PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ทดสอบ “ประยุทธ์” เผชิญการเมืองป่วนเศรษฐกิจซ้ำ : ตั้งรับมรสุม คุมคอร์รัปชัน

18ส.ค.62


“สึนามิ” เศรษฐกิจจ่อพัดถล่มทั่วโลก

ตามสัญญาณร้าย “ดาวโจนส์” ร่วงกว่า 800 จุด ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทสหรัฐอเมริกาเผชิญภาวะช็อกตลาดตราสารเจอภาวะถดถอย ขณะที่ดัชนีเศรษฐกิจสิงคโปร์ที่ว่ากันว่าหรูสุดในเอเชียก็อ่วมหนัก จีดีพีไตรมาส 2 หดตัวจากไตรมาส 1 จากร้อยละ 1.2 เป็น-3.3 หรือกว่า 4 เปอร์เซ็นต์

นั่นก็ไม่ต้องพูดถึงตลาดหุ้นไทยที่นักวิเคราะห์คาดการณ์จะหลุดแนวรับ 1,600 จุด

ดัชนีความเชื่อมั่นลดฮวบฮาบทุกด้าน ทั้งหอการค้า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ความเชื่อมั่น ด้านอุตสาหกรรม ความเชื่อมั่นของนักลงทุน

โดนแรงกระแทก กระเด็นกระดอนตามๆกัน

ผลจากสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่แปรสภาพเป็น “สงครามการค้า” ระหว่างมหาอำนาจสหรัฐอเมริกากับพญามังกรจีนแผ่นดินใหญ่ เปิดแนวรบด้านเศรษฐกิจถล่มกันอย่างหนัก

ส่อเค้างัดอาวุธหนักซัดกันด้วยสงครามค่าเงิน

เศรษฐกิจกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ “เผาจริง” ไม่ใช่ “เผาหลอก”

อันตราย “เหวนรก” รออยู่ข้างหน้า แต่กระแสการเมืองไทยยังวนไปวนมาอยู่กับปม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม นำคณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ

เรือเหล็ก “ประยุทธ์ ภาค 2” กระแทก “หินโสโครก” ยังไม่ทันตั้งลำ

ตามเหลี่ยมที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดยพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ แห่กระแสไล่ต้อนไล่ล่า เดินหน้าตั้งกระทู้สดกดดันเค้นคอให้ พล.อ.ประยุทธ์ตอบในสภา

ตั้งแท่นจัดเวทีด่า ลากไปเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ

ประทับ “ตำหนิ” ให้เป็น “ตราบาป” ของทีม “ประยุทธ์ ภาค 2”

ในจังหวะที่ “บิ๊กตู่” ต้องอาศัยลีลา “เด้งเชือก” ออกตัวกรณีที่ไม่ไปตอบพรรคฝ่ายค้านตั้งกระทู้ถามสดเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ

“การไม่ไปตอบกระทู้ไม่ใช่ไม่ให้เกียรติ แต่เรื่องเข้ากระบวนการแล้ว ขณะเรื่องอยู่ที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งมีขั้นตอนและกระบวนการตามกฎหมายที่รัฐบาลต้องปฏิบัติต่อไป”

สรุปคือ รอคำตอบจากองค์กรอิสระก่อน

และตามกระบวนการขั้นตอน แนวโน้มสูงที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

ซึ่งนั่นจะถือเป็นไกด์ไลน์ เข็มทิศชี้ “ทางออก” ให้ “บิ๊กตู่” และรัฐบาลทำตามกระบวนการกฎหมาย อาจจะเดินหน้าบริหารต่อไป หรือนำ ครม.ถวายสัตย์ฯ ใหม่

ที่แน่ๆ “บิ๊กตู่” ไม่ถือวิสาสะ คิดเองเออเอง ไม่เสี่ยงกับปมปัญหาอ่อนไหว ตามเงื่อนไขสถานการณ์ลึกซึ้งเกินกว่าการที่นายกรัฐมนตรีแอ่นอกประกาศ “ขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”

ขณะเดียวกัน ก็ต้องฝ่าวงล้อมเกมฝ่ายค้านต้อนเข้ามุมอับในสภา

ในสถานการณ์ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านยกระดับเกมเขี้ยว แท็กทีมกันต้อนหน้าต้อนหลังผู้นำอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งยั่ว ยุ แหย่ ทดสอบจุดเดือดผู้นำ

โดยวิถีความชอบธรรมตามระบอบรัฐสภา

ลำพังการปะทะกับฝ่ายค้านและแนวต้านฝั่งตรงข้ามก็แทบไม่มีเวลาหายใจ ไม่วายทีม “นายกฯลุงตู่” ยังต้องมาเจอกับแรงกระเพื่อมภายในจากฝ่ายเดียวกัน

ตามธรรมชาติรัฐบาลผสมร้อยพ่อพันแม่เกือบ 20 พรรค

กับอาการยึกๆยักๆของพรรคเล็ก 1 ที่นั่ง 4-5 พรรค ที่มีหัวโจกอย่างนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ อาศัยจังหวะที่นายกฯกำลังเป๋จากปมถวายสัตย์ฯ

เปิดเกมอาละวาดทวง “ค่าหนุน” รัฐบาล

อ้างทีมงานพลังประชารัฐไม่เห็นหัวพรรคเล็ก ไม่เห็นความสำคัญของพวก “ต่ำเอี่ยว”

ไม่ให้เกียรติร่วมแจมโควตา ครม. ไม่ทำตามคำขอมีส่วนร่วมแจมเกมอำนาจที่ยื่นไป

และสุดท้ายก็เป็นนายมงคลกิตติ์ที่จัดฉากแถลงข่าวใหญ่โต ถอนตัว “1 เสียง” ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ประกาศขอเป็นฝ่ายค้านอิสระยืนข้างประชาชน

ไม่สนเข้าสภามาได้เพราะสูตรปาร์ตี้ลิสต์พิสดาร

อาการแบบที่สังคมทั่วไปยังหมั่นไส้ กระแสกองเชียร์ “นายกฯลุงตู่” ยุให้เลิกคบตัวป่วนพาซวย “ตัดหางปล่อยวัด” หรือยุบสภาให้พวก “ต่ำเอี่ยว” หมดโอกาสซ่าไปเลย

อย่างไรก็ดี มันก็แค่รายของนายมงคลกิตติ์เสียงเดียวที่หายไป ตามฟอร์มที่เดาทางได้พรรค “ต่ำเอี่ยว” ที่เหลือทั้งหมดยังเลือกเกาะอยู่กับเอวของ “นายกฯลุงตู่”

และก็ได้รับการดูแล แชร์เก้าอี้ “เทกระโถน” ให้ตามสัดส่วน

โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนัดล่าสุด ได้มีมติแต่งตั้งข้าราชการการเมือง เลขานุการรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี ส่วนหนึ่งเป็นการจัดโควตาให้พรรคเล็ก

มีเอี่ยวในการแจมอำนาจบริหารและผลประโยชน์

นั่นก็ทำให้สถานการณ์ป่วนของขบวนการ “ต่ำเอี่ยว” เงียบไป แต่โดยเงื่อนไขสถานการณ์ที่ต่อเนื่องกัน มันก็ยังโยงไปถึงเกมสับเปลี่ยนอำนาจภายในพรรคพลังประชารัฐ กับปฏิบัติการของ “ขาใหญ่” ที่ใช้จังหวะการกระเพื่อมของพรรคเล็ก

อ้างเป็นการยกระดับการกระชับพื้นที่คุมเสถียรภาพรัฐบาล

ถึงคิวเปิดทางส่งเสลี่ยงหาม “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เข้ารับตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐอย่างเป็นทางการ

“พี่ใหญ่” ถอดยูนิฟอร์มทหาร สวมสูทนักการเมืองเต็มตัว

ท่ามกลางเสียงสะท้อน 2 ด้านจากน้องๆ ทางหนึ่งก็เป็นห่วงสุขภาพ พล.อ.ประวิตร มาเจอเกมเครียดๆของนักการเมืองอาชีพที่แสบกว่าทหารหลายเท่า จะเอาอยู่หรือไม่ แต่อีกทางก็เป็นเสียงยุของน้องๆสายที่จ้องโหนอำนาจ “พี่ป้อม” เป็นร่มไทรให้เกาะเกมอำนาจ

ไฟต์บังคับตามยุทธศาสตร์ “ปรับหางเสือ” ยึดพื้นที่การเมืองในพรรคพลังประชารัฐ ทดแทนพื้นที่อำนาจความมั่นคงที่ “บิ๊กตู่” ดึงเอาไปบัญชาการเอง

แน่นอน เบื้องต้นเสียง ส.ส.พลังประชารัฐขานรับเซ็งแซ่

รุมแห่ “พี่ใหญ่” มาคุมเกมในพรรค ตามสถานะคนคุมหัวจ่าย “ปั๊มสามทหาร” งานนี้ถือว่า ปัญหาการจับปูใส่กระด้งในพรรคพลังประชารัฐน่าจะสงบลงระดับหนึ่ง

เว้นแต่พวกขาใหญ่ที่จ้องอาศัยทางลัด ไม่มี ส.ส.ในมือ แต่แสดงตัวเป็นสายตรงพี่ใหญ่ เบียดแซงหัวหน้ากลุ่มก๊วนอื่นขึ้นแถวหน้าโดยอัตโนมัติ

ถึงจุดหนึ่งคงได้ฟัดกันวงแตก

ตามรูปการณ์ วิกฤติขัดแย้งทางการเมืองป่วน “ประยุทธ์ ภาค 2” ในทุกมิติ ทั้งเกมปะทะกับฝ่ายค้านในสภา ปัญหาแรงกระเพื่อมในรัฐบาลผสมร้อยพ่อพันแม่ แม้แต่รอยปริแยกภายในค่ายพลังประชารัฐ

เรียกว่าดีกรีบู๊ๆ ฟัดกันตลอดแบบรายวัน

บรรยากาศ “ปรองดอง” ถูกกลบหายไปในดงฝุ่นตลบอบอวล

โดยอาการที่นักการเมืองยังก้มหน้าก้มตาแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์กันอย่างเมามัน

อันตราย เสี่ยงตายหมู่กันทั้งประเทศ

เพราะอย่างที่เห็น “สึนามิเศรษฐกิจ” เป็นเหวนรกอยู่เบื้องหน้า สัญญาณแบบที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ป่าวประกาศให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเตรียมตัวตั้งรับแรงกระแทก

“เผาจริง” ไม่ใช่ “เผาหลอก”

สอดรับกับข่าวร้ายๆ หุ้นดาวโจนส์สหรัฐฯ ดิ่งเหว เศรษฐกิจสิงคโปร์ที่ว่าแข็งแกร่งยังติดลบวูบ ตลาดหุ้นไทยแดงเถือกแนวโน้มหลุดมาอยู่ที่ 1,600 จุด

ถึงจุดที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเรียกนายสมคิด กับนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจหารือด่วนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.7 แสนล้าน ที่ดันเข้า ครม.เศรษฐกิจ

เร่งอัดฉีดในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ กระตุ้นชีพจรเศรษฐกิจปลายปี

แต่นั่นก็ต้องระวังให้ดี ด้วยอาการเร่งรีบอัดฉีดรับมือสึนามิเศรษฐกิจ ไม่ทันระวังเสือหิว เสือโหย ตามรายการที่แต่ละกระทรวงเปิดโพย โชว์รายการใช้งบประมาณ

โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจ พาณิชย์ เกษตรฯ คมนาคม ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับปากท้องชาวบ้าน การช่วยเหลือสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ รวมถึงการเร่งอัดเม็ดเงินลงทุนเมกะโปรเจกต์

ถ้าปล่อยให้เกิดการ “ทุจริต” งบกระตุ้นเศรษฐกิจ โดนสังคมจับได้ไล่ทัน

“เรือเหล็ก” ที่เต็มไปด้วยสนิมเนื้อใน มันจะไม่ใช่เผชิญแค่มรสุมสึนามิเศรษฐกิจ

แต่จะโดน “ตอร์ปิโด” คอร์รัปชันถล่มล่มทันที.

“ทีมการเมือง”


ชนวนเสี่ยงพันรอบตัว

17ส.ค.62


พลาดท่าเสียรังวัดซ้ำซาก

ตามปรากฏการณ์แพ้โหวตของฝั่งรัฐบาลต่อฝ่ายค้าน 2 สัปดาห์ติดๆ ระหว่างการพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร

ภาวะเสียงปริ่มน้ำเริ่มส่งผล ฝ่ายรัฐบาลคอนโทรลเสียงกันไม่อยู่ มีทั้งการโหวตสวนให้อีกฝ่าย และการไม่อยู่ในห้องประชุมระหว่างการลงมติ

ต้องแก้ตัว โบ้ยเป็นเรื่องความผิดพลาดของระบบกระจายเสียงภายในห้องประชุมสภาฯที่ได้ยินไม่ทั่วถึงบริเวณรอบนอกห้องประชุม ทำให้ ส.ส.กลับไปลงมติไม่ทัน

ถึงขั้นประชดประชัน จะนำวิทยุทรานซิสเตอร์ไปติดตั้งบริเวณรอบนอกห้องประชุมให้ ส.ส.ทราบความเคลื่อนไหวในห้องประชุมจะได้กลับมาลงมติได้ทัน

โยนเป็นเรื่องความไม่พร้อมของอุปกรณ์และสถานที่ เป็นต้นเหตุให้รัฐบาลเสียหน้า

ทีมงาน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แก้เกมเสียงปริ่มน้ำไม่ตก คุมเสียงฝ่ายรัฐบาลไปในทิศทางเดียวกันไม่ได้

ในภาวะที่พรรคเล็กพรรคน้อยพากันเล่นบทเฮี้ยว ขู่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล หากไม่สมประโยชน์ทางการเมืองตามที่ต้องการ

พากันรุมทึ้งต่อรองตำแหน่งกรรมาธิการและเก้าอี้เล็กเก้าอี้น้อย ส่อเค้าเกิดแรงกระเพื่อมรอบใหม่ ตามฉากที่แกนนำพลังประชารัฐต้องไปเจรจาทำสัญญาใจกับ 9 พรรคเล็กจนลงตัว

แต่ก็ยังมีพรรคใหม่งอแงต่อเนื่อง อย่างที่เห็นอาการยึกยักของ นายดำรงค์ พิเดช หัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย ขู่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล หากรัฐบาลยังเดินหน้านโยบายโฉนดทองคำ

พรรคเล็กออกลายโก่งราคา ไม่เกรงใจ “ลุงตู่” กันแล้ว

นั่นก็เป็นไปตามธรรมชาติของรัฐบาลผสม 19 พรรคที่มาจากร้อยพ่อพันแม่ ปรับจูนยังไงก็ลงตัวกันลำบาก โดยเฉพาะในห้วงที่เสียงพรรคเล็กมีราคาค่างวด สำคัญยิ่งยวดต่อสถานะความอยู่รอดรัฐบาล

ขณะที่พรรคใหญ่ก็มีขาใหญ่หลายเจ้า ต้องคอยประสานผลประโยชน์แต่ละกลุ่มก๊วนให้ลงตัว

“บิ๊กตู่” ต้องรับบทหนัก เป็นฤาษีเลี้ยงลิงที่กำราบยังไงก็ยังไม่เชื่อง

นั่นก็เป็นที่มาของการใช้ตัวช่วยวีไอพีอย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ต้องมานั่งแท่นประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ

ติดแบรนด์ค่ายการเมืองเต็มตัว จัดระเบียบคนในพรรคไม่ให้แตกแถว และยังมีอำนาจเต็มไม้เต็มมือไปต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ไม่ต้องงุบงิบไปเจรจาในฐานะคนนอก

ถึงเวลา “พี่ใหญ่” ออกศึก เตรียมบัญชาการคุมงานใหญ่ทั้งการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 การอภิปรายไม่วางใจนายกรัฐมนตรี ที่มีความอยู่รอดของรัฐบาลเป็นเดิมพัน

รวมถึงศึกเฉพาะหน้าในคิวที่ 214 ส.ส.ฝ่ายค้านยื่นเรื่องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152

เน้นขยี้ปมการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ

ชนวนเสี่ยงอายุขัยรัฐบาลรายล้อมอยู่รอบตัว ต้องตั้งท่ารับศึกการเมืองกันเต็มที่

ควบคู่ไปกับวาระเร่งด่วน การไขลานเศรษฐกิจไทย ตามคิวที่ “บิ๊กตู่” นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจนัดแรก

กำชับทีมเศรษฐกิจหาหนทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ภายใต้สงครามการค้าระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่ “สหรัฐอเมริกา-จีน” ที่กำลังก่อตัวเป็นสึนามิเศรษฐกิจ สะเทือนไปทั่วโลก

เลี่ยงไม่ได้ที่ประเทศไทยเจอหางเลข อย่างที่เห็นตัวเลขการส่งออกลดลงต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นนักลงทุนหดหาย ต้องเกาะติดสถานการณ์กันไม่คลาดสายตา

ในภาวะที่รัฐบาลเตรียมชง ครม.สัปดาห์หน้า อัดฉีดงบ 3 แสนล้านบาท ฟื้นเศรษฐกิจช่วงที่เหลือของปี

จัดแคมเปญการแจกเงินเที่ยวเมืองรองคนละ 1,000 บาท การเพิ่มเงินผู้ถือบัตรสวัสดิการรัฐคนละ 500 บาท การจ่ายเงินคนชราที่ถือบัตรคนจนอีกเดือนละ 500 บาท การจ่ายเงินช่วยเลี้ยงลูกแก่ผู้ถือบัตรโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯอีกเดือนละ 300 บาท

เหยียบคันเร่งมาตรการเร่งด่วน เพื่อมุ่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ และกระจายเม็ดเงินไปยังคนกลุ่มต่างๆให้ทั่วถึง

“ลุงตู่” จัดกระบวนทัพเต็มสูบ หวังถอดชนวนการเมืองและเศรษฐกิจให้ลุล่วง

หากปลดล็อกไม่ทัน เศรษฐกิจยิ่งทรุด แถมเสียงยังแกว่งมีหวังพังลูกเดียว.

ทีมข่าวการเมือง

ชลน่านตอกวิษณุแจงได้แต่คงไม่เหมาะสม

เพื่อชาติ" อัดจับแพะชนแกะ ศุภชัยแบะท่าส่อไม่ทันส.ค. แนะนายกฯควรมาตอบเอง วิปรบ.ผวา-ถกตั้งองครักษ์

ฝ่ายค้านรุมตอก “เนติบริกร” “ชลน่าน” ชี้ไม่เหมาะสมให้คนอื่นแจงแทน เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว “บิ๊กตู่” โฆษก พท.เชื่อถูกเพื่อนลอยแพเผชิญชะตากรรมลำพัง เพื่อชาติฉะ “วิษณุ” มั่วจับแพะชนแกะ เอาข้อมูลหมิ่นประมาทมาพาดพิง “ปู” วิปรัฐบาลผวาถกตั้งทีมองครักษ์ “ลุงตู่” “ศุภชัย” แบะท่าอาจบรรจุญัตติเข้าไม่ทัน ส.ค. แต่แนะนายกฯควรมาตอบคำถามเอง พปชร.ฟุ้งเลือกตั้งครั้งหน้าจะเอาให้ได้ ส.ส. 150 เขต ปชป.ไม่ยอมน้อยหน้า “อลงกรณ์” ฝันหวานตั้งเป้า ส.ส. 155 เขต “เฉลิมชัย” ขอร้องทุกคนสร้างเอกภาพในพรรค “จุติ” ยอมรับ “ดิสรัปชัน” ทำ ปชป.พ่ายเละ

หลังจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พยายามหาช่องทางรับศึกอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ทำให้แกนนำพรรคเพื่อไทยต้องออกมาดักคอว่า แม้ไม่มีข้อห้ามให้คนอื่นชี้แจงแทน แต่เป็นการไม่เหมาะสมเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว


พท.เชื่อ “บิ๊กตู่” ถูกเพื่อนลอยแพ

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามถ้อยความในรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ว่า ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ พรรคพลังประชารัฐ รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาล ยังไม่มีเอกภาพว่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไร การให้ความเห็นของแต่ละคนไปคนละทิศละทาง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้ช่องให้คนอื่นมาชี้แจงแทนได้ ขณะที่คนในพลังประชารัฐมั่นใจว่านายกฯจะชี้แจงด้วยตัวเอง ยิ่งพรรคร่วมรัฐบาลไม่ต้องพูดถึง มีโอกาสลอยแพ พล.อ.ประยุทธ์เผชิญชะตากรรมเพียงลำพังสูงมาก เพราะข้อเท็จจริงเรื่องนี้แม้อยากจะช่วยก็ช่วยยาก ทำได้เต็มที่เพียงแค่การตั้งองครักษ์ประท้วงระหว่างการอภิปราย

ยันไม่มีเจตนาร้ายแอบแฝง

นายอนุสรณ์กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เกมการเมืองโค่นล้มรัฐบาล แต่เป็นการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านตามรัฐธรรมนูญ ยิ่งฝ่ายค้านตรวจสอบเข้มข้นประชาชนยิ่งได้ประโยชน์ การพยายามเบี่ยงเบนว่าฝ่ายค้านควรเอาเวลาไปเสนอแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ประชาชนนั้น ที่ผ่านมาฝ่ายค้านสะท้อนปัญหามาต่อเนื่อง ทั้งเรื่องภัยแล้ง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ปัญหาค่าครองชีพ รัฐบาลรู้อยู่แก่ใจดี การเสนอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ เพื่อให้รัฐบาลรีบกลับไปแก้ไขปัญหา เป็นเจตนาดีไม่มีเจตนาร้ายแอบแฝง หากปล่อยให้รัฐบาลทำงานต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่กลับไปแก้ไขให้ถูกต้อง หากในอนาคตเกิดปัญหา การทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมาอาจเป็นโมฆะ ประเทศ และประชาชนจะเสียโอกาส

ไม่เหมาะสมให้คนอื่นแจงแทน

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่านายกฯสามารถให้รัฐมนตรีคนอื่นช่วยชี้แจงแทนได้นั้น การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 กำหนดให้ยื่นอภิปรายทั่วไปต่อ ครม. ไม่ใช่ยื่นตัวบุคคล ดังนั้นหาก พล.อ.ประยุทธ์จะพูดชี้แจงเพียงเล็กน้อย แล้วให้คนอื่นช่วยชี้แจงแทนเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณ สามารถทำได้ตามตัวบทกฎหมาย แต่จะเหมาะสมหรือไม่ ถือเป็นอีกเรื่อง เพราะเป็นเรื่องความรับผิดชอบของตัวเอง กระทำเองแต่ให้คนอื่นพูดแทนคงไม่เหมาะสม เท่าที่ดูเชื่อว่านายกฯคงพูดเพียงเล็กน้อยแล้วให้รัฐมนตรีคนอื่นชี้แจงแทน เพราะนายวิษณุหาทางลงให้แล้ว ฝ่ายค้านไม่ติดใจหากจะใช้วิธีนี้ แต่การชี้แจงแทนต้องครอบคลุมเนื้อหา และตอบข้อสงสัยให้สังคมหายคลุมเครือ ส่วนกรณีที่นายวิษณุระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เคยเลี่ยงให้คนอื่นชี้แจงกรณีโรงแรมโฟร์ซีซั่นนั้น กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นการตั้งกระทู้ถาม นายกฯหรือ ครม.จะไม่มาชี้แจงก็ได้ถ้ามีเหตุผล เป็นคนละกรณีกับการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป

ตอก “วิษณุ” มั่วจับแพะชนแกะ

น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า การที่นายวิษณุ เครืองาม จะยกเรื่องใดมาเทียบเคียงต้องนำเรื่องแบบเดียวกันมาเทียบเคียง การอ้างว่าสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯก็ไม่ไปชี้แจงสภาเรื่อง ว.5 โฟร์ซีซั่น จะนำมาเทียบเคียงกับกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ เพราะภูมิหลังของเรื่องแตกต่างกัน กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์เรื่อง ว.5 โฟร์ซีซั่น คือการถูก ส.ส.ประชาธิปัตย์หมิ่นประมาทด้วยข่าวลวง ต่อมาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 3 อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ พอถึงชั้นศาลฎีกา น.ส.ยิ่งลักษณ์ยอมถอนฟ้องเพราะมีเมตตา ไม่ต้องการให้จำเลยมีโทษจำคุกเสียอนาคตทางการเมือง ถือเป็นคนละกรณีกับของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ยอมรับและขอโทษ ครม.แล้วว่าตนเองผิดพลาด ในฐานะผู้นำเมื่อผิดพลาดต้องไปชี้แจงสภาฯ เพื่อให้สภาฯและประชาชนทราบว่าจะแก้ไขเช่นใด

วิปรัฐบาลถกตั้งองครักษ์ “บิ๊กตู่”

ขณะที่นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า วันที่ 19 ส.ค.วิปรัฐบาลจะพูดคุยกันในเบื้องต้นดูว่าจะดำเนินการอย่างไร เช่น ฝ่ายรัฐบาลตอบข้อซักถามได้มากน้อยเพียงใด ยอมรับว่าการเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลลุกขึ้นช่วยอภิปรายไม่ได้ แต่สามารถคัดค้านบางเรื่องได้ ส่วนกรณี ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตข้อบังคับการประชุมสภาฯถึง 2 ครั้งซ้อนนั้น ไม่ควรมองว่าเป็นการหยั่งเสียงของรัฐบาลและฝ่ายค้าน และไม่ ถือว่าเป็นการกดดันฝ่ายรัฐบาล ไม่เหมือนปัญหา เช่น องค์ประชุมไม่ครบที่วิปรัฐบาลต้องเข้าไปดูแล หรือไม่ เหมือนกับการโหวตกฎหมายที่จะเป็นตัวชี้วัดเสียงของรัฐบาลและฝ่ายค้านจริงๆ อย่างไรก็ตามตอนนี้ได้ขอร้อง ส.ส.ทุกคนพยายามอย่าลงพื้นที่ในวันพุธและพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันประชุมสภาฯ ได้รับความร่วมมือดีจาก ส.ส.พลังประชารัฐ ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลได้ทราบถึงปัญหาแล้ว เชื่อว่าจากนี้จะดีขึ้น เพราะช่วงแรกๆเราไม่ได้กวดขันเท่าที่ควร

“ศุภชัย” แบะท่าอาจไม่ทัน ส.ค.

นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบความถูกต้องของญัตติที่ฝ่ายค้านเข้าชื่อกันเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไป โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ว่ารายชื่อของฝ่ายค้านครบถ้วน หรือซ้ำซ้อนกันหรือไม่ วันที่ 19 ส.ค.เจ้าหน้าที่จะประชุมเพื่อวิเคราะห์ญัตติว่าถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากนั้นจะส่งเรื่องให้ตนพิจารณา คาดว่าภายในวันที่ 21 ส.ค.น่าจะรู้ผลว่าจะบรรจุญัตติดังกล่าวเข้าสู่วาระการประชุมได้หรือไม่ แต่จะเปิดอภิปรายได้วันใด ต้องสอบถามความพร้อมจากฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลให้มีความพร้อมตรงกัน ยังตอบไม่ได้ว่าจะมีเปิดอภิปรายทั่วไปได้ภายในเดือน ส.ค.หรือไม่ ต้องดูว่าจะอนุโลมให้ใช้หลักเกณฑ์ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร หรือต้องรอร่างข้อบังคับการประชุมฯฉบับใหม่เสร็จก่อน และช่วงระหว่างวันที่ 25-30 ส.ค.จะมีการประชุมสมัชชารัฐสภาอาเซียน ที่ กทม. ซึ่งประธานสภาฯและประธานวุฒิสภาต้องไปช่วยรับแขกต่างประเทศ และร่วมประชุมด้วย ดังนั้นอาจมีปัญหาขลุกขลัก ต้องหารือกันอีกครั้ง


แนะนายกฯควรมาชี้แจงเอง

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯต้องมาตอบญัตติ ดังกล่าวด้วยตนเองหรือไม่ นายศุภชัยตอบว่า ญัตติดังกล่าวเป็นเรื่องใหม่ตามรัฐธรรมนูญ ขอไปศึกษาก่อนว่านายกฯต้องมาตอบญัตติด้วยตนเองหรือไม่ เพราะไม่ใช่กระทู้ที่ให้ผู้อื่นมาชี้แจงแทนได้ แต่ญัตติดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนให้ความสนใจ นายกฯควรมาตอบกระทู้ด้วยตัวเอง ถือเป็นโอกาสดีได้ชี้แจงให้เกิดความกระจ่าง ไม่คลุมเครืออีก ส่วนจะต้องชี้แจงเพียงคนเดียว หรือให้รัฐมนตรีคนอื่นชี้แจงแทน ต้องดูว่าเรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับใครบ้าง หากเป็นเรื่องของนายกฯโดยตรง ตัวนายกฯก็ต้องชี้แจงเป็นหลัก และควรมาชี้แจงเอง เพราะดูแล้วไม่น่าจะยืดเยื้อ 2-3 วัน วันเดียวน่าจะเสร็จ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของวิปรัฐบาลกับวิปฝ่ายค้านจะไปตกลงเรื่องระยะเวลาการเปิดอภิปราย

เชื่อ “บิ๊กตู่” เอาอยู่ศึกซักฟอก

ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ว่า การยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญของพรรคฝ่ายค้าน เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศว่าไม่ได้กลัวสภาฯ พร้อมจะไปชี้แจงด้วยตัวเอง ตนสนับสนุนแนวความคิดนี้และเห็นด้วยให้ พล.อ.ประยุทธ์ใช้เวทีสภาฯแก้ปัญหาของรัฐบาล วันนี้ท่านมีที่มาจากการโหวตของสมาชิกรัฐสภา ไม่ใช่จากการโหวตของ สนช.หรือ คสช.แต่งตั้ง ฉะนั้นต้องให้เกียรติที่ประชุมสภาฯ ควรมาตอบกระทู้ถามด้วยตนเองทุกครั้ง ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนายทักษิณ หรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯที่มาตอบกระทู้น้อยมาก สนับสนุนและให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะจะได้เผชิญหน้าพูดความจริงกัน ใครพูดเท็จปั้นเรื่อง เชื่อมั่นว่า พล.อ.ประยุทธ์รับมือกับพรรคฝ่ายค้านได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีองครักษ์ หรือตัวช่วยให้เกะกะวุ่นวาย เสียบรรยากาศเป็นที่น่ารำคาญของประชาชน

เตือนอย่าปลุกความขัดแย้ง

นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวว่า เป็นสิทธิฝ่ายค้านดำเนินการได้ รัฐธรรมนูญกำหนดให้ทำได้ปีละครั้ง ถือเป็นครั้งแรกที่ ส.ส.เข้าชื่อ 1 ใน 10 เพื่อยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านรณรงค์นอกสภาให้แก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น อยากให้ทบทวนแนวคิดว่าควรแก้ไขรัฐธรรมนูญเฉพาะประเด็นที่เป็นปัญหา การแก้รัฐธรรมนูญควรเป็นความร่วมมือของ ส.ส.และ ส.ว. โดยไม่แบ่งแยกเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เพื่อให้ได้ฉันทามติจากประชาชน ไม่นำมาเป็นประเด็นการเมือง ที่สุ่มเสี่ยงต่อการมีกลุ่มและขบวนการที่รอจังหวะ พร้อมนำเรื่องนี้ไปขยายผลปลุกระดม ให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองในอนาคต

พปชร.ยกขบวนแห่รับ “พี่ใหญ่”

วันเดียวกัน นายสุชาติ ชมกลิ่น ประธาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า วันที่ 20 ส.ค. แกนนำ พรรคเตรียมต้อนรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่จะเข้าพรรคเป็นครั้งแรกหลังสมัครเป็นสมาชิกพรรค ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคที่จะมาขับเคลื่อนพรรค เพื่อให้รู้ว่าพลังประชารัฐไม่ได้เป็นพรรคเฉพาะกิจ แต่จะเติบโตเป็นสถาบันที่แข็งแกร่งในอนาคต ทุกคนในพรรคต้องเดินตามยุทธศาสตร์พรรค ยุทธศาสตร์ภาค และการปรับโครงสร้างพรรค โดยเฉพาะส่วนของกรรมการบริหารพรรค เป็นเรื่องที่จะพูดคุยกันต่อไป สำหรับยุทธศาสตร์พรรควางไว้แล้วจะเสนอ ส.ส.ของพรรคต้องรักษาแชมป์ให้ได้ 97 เขต ผู้ที่แพ้เลือกตั้งต่ำกว่า 5 พันคะแนนอีกเกือบ 50 เขต พรรคจะเอาชนะให้ได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า นี่คือเป้าหมายเลือกตั้งรอบหน้าจะเอา ส.ส.เขตให้ได้ 150 คน ส่วนนโยบายพรรคที่หาเสียงไว้ หลายคนมองว่าช้ากว่าพรรคร่วมรัฐบาล อยากให้รอดูหลังประชุม ครม.วันที่ 20 ส.ค.ได้เห็นแน่ ทุกอย่างที่ทำไว้ต้องปัง ที่ช้าเพราะอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย


เมาหมัดอัด พท.พาลเอาแต่ใจ

นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตามที่ฝ่ายค้านวิพากษ์วิจารณ์การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 3 แสนล้านบาทของรัฐบาล ที่จะเข้าสู่การประชุม ครม. วันที่ 20 ส.ค. ระบุว่าเม็ดเงินจะไหลเข้าสู่กระเป๋านายทุนนั้น เป็นการมองโลกในแง่ร้ายเกินไป รัฐบาลนี้ไม่ทำเพื่อนายทุนเหมือนรัฐบาลในอดีตแน่ แต่รัฐบาลนี้ตั้งใจช่วยเหลือคนยากจน พี่น้องเกษตรกร แก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศ วันนี้พรรคเพื่อไทยควรเสนอแนะ ไม่ใช่คัดค้านโจมตีอย่างเดียว เหมือนเด็กเอาแต่ใจ อยากได้ของเล่นพอไม่ได้ก็พาลไปทุกเรื่อง


โวบัตรคนจนช่วยพยุงเศรษฐกิจ

อีกเรื่อง นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มั่นใจบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบริโภคที่ช่วยพยุงการขยายตัวของเศรษฐกิจ เพราะผลของการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 109,048 ล้านบาท มีส่วนสำคัญทำให้การบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 3 และ 4 ปี 2561 และไตรมาสที่ 1 ปี 2562 ขยายตัว สะท้อนให้เห็นว่าการบริโภคภาคเอกชนได้อานิสงส์ส่วนหนึ่งจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยให้เศรษฐกิจไม่ทรุดตัวลงมากกว่าที่เป็น ทั้งนี้นายกฯให้ทุกคนช่วยทำความเข้าใจ อยากให้เอาเวลาไปเน้นทำอะไรที่เกิดประโยชน์เพื่อประชาชน คิดแต่เรื่องงานที่เป็นบวก ไม่ค่อยได้มาคุยถึงเรื่องการเมือง

ปชป.ปลุกรวมพลังภาคเหนือ

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ พรรคประชาธิปัตย์จัดสัมมนา “รวมพลังประชาธิปัตย์ ภาคเหนือ” เป็นโอกาสตรงกับวันคล้ายวันเกิดครบ 84 ปี ของนายไพฑูรย์ แก้วทอง อดีตรองหัวหน้าพรรค โดยนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ นำกล่าวอวยพร โดยผู้ร่วมประชุมร่วมร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้กับนายไพฑูรย์ นายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรคภาคเหนือ กล่าวเปิดการสัมมนาว่า การทำพื้นที่ภาคเหนือต่อไปต้องกำหนดเป้าหมายสมาชิก ในอนาคตทุกเขตเลือกตั้งต้องมีตัวแทนประจำจังหวัด แต่ละเขตอย่างน้อยควรมีสมาชิกตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป ส่วนเขตที่มีความพร้อมมี ส.ส.อยู่แล้ว ต้องจัดตั้งสาขาพรรคและต้องมีสมาชิก
ไม่ต่ำกว่า 500 คน

“เฉลิมชัย” ขอให้เป็นเอกภาพ

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่ว่าการเมืองจะเปลี่ยนไปกี่มิติ สิ่งที่ต้องมีนอกจากอุดมการณ์หลักการแล้ว พรรคต้องมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วย ก่อนที่จะไปรบกับใครเราต้องทำให้ตัวเองเข้มแข็ง เพราะถ้าไม่มีพลังก็ไม่มีทางถึงจุดหมายได้ เชื่อว่าทุกคนตั้งใจ มุ่งมั่นในการทำงาน แต่ต้องไม่ลืมกลับมาดูองค์กรของเราด้วย มั่นใจว่าเราจะเอาศรัทธาของประชาธิปัตย์กลับคืนมาได้ เพราะมีคนที่มีความรู้ความสามารถมาก เป็นพรรคเดียวที่เป็นสถาบันทางการเมือง แต่ไม่ใช่เป็นสถาบันแค่ตัวหนังสือ ทุกคนต้องเดินไปในทิศทางเดียวกัน ที่ผ่านมาหลายเรื่องเป็นบทเรียน ผู้บริหารพรรคต้องให้ความสำคัญกับสาขาพรรคซึ่งเป็นรากฐาน นับจากนี้ไปจะกำหนดยุทธศาสตร์แต่ละภาคก่อนนำไปเป็นยุทธศาสตร์รวมของพรรค ต้องทำงานต่อเนื่องเพื่อทวงคืนพื้นที่ประชาธิปัตย์กลับคืนมาในการเลือกตั้งครั้งหน้า

“อลงกรณ์” เพ้อตั้งเป้า ส.ส.155 เขต

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรค และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค กล่าวว่า กลยุทธ์การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค มี 3 กลไก คือ รัฐบาล สภาผู้แทนราษฎร และพรรค เป็นกลไกที่จะเคลื่อนไปด้วยกันเพื่อเป้าหมายให้สำเร็จ การจะทำให้ได้ ส.ส. 20 เขตภาคเหนือ หัวใจคือชัยชนะของประชาชน ต้องเปลี่ยนแนวคิด ต้องเพื่อประชาชนไม่ใช่เพื่อตัวเอง การเปลี่ยนแปลงแนวทางทำงานแนวใหม่สู่โลกออนไลน์ และออฟไลน์ ต้องสร้างนักรบทำงานในพื้นที่เขตละ 5 คน ทำให้เสร็จทั้ง 350 เขตภายใน 4 เดือน ต้องเป็นหนึ่งในใจประชาชนเพื่อการเลือกตั้งที่ยั่งยืน คนที่จะต้องดูแลมากสุดคือเกษตรกร ทั้งชาวประมง ชาวนา ชาวสวนยาง สวนปาล์ม เราตั้งเป้าหมายในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่ 155 เขต คือ ภาคเหนือ 20 เขต ภาค กทม. 30 เขต ภาคอีสาน 25 เขต ภาคกลาง 30 เขต และภาคใต้ 50 เขต รวมถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นต้องลงทุกพื้นที่ ให้พรรคกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม

“จุติ” ชี้ “ดิสรัปชัน” ทำ ปชป.พ่าย

นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาให้จำไว้เป็นบทเรียนเป็นดิสรัปชันทางการเมือง ถ้าจะสู้เลือกตั้งครั้งหน้าเราต้องทิ้งกรอบความคิดเดิมๆ ปัจจุบันเป็นโลกของการสื่อสาร ต้องสู้บนเวทีของการสื่อสาร เพราะคู่ต่อสู้ทำลึกกว่า เร็วกว่า รุนแรงมากกว่า พรรคอนาคตใหม่เตรียมการล่วงหน้าถึง 2 ปีจึงชนะเลือกตั้งในเรื่องเทคโนโลยี ได้ไปคุยกับนักโฆษณา เขาบอกว่าจุดขายพรรคอนาคตใหม่เหมือนพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2538 ที่มีดรีมทีมเศรษฐกิจ มีความใหม่ สด ที่คนในสังคมต้องการ ดังนั้นพรรคต้องมีจุดขายของตัวเอง เพราะคนรุ่นใหม่มีความจำย้อนไปแค่ 5 ปี ดังนั้นการสื่อสารจึงเป็นหัวใจของชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า

เผยร่างหนังสือลาออกไว้รอแล้ว

นายจุติกล่าวต่อว่า กรณีมีการทำตามข้อตกลงกันภายในพรรค ให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ขึ้นเป็นรัฐมนตรี ต้องลาออก เพื่อให้ผู้สมัครในลำดับถัดไปขยับขึ้นมาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อแทนนั้น เรื่องนี้ตนร่างหนังสือเตรียมไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ยื่นกับหัวหน้าพรรคเท่านั้น ขอให้มั่นใจ

พท.ย้ำเจตนารมณ์ “หัวใจคือ ปชช.”

วันเดียวกัน นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดการประชุมเพิ่มประสิทธิภาพสมาชิกแกนนำพรรคเพื่อไทย ในเขต 3 จังหวัด อุบลราชธานี ยโสธร และอำนาจเจริญ นายสมพงษ์กล่าวว่า แกนนำผู้ปฏิบัติงานทุกคนเป็นกำลังสำคัญของพรรค เป็นตัวแทนพรรคเชื่อมประสาน สะท้อนปัญหาและความต้องการของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ พรรคเพื่อไทยยึดมั่นมาเสมอว่าหัวใจการทำงานเราอยู่ที่ประชาชน พรรคใกล้ชิดประชาชนเพราะมีตัวแทนผู้ปฏิบัติงานคอยทำหน้าที่เชื่อมประสานกับประชาชนได้ดี ต่อจากนี้ไปพรรคเพื่อไทยจะปรับขบวนการทำงาน ร่วมทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องประชาชนให้มากขึ้น รวมถึงสนับสนุนและส่งเสริมบทบาทของประชาชนร่วมหาทางออก ตามเจตนารมณ์ “พรรคเพื่อไทยหัวใจคือประชาชน”

ไม่รอ รบ.ไร้น้ำยามาแก้ปัญหา

นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองปัจจุบัน ไม่ได้ทำให้รัฐบาลทำหน้าที่แก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนได้ เพราะจุดหมายหลักของผู้มีอำนาจที่เขียนกฎกติกา ทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะรับมือกับปัญหาที่สั่งสมมามากมายได้ ดังนั้นนักการเมืองของพรรค ผู้ปฏิบัติงานพรรค และแกนนำพรรค ต้องร่วมกันช่วยเหลือประชาชน และร่วมกันแสวงหาช่องทางรับมือกับปัญหา และเผชิญกับวิกฤติที่จะเกิดขึ้น เพราะเราไม่อาจรอให้รัฐบาลที่ไร้ศักยภาพและขาดเสถียรภาพ มาทำหน้าที่แก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนได้

อาจเลือกตั้งซ่อมเขต 5 นครปฐม

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคอนาคตใหม่ว่า นางจุมพิตา จันทรขจร ส.ส.นครปฐม พรรคอนาคตใหม่ ที่อยู่ระหว่างการพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บที่เกิดจากอุบัติเหตุเกี่ยวกับยานพาหนะ ภายหลังการเลือกตั้ง จนทำให้ไม่สามารถเดินทางไปรายงานตัวเป็น ส.ส. ที่รัฐสภา และยังไม่ได้ร่วมประชุมรัฐสภาแม้แต่ครั้งเดียว ล่าสุดมีกระแสข่าวว่าพรรคอนาคตใหม่อยู่ระหว่างการพิจารณาให้นางจุมพิตาลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขต 5 จ.นครปฐม โดยคาดว่าพรรคเตรียมส่งนายไพรัฎฐโชติ จันทรขจร สามีของนางจุมพิตา เป็นผู้สมัครแทน สำหรับการเลือกตั้งที่ผ่านมานางจุมพิตา ชนะเลือกตั้งด้วยคะแนน 34,164 ตามมาด้วยนายสุรชัย อนุดธโต จากพรรคประชาธิปัตย์ได้ 18,970 คะแนน นายระวัง เนตรโพธิ์แก้ว จากพรรคพลังประชารัฐได้ 18,741 คะแนน และนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ จากพรรคชาติไทยพัฒนาได้ 12,279 คะแนน

โพลชี้คนห่วงสุดเหตุระเบิดกรุง

วันเดียวกัน สวนดุสิตโพลเปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน “คิดอย่างไรกับสถานการณ์การเมืองไทย ณ วันนี้” จากกลุ่มตัวอย่าง 1,182 คน ทั่วประเทศ พบว่า 5 อันดับสถานการณ์การเมืองที่ประชาชนเป็นห่วงมากที่สุดคือ 1.ระเบิดใน กทม. 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3.วิวาทะระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน 4.การถวายสัตย์ของนายกรัฐมนตรี และ 5.การแยกตัวของพรรคเล็กบางพรรคจากรัฐบาล ส่วนความเชื่อมั่นในการฝ่าวิกฤติทางการเมืองของรัฐบาล ส่วนใหญ่ร้อยละ 38.70 ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 36.06 ไม่เชื่อมั่น มีร้อยละ 19.27 ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 5.97 เชื่อมั่นมาก และสิ่งที่จะพาให้ผ่านพ้นวิกฤติคือ หยุดการทะเลาะเบาะแว้ง ถอยคนละก้าว รับฟังความเห็นต่างให้มากขึ้น ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต้องเห็นแก่ส่วนรวม

โจมตีเรื่องปมถวายสัตย์ฯไม่บังควร

ขณะที่ซุปเปอร์โพลเปิดผลสำรวจความเห็นเรื่องปมถวายสัตย์ฯจากประชาชน 1,102 ตัวอย่าง พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 75.3 ระบุว่า เป็นการไม่บังควรที่ฝ่ายการเมืองนำปมถวายสัตย์ฯมาโจมตีกันในเวลานี้ ขณะที่ร้อยละ 24.7 ระบุเป็นเรื่องที่นำมาโจมตีกันได้ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ยังเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯที่สร้างผลงาน แก้ปัญหาเดือดร้อนประชาชนที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ และจากคะแนนเต็ม 10 พบว่าคนไทยมีความสุข ที่เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ อยู่ที่ 9.12 คะแนน ขณะที่ ความภูมิใจในความเป็นคนไทย สำนึกรู้คุณแผ่นดินไทยของประชาชน อยู่ที่ 9.78 คะแนน

หนุนตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม

ด้านนิด้าโพลเปิดผลสำรวจความเห็นประชาชนที่ใช้สื่อออนไลน์ เรื่อง “ข่าวปลอม (เฟกนิวส์)” จากประชาชน 1,522 คน พบว่าส่วนใหญ่ไม่เคยหลงเชื่อในข่าวปลอม สำหรับความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าเคยหลงเชื่อและไม่แน่ใจว่าเป็นข่าวปลอม (เฟกนิวส์) ต่อการจัดตั้ง “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม” โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 86.98 ระบุว่าเห็นด้วย จะได้มีการกลั่นกรองข่าวก่อนแพร่หลายไปวงกว้าง มีร้อยละ 8.14 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ระบุว่าไม่มีความกังวลว่าศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมอาจไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

“ประยุทธ์” กราบหลวงพ่อวิริยังค์

ต่อมาช่วงเย็นวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม โพสต์ภาพลงอินสตาแกรม ที่ถ่ายคู่กับนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา ขณะเข้ากราบพระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล พร้อม ระบุข้อความว่า “วันหยุดวันอาทิตย์ผมกับอาจารย์ น้องได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อวิริยังค์เพื่อเป็นสิริมงคลครับ”