PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สุทธิ อัชฌาศัย เสียชีวิตแล้ว หลังยิงขมับตัวเองอาการสาหัส

สุทธิ อัชฌาศัย เสียชีวิตแล้ว หลังยิงขมับตัวเองอาการสาหัส
สุทธิ อัชฌาศัย อดีตแกนนำต้านโรงไฟฟ้าระยอง เสียชีวิตแล้ว หลังยิงขมับตัวเองอาการสาหัส ที่ลานจอดรถบ้านแม่ เมื่อคืนวานนี้ (15 ก.ค. 57) พี่ชายเผยเครียดเรื่องเงิน
จากกรณีที่ เมื่อวานนี้ (15 กรกฎาคม 2557) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ระยอง รับแจ้งว่า นายสุทธิ อัชฌาศัย อดีตแกนนำเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก วัย 49 ปี ซึ่งเคยออกมาต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน ยิงขมับตัวเองด้วยอาวุธปืน .38 จำนวน 1 นัด ภายในรถที่จอดในบ้านของมารดา ที่ ต.บ้านแลง อ.เมือง จ.ระยอง ก่อนบุตรชายมาเห็น จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล เบื้องต้นอาการสาหัส
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ (16 กรกฎาคม) เจ้าหน้าที่แจ้งว่า นายสุทธิ เสียชีวิตแล้ว โดยทางนายมณฑล อัชฌาศัย พี่ชายของนายสุทธิ เผยว่า นายสุทธิเคยบ่นให้ฟังว่าเครียดเรื่องเงิน หมุนเงินไม่ทัน ซึ่งเรื่องนี้อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้นายสุทธิคิดสั้นก็เป็นได้
สำหรับ นายสุทธิ อัชฌาศัย เป็นเจ้าหน้าที่เอ็นจีโอและเคยเป็นประธานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก แกนนำคนดังของจังหวัดระยอง นักต่อสู้ด้านสิ่งแวดล้อม และต่อต้านมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรมมาบตาพุด อีกทั้งยังเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.ระยอง นอกจากนี้ ยังทำร้านอาหาร แต่ไม่ประสบผลสำเร็จและปิดตัวลงไปปีกว่าแล้ว

งดเลือกตั้ง ใช้แต่งตั้ง......


งดเลือกตั้ง ใช้แต่งตั้ง......
คสช.คุมกำเนิด นักการเมือง ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ฐานเสียงนักการเมือง งดเลือกตั้ง ใช้แต่งตั้ง แทน
ประกาศ ตสช.ฉบับที่ 85 เมื่อคืน 15 กค. เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว
เนื่องจากในปัจจุบันมีสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นหลายแห่งที่ได้ครบวาระหรือว่างลงหรือมีกรณีสิ้นสุดสมาชิกภาพ ซึ่งมีความจำเป็นต้องได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อทำหน้าที่บริหารงานและดูแลจัดทำบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
แต่โดยที่สถานการณ์ในปัจจุบันยังไม่อาจจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นได้โดยเรียบร้อย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ในกรณีที่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นดำรงตำแหน่งครบวาระหรือพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุอื่นใดนอกจากครบวาระ ให้งดการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นไปก่อนจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงโดยในระหว่างนี้ให้ดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตามที่กำหนดไว้ในประกาศนี้
สภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดที่มีสมาชิกสภาเหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาทั้งหมด ให้ถือว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาที่เหลืออยู่นั้นเป็นอันสิ้นสุดลงนับแต่วันที่จำนวนสมาชิกสภาเหลือไม่ถึงกึ่งหนึ่ง
ข้อ 2 เพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นในระหว่างที่ยังไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นตามข้อ 1 ให้ใช้วิธีคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้และความสามารถด้านการบริหารงานท้องถิ่น การคลังท้องถิ่น การศึกษาท้องถิ่น การอนามัยและสาธารณสุข กฎหมาย ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น โยธาธิการ ผังเมือง หรือโครงสร้างพื้นฐาน หรือด้านอื่นตามที่คณะกรรมการสรรหาเห็นสมควร โดยอย่างน้อยสองในสามของจำนวนสมาชิกสภาท้องถิ่นทั้งหมดต้องเป็นข้าราชการหรือเคยเป็นข้าราชการตั้งแต่ระดับชำนาญการพิเศษ หรือระดับ 8 หรือเทียบเท่าขึ้นไป ทั้งนี้ให้คำนึงถึงพฤติกรรม คุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และความเป็นกลางทางการเมืองเป็นที่ประจักษ์ ของผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกด้วย
ข้อ 3 ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละประเภทประกอบด้วยจำนวนสมาชิกสภาท้องถิ่น ดังต่อไปนี้
(1) องค์การบริหารส่วนตำบลมีสมาชิกสภาจำนวนสิบคน
(2) เทศบาลทุกประเภทมีสมาชิกสภาจำนวนสิบสองคน
(3) องค์การบริหารส่วนจังหวัดแต่ละแห่งมีจำนวนสมาชิกสภากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั้งหมดที่มีอยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ
ข้อ 4 สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(1) มีสัญชาติไทย
(2) มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปีบริบูรณ์นับถึงวันประกาศแต่งตั้ง
(3) จบการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
(4) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ทั้งนี้ มิให้นำมาตรา 45 (12 ) (13) และ ( 14) แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาใช้บังคับ และ
(5) รับราชการในเขตจังหวัดในระดับตำแหน่งตั้งแต่ระดับชำนาญการพิเศษ หรือระดับ 8 หรือเทียบเท่าขึ้นไป หรือ
(6) เคยรับราชการในเขตจังหวัดในระดับตำแหน่งตั้งแต่ระดับชำนาญการพิเศษ หรือระดับ 8 หรือเทียบเท่าขึ้นไป และต้องพ้นหรือออกจากราชการแล้ว หรือ
(7) เป็นบุคคลในเขตจังหวัดนั้นและดำรงตำแหน่งประธานหรือหัวหน้าองค์กรภาคเอกชนหรือภาคประชาชนที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีการจดทะเบียนไว้กับส่วนราชการหรือมีหนังสือรับรองจากส่วนราชการ
ข้อ 5 เมื่อมีกรณีต้องเลือกสมาชิกสภาท้องถิ่น ให้มีคณะกรรมการสรรหาคณะหนึ่งทำหน้าที่คัดเลือกบุคคลตามข้อ 2 ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานกรรมการ อัยการจังหวัดคนหนึ่งซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมาย ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ฝ่ายทหาร) และประธานสภาหอการค้าจังหวัดหรือประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดหรือประธานสภาทนายความประจำจังหวัดซึ่งคัดเลือกกันเองให้เหลือหนึ่งคนเป็นกรรมการ
ให้ท้องถิ่นจังหวัดเป็นเลขานุการคณะกรรมการสรรหา
ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการที่มีอำนาจดำเนินการพิจารณาทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะกรรมการสรรหาโดยอนุโลม
ในกรณีที่ไม่มีกรรมการสรรหาในตำแหน่งใด ให้กรรมการสรรหาประกอบด้วยกรรมการสรรหาเท่าที่มีอยู่
ให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการคัดเลือกให้แล้วเสร็จภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่มีเหตุให้มีการเลือกสมาชิกสภาท้องถิ่น ในการนี้ คณะกรรมการสรรหาจะเสนอชื่อตนเองเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นมิได้
ข้อ 6 เมื่อได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นแล้ว ให้ประธานคณะกรรมการสรรหาประกาศแต่งตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นภายในสามวัน และให้ถือว่าผู้ที่ได้รับการประกาศแล้วนั้นเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นนับแต่วันประกาศแต่งตั้ง
ข้อ 7 ในกรณีที่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดกำหนดให้การมาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นตามประกาศนี้เป็นเหตุให้ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นต้องเสียสิทธิหรือเป็นข้อห้ามหรือเป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติหรือเป็นลักษณะต้องห้าม มิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นมาใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นตามประกาศนี้
เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานและดูแลจัดทำบริการสาธารณะในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น มิให้ถือว่าการเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นของข้าราชการหรือผู้เคยเป็นข้าราชการเป็นการดำเนินกิจการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมหรือเป็นการกระทำอันอาจถูกกล่าวหาได้ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและกฎหมายว่าด้วยมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ข้อ 8 ให้สมาชิกสภาท้องถิ่นที่ได้รับแต่งตั้งตามประกาศนี้ดำรงตำแหน่งว่าจนกว่าจะมีการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นที่ได้รับเลือกตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่ในระหว่างนี้มิให้นำบทบัญญัติว่าด้วยวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาท้องถิ่นตามกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับ
ข้อ 9 สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นเป็นคู่สัญญาหรือในกิจการที่กระทำให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นหรือที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นจะกระทำ
ข้อ 10 ภายใต้บังคับข้อ 1 วรรคหนึ่ง ในกรณีที่สมาชิกสภาท้องถิ่นที่ได้รับแต่งตั้งตามประกาศนี้ว่างลง ให้สภาท้องถิ่นประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่เหลืออยู่โดยไม่ต้องดำเนินการคัดเลือกสมาชิกสภาท้องถิ่นแทนตำแหน่งที่ว่าง
ในกรณีที่สมาชิกสภาท้องถิ่นที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับว่างลง ให้สภาท้องถิ่นประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่เหลืออยู่โดยไม่ต้องดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นแทนตำแหน่งที่ว่าง
ข้อ 11 ในกรณีผู้บริหารท้องถิ่นครบวาระหรือว่างลง ให้ปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปฏิบัติหน้าที่นายกองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้การบริหารงานบุคคลเรื่องใดเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารท้องถิ่น ปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะทำหน้าที่ตามวรรคหนึ่งได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด คณะกรรมการพนักงานเทศบาลหรือคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล แล้วแต่กรณีก่อน
ข้อ 12 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามประกาศนี้ และให้มีอำนาจออกกฎ ระเบียบ และข้อบังคับเพื่อปฏิบัติตามประกาศนี้
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง

เปิดชื่อ 6 อรหันต์สอบปมบิ๊กสื่อรับเงินซีพีเอฟ "กล้านรงค์-สัก-สิทธิโชค"มาครบ

เปิดชื่อ 6 อรหันต์สอบปมบิ๊กสื่อรับเงินซีพีเอฟ "กล้านรงค์-สัก-สิทธิโชค"มาครบ

เขียนวันที่
วันอังคาร ที่ 15 กรกฎาคม 2557 เวลา 15:31 น.
เขียนโดย
isranews
2 สภาวิชาชีพสื่อ ลงนามในคำสั่งแต่งคณะกรรมการอิสระ สอบปม "ซีพีเอฟ" จ่ายเงินบิ๊กสื่อ 19 ราย เป็นทางการแล้ว  "กล้านรงค์" นั่งปธ. ดึง "สัก-สิทธิโชค-ดรุณี-เจษฎ์-เจษฎา" เข้าร่วม 
odsodsdddssddsdsdsds
จากกรณี สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ออกแถลงการณ์ร่วม ในการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระ โดยมีนายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธาน ขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีข้อกล่าวหาสื่อมวลชนรับเงินบริษัทเอกชนเพื่อปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ตามวิชาชีพ ภายหลังจากที่ศูนย์ข้อมูล & ข่าวสืบสวนสิทธิพลเมือง (TCIJ) เผยแพร่เอกสารลับของฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำธุรกิจด้าน ผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับรายงานการทำงานในหน้าที่ การแก้ข่าว การติดตามลบกระทู้เชิงลบในเว็บไซต์ และมีรายชื่อนักข่าวและตัวเลขการจ่ายเงินสื่อมวลชน 19 ราย ตลอดจนความเห็นต่อตัวนักข่าวและพูดถึงกลยุทธ์การสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิด นักข่าว 
ล่าสุด เมื่อวันที่ 15 ก.ค.57 ที่ผ่านมา นายจักร์กฤษ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา www.isranews.orgว่า ได้ลงนามรับรองคำสั่งแต่งตั้งกรรมการอิสระคนอื่นๆ ในการตรวจสอบกรณีดังกล่าวแล้ว
โดยรายชื่อคณะกรรมการชุดนี้ มีจำนวน 6 ราย ประกอบไปด้วย
1.นายกล้านรงค์ จันทิก ประธานคณะกรรมการ 
2.นายสัก กอแสงเรือง กรรมการฯ
3.ศ.พิเศษ สิทธิโชค ศรีเจริญ กรรมการ  
4.รศ.ดร. ดรุณี หิรัญรักษ์ กรรมการ
5.รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก กรรมการ
6. นายเจษฎา อนุจารี กรรมการ
นายจักร์กฤษ กล่าวยืนยันว่า บุคคลที่มาดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการชุดนี้ เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นหลักประกันเรื่องความน่าเชื่อถือได้ระดับหนึ่ง
"คณะกรรมการชุดนี้ จะทำหน้าที่อย่างอิสระ ไม่มีการกำหนดเกฏเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น ไม่มีการเร่งรัดอะไร แต่เนื่องจาก เรื่องนี้สังคมให้ความสนใจและต้องการทราบข้อเท็จจริง จึงให้กรอบกว้างๆ กับกรรมการว่าแม้เรื่องนี้กระทบกับหลายฝ่ายและอาจใช้เวลาในการตรวจสอบ แต่โดยรวมแล้ว ขอให้ทำให้เร็วที่สุดจะดี เพราะสังคมรอคำตอบอยู่"
เมื่อถามว่าการสอบสวนจะแล้วเสร็จเมื่อใด นายจักร์กฤษ ตอบว่า "เราไปขีดเส้นไม่ได้หรอกว่าต้องเสร็จ ภายในเดือนหรือสองเดือน แต่ตามหลักการแล้ว ก็ควรต้องทำให้เร็วที่สุด”  
ด้านนายกล้านรงค์ จันทิก อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ยืนยันสำนักข่าวอิศราว่า ได้รับแจ้งจากนายจักร์กฤษแล้วว่าขอให้เป็นประธานกรรมการสอบเรื่องดังกล่าว 
(ดูคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระฉบับเต็ม)
dsdsdsdssddswewew

คำต่อคำ:ผอ.เว็บไซต์ TCIJ ตอบสื่อปม ‘บ.ธุรกิจยักษ์ใหญ่’ จ่ายเงินนักข่าว

คำต่อคำ:ผอ.เว็บไซต์ TCIJ ตอบสื่อปม ‘บ.ธุรกิจยักษ์ใหญ่’ จ่ายเงินนักข่าว

เขียนวันที่
วันอังคาร ที่ 15 กรกฎาคม 2557 เวลา 20:25 น.
เขียนโดย
isranews
หมวดหมู่
‘สุชาดา จักรพิสุทธิ์’ บิ๊กบอสเว็บไซต์ TCIJ ตอบคำถามสื่อปมเผยแพร่รายงานบริษัทยักษ์ใหญ่จ่ายเงินสื่ออาวุโส ยินดีร่วมมือ ‘กล้านรงค์’ สืบสวนข้อเท็จจริง แต่จะไม่ยอมเปิดรายชื่อนักข่าว-ต้นสังกัด ระบุรับได้หากเกิดการฟ้องร้องเอาผิด 
1510757
จากกรณี ‘สุชาดา จักรพิสุทธิ์’ ผอ.ศูนย์ข้อมูล&ข่าวสืบสวนสิทธิพลเมือง (TCIJ) เผยแพร่เอกสารการลงทุนด้านโฆษณาและประชาสัมพันธ์ของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ด้านผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร โดยมีการจ่ายเงินรายเดือนแก่สื่อมวลชนอาวุโส การฝากข่าว แก้ไขข่าว หรือการอ้างชื่อนักวิชาการเพื่อความน่าเชื่อถือนั้น
สุชาดา เปิดเผยในเวทีเสวนา ‘อำนาจเหนือเกษตรกร-อำนาจเหนือสื่อ’ ซึ่งจัดขึ้นโดยเว็บไซต์ TCIJ ร่วมมือกับชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อมถึงจุดประสงค์การเผยแพร่รายงานดังกล่าวว่า TCIJ เป็นสื่อกลางในการนำเสนอเรื่องราวที่มีผลกระทบต่อสาธารณะและชี้ให้เห็นคุณกับโทษ เพื่ออย่างน้อยคาดหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นเตือนความจริงได้
“ดิฉันไม่อยากให้ใครบอยคอตสินค้าของบริษัทนี้ และไม่ต้องการให้เกลียดชังนักข่าว แต่ทั้งหมดมีจุดประสงค์เพียงการทำหน้าที่ในฐานะสื่อเท่านั้น ซึ่งดิฉันไม่สามารถจะนั่งดูข้อมูลจำนวนมากเหล่านี้เฉย ๆ ได้ และเชื่อว่านักข่าวทุกคนก็เป็นเหมือนกัน พร้อมยืนยันได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งในเชิงเทคนิคและปรึกษาหารือกับผู้รู้แล้ว จนแน่ใจว่าเอกสารชุดดังกล่าวเป็นข้อมูลจริง”
ผอ.เว็บไซต์ TCIJ กล่าวถึงความคาดหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน คือ 1.ทุน หากผู้บริโภคอ่านรายงานที่นำเสนอทุกบรรทัด จะเห็นว่าทั้งหมดเป็นผลจากการเน้นลงทุนด้านภาพลักษณ์เท่านั้น ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าธุรกิจขนาดใหญ่ยังมีความเข้าใจว่าการลงทุนนี้จะนำมาซึ่งผลกำไรและความนิยมในองค์กร
ยกตัวอย่างกรณีมีการนำเสนอข่าวคนกระโดดบ่อจระเข้ฆ่าตัวตาย ถามว่าเสียภาพลักษณ์ถึงขนาดต้องจ่ายเงินปิดข่าวหรือ เพราะนั่นหมายถึงคุณกำลังสนับสนุนหรือปูทางให้เกิดการคอร์รัปชั่น เพราะคำว่า ‘คอร์รัปชั่น’ คือ ผลประโยชน์ที่ได้มาด้วยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือศีลธรรม
“คอร์รัปชั่นลักษณะนี้จึงเป็นสิ่งที่ยังไม่คุ้นเคยเท่ากรณีนักการเมืองจ่ายใต้โต๊ะหรือนักธุรกิจกินหัวคิว” สุชาดา อธิบาย และว่าดิฉันต้องการให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันว่าการลงทุนเรื่องภาพลักษณ์เป็นหลักคือการคอร์รัปชั่นรูปแบบหนึ่ง
2.ความสัมพันธ์ไม่ปกติกับนักข่าว ซึ่งเชื่อว่าทุกคนรับรู้ดีเกี่ยวกับการสร้างความสัมพันธ์ดังกล่าว เพื่อหวังนำไปสู่ความเกรงใจ ซึ่งดิฉันเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ โดยเปรียบเทียบเป็น ‘การเซ็นเซอร์เชิงวัฒนธรรม’ โดยไม่แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับส่วนรวม ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติอาจมีมายาวนานแล้ว และเชื่อว่าสื่อรู้เท่าทันกลเม็ดเด็ดพรายของนักประชาสัมพันธ์องค์กรธุรกิจ
ทั้งนี้ ตั้งข้อสังเกตว่าขณะที่สื่อมวลชนไทยทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ไม่ว่ามาจากพรรคการเมืองใด แต่กลับไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบกลุ่มทุน
3.ผู้บริโภคข่าวจะต้องรู้เท่าทันสื่อและธุรกิจขนาดใหญ่ เพราะที่ผ่านมามักคิดว่าสิ่งที่ปรากฏในสื่อกระแสหลักคือความจริง แต่บางครั้งอาจไม่ใช่ก็ได้ ดังนั้นผู้บริโภคข่าวจะต้องคิดใหม่
“การนำเสนอข่าวชิ้นนี้เพียงเพื่อต้องการชี้ให้เห็นประเด็นปัญหา มิได้ต้องการพูดถึงนักข่าวหรือหนังสือพิมพ์ฉบับใด ไม่เจาะจงธุรกิจใด” ผอ.เว็บไซต์ TCIJ กล่าว และว่าหากถอดบทเรียนแล้วจะเห็นปัญหาเชิงระบบที่ต่างคนต่างไม่รู้เท่าทันซึ่งกันและกัน หรือรู้ก็หลับตาด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนและอำนาจแทรกแซง
สุชาดา ยังกล่าวถึงการใช้ทฤษฎี ‘ขุดหลุมดักควาย’ ภายหลังมีการเผยแพร่รายงานไปไม่ถึง 48 ชั่วโมง ด้วยการโทรศัพท์หรือส่งข้อความผ่านเฟซบุ๊ค เพื่อสอบถามถึงเอกสารฉบับเต็ม โน้มน้าวให้เปิดเผยให้หมด หรือสอบถามถึงผู้เขียน การได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าว
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญของรายงานที่นำเสนอได้บ่งชี้ให้เห็นปัญหาเชิงระบบของ 2 สถาบัน คือ สื่อและบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งความสำคัญเพื่อมุ่งหวังให้เกิดการเรียนรู้ในห้วงเวลาปัดกวาดประเทศชาติ อีกด้านหนึ่งกลุ่มธุรกิจและสื่อก็ควรคิดใหม่เช่นกัน
“มีโทรศัพท์ถามเข้ามาเยอะมากว่า มีฉันหรือไม่ และคาดคั้นจะเอาให้ได้ ซึ่งต้องยืนยันกับทุกคนว่าแม้จะสนิทสนมส่วนตัวอย่างไรก็บอกไม่ได้ ซึ่งสิ่งนี้คือจรรยาบรรณของสื่อ” ผอ.เว็บไซต์ TCIJ ระบุ
สุชาดา จึงตั้งคำถามว่าคุณต้องการเพียงอยากรู้ว่ามีคุณหรือไม่ เพื่อความสบายใจแล้วกลับไปนั่งที่เก่าเท่านั้นหรือ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเก่า ดังนั้นโอกาสนี้จึงคาดหวังองค์กรสื่อกลับไปดูแลนักข่าวให้กินดีอยู่ดี เพื่อไม่ต้องสนใจกลเม็ดเด็ดพรายจากกลุ่มธุรกิจ ซึ่งมีวิธีการมากมายที่จะแก้ไขปัญหาในองค์กร มิใช่เพื่อความสบายใจอย่างเดียว
ส่วนที่ไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อสื่ออาวุโสนั้น ผอ.เว็บไซต์ TCIJ บอกว่า ได้ทำหน้าที่ปกป้องสื่อด้วยกัน เพียงแต่ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นสื่อที่มีตำแหน่งผู้บริหารระดับกลางขึ้นไป เพราะบางครั้งนักข่าวอาจไม่ได้รับเงินจริง ๆ ก็ได้ หรือบางทีอาจมีการยอกย้อนซ่อนเงื่อนในข้อมูลเหล่านี้
สำหรับรายชื่อที่เปิดเผยนั้น ตัวเองได้ยึดถือหลักการ “ปกปิดเป็นหลัก เปิดเผยเป็นข้อยกเว้น” ฉะนั้นรายชื่อที่ถูกยกเว้นจึงไม่ใช่ผู้เสียหายและเป็นคนที่น่านับถือด้วยซ้ำ เพราะยืนยันจะแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีบนพื้นฐานวิชาการ
เมื่อถามว่าข้อมูลที่เผยแพร่มีการสอบถามไปยังบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟหรือไม่ สุชาดา ตอบว่า เรื่องเอกสารนั้นไม่ได้เอ่ยชื่อใคร และไม่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้ากับกลุ่มทุนหรือนักข่าว เพียงแต่เป็นการชี้ให้เห็นปัญหาเชิงระบบที่มีมายาวนาน ซึ่งเพิ่งจะมีหลักฐานและจังหวะในการนำเสนอ ฉะนั้นเมื่อไม่ได้ตั้งใจจะเล่นงานใคร จึงไม่จำเป็นต้อง ‘จับให้มั่น คั้นให้ตาย’ นอกจากการทำหน้าที่สื่อกลางให้ความจริงทำงานของตัวเองภายใต้สิทธิการรับรู้
“ดิฉันมีความสง่างามพอที่จะรับผลจากการกระทำของตัวเอง และหากบริษัทคิดว่าได้รับความเสียหายจากการนำเสนอรายงานหรือการเสวนาครั้งนี้ จนนำไปสู่การฟ้องร้องเพื่อเป็นตัวอย่างแก่สื่ออื่น ๆ นั้นก็พร้อมยอมรับ เพราะได้คิดมาดีแล้ว”
เมื่อถามต่อว่าบริษัทธุรกิจได้ติดต่อขอชี้แจงกับเว็บไซต์ TCIJ หรือไม่ สุชาดา อธิบายว่า ทันทีที่รายงานถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์เมื่อวันอาทิตย์ ประมาณ 21.00 น. หลังจากนั้น 1 ชั่วโมง มีสายโทรศัพท์เข้าขอร้องให้หยุดการเผยแพร่ทันที หลังจากนั้นก็ไม่มีอีกเลย แต่บอกไม่ได้ว่าผู้นั้นคือใคร และเป็นตัวแทนบริษัทหรือบุคคลก็ไม่แน่ใจ เพราะแทนชื่อตัวเองในการสนทนา ทั้งนี้ ยืนยันไม่ใช่อดีตพนักงานบริษัทธุรกิจที่ถูกพาดพิง แต่เป็นพนักงานปัจจุบันหรือไม่ ตัวเองไม่ทราบ .
เมื่อถามอีกว่าจะให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีนายกล้านรงค์ จักทิก เป็นประธานหรือไม่ ผอ.เว็บไซต์ TCIJ ระบุว่ายินดีให้ความร่วมมือเท่าที่ทำได้ แต่จะไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อทั้งหมดเพื่อปกปิดแหล่งข่าว ทั้งนี้ จะไว้วางใจได้อย่างไรว่าการตรวจสอบครั้งนี้ไม่ใช่ ‘การขุดหลุมดักควาย’ เพราะปัจจุบันนี้องค์กรวิชาชีพสื่อยังไม่เคยพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นที่พึ่งของคนในวิชาชีพได้แท้จริงด้วยกฎกติกามาตรฐานและเป็นธรรม
สุชาดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ความจริงแล้วตัวเองยังมีข้อมูลประเด็นอื่นอีกเยอะ โดยเฉพาะกรณีนักวิชาการ แต่คิดว่าคงไม่ทำแล้ว ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่สามารถทำให้บริษัทเกิดความคิดเรื่องการจัดการภาพลักษณ์และกิจกรรมเพื่อสังคมจริง ๆ ได้ ฉะนั้นต่อให้นำเสนออีกคงไม่เป็นผล
"สิ่งที่คาดหวังมากกว่านี้อยากให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ข้อมูลข่าวสารของราชการ ให้ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจเอกชน และให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบองค์กรสื่อมวลชนด้วย" ผอ.เว็บไซต์ TCIJ ทิ้งท้าย .

อ้างเป็นทหารยัน"ตั้ง อาชีวะ"โดนเก็บโดยทหารไทยที่ไปไล่ล่าในเขมรแล้ว

วันพุธ ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557, 11.01 น.
16 ก.ค.57 ผู้ที่ใช้ชื่อว่า ชายชัย ชีพยงค์ โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คส่วนตัว ยืนยันว่า นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ ผู้ถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นเบื้องสูง ได้เสียชีวิตแล้วที่ประเทศกัมพูชา
ทั้งนี้ ชายชัย ชีพยงค์ ระบุว่า ตนเองเป็นข้าราชการทหาร พร้อมยืนยันว่า กองทัพ มีภาพหลักฐานการเสียชีวิตของ ตั้ง อาชีวะ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แต่ยืนยันได้ว่า ตั้ง อาชีวะ ถูกยิงที่ศีรษะ และเสียชีวิตแล้วอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ชายชัย ยังอ้างว่า ชาวกัมพูชาที่ชื่อ Ko Hong มีอาชีพเปิดเช่าเรือมันอยู่สีหนุวิลล์ เป็นคนพา ตั้ง อาชีวะ หลบหนี ได้เสียงคลิปเสียงปฎิเสธไม่รู้จัก ตั้งอาชีวะ และไม่ได้ให้ความชื่อเหลือใดๆ แม้แต่น้อย แต่ ชายชัย ได้โพสต์ภาพถ่ายนายตั้ง อาชีวะ และ Ko Hong ขณะนั่งเรือโดยสารด้วยกัน
โดย ชายชัย ชีพยงค์ โพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัว กรณีของนายตั้ง อาชีวะ ไว้เป็นระยะๆ ดังนี้
-ลือลั่น สนั่น! กองทัพ สายในรายงานมาว่า ตั้ง อาชีวะ หรือ นายเอกภพ เหลือรา หนุ่มนักโทษคดีหมิ่นเบื้องสูง ถูกเก็บแล้ว จริงไม่จริงอย่างไร แชร์กันให้กระหน่ำไปเลยครับ ดูปฏิกิริยาของมัน ภายในหนึ่งอาทิตย์ ถ้ามันไม่ออกคลิปหรือเคลื่อนไหวอะไร ขอฟันธงว่าโดนเก็บสมองไหลไปแล้วแน่นอน ถึงว่าผมถึงไม่ค่อยได้ข่าวคราวของมันเลย สะใจมากคนที่เก็บมัน สมควรตายแล้วครับ สะใจ!!!!
-ในที่สุดก็ สิ้น ตั้ง อาชีวะ อย่างถาวร
เรารู้จักกันดีในนาม ตั้ง อาชีวะ หรือนายเอกภพ เหลือรา เป็นเด็กหนุ่มที่โด่งดังในหมู่ของคนเสื้อแดง ดังจนหนีแทบเป็นแทบตาย เพราะไปพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง จนถูกออกหมายจับในวันที่13ธันวาคมปีที่ผ่านมา หลังจากนั้น ตำรวจในรัฐบาลของ นส.ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่สามารถจับตัวได้ เกือบห้าเดือน จนถึงในช่วงที่คณ คสช.เข้ามายึดอำนาจ จนตามเบาะแสและสามารถรู้แหล่งกบดานและสามารถอวสานตั้งอาชีวะได้ หลังจากนั้น ทางวงในก็รายงานการครอบครองทรัพย์สินอีกหลายรายการ เช่น รถบิ๊กไบท์ยี่ห้อKawasaki 650 หนึ่งคัน Honda sport bike หนึ่งคัน รถเก๋งยี่ห้อดังนำเข้าจากต่างประเทศ อีกหนึ่งคัน
และข้อมูลการบินภายในประเทศ 18 ครั้ง ต่างประเทศ 9 ครั้ง และเคยเป็นอดีตพนักงานในบริษัทยานยนต์ระดับโลกชื่อดังในตำแหน่งวิศวกรรมซ่อมบำรุงเครื่องจักร แต่ก็ได้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานก่อนที่จะมาขึ้นเวทีเสื้อแดง บัญชีธนาคารอีกสี่ธนาคาร ของภรรยาอีกสอง แต่ทุกบัญชี ถูกถอนเงินออกจนหมดทุกบัญชีในวันที่ 4 ธันวาคม มีประวัติการทำพาสปอต และประวัติการขอวีซ่าไปประเทศแถบยุโรปและอเมริกา ไม่แปลกเลยที่เด็กหนุ่มคนนี้จะพริ้วไหวและระวังตัวตลอดในการหนีการจักุม เพราะหนุ่มคนนี้ ได้รับการฝึกหน่วยรบพิเศษมาในการดูลาดราวตรวจตราข้าศึก เพราะเข้าร่วมการฝึกในช่วงศึกษาวิชาทหารของกองทัพอากาศ(ผมไม่แน่ใจว่าไอตั้งอาชีวะมันมียศว่าที่เรืออากาศตรีหรือไม่) สุดท้าย เด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่รอดจากการตามล่าตัวเพื่อมาดำเนินคดีเพราะทางการได้สืบและเฝ้าติดตามจนสามารถรู้แน่ชัดว่ากบดานอยู่ที่นี่กับสาวไม่ซ้ำหน้า ล่าสุดเจ้าตัวปล่อยคลิปออกว่าอ้างว่าอยู่น้ำตกระดับโลก
แต่หลังจากปล่อยคลิปเจ้าตัวก็เงียบหายไปเกือบสองเดือน จนได้ทราบบทสรุปที่แท้จริงแล้วว่าที่มันเงียบไปเพราะมันเจอของจริงเข้าแล้ว สุดท้ายก็อวสานตั้งอาชีวะอย่างเป็นทางการด้วยวัยเพียง 23 ปี
-ไอคนนี้ เป็นชาวกัมพูชา มันเป็นคนพาไอตั้งหลบหนี มีอาชีพเปิดเช่าเรือมันอยู่สีหนุวิลล์ประเทศเขมร จำได้ไหมตอนที่ไอตั้งมันโดนถ่ายรูปที่เขมร นั่นแหละบ้านของไอคนนี้ และคอยส่งข่าวให้ไอตั้ง มันชื่อว่า Ko Hong มันเป็นคนที่เข้ามาในประเทศไทยบ่อยมาก ต่อไปนี้มึงอย่ามาเหยียบบนแผ่นดินพ่อกูอีก ไม่งั้นตาย เฟสบุ๊ค มันชื่อ Ko Hong มันพูดไทยได้ อ่านภาษาไทยได้
-เรื่องตั้ง อาชีวะ ตัดไปได้เลย เพราะมันตายไปแล้วเรียบร้อย และนี่เป็นคลิปเสียงที่คนเขมรที่ชื่อ Ko Hong มันส่งมาหลังข้อความผมเรื่องตอนที่พวกผมจะไปล็อกตัวไอตั้ง มันฝากบอกว่ามันไม่รู้เรื่องไอตั้ง แต่ด่าพวกผมว่าไม่มีปัญญาไปจับมัน เอ๊ะไอเขมรนี่ยังไง นี่แหละคือเหตุผลที่เป็นเหตุให้ไอตั้งต้องโดนยิงกะบาล ลองฟังดูครับ
-ชาวเขมร ที่ชื่อ Ko Hong มันมาอ้างและบอกว่า ไม่รู้จักตั้ง อาชีวะ มันไม่รู้เรื่อง มันไม่เกี่ยว แต่รูปนี้ มันคืออะไร ที่ สีหนุวิลล์เสื้อน่าจะตัวเดียวกับที่โดนแอบถ่ายได้ และโดนเป่ากะบาลในเวลาไม่กี่วัน

-มันด่าประเทศของพ่อเรา มันดูถูกเรา ไอคนที่ชื่อ Ko Hong ชาวเขมรมันบอกว่ามันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักตั้ง อาชีวะ แต่มันบอกว่าจะเอาตัวไหม จะส่งตัวไปให้ เอ๊ะ ยังไง บอกให้ไปถึงสุไหโกลก บอกให้ไปถึงเชียงราย ตะโกนให้ถึงหนองคาย ว่าไอเขมรคนนี้ ไม่มีสิทธิ์ มาเหยียบ แผ่นดินของพ่อหลวงอีกต่อไป มึงมาเมื่อไหร่มึงตาย (คลิปพวกนี้เป็นหลักฐานเก่าแล้วน่ะครับ แต่เพิ่งจะได้เปิดเผยหละงจาก นายเอกภพ เหลือรา เสียชีวิตแล้ว เพราะได้รับอนุญาตจากทางการแล้วครับ)
-ผมต้องขอชี้แจงก่อนน่ะครับ ไอตั้ง อาชีวะมันตายจริงๆน่ะครับ แต่คำสั่งก็คือคำสั่ง ผมมีภาพสภาพศพทุกอย่าง แต่จะไม่เปิดเผยภาพใดๆจนกว่านายท่านจะสั่งลงมา และ ที่นายท่านไม่ออกสื่อกรณีของตั้งอาชีวะ เพราะมันจะคุมสื่อไม่ได้ ถ้ามันรู้ถึงหูครอบครัวเขาเขาก็ต้องเศร้าที่คนในครอบครัวเขาตาย ถึงไอตั้งมันจะเป็นคนเลวก็เหอะ แต่ญาติเขาก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดาเหมือนที่เราๆสูญเสียญาติ ผมสามารถนำข้อมูลมาชี้แจงให้หลายๆท่านได้เพียงเท่านี้ เพราะนายสั่งไว้ มีคนส่งข้อความมาหาผมว่า โกหก ผมบอกเลยว่าคุณจะคิดยังไงผมไม่สน เพราะผมคือทหาร คำสั่งคือคำสั่ง นอกคำสั่งก็ทรยศนาย หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจน่ะครับ หน้าที่ของข้าราชการทหารคือ พิทักษ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขอขอบคุณทุกๆท่าน ใครไม่เข้าใจโดนซ่อม100ยกน่ะครับ
-ไอเขมรที่มันพาไอตั้งหนีและที่ทีมงานไปขอเจรจากับมันจนทะเลาะกันในคลิปเสียงที่มันส่งมาหาผม มันเล่นผมไปแล้วครับ ไอเขมรคนนี้มันพูดไทยได้ มันเขียนและอ่านภาษาไทยได้ ลองไปดูในเฟสมันสิ แต่นับจากนี้ไป มันมาเหยียบแผ่นดินไทยเมื่อไหร ด่าน ตม. ทุกด่านทั่วประเทศไทย จะมีปฏิกิริยากับมันทันที
อย่างไรก็ดี ทางทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์ กำลังตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และจะรายงานความคืบหน้าต่อไป

ไขปริศนา..ยิวกับปาเลสไตส์ ใยต้องรบพุ่งฆ่ากัน


ไขปริศนา..ยิวกับปาเลสไตส์ ใยต้องรบพุ่งฆ่ากัน (ตอน 1 ปฐมเหตุ)

ตอนนี้สงคราม ในตะวันออกกลางที่ทำท่าจะหยุดไม่อยู่ นอกจากในซีเรีย และ อิรัก แล้ว อีกจุดที่ดุเดือด เลือดนอง คือ ยิวอิราเอล กับปาเลสไตน์ ที่อยู่ในฉนวนการ์ซา ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตจาก การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล ในเขตปาเลสไตน์ ตลอด 4 วัน ตายทะลุ 120 รายแล้ว และมีผู้บาดเจ็บกว่า 600 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน เด็ก ผู้หญิง และคนชรา ประชาชนเกือบ 900 คนต้องไร้ที่อยู่อาศัย บ้านเรือนกว่า 150 หลัง พังพินาศ หรือได้รับความเสียหายร้ายแรง












สถานการณ์การสู้รบระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีวี่แววจะยุติลงโดยง่าย เมื่อมีจรวดจากกลุ่มติดอาวุธในเลบานอนยิงเข้ามาใส่ เขตของอิสราเอล ทำให้อิสราเอลประเมินว่า นักรบในเลบานอนอาจเข้าร่วมกับกลุ่มฮามาส ในปาเลสไตน์ จึงจะมีมาตรการตอบโต้ทางอากาศอย่างดุเดือด

กองทัพอิสราเอล เรียกกำลังสำรอง 40,000 นายรายงานตัวกับกองทัพ และจะส่ง 33,000 นายไปตรึงกำลังตามพรมแดนติดเขตของชาวปาเลสไตน์ พร้อมประกาศว่า จะปฏิบัติการขยายด้วยกองกำลังสำคัญทั้งหมด เคลื่อนกำลังภาคพื้นดินอาจมีขึ้นภายใน 2 วันนี้

อิสราเอลเริ่มยุทธการป้องกันสุดปลายขอบ หรือ “โปรเท็กทีฟ เอดจ์” ตั้งแต่วันอังคารที่ 8 ก.ค. โดยยิงขีปนาวุธต่อต้านจรวด และปืนครก ของกลุ่มฮามาส ออกมาจากฉนวนกาซาเข้าสู่อิสราเอล ได้กว่า
121 ลูกจากราว 550 ลูก อิสราเอลก็ตอบโต้ด้วยปฏิบัติการโจมตีทางอากาศมากกว่า 500 เที่ยว การปะทะครั้งนี้ถือเป็นความรุนแรงที่สุด นับจากเมื่อปี 2555

แม้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วิงวอนยับยั้งเหตุความรุนแรงที่ลุกลามขึ้นเรื่อยๆ ในฉนวนกาซา แต่ก็ไร้ผล เพราะนายกรัฐมตรียิวไม่ใส่ใจข้อตกลงหยุดยิงใดๆ ยังสั่งปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ โดยยืนกรานว่าพวกฮามาสเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กกว่า 3.5 ล้านคนทั่วรัฐยิว

กลุ่มฮามาส เองก็ข่มขวัญชาวอิสราเอล ด้วยการบอกให้ชาวยิว ทั้งหลาย รอดูการโจมตีด้วยการไล่แทงในทุกหนทุกแห่ง รอคอยการโจมตีแบบพลีชีพบนรถบัสโดยสารทุกคัน รวมถึงตามคาเฟ่และ
บนถนน…ดังนั้นสถานการณ์ในอิสราเอล และกาซา กำลังลุกลามเกินควบคุม

มาดูเป็นบทเรียนคนไทยว่า อาหรับกับยิว ทำไมจึงต้องมีการรบพุ่งกันมากว่า 2 พันปี และทำไมจึงไม่มีฝ่ายใดกำชัยชนะที่เด็ดขาดได้สักที และในยุคหลัง ใครอยู่เบื้องหลังการรบพุ่งของชนชาติ 2 กลุ่มนี้

หลังจากโรมเข้าถล่มเยรูซาเล็มจนพินาศแล้ว ชาวอิราเอลได้กระจัดกระจายไปสู่ในที่ต่างๆ แรกเริ่มเดิมทีนั้นดินแดนปาเลสไตน์นั้นหาใช่ดินแดนว่างเปล่า หากแต่มีผู้คนอาศัยและสร้างสังคม วัฒนธรรม อารยธรรมมาช้านาน โดยมีหลายชนชาติเข้ามาจับจองพื้นที่สร้างบ้านเมืองของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ชาวกันอาน เป็นชนชาติอาหรับ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวปาเลสไตน์ ชาวกิบบิโอน ชาวฟิลิสติน (ต่อมาแผลงมาเป็นชื่อ ปาเลสไตน์)

ต่อมาเมื่อชนชาติยิวซึ่งอพยพมาจากอียิปต์ เข้ามาบุกรุกดินแดนแถบนี้และเริ่มรบพุ่งแย่งชิงดินแดนจากชนพื้นเมืองที่อยู่มาแต่เดิม จนสร้างอาณาจักรอิสราเอลขึ้น แต่ต่อมาก็ได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน ตอนเหนือเรียกว่าอาณาจักรอิสราเอล ส่วนตอนใต้เรียกว่าอาณาจักรยูดาย

ถัดจากนั้นดินแดนแถบนี้ก็ถูกปกครองโดยกลุ่มชนหลายเผ่าพันธุ์ เช่น บาบิโลน อัสสิเรียน เปอร์เซีย กรีก โรมัน

ในช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน ชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้ลุกขึ้นแข็งข้อต่ออำนาจของจักรพรรดิติตัส ของโรมัน จักรพรรดิติตัสจึงสั่งทำลายกรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่ทางตอนเหนือเสียจนราบคาบ จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 4 ปาเลสไตน์ก็ตกเป็นของชาวคริสต์ จักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งเข้ารีตคริสต์ได้สร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม กลายเป็นสถานที่ดึงดูดให้คริสต์ศาสนิกชนเข้ามาจาริกแสวงบุญกันมากขึ้น จนกลายเป็นศูนย์กลางระบบสงฆ์และนักบวชในศาสนาคริสต์ จนเกิดการสร้างโบสถ์และวิหารต่างๆ ตามมาอีกมากมาย

จนกระทั่งกลุ่มชาติอาหรับได้แผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาในดินแดนแถบนี้และก่อสงครามแย่งชิงพื้นที่

ปี ค.ศ. 637 ชาวอาหรับก็ยึดครองดินแดนได้โดยสมบูรณ์ ประชากรที่เคยนับถือคริสต์ก็เริ่มแปรเปลี่ยนมานับถืออิสลามมากขึ้น จนประชากรส่วนใหญ่ก็ลายเป็นชาวมุสลิมไปจนเกือบทั้งหมด ชาวคริสเตียนที่เหลืออยู่ พยายามอย่างยิ่งที่จะยึดครองดินแดนนี้กลับมาเป็นของชาวคริสต์อีกครั้ง โดยไม่เพียงแต่ชาวคริสต์ในดินแดนปาเลสไตน์เท่านั้น หากแต่ยังได้รับความร่วมมือจากชาวคริสต์จากต่างแดนมาร่วมรบในสงครามที่เรียกว่า “สงครามครูเสด”

สงครามครั้งนี้ยืดเยื้อยาวนานกว่า 150 ปี จนในที่สุดก็จบสิ้นลง โดยดินแดนปาเลสไตน์ตกเป็นของชาติอาหรับอย่างสมบูรณ์ มีประชากรส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังเป็นชาวคริสเตียน ดินแดนปาเลสไตน์ก็ยังถูกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันครอบครองจากสองชนชาติคือ อาหรับและคริสต์ มานานกว่า 800 ปี ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ชนชาติตุรกีเข้ายึดครองนานถึง 400 ปี แต่การยึดครองของชาวเติร์กนี้มิได้มีการเปลี่ยนแปลงทางศาสนา

สัดส่วนการนับถือศาสนาของประชาชนในดินแดนแถบนี้ มิได้ถูกปรับเปลี่ยนไปแต่อย่างใด แม้แต่เชื้อชาติพลเมืองก็ยังคงเป็นชาวอาหรับเสียส่วนใหญ่ เหมือนก่อนหน้าที่พวกเติร์กจะเข้ามายึดครอง รวมถึงภาษา ประเพณี วัฒนธรรม ก็ยังคงเดิม เปลี่ยนแปลงเพียงกลุ่มชนชาติที่เข้ายึดครองเท่านั้น

ปี ค.ศ. 1897 ได้มีการก่อตั้งกลุ่มลัทธิไซออนนิสม์ โดยกลุ่มชาวยิวปัญญาชนและพ่อค้ายิวที่ทำมาหากินจนร่ำรวยจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะบนแผ่นดินอเมริกาและยุโรป มีจุดประสงค์เพื่อนำชาวยิวกลับมาตั้งถิ่นฐาน สร้างชาติยิวขึ้นมาใหม่บนแผ่นดินปาเลสไตน์ ซึ่งกลุ่มไซออนนิสต์ยึดมั่นในพระคัมภีร์ที่ว่า “พระเจ้าได้ประทานดินแดนแห่งนี้ให้กับชาวยิว”

แต่ในขณะนั้นปาเลสไตน์ตกอยู่ใต้อาณัติของอังกฤษ กลุ่มไซออนนิสต์ใช้เวลานับสิบปีลงทุนกว้านซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินชาวอาหรับอย่างถูกกฎหมาย และจัดการพัฒนาพื้นที่ที่เคยแห้งแล้งให้สามารถเพาะปลูกได้ ท่ามกลางความไม่พอใจของบรรดาชาวอาหรับเจ้าของที่ดินเดิม แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เพราะได้ทำการซื้อขายกันไปแล้วตามกฎหมายทุกประการ

ความขัดแย้งในการครอบครองดินแดนยังคงคุกรุ่นอยู่เรื่อยมา โดยมีกลุ่มไซออนนิสต์ดำเนินการอยู่ทั้งโดยเบื้องหน้าและเบื้องหลัง จนกระทั่งภาคพื้นยุโรปเกิดสงครามโลกขึ้นและได้ลุกลามขยายวงกว้างมายังดินแดนปาเลสไตน์

ปี ค.ศ. 1910 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นักเคมีชาวยิวสมาชิกกลุ่มไซออนนิสต์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด และได้เปลี่ยนสัญชาติจากลัตเวียมาเป็นอังกฤษ ได้ทำการคิดค้นดินระเบิดประสิทธิภาพสูงซึ่งสามารถผลิตเองได้โดยใช้วัตถุดิบ ที่หาได้ง่าย เนื่องจากก่อนหน้านั้นกองทัพอังกฤษใช้ดินระเบิดคอร์ไดท์ ซึ่งอังกฤษผลิตเองได้ แต่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบสำคัญคือ อาซีโทน

สารนี้จำเป็นต้องสั่งเข้าจากเยอรมันซึ่งเป็นคู่สงคราม เมื่อไม่มีวัตถุดิบ อังกฤษจึงประสบปัญหาใหญ่ในการทำสงคราม จนกระทั่งได้ นักเคมีชาวยิว มาช่วย อังกฤษจึงยังคงสามารถเข้าร่วมรบในสงครามโลกต่อไปได้

จากการช่วยเหลือของ นักเคมีชาวยิวผู้นี้ (ต่อมาได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ กระทรวงทหารเรือของอังกฤษ) ทำให้อังกฤษซึ่งมีอิทธิพลเหนือดินแดนตะวันออกกลางในช่วงนั้น ตอบแทนโดยการมอบดินแดนปาเลสไตน์ ให้เป็นที่พักพิงถาวรของชาวยิว โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอังกฤษในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามใน “สนธิสัญญาบาลฟอร์”

ขณะเดียวกันก็เกิดสนธิสัญญาขึ้นซ้อนอีกหนึ่งฉบับ ที่ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษในอียิปต์ ไปตกลงกับชาวอาหรับว่า หากชาวอาหรับช่วยอังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว อังกฤษจะยกดินแดนบางส่วน รวมถึงปาเลสไตน์คืนให้แก่ชาวอาหรับ แต่เมื่อสิ้นสงคราม อังกฤษก็ยังคงยึดครองปาเลสไตน์โดยมิได้มอบให้แก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เนื่องด้วยฝ่ายยิวและอาหรับต่างก็อ้างสนธิสัญญาที่ตนเองถือเป็นข้ออ้างในการครอบครองดินแดน

ปี ค.ศ. 1923 องค์การสันนิบาตชาติ มอบหมายให้อังกฤษเป็นผู้ดำเนินการส่งมอบดินแดนปาเลสไตน์ให้แก่ชาวยิว แต่อังกฤษก็ยังคงครอบครองดินแดนไว้เพื่อใช้ต่อรองกับกลุ่มชาติอาหรับ ในการทำสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแน่นอนว่าภายหลังสงคราม ดินแดนเจ้าปัญหานี้ก็ยังไม่ได้ถูกส่งมอบให้แก่ฝ่ายไหนอยู่ดี อีกทั้งปัญหาการอพยพเข้ามาของชาวยิวจำนวนมาก ก็ยังเพิ่มทวีความวุ่นวายเข้าไปทุกขณะ โดยมีกลุ่มชาติอาหรับแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

ปี ค.ศ. 1939 -1945 ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิตเลอร์และพรรคนาซี ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวไปทั้งหมด ประมาณ 7 ล้านคน หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของประชากรยิวในยุโรป ที่เป็นผลจากความฝังใจของฮิตเลอร์ในสมัยวัยเด็ก ต่อการกดขี่ของยิว

ปี ค.ศ. 1947 พวกไซออนนิสม์ ใช้วิธีการหลายอย่างสำหรับการถ่ายเทประชากร เช่น การทำสงคราม การก่อการร้าย การขับไล่โดยใช้กำลัง และนโยบายให้ชาวยิวมาตั้งหลักแหล่งในเขตที่อิสราเอลยึดครองไว้ ผู้ก่อการร้ายชาวยิวได้ทำร้ายชาวอาหรับอย่างรุนแรง ทิ้งระเบิดลงในกลุ่มคน ทำลายหมู่บ้าน เพื่อไม่ให้ชาวอาหรับกลับมาอีก

สมัชชาสหประชาชาติลงมติแบ่งดินแดนปาเลสไตน์ ให้กับชาวยิว โดยแบ่งเอาดินแดนบางส่วนของซีเรียและอียิปต์ไปด้วย โดยมติดังกล่าวไม่ได้ขอความเห็นชอบจากชาวปาเลสไตน์เลยแม้แต่น้อย

การแบ่งดินแดนในครั้งนั้นทำให้ปาเลสไตน์ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นที่อาศัยของชาวยิว และอีกส่วนหนึ่งเป็นที่อาศัยของชาวอาหรับ

ปี ค.ศ. 1948 เกิดสงครามระหว่างยิวกับประเทศอาหรับ 4 ประเทศ คือ ปาเลสไตน์ อียิปต์ ซีเรีย และเลบานอนขึ้น ชาวยิวเปลี่ยนองค์การใต้ดินฮากานาห์มาเป็นกองทัพแห่งชาติ ในระหว่างการต่อสู้นี้
ชาวปาเลสไตน์อาหรับต้องทิ้งถิ่นที่อยู่ลี้ภัยไปมากกว่าครึ่ง สงครามครั้งนี้ยุติลงในเวลาอันสั้น

คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ มีคำสั่งตั้งรัฐยิวขึ้นอย่างเป็นทางการ บนแผ่นดินปาเลสไตน์ โดยตั้งชื่อว่า รัฐอิสราเอล ส่งผลให้ชาวยิวที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ กลายเป็นชาวอิสราเอลไปโดยปริยาย ทำให้เกิดปัญหาผู้ลี้ภัยขึ้นถึง 9 แสนคน ส่วนใหญ่หนีไปทางประเทศจอร์แดนและฉนวนกาซา นอกนั้นก็ไปยังประเทศซีเรียและเลบานอน

ชาวปาเลสไตน์ต้องทิ้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน รวมทั้งทรัพย์สินสมบัติของตนไปเป็นผู้ลี้ภัยซึ่งไม่มีทางทำมาหากินเกือบล้านคน นอกจากนั้นผู้นำของชาวอิสราเอลยังมีแผนการบีบบังคับให้ชาวปาเลสไตน์ต้องออกจากดินแดนของพวกเขาไป เพื่อตนจะได้เข้าไปครอบครองแทนที่เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของลัทธิไซออนนิสม์ ซึ่งตั้งใจจะให้ประเทศนั้นกลายเป็นชาวยิวโดยเฉพาะเท่านั้น

ประธานาธิบดีชุดแรกของอิสราเอล มีจุดมุ่งหมายคือ ชาวยิวควรยึดประเทศปาเลสไตน์ให้ได้ การแก้ปัญหาให้ปาเลสไตน์ ก็คือต้องกำจัดชาวอาหรับออกไปจากมาตุภูมิของพวกเขาให้หมดสิ้น ดังนั้นจึงมีความคิดในเรื่อง “การถ่ายเทประชากร” ที่ฝังหัวอยู่ในสมองของพวกไซออนนิสม์เสมอ

ชาวยิว จะเป็นเชื่อเสมอว่าในประเทศนี้ไม่มีเหลือพอที่คนสองชาติจะอยู่ร่วมกันได้ เขาย่อมจะไม่บรรลุถึงเจตนาที่จะเป็นอิสระชนได้ ถ้ามีชาวอาหรับอยู่ด้วยในประเทศเล็ก ๆ นี้ วิธีแก้ปัญหาวิธีเดียวก็คือต้องไม่ให้มีคนอาหรับอยู่ด้วย ไม่มีวิธีอื่นที่จะทำได้มากไปกว่าต้องย้ายชาวอาหรับจากที่นี่ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ย้ายไปให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่หมู่บ้านเดียวหรือเผ่าเดียว หลังจากการโยกย้ายนี้ ประเทศนี้จึงจะสามารถดูดซึมเอายิวนับล้าน ๆ คนได้

ปี ค.ศ. 1949 เยรูซาเลม ได้รับการประกาศให้เป็นเมืองหลวง และเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอิสราเอล เป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งเกี่ยวพันกับ 3 ศาสนา คือ ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม คริสต์ศาสนิกชนเชื่อว่า พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ที่ภูเขามะกอกเทศ และการมาครั้งที่สองของพระองค์ก็จะเกิดที่เมืองนี้เช่นกัน

ส่วนชาวมุสลิมเชื่อว่าเป็นเมืองที่ นบีมุฮัมมัดถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ จึงการแย่งชิงเมืองนี้กันตลอดมา เพราะต่างมีความเชื่อว่าศาสดาของตน ขึ้นสวรรค์ที่เมืองนี้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่ 2 ศาสนา มีบันทึกตรงกัน แต่คนละศาสดา ??

ปี ค.ศ. 1953 หมู่บ้านชาวอาหรับถูกทำลายไป 161 แห่ง การกระทำที่โหดเหี้ยมที่สุดคือการฆ่าคนเกือบทั้งหมู่บ้านเดรยัสซีน ทำให้ชาวอาหรับต้องหนีออกจากประเทศไปอย่างมากมาย ปี 1956 ยิวบดขยี้ หมู่บ้านชาวอาหรับ ราบเรียบและขับไล่ผู้อยู่อาศัยออกไป จึงจะแน่ใจได้ว่าจะไม่มีหมู่บ้านเหลืออยู่ให้ชาวอาหรับหวนกลับมาได้

การตั้งหลักแหล่งของชาวยิว คือ นโยบายที่จะทำให้ชาวยิวมาตั้งบ้านเรือนล้อมที่อยู่ของชาวอาหรับไว้ เพื่อป้องกันมิให้ชาวอาหรับรวมตัวกันได้ และตั้งใจจะผนวกฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนและฉนวนกาซา เข้าเป็นของอิสราเอล ชาวยิวมีวิธียึดครองที่ดินเช่นนี้มากมาย เช่น ออกกฎหมายยึดเอาที่ดิน เนรเทศเจ้าของเดิมออกไป ออกกฎหมายให้ที่ดินนั้นเป็นเขตต้องห้าม ทำลายบ้านเรือนชาวปาเลสไตน์

ใช้วิธีควบคุมบีบคั้นทางเศรษฐกิจ และการกดขี่ปราบปรามชาวปาเลสไตน์ ฯลฯ ในด้านการศึกษาและวัฒนธรรม ทางการอิสราเอลก็ใช้วิธีสั่งห้าม และเข้าควบคุมการตัดสินใจทุกอย่างในด้านการศึกษาของชาวปาเลสไตน์ รวมทั้งการขู่เข็ญมิให้นักศึกษาหนุ่มสาวของชาวปาเลสไตน์กล้าแข็งต่อต้านอิสราเอล

การเข้ายึดครองของอิสราเอล จึงทำให้ชาวปาเลสไตน์กลายเป็นคนต่ำต้อยถูกกดขี่ ชาวปาเลสไตน์อาหรับจะรู้สึกว่าพวกไซออนนิสม์เป็นศัตรูตัวร้าย พวกเขาพยายามรวมตัวกันทางการเมืองเพื่อต่อต้านชาวอิสราเอล แต่ก็เสียเปรียบในด้านการเงินและอาวุธ ดังนั้นขบวนการกู้ชาติของอาหรับในปาเลสไตน์ จึงเกิดขึ้นอย่างมากมายแต่ก็ถูกปราบปรามลงอย่างรวดเร็ว จำต้องใช้การต่อสู้แบบไม่เปิด
เผย

ปี ค.ศ.1956 หลังจากอียิปต์ สู้รบแพ้อิสราเอลในวิกฤตการณ์คลองสุเอซ หรือสงครามสุเอซ-ซีนาย ประธานาธิบดีกา มาล อับเดล นัสเซอร์ ของอียิปต์ ก็ประกาศจะล้างแค้น และสนับสนุนขบวน การ
ชาตินิยมของชาวปาเลสไตน์ พร้อมกับลงมือจัดตั้งพันธมิตรอาหรับที่ราย รอบประเทศอิสราเอล และระดมสรรพกำลังเตรียมทำสงคราม

แนวหน้ารวมกำลังแห่งชาติ อัล-ฟาตะฮ ได้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยมีความมุ่งหมาย ที่จะสร้างแนวร่วมของชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดขึ้นมา โดยรวมเอาขบวนการต่อต้านของชาวปาเลสไตน์เข้าด้วยกัน โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของความคิดทางการเมืองของแต่ละกลุ่ม

ปี ค.ศ.1964 ได้มีการจัดตั้งองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (พีแอลโอ) ขึ้น โดยประธานาธิบดี อียิปต์ มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ เลือกประธานคนใหม่ที่มาพร้อมกับนโยบายที่แข็งกร้าวขึ้น นั่นคือ นายยัสเซอร์ อาราฟัต ที่เขาร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง มาตั้งแต่สมัยที่ยังศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งกษัตริย์ฟาฮัด ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์

และได้เข้าร่วมเป็นทหารในกองทัพอียิปต์เมื่อครั้งสงครามคลองสุเอซ จากนั้นได้ไต่เต้าขึ้นมาสู่ตำแหน่งสำคัญๆ ในองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในที่สุด อาราฟัต พยายามอย่างยิ่งในการแสดงให้ชาวโลกยอมรับการมีตัวตนของชาวปาเลสไตน์ และ พยายามแสดงให้เห็นถึงความชอบธรรม ในการกอบกู้ดินแดนของชาวปาเลสไตน์คืนจากอิสราเอล

อัล-ฟาตะฮ กลายเป็นหน่วยที่มีพลังมากที่สุดในองค์การพีแอลโอ ชาวปาเลสไตน์ได้ประกาศความมุ่งหมายของพวกเขาออกมา คือพวกเขาจะต่อสู้เพื่อกลับไปสู่ประเทศที่เป็นมาตุภูมิของตน และจะ
จัดตั้งปาเลสไตน์ซึ่งเป็นอิสระและเป็นประชาธิปไตยขึ้น

ความไม่พอใจให้ชนชาติอาหรับ จนกลุ่มชาติอาหรับจัดตั้งกองกำลังบุกเข้าอิสราเอล หวังที่จะกลาดล้างชาวยิวให้สิ้นซาก สงครามที่กินเวลายานาน 8 เดือน ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของชาติอาหรับ แต่ก็ก่อให้เกิดการรบพุ่งกันต่อเนื่องมาอีกหลายต่อหลายครั้ง

ปี ค.ศ. 1967 เกิด “สงคราม 6 วัน” โดยประธานาธิบดี อียิปต์ ส่งกองกำลังทหารกว่า 7 แสนนาย จากความร่วมมือของชาติอาหรับ 7 ชาติ เข้าถล่มอิสราเอลที่มีกองกำลังเพียง 2 แสนนายเท่านั้น เหตุการณ์กลับตาลปัตร กลายเป็นว่ายิวเป็นฝ่ายมีชัยในสงคราม ผลการรบ อียิปต์ จอร์แดน ซีเรีย อิรัก สูญเสียกองทัพอากาศไปทั้งหมด

โดยรวมแล้ว อียิปต์เสียทหาร 11,000 นาย จอร์แดนเสียประมาณ 6,000 นาย ซีเรียเสียราว 1,000 นาย และอิสราเอลเสีย 700 นาย ยิว ยังยึดดินแดนของฝ่ายชาติอาหรับมาเป็นของตน ขยายเขตแดนไป 3-4
เท่า เช่น เขตกาซ่าตะวันออก แหลมซีนายของอียิปต์ เขตเวสต์แบงก์ ที่ราบสูงโกรันของซีเรีย นครเยรูซาเล็มฝั่งตะวันออก ซึ่งดินแดนที่ว่านี้ ส่วนใหญ่ยังถูกอิสราเอลครอบครองมาจนถึงปัจจุบัน

นอกเหนือจากชัยชนะครั้งนี้แล้ว อิสราเอลยังฉวยโอกาสนี้ทำการขับไล่ชาวอาหรับออกจากจากดินแดนของตนเป็นจำนวนมาก จากความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ทำให้กลุ่มชาติอาหรับลดความนับถือต่อ
ประธานาธิบดี อียิปต์ เป็นอย่างมาก

..เรื่องราวกำลังเข้มข้น ให้ติดตามต่อตอนที่ 2 เพื่อไขปริศนาว่ากลุ่มไซออนนิสม์ สำคัญต่อสงครามอาหรับ – ยิว และต่อโลกอย่างไร อ่านต่อที่ https://www.facebook.com/media/set/?

set=a.252806108242757.1073742037.187529244770444&type=1
@ เสธ น้ำเงิน4
////////////////////////
วันที่ 12 ก.ค.57 ไขปริศนา..ยิวกับปาเลสไตส์ ใยต้องรบพุ่งฆ่ากัน (ตอน 2 เผชิญหน้า)

ตอนแรกได้เล่าให้ฟังถึงรากฐาน และความขัดแย้ง การเอารัดเอาเปรียบของยิว ต่อชนชาติปาเลสไตน์ และอาหรับ จนก่อสงครามต่อกันตายไปจำนวนมากมายแล้ว

** ความเดิมที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.252803251576376.1073742036.187529244770444&type=1

ปี ค.ศ. 1968 การโจมตีของชาวจอร์แดน ต่อค่ายผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ที่ตำบลฮุสเซ็นและอัชเราะฮ จนกระทั่งรัฐบาลจอร์แดนทำลายหน่วยต่อต้านของชาวปาเลสไตน์ในจอร์แดน หน่วยปฏิบัติการใต้ดินพีแอลโอจึงต้องมารวมตัวกันใหม่ที่เทือกเขาเลบานอน ซึ่งถูกทหารอิสราเอลโจมตีอีก จนต้องย้ายที่ทำการไปอยู่ที่เมืองแอลเจียร์ ประเทศแอลจีเรีย

ปี ค.ศ. 1972 องค์การพีแอลโอ ใช้ทุกวิถีทางแม้ กระทั่งใช้ความรุนแรงทางทหาร รวมทั้งการก่อการร้ายเหตุการณ์ที่เป็นที่จดจำของชาวโลกมากที่สุดครั้งหนึ่ง คือ การจับนักกีฬาชาวอิสเราเอลเป็นตัวประกัน ระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ณ เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี

โดยกลุ่มนักรบปาเลสไตน์ที่เรียกตัวเองว่า “ขบวนการกันยาทมิฬ” บุกเข้าหอพักนักกีฬาโอลิมปิก พร้อมกับจับตัวนักกีฬาชาวอิสราเอลจำนวน 11 คนเป็นตัวประกัน โดยพวกเขาเรียกร้องให้รัฐบาลอิสราเอลปล่อยตัวนักโทษการเมืองชาวปาเลสไตน์ 234 คน และอีก 2 คนที่ถูกคุมขังอยู่ที่เยอรมัน พร้อมทั้งร้องขอเครื่องบินเพื่อเตรียมหลบหนีเข้าอียิปต์

นายกรัฐมนตรี อิสราเอล ในขณะนั้นซึ่งดำเนินนโยบายแข็งกร้าวต่อปาเลสไตน์และไม่ยินยอมเจรจากับผู้ก่อการร้าย ปฏิเสธข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ก่อการ และยังส่งหน่วยรบพิเศษที่เชี่ยวชาญในการชิงตัวประกันเข้ามาช่วยเหลือ แต่รัฐบาลเยอรมันปฏิเสธ เนื่องจากต้องการจัดการสะสางปัญหาด้วยตนเอง เพื่อรักษาหน้าของเจ้าภาพ โอลิมปิก

หรืออีกประเด็นหนึ่งที่เป็นนัยยะแอบแฝง นั่นคือคือรัฐบาลเยอรมันต้องการแสดงความรับผิดชอบและลบล้างความผิดสมัย สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนั่นเอง แต่พลแม่นปืนของเยอรมันทำพลาด จนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เมื่อตัวประกันเสียชีวิตหมดทั้ง 11 คน ตำรวจเยอรมันเสียชีวิต 1 นาย ผู้ก่อการร้ายเสียชีวิต 5 ราย ถูกจับเป็น 3 ราย

โศกนาฏกรรมครั้งนี้สร้างความเคืองแค้นให้อิสราเอลอย่างมาก เพราะนอกจากตัวประกันจะเสียชีวิตหมด บรรดาชาติต่างๆ ก็ดูเหมือนจะลืมเลือนเรื่องนี้กันอย่างรวดเร็ว โดยหันสนใจการแข่งขันโอลิมปิกแทน ทั้งที่เกิดเรื่องราวอันเลวร้ายเช่นนี้แต่นานาชาติกลับยังคงดำเนินการแข่งขันต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อิสราเอลไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเขาลงมือปฏิบัติการตอบโต้อย่างทันควัน ส่งฝูงบินอิสราเอลไปถล่มฐานปฏิบัติการขององค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ในซีเรีย และเลบานอน รวมถึงการส่งหน่วยจารชนเข้าไปจัดการกับกลุ่ม PLO ทั้งในปาเลสไตน์ กลุ่มชาติอาหรับ และหลายพื้นที่ในยุโรปอย่างลับๆ

ซึ่งปฏิบัติการหลายครั้งสร้างความเสียหายขั้นรุนแรง แต่อิสราเอลก็ไม่ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบอีกทั้งปฏิเสธอย่างแข็งขันว่า พวกเขาไม่ได้อยู่เบื้องหลังการล้างแค้นดังกล่าว แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าเหตุการณ์สะเทือนขวัญหลายครั้งเกิดขึ้นจากฝีมือของ หน่วยสืบราชการลับอิสราเอล ที่เรียกตัวเองว่าพวก มอสสาด

ปี ค.ศ. 1972 หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติการด้วยความรุนแรงทั้งอย่างลับๆ และอย่างโจ่งแจ้งมาช่วงระยะหนึ่ง ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็พบว่าการใช้ความุรนแรงไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ผู้นำของ PLO และอิสราเอล ยอมหันหน้าเข้าหากัน โดยเจรจาผ่านทางสหประชาชาติ ก่อให้เกิดการลงนามในข้อ ตกลงสันติภาพออสโล ประกาศว่าโลกยอมรับให้มีดินแดนปกครองตนเองที่ชื่อปาเลสไตน์ ในเขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซ่า

ปี ค.ศ. 1973 สหรัฐอเมริกาได้แสดงตัวให้เห็นว่าเข้าข้างอิสราเอล และเกลียดชังพีแอลโออยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งสั่งปิดสำนักงานของพีแอลโอ ในนครนิวยอร์คและอายัติบัญชีเงินฝากของพีแอลโอด้วย

ปี ค.ศ. 1979 ประธานาธิบดีอียิปต์ ได้เดินทางไปพบปะกัน นายกรัฐมนตรีอิสราเอล และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อเจรจาสันติภาพกัน โดยมิได้ปรึกษาหารือกับโลกอาหรับ ทั้งสามได้ลงนามในเอกสารฉบับเมื่อวันที่ 17 กันยายน คือโครงการสันติภาพในตะวันตะวันออกกลางและ สนธิสัญญาสันติภาพระหว่างอียิปต์กับอิสราเอล

การที่อียิปต์ทำลงไปโดยพละการเช่นนี้ ทำให้โลกอาหรับไม่พอใจ เพราะจะทำให้โลกอาหรับแตกแยกกัน ชาวปาเลสไตน์ก็เกรงว่าอียิปต์จะทอดทิ้งพวกเขา เพราะไปรับรองอิสราเอล พีแอลโอได้ปฏิเสธข้อตกลงนี้อย่างแข็งขัน โดยถือว่าเป็นการปฏิเสธสิทธิตามกฎหมายของชาวปาเลสไตน์ ประเทศมุสลิมและประเทศเป็นกลางก็ปฏิเสธ แม้กระทั่งสหประชาชาติก็ยังปฏิเสธ

ปี ค.ศ. 1981 จุดหมายที่สำคัญของอิสราเอล คือ ใช้สนธิสัญญานี้เป็นเครื่องกีดกันมิให้มีการจัดตั้งรัฐบาลปาเลสไตน์อิสระขึ้นได้ หลังจากนั้นไม่นาน อิสราเอลได้เข้าโจมตีเลบานอนใต้ ที่อยู่ของพีแอลโออย่างหนัก และได้ผนวกกรุงเยรูซาเล็มเข้าเป็นของยิวอีกด้วย

สงครามที่ใหญ่ที่สุด และยาวนานที่สุดระหว่างอิสราเอล กับชาวปาเลสไตน์ก็เกิดขึ้นในเลบานอน ครั้งนี้ยิงมีจุดประสงค์คือ ทำลายกำลังทางการเมืองและการทหารของพีแอลโอ จัดตั้งรัฐบาลเลบานอนที่เข้มแข็งเพื่อช่วยเหลืออิสราเอล สร้างอิสราเอลขึ้นเป็นมหาอำนาจเพื่อควบคุมการพัฒนาทุกอย่างด้านการเมืองและเศรษฐกิจได้ในกำมือตน

ฝ่ายอเมริกามีความยินดีในการกระทำของอิสราเอล แต่แสร้งเสนอตัวเข้าไกล่เกลี่ย และรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ยอมเดินทางไปประท้วงการรุกรานที่กรุงเยรูซาเล็มด้วย แต่ชาวโลกกลับให้ความสนใจ แค่คำเรียกร้องของชาวปาเลสไตน์มากกว่าแต่ก่อน การสร้างสงครามครั้งนี้ปรากฏว่ามีคนตายถึง 15,000 คนซึ่งแน่ละส่วนใหญ่ต้องเป็นชาวปาเลสไตน์

ปี ค.ศ. 1982 พีแอลโอได้ไปตั้งสำนักงานใหญ่ขึ้นใหม่ในเมืองตูนิซ ประเทศตูนิเซีย ต้องทำงานอย่าง-รีบเร่ง เพื่อสร้างโครงสร้างสำคัญ ๆ ด้านการเมืองและสังคมขึ้นมาใหม่หลังจากถูกทำลายไปแล้ว หน่วยต่อสู้ของพีแอลโอก็ต้องกระจายไปอยู่ตามประเทศอาหรับต่าง ทำให้รวมตัวกันได้ลำบาก

ได้มีการประชุมสุดยอดของกลุ่มประเทศอาหรับ ครั้งที่ 12 ในเมืองเฟซ ประเทศโมร็อกโก ที่ประชุมได้ออก “กฎบัตรเฟซ” ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญ คือ จัดตั้งรัฐบาลปาเลสไตน์ โดยมีเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง ถอนกำลังทหารของอิสราเอลออกจากเขตยึดครองทั้งหมด ซึ่งเดิมเป็นของอาหรับก่อนสงครามปี 1967 รื้อถอนถิ่นฐานที่อิสราเอลสร้างขึ้น

ยืนยันสิทธิ์ของชาวปาเลสไตน์ ในการจะตัดสินใจด้วยตนเองและสามารถใช้สิทธิ์ในประเทศปาเลสไตน์ภายใต้การนำของพีแอลโอ ให้ฉนวนกาซาและดินแดนฝั่งตะวันตก (ของแม่น้ำจอร์แดน) อยู่ในความดูแลของสหประชาชาติไปก่อน และให้สภาความมั่นคงรับประกันต่อสันติภาพในระหว่างชนชาติต่างๆ ในแถวนั้น แต่รัฐบาลอิสราเอลปฏิเสธ ไม่ยอมรับข้อเสนอนี้โดยสิ้นเชิง

กลุ่มประเทศอาหรับได้ยื่นข้อเสนอนี้ไปยังรัฐบาลอเมริกา ประธานาธิบดีมะกัน แต่เขาก็ยังปฏิเสธเรื่องการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์อิสระ และมิได้กล่าวเลยว่าจะเกลี้ยกล่อมให้ถอนทหารอิสราเอล จากเขตยึดครองได้อย่างไร และยังบอกปัดข้อเสนอของชาวอาหรับ ที่จะเอากรุงเยรูซาเล็มคืนด้วย

ประธานาธิบดีรัสเซีย จึงได้เสนอแผนสันติภาพให้แก่อเมริกา ให้อิสราเอลคืนดินแดนยึดครองทั้งหมดให้แก่ชาวปาเลสไตน์ ชาวปาเลสไตน์มีสิทธิ์จัดตั้งรัฐอิสระของพวกเขาเองขึ้นในเขตแดนอิสราเอล และอิสราเอลต้องคืนกรุงเยรูซาเล็มตะวันออกให้ชาวปาเลสไตน์ด้วย แต่ในระหว่างนั้นอิสราเอลกลับท้าทายด้วยการสร้างชุมชนชาวยิวขึ้นใหม่อีก 5 แห่งที่แถบตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน

ปี ค.ศ. 1993 อิสราเอล และ ปาเลสไตน์ได้ตกลงกันเซ็นสนธิสัญญาออสโล อนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์มีอำนาจในการปกครองตัวเอง (อย่างจำกัด) ในเขตฉนวนกาซา สถานการณ์ในตะวันออกกลางก็มีท่าทีที่สงบลง แต่เพียงหนึ่งปีให้หลังก็เกิดการปะทะกันระหว่างสองฝ่ายเหมือนเช่นเดิม เพราะอเมริกาคอยเป็นพี่เลี้ยงชั้นดี ที่คอยหนุนหลังยิว ทั้งทางลับๆ และแบบเปิดเผย

ปี ค.ศ. 1995 กลุ่มชาวยิวหัวรุนแรงในอิสราเอล ไม่พอใจท่าทีที่ยอมอ่อนข้อของนายกฯ จึงเกิดการลอบสังหารขึ้น ตามด้วยการลุกฮือของชาวปาเลสไตน์ ความขัดแย้งทวีเพิ่มขึ้น แม้นายอาราฟัตจะได้เป็นประธานาธิบดีปาเลสไตน์ในปีถัดมา แต่ความนิยมในตัวเขาก็ลดลงเนื่องจากผู้คนเห็นว่าเขาอ่อนข้อให้อิสราเอลจนเกินไป

สันติภาพที่ได้มาทำให้ชาวปาเลสไตน์ปิติยินดี ออกมาฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ มีการยิงปืนขึ้นฟ้าและลุกลามไปถึงขั้นจุดไฟเผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็น สัญลักษณ์ของชาวยิว จากนั้นก็ชักธงชาติปาเลสไตน์ขึ้นยอดเสา แต่ขณะเดียวกันชาวยิวบางส่วนที่ยังอาศัยอยู่ในดินแดนนี้ก็เกิดความไม่พอใจ ออกมาก่อความวุ่นวายตามท้องถนนจนเกิดเป็นจลาจลไปทั่วเมือง

ปี ค.ศ. 2004 นายอาราฟัต ถูกปิดล้อมอยู่ที่เมืองรอมัลเลาะห์ เขาถูกลอบสังหารจนเสียชีวิตเพราะเขามีนโยบายที่แข็งกร้าว ไม่ยอมอ่อนข้อให้ฝ่ายอิสราเอล ฝ่ายอเมริกาจึงต้องกำจัดเขาเพราะเขาขัดประโยชน์มหาศาลที่อเมริกาจ้องจะกอบโกย ผู้นำคนใหม่ของ PLO คือนายมะห์มูด อับบาส

ปี ค.ศ. 2005 อิสราเอลยอมถอนกำลังออกจากฉนวนกาซ่า หลังจากครอบครองอย่างไม่เป็นธรรมมานานถึง 38 ปี เปิดทางให้ปาเลสไตน์จัดการเลือกตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2006 อิสราเอลและอเมริกา เอาใจช่วยให้พรรคฟาตาห์ ของนายอับบาส ขึ้นครองอำนาจเบ็ดเสร็จให้จงได้

แต่แล้วความฝันของอิสราเอลและอเมริกาก็ดับวูบลง เมื่อผลการเลือกตั้งปรากฏว่าพรรคฮามาส กลับได้ครองเสียงข้างมาก ผิดจากการคาดเดาของหลายๆ ฝ่าย แต่พรรคฮามาสก็ยังไม่สามารถจังตั้งรัฐบาลในระบบพรรคเดียวได้ ต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นมา

พรรคฮามาส เป็นพรรคการเมืองสำคัญพรรคหนึ่งของปาเลสไตน์ มีแนวคิดที่ค่อนข้างรุนแรง มีกองกำลังเป็นของตนเอง คือ กลุ่มติดอาวุธฮามาส กลุ่มนี้มีบทบาทมากขึ้น ภายหลังที่ชาวปาเลสไตน์เริ่มเบื่อหน่ายกับกลุ่ม PLO การสูญเสียผู้นำอย่างนายอาราฟัต ทำให้กลุ่มฮามาสก้าวเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณฉนวนกาซ่า

ในที่สุด กลุ่มฮามาสก็ทำการยึดดินแดนเขตฉนวนกาซ่าไว้ในครอบครอง และเตรียมที่จะจัดตั้งรัฐฮามาสขึ้นเป็นรับอิสระด้วย ขณะที่ฉนวนกาซ่าตกเป็นของกลุ่มฮามาส ทางฝั่งเวสต์แบงค์ก็ตกเป็นของกลุ่มฟาตาห์ของนายอับบาส กลายเป็นว่าชาวปาเลสไตน์ กำลังแย่งชิงความเป็นใหญ่ในดินแดนของตนเอง

ฉนวนกาซา ดินแดนของปาเลสไตน์ เป็นหนึ่งในดินแดนที่อียิปต์เสียให้อิสราเอล มีอาณาบริเวณแคบๆ แค่ขนาด 360 ตร.กม. เท่านั้น ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีอาณาเขตทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นความยาวประมาณ 11 กิโลเมตรติดกับประเทศอียิปต์ ทางเหนือและตะวันออกติดกับประเทศอิสราเอล เป็นระยะทางราว 51 กิโลเมตร ทางตะวันตกติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นระยะทางชายฝั่งประมาณ 41 กิโลเมตร

มีเมืองกาซาเป็นเมืองหลักในอาณาเขตนี้ มีประชากรชาวปาเลสไตน์ อาศัยอยู่ประมาณ 1.7 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพลี้ภัย ส่วนใหญ่จะเกิดในพื้นที่ฉนวนกาซา และอีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ซึ่งอพยพมาในปี ค.ศ. 1948 ซึ่งเป็นผลหลังจากสงครามอาหรับ-อิสราเอล

ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม นิกายซุนนีย์ มีอัตราการเติบโตของประชากรราวร้อยละ 3.2 ต่อปี หรือคิดเป็นอันดับที่ 7 ของประเทศที่มีอัตราการเติบโตประชากรสูงที่สุดในโลกแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก (ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมด) และไม่นานนี้ได้มีการขุดพบก๊าซธรรมชาติด้วย

ท้ายที่สุดเมื่อกลุ่มฮามาสสามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้ ก็เท่ากับปาเลสไตน์ตกเป็นของกลุ่มฮามาสไปโดยปริยาย แม้ว่านายอับบาสยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ก็ตาม การขึ้นครองอำนาจของกลุ่มฮามาส ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของอิสราเอลและอเมริกา และ รวมไปถึงประเทศต่างๆ ใน EU ที่ไม่ยอมรับกลุ่มหัวรุนแรงนี้

เมื่อกลุ่มฮามาสขึ้นมาครองอำนาจ อเมริกา จึงประกาศสั่งระงับการช่วยเหลือเงินจำนวนกว่า 600 ล้านเหรียญ ที่เคยสัญญาว่าจะมอบให้กับปาเลสไตน์ทันที ทางฝั่งนายอับบาส ซึ่งยึดดินแดนเขตเวสต์แบงค์ไว้ เห็นช่องทางเหมาะ จึงประกาศจัดตั้งรัฐบาลขึ้นแข่งกับกลุ่มฮามาสทันที

กลายเป็นว่าปาเลสไตน์ มีการแบ่งแยกออกเป็นสองพวก ซึ่งบรรดาประเทศต่างๆ ที่มีอเมริกาเป็นหัวโจก ล้วนแต่มีทีท่าสนับสนุนรัฐบาล ของนายอับบาส มากกว่ารัฐบาลของกลุ่มฮามาส และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อมีการปะทะกันระหว่างกองกำลังของกลุ่มฮามาสกับกองกำลังของอิสราเอล บริเวณฉนวนกาซ่า ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ระบุว่าเป็นการป้องกันตัว เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามเปิดฉากโจมตีก่อน

การรบพุ่งกันก็เกิดขึ้นจนได้ ฝ่ายอิสราเอลที่ไม่ค่อยพอใจกลุ่มฮามาสเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงฉวยโอกาส ใช้เป็นเหตุผลเข้าโจมตีฉนวนกาซ่าอย่างเต็มรูปแบบ แถมยังประกาศอีกว่าการรบจะยุติลงก็ต่อเมื่อสามารถ ล้มล้างกลุ่มฮามาสให้สิ้นซากไปได้เท่านั้น เพราะมีแบ็คอัพชั้นดีคืออเมริกาคอยหนุนหลัง และประเทศใน EU

การจู่โจมปาเลสไตน์ครั้งนี้ของยิว ก็สร้างความไม่พอใจให้กับพี่น้องมุสลิมทั่วโลก เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ในฉนวนกาซ่า ล้วนแต่เป็นชาวมุสลิมแทบทั้งสิ้น มีการประท้วงของชาวมุสลิมต่อการกระทำของอิสราเอล แม้แต่ในเขตเวสต์แบงค์เองที่เป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มฮามาสก็ยังออกมาประณามการโจมตีของอิสราเอลเช่นกัน

ที่อเมริกาและประเทศใน EU ต่างเห็นดีเห็นงามที่จะกำจัด กลุ่มฮามาส ก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มก่อการร้ายอัล กออิดะห์ และหากพวกเขาสามารถผลักดันให้กลุ่มฟาตาห์ของปาเลสไตน์ กลับมาครอบอำนาจเช่นเดิม ก็จะสามารถต่อรองผลประโยชน์ได้ง่ายกว่านั่นเอง

เฮนรี คิสซินเจอร์ อดีต ที่ปรึกษาความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา (NSA) ปี พ.ศ. 2516 ที่กล่าวว่า…“ผู้ควบคุมการผลิตอาหารก็ควบคุมประชาชนได้..ผู้ควบคุมพลังงานก็สามารถควบคุมทวีปต่างๆได้ทั้งหมด..ผู้ควบคุมกระแสเงินตราได้สามารถควบคุมโลกได้”

แนวคิดการบริหารการจัดการและควบคุมโลก เพื่อความมั่นคงของอเมริกา จึงกระทำโดย “ผู้นำกลุ่มทุน” ซึ่งเป็นเหล่านายธนาคารในกลุ่มไซออนนิสม์ ชาวยิวมีการผนึกกำลังทางการเมืองเข้มแข็งกว่าฝ่ายอาหรับ ฐานะทางการเงินก็ดีกว่า เพราะได้รับการสนับสนุนจากชนชาติยิวจากแหล่งต่าง ๆ และจากอเมริกาด้วย ด้านการทหารก็เหนือกว่า และมีอาวุธที่ดีกว่าด้วย

แผ่นดินแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า ยังคงคุกรุ่นไปด้วยความเกลียดชังและความขัดแย้ง ด้วยเหตุข้างต้นนี้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างชาวอาหรับ กับ ชาวยิว และมันก็จะคงอยู่ต่อไป

จะได้เห็นว่าสงครามรอบใหม่นี้ กลุ่มไซออนนิสม์ ที่ปกครองของยิว คือ สาเหตุแห่งความขัดแย้ง และการแตกความสามัคคีของปาเลสไตน์เอง ก็เป็นจุดอ่อนให้อเมริกา และยิว แทรกแซง แม้แต่ผู้นำของตนเองยังไม่มีโอกาสเลือกได้เองอย่างแท้จริง

คนไทยควรได้ศึกษาการแตกความสมัคคีของปาเลสไตน์ เป็นตัวอย่าง เพราะอเมริกา จะเข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในประเทศเราทันที และอเมริกาไม่ได้เลือกเข้าข้างประชาธิปไตย แบบเลือกตั้ง อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เขาเลือกข้างฝ่ายที่อวยประโยชน์ทรัพยากร ให้กับประเทศของเขามากที่สุด..โดยเขาไม่เคยจริงใจกับประเทศใด !!

ปัจจุบันในอเมริกา มีประชากร 318 ล้านคน คนจนในประเทศมีถืง 55 ล้านคน (17%) , มีผู้ติดยา 22 ล้านคน ( 7% ) โดยนำเข้าทางเรือจากเมกซิโกแทบทั้งหมด มีกองทัพ กองกำลังของตนเอง , ตนอเมริกันมีอาวุธปืนถืง 310 ล้านกระบอก คนอเมริกัน 47% มีปืนยิงกันทุกวัน มีผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศกว่า 2 ล้านคน

มีแก๊งค์อาชญากรรมติดอาวุธ ถืง 33,000 แก๊ง กำลังพล ราว 1.5 -2.0 ล้านคน พกปืนเดินกันว่อน กระจายอยู่ในรัฐต่างๆ แทบทั่วทุกรัฐ ที่พร้อมจะยิงทุกคนที่เดินผ่านย่านอิทธิพล ที่แม้แต่ตำรวจยังไม่กล้าแหยม..แก๊งพวกนี้ ค้ายา ค้าปืนสั้น ปืนกล ปืนไรเฟิล ปืนยิงช้าง เครื่องยิงลูกระเบิด อาวุธต่อสู้รถถัง

มีการค้ามนุษย์อย่างโจ่งครึ่ม ข่มขืน ปล้น ข่มขู่ ชิงทรัพย์ ฆ่าคน ล้วงกระเป๋า , ในทุกๆ วัน มีการใช้ปืนก่ออาชญากรรม 3,000 ครั้ง คนมะกัน 80 คนถูกฆ่า บาดเจ็บอีก 300 คน บางส่วนก็เป็นแก๊งค์ในสังกัดพรรคการเมือง ลูกสมุนวุฒิสมาชิก เป็นผู้มีอิทธิพล ข่มขู่คนมะกันไปลงคะแนนเสียง คุมการขนส่ง การก่อสร้าง

อเมริกา เจอทั้งศึกใน และศึกนอกบ้างแล้ว..ไอ้มาม่า ควรติดต่อกลุ่มติดอาวุธแดง นปช.ที่ทูตพริตตี้ บอกว่าเป็นเพื่อนสนิท ให้ส่งกองกำลังติดอาวุธหนัก RPG , M79 , M16 , ระเบิด RGD-5 ไปช่วยพี่ใหญ่ต่อการกับสารพัดแก๊งค์ในอเมริกาด่วน..

อพยพแดง นปช.ช่วยราชการในดินแดนมะกันสัก 3 ปี น่าจะเห็นเนื้อเห็นน้ำ..เผาไปเลยครับพี่น้อง !!

@ เสธ น้ำเงิน4

https://www.facebook.com/topsecretthai