือไม่นั้น ไม่ทราบให้สื่อไปดูกันเอง “ผมไม่รู้วาใครมาขู่ฆ่าผม ไม่รู้จะจริงหรือไม่ ไปดูเอาสิ ในโซเชียลฯ นะ ไม่รู้ฝ่ายไหนเหมือนกัน” พล.อ.ประวิตร กล่าว
เมื่อถามว่ารู้สึกหวั่นไหว กับเรื่องดังกล่าวหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จะหวั่นไหว หรือไม่หวั่นไหว ก็ต้องระวังตัว แต่อย่างไรก็ตาม ตนนั้นทำงานเพื่อบ้านเมือง ก็ต้องวิเคราะห์ข่าวดังกล่าวว่ามีมูลความจริงอย่างไร ส่วนสาเหตุที่พุ่งเป้ามาที่ตน ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร
แหล่งข่าวจากกองทัพบก เปิดเผยว่า กำลังตรวจสอบกรณีที่มีคนโพสต์ข้อความผ่านทางโซเชียลมิเดีย ลอบสังหารพล.อ.ประวิตร โดยก่อนหน้านี้ทางกองทัพบก ได้ตรวจพบคนโพสต์ข้อความผ่านทางโซเชียลมีเดีย ลอบสังหารพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่ง คนที่โพสต์เปิดร้านอยู่ที่ห้างดัง.