PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

โลกก่อหนี้ทุบสถิติ อุ้มศก.เอาใจประชาชน

(Feb 27) โลกก่อหนี้ทุบสถิติ อุ้มศก.เอาใจประชาชน : สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ (เอสแอนด์พี) องค์กรจัดอันดับเรตติ้งชื่อดัง คาดการณ์ว่า รัฐบาลทั่วโลกจะออกพันธบัตรเพิ่มขึ้นอีก 6.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 237 ล้านล้านบาท) ส่งผลให้ปริมาณหนี้พันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกพุ่งขึ้นแตะ 44 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,535 ล้านล้านบาท) ในปีนี้ มากที่สุดทำสถิติใหม่ นำโดยรัฐบาลประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐที่พร้อมจะก่อหนี้ตามแผนของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และญี่ปุ่นที่ประสบกับปัญหาเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน
เอสแอนด์พี ระบุว่า สหรัฐจะกู้ยืมเพิ่มผ่านการออกพันธบัตรในปีนี้อีก 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 76 ล้านล้านบาท) ขณะที่ญี่ปุ่นเตรียมจะออกพันธบัตรเพิ่มอีกมากกว่า 1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 62 ล้านล้านบาท) โดยการออกพันธบัตรใหม่ทั้งสองชาติคิดเป็นสัดส่วน 60% ของแนวโน้มการออกพันธบัตรใหม่ทั้งหมดในปีนี้
การกู้ยืมเพิ่มดังกล่าวมาในยุคที่ประชาชนกังวลเรื่องการขาดดุลงบประมาณกันน้อยลง โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วที่การเติบโตไม่ได้ร้อนแรงเช่นประเทศตลาดเกิดใหม่ และรัฐบาลไม่ต้องการเสี่ยงทำให้ประชาชนไม่พอใจด้วยการรัดเข็มขัดจนเกินไป ท่ามกลางกระแสชาตินิยมที่ร้อนแรง ซึ่งเห็นได้ชัดจากสหรัฐและอังกฤษที่ต่างเจอเหตุการณ์พลิกผันเมื่อปีก่อน
ทรัมป์ให้สัญญาจะกระตุ้นทางคลังด้วยการปรับลดภาษีทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา รวมถึงยังจะใช้จ่าย
ด้านโครงสร้างพื้นฐานอีกมหาศาล โดยองค์กรนอกรัฐที่ติดตามการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในสหรัฐอย่างสภาเพื่อการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมี ความรับผิดชอบ คำนวณว่า นโยบายของทรัมป์จะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อขนาดเศรษฐกิจ (จีดีพี) เพิ่มขึ้น จาก 77% ในปัจจุบัน เป็น 105% ในเวลา 10 ปี
แผนการของทรัมป์ทำให้องค์กร จัดอันดับความน่าเชื่อถือในการ ชำระหนี้รายใหญ่อย่าง ฟิทช์ เรทติ้งส์ ออกมาเตือนว่าอาจมีการ ปรับลดเครดิตของสหรัฐลงในอนาคต แม้ในระยะสั้นจะยังไม่มีผลกระทบ เนื่องจากปัจจุบันค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น ทำให้ง่ายต่อการจ่ายหนี้ รวมถึงสินทรัพย์ของสหรัฐยังมีฐานะเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศด้วย
ทว่า สำหรับด้านอังกฤษแล้ว ภายหลังการทำประชามติออกจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือเบร็กซิต เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2016 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างเดินหน้าลดเครดิตของสหราชอาณาจักร โดยเอสแอนด์พีปรับลดลงมา 2 ระดับ จาก AAA เป็น AA ขณะที่ฟิทช์ลดจาก AA+ เป็น AA กระนั้น เพียงไม่กี่วันถัดมา จอร์จ ออสบอร์น รัฐมนตรีคลัง ในขณะนั้น ได้ยกเลิกแผนการทำให้งบประมาณเกินดุลภายใน ปี 2020 ไป
จากการรวบรวมข้อมูลของนิตยสารอีโคโนมิตส์ ระบุว่า ในปัจจุบันมีเพียง 11 ชาติเท่านั้นที่ได้เรตติ้งสูงสุดระดับ AAA จากฟิทช์ เพียงแค่ 11 ชาติ ลดลงจากปี 2009 ที่อยู่ที่ 16 ชาติ หรือหากคิดเป็นมูลค่า
พันธบัตรรัฐบาลคิดเป็นสัดส่วน 40% ของโลกอยู่ที่ระดับความน่าเชื่อถือสูงสุด ลดลงจาก 48% เมื่อ ทศวรรษก่อน
ความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการคลังเพื่อรองรับกับความต้องการของประชาชนในประเทศ ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้รัฐบาล ยังคงออกหนี้เพิ่มขึ้นในทุกปี โดยการ ที่นักลงทุนและธนาคารกลางยังคงถือครองพันธบัตรในประเทศพัฒนาแล้ว เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลกล้าที่จะก่อหนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีแนวโน้มจะก่อหนี้เป็นอันดับ 2 ของปีนี้ โดยระดับหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นอยู่ที่ 245% ของ จีดีพี และเอสแอนด์พีลดอันดับเครดิตของญี่ปุ่นลงในปี 2015 จาก AA- เป็น A+ หลังนโยบายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ อาจ ไม่ได้ผลต่อเศรษฐกิจ ขณะที่ด้านฟิทช์ออกโรงเตือนญี่ปุ่นเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมาว่า อาจมีการปรับลดอันดับเครดิตด้วยเหตุผลเดียวกัน รวมถึงยังเป็นเพราะญี่ปุ่นเลื่อนแผนขึ้นภาษีขายออกไปอย่างน้อยจนปี 2019
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงลงทุนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอย่าง ต่อเนื่อง และผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นก็นับว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี อยู่ที่ 0.06% ในปัจจุบัน ปรับขึ้นมาจากแดนลบในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ประกาศใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบส่งผลให้นักลงทุนเข้าหาพันธบัตรซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย จนราคาพันธบัตรซึ่งสวนทางกับผลตอบแทนพุ่งสูงขึ้น
นอกเหนือไปจากความเสี่ยงด้านความสามารถชำระหนี้ ซึ่งจะวัดจากอันดับเครดิตแล้ว นักลงทุนจะพิจารณาความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยในตลาด โดยเมื่อใดก็ตามที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ราคาของสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างพันธบัตรมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นตามดอกเบี้ยมีความน่าดึงดูด ในการลงทุนเพิ่มขึ้นนั่นเอง และในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของบีโอเจ อยู่ที่ลบ 0.1%
ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนยังคงให้ความสนใจพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นที่แม้จะเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก คือ อัตราเงินเฟ้อ โดยปัจจุบันญี่ปุ่นยังคงประสบปัญหาอย่างมากในการทำให้อัตราเงินเฟ้อกระเตื้องขึ้นให้ถึงเป้าหมายของบีโอเจที่ 2% จึงไม่มีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดอย่างการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อพันธบัตร
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อยังไป ลดแรงซื้อของนักลงทุนอีกด้วย ยกตัวอย่าง หากลงทุนซื้อพันธบัตรในปัจจุบันด้วยเงิน 100 เยน เมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาเป็น 4% จะทำให้ราคาสิ่งของที่ซื้อมาเพิ่มขึ้นเป็น 104 เยน โดยผลตอบแทนของพันธบัตรยังคงเท่าเดิมที่ 1% ส่งผลให้เมื่อถึงเวลาไถ่ถอน นักลงทุนจะได้รับเงินคืน 101 เยน แม้ในปัจจุบันราคาที่เพิ่มขึ้นจากเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 104 เยน เท่ากับขาดทุนไป 3 เยน โดยหากประสบกับภาวะเงินฝืดจะให้ผลในทางตรงกันข้าม
ขณะเดียวกัน พันธบัตรของญี่ปุ่นยังมีลูกค้ารายใหญ่อีกรายหนึ่ง นั่นคือ บีโอเจ ที่ใช้มาตรการซื้อคืนสินทรัพย์ (คิวอี) ขนานใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยในปี 2016 ที่ผ่านมา แม้บีโอเจเปลี่ยนทิศทางนโยบายด้วยการจะเข้าซื้อหรือขายพันธบัตรเพื่อให้พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี มีผลตอบแทนอยู่ที่ราว 0% โดยไม่ยึดติดกับปริมาณการเข้าซื้อปีละ 80 ล้านล้านเยน (ราว 24 ล้านล้านบาท) แต่จากการคำนวณของดอยช์แบงก์ บีโอเจถือพันธบัตรรัฐบาลเป็นสัดส่วนมากที่สุดในตลาดเกิดใหม่ ด้วยสัดส่วนมากกว่า 30% ของพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด
การที่นักลงทุนหรือธนาคารกลางยังคงพร้อมที่จะถือครองพันธบัตรรัฐบาลอยู่ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลทั่วโลกกล้าจะออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่ม นอกเหนือไปจากการใช้งบประมาณทางการคลังเพื่อดำเนินนโยบายแบบประชานิยม
การกู้ยืมเพิ่มมาในยุคที่ประชาชนกังวลถึงการขาดดุลงบประมาณกันน้อยลง โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วที่การเติบโต ไม่ร้อนแรงเช่นประเทศตลาด เกิดใหม่
โดย ชญานิศ ส่งเสริมสวัสดิ์
Source: Posttoday

นายกฯ สั่ง ยกเลิก EHIA / EIA โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่



นายกฯ สั่งยกเลิก EIA และ EHIA โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ให้ สผ.เร่งแจ้งกระทรวงพลังงาน แจงเป็นห่วงการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ต้องโปร่งใส เตือนผู้เห็นต่างยึดหลักกฎหมาย ไม่ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง
พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าล่าสุดกรณีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีหนังสือไปถึงกระทรวงพลังงาน เพื่อแจ้งให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยกเลิกผลการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และผลการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ที่ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ โดยนายกรัฐมนตรีเป็นห่วงเรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
“ปัจจุบันมีปัญหาบ้านเมืองมากมายที่รัฐบาลต้องดำเนินการแก้ไขและปฏิรูป เพื่อให้เกิดมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว โดยคำนึงถึงความต้องการของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ เช่นเดียวกับกรณีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ที่ได้รับฟังเสียงของประชาชนแล้ว จึงอยากเรียกร้องให้ผู้ที่เห็นต่างเปิดใจกว้างรับฟังรัฐบาลด้วยเช่นกัน พร้อมทั้งยึดหลักกฎหมายเป็นบรรทัดฐานไม่ว่าจะดำเนินการใด ๆ โดยเฉพาะการระดมมวลชนเพื่อชุมนุมเรียกร้องต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย ไม่ให้เกิดลัทธิเอาอย่างจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทั้งนี้ หากมีการฝ่าฝืนไม่ว่ากรณีใด ๆ อันก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น รัฐบาลจะดำเนินการอย่างเฉียบขาด”

กระทรวงพลังงานเตรียมแผนรับซื้อไฟฟ้าปี2560 อีกจำนวน850-1,000เมกะวัตต์

กระทรวงพลังงานเตรียมแผนรับซื้อไฟฟ้าปี2560 อีกจำนวน850-1,000เมกะวัตต์

  • Date : 27/02/2017, 15:56.
  • hybrid
กระทรวงพลังงานเตรียมแผนปี2560รับซื้อไฟฟ้าเพิ่ม 850-1,000 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็นนโยบายเดิมในส่วนของโซลาร์ฟาร์มส่วนราชการและสหกรณ์  ขยะชุมชน  FiT Bidding ภาคใต้ และนโยบายใหม่ใน 3 โครงการสำคัญ คือ SPP Hybrid Firm  ,VSPP แบบSemi Firmและ โครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ
 นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า แผนรับซื้อไฟฟ้าของกระทรวงพลังงานในปี2560 ที่จะมีทั้งนโยบายเดิมและนโยบายใหม่ รวมประมาณ 850-1,000 เมกะวัตต์นั้น ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) จะทะยอยออกประกาศรับซื้อทั้งหมดภายใน2-3เดือนหลังจากนี้
โดยในส่วนที่เป็นนโยบายเดิมที่จะมีการดำเนินการประกอบด้วย โครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนพื้นดิน(โซลาร์ฟาร์ม)ในส่วนราชการจำนวน400เมกะวัตต์ ที่จะมีการพิจารณาในระดับนโยบายว่าจะสามารถรับซื้อได้จำนวนเท่าไหร่ และในส่วนของโซลาร์ฟาร์มสหกรณ์ เฟสที่2 อีกจำนวน119 เมกะวัตต์ ที่จะใช้วิธีการคัดเลือกแบบจับสลาก  รวมทั้งการรับซื้อไฟฟ้าจากชีวมวลแบบประมูลแข่งขันในภาคใต้ที่ยังเหลือค้างอยู่12เมกะวัตต์  ,โครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน78เมกะวัตต์
สำหรับส่วนที่เป็นนโยบายใหม่นั้น จะมีโครงการ รับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff (FiT)สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก แบบ SPP Hybrid Firm จำนวน300เมกะวัตต์ จากนโยบาย โรงไฟฟ้า- ประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 53 เมกะวัตต์  และการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมากหรือVSPP ในรูปแบบSemi Firm  จากชีวมวล ก๊าซชีวภาพ และพืชพลังงาน อีก 289 เมกะวัตต์ ตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา  
นายทวารัฐ กล่าวในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 27ก.พ.2560  ถึงมติกพช.เรื่องของ SPP Hybrid Firm   ว่า  รัฐบาลต้องการที่จะส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรภายในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน และเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน โดยการพิจารณาอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบFeed-in-Tariff (FiT)ที่ 3.66 บาทต่อหน่วยสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก แบบ SPP Hybrid Firm โดยกำหนดเงื่อนไขไว้ดังนี้ คือ ใช้สำหรับการเปิดรับซื้อรายใหม่เท่านั้น และขายเข้าระบบเป็น SPP ขนาดมากกว่า 10  เมกะวัตต์ แต่ไม่เกิน 50 เมกะวัตต์ โดยสามารถใช้เชื้อเพลิงได้มากกว่าหรือเท่ากับ 1 ประเภท โดยไม่กำหนดสัดส่วน
ทั้งนี้อาจพิจารณาใช้ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ร่วมได้ และต้องเป็นสัญญาประเภท Firm กับ กฟผ. เท่านั้น (เดินเครื่องผลิตไฟฟ้า 100% ในช่วง Peak และ ในช่วง Off-peak ไม่เกิน 65 % โดยอาจต่ำกว่า 65% ได้ ทั้งนี้ให้เป็นไปตามที่ กกพ.กำหนด) นอกจากนี้ยังห้ามใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมาช่วยในการผลิตไฟฟ้า ยกเว้นช่วงการเริ่มต้นเดินเครื่องโรงไฟฟ้า (Start up)เท่านั้น และยังต้องมีแผนการจัดหาเชื้อเพลิง และต้องมีแผนการพัฒนาเชื้อเพลิงใหม่เพิ่มเติมใช้พื้นที่ร่วมด้วย เช่น การปลูกพืชพลังงาน เป็นต้น สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าในลักษณะ Competitive Bidding ใช้อัตรา FiT เดียวแข่งกันทุกประเภทเชื้อเพลิง กำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ภายในปี 2563
 โดยกระทรวงพลังงานได้จัดทำอัตราการรับซื้อไฟฟ้า FiTสำหรับ SPP Hybrid Firm ซึ่งพิจารณาต้นทุนการผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานหลายประเภทเชื้อเพลิง บนพื้นฐานเชื้อเพลิงที่มีศักยภาพในการดำเนินการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบ Firm และสรุปอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT สำหรับ SPP Hybrid Firm ได้ดังนี้
 นายทวารัฐ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุม กพช. ยังได้เห็นชอบให้รับซื้อไฟฟ้าโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก แบบ SPP Hybrid ในปริมาณ 300 เมกะวัตต์ โดยมอบหมายให้ กกพ. และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กำหนดปริมาณการรับซื้อแบ่งเป็นรายภูมิภาคตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ และนำเสนอให้ กบง. พิจารณาเห็นชอบ ก่อนออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก แบบ SPP Hybrid Firm ต่อไป
สำหรับ โครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาพื้นที่ชายแดนใต้อย่างยั่งยืน เพื่อรองรับการจัดตั้ง “โครงการพาคนกลับบ้าน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และ โครงการรองรับมวลชน หมู่บ้านสันติสุข” แก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยการสร้างงาน เพิ่มรายได้  ที่กพช.ให้ความเห็นชอบนั้น ได้กำหนดแผนงานการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลขนาดเล็ก ไว้ 3 แห่ง ในพื้นที่ อ.เมือง จ.นราธิวาส อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี และ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 18 เมกะวัตต์ และจะจ่ายไฟเข้าระบบจำหน่ายของ กฟภ. รวม 12 เมกะวัตต์ โดยให้ใช้เชื้อเพลิงเศษไม้ยางพาราเป็นเชื้อเพลิงหลัก
ในส่วนแผนงานการผลิตไฟฟ้าจากชีวภาพ กำหนดให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวภาพ จำนวน 30 แห่ง ในพื้นที่ จ.นราธิวาส จ.ปัตตานี และ จ.ยะลา ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 35 เมกะวัตต์ จ่ายไฟเข้าระบบจำหน่ายให้ กฟภ. รวม 30 เมกะวัตต์ ใช้หญ้าเนเปียร์ เป็นเชื้อเพลิงหลัก โดยทั้ง 2 แผนงานนี้ ทุกปีจะมีจัดสรร 10% ของกำไรสุทธิ กลับคืนให้แก่ชุมชนในพื้นที่ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ตลอดจนส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบกระจายศูนย์ ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงในชุมชนอย่างยั่งยืน

ยัน ม.44 ไม่ได้ทำลายพุทธศาสนา

"โฆษกคสช."ยัน ม.44 ไม่ได้ทำลายพุทธศาสนา ชี้ต้องใช้คุม"ธรรมกาย"เพราะเป็นคดีละเอียดอ่อน ไม่เหมือนคดีทั่วไป ชี้มีปิดบัง ปลุกคนมาขัดขวาง ใช้โซเชี่ยลฯบิดเบือน ชี้ฝ่ายตรงข้าม หวังโจมตี ม.44 เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจออกจากตัวบุคคล ชี้ ใช้ตามสถานการณ์ แบบสมดุลย์ ทั้งนิติศาสตร์ และสังคมศาสตร์
พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก คสช. กล่าวถึง
กรณีการใช้ ม.44 กับวัดพระธรรมกาย ว่า เป็นการใช้ตามความจำเป็นจริงของสถานการณ์ ใช้แบบสมดุลย์ ทั้งนิติศาสตร์ และสังคมศาสตร์
หลักๆ คือมาตรการเสริมให้ จนท.ปฏิบัติหน้าที่บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่ง จนท.DSI ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลักมาแต่เดิม เมื่อทำงานมาระยะหนึ่งพบมีข้อจำกัดหลายอย่าง โดยเฉพาะคดีนี้เป็นคดีที่ละเอียดอ่อน มีองค์ประกอบต่างๆ ไม่เหมือนคดีอื่นทั่วไป เช่น มีลักษณะของการปิดบัง มีแนวโน้มจะปลุกคนมาขัดขวาง มีการใช้โซเชี่ยนในลักษณะบิดเบือนหรือไม่เหมาะสม ฯลฯ
คำสั่งฯ ฉบับนี้ยังคงมีกรอบที่ชัดเจน คือเพื่อเสริมให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญามีประสิทธิภาพ กำหนดผู้รับผิดชอบคืออธิบดี DSI มีเป้าหมายคือสนับสนุนการติดตามบุคคลตามหมายคดีอาญา ไม่ใช่ดำเนินการต่อองค์กรวัดหรือศาสนา อย่างที่บางคนพยายามบิดเบือน
ข้อบังคับในคำสั่งเน้นคลี่คลายการกระทำใดๆ ที่ขัดขวางการทำงาน จนท. ตามความจำเป็นเฉพาะในส่วนที่เสริมให้บรรลุวัตถูประสงค์ เช่น การควบคุมระมัดระวังเรื่องการเข้าออก ,การเชิญบุคคลมาให้ข้อมูล ,ควบคุมระบบสาธารณูปโภค, เข้าสถานที่ใดเพื่อตรวจค้น หรือ ขอเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวาง ฯลฯ
และด้วยการบริหารจัดการในลักษณะถ้อยที่ถ้อยอาศัย ยังไม่พบกระทบกิจกรรมใดๆ ของสงฆ์และศิษย์ หรือประชาชน หรือกระทบต่อการปฏิบัติศาสนกิจได้
ส่วนกรณีการมีผู้ไม่หวังดีกล่าวหาว่าคำสั่ง คสช. ฉบับนี้เป็นเหมือนเครื่องมือในการทำลายพระพุทธศาสนานั้น โฆษกคสช. กล่าวว่า ก็ไม่จริง เชื่อว่าเป็นความพยายามบิดเบือนตามรูปแบบแนวทางการต่อสู้เชิงข่าวสารเพื่อจะทำลายความน่าเชื่อถือภาครัฐ หรืออาจเพื่อจะเบี่ยงเบนความสนใจสังคมจากเรื่องของบุคคล ให้ไปเป็นเรื่องขององค์กรวัด หรือเรื่องศาสนา เพราะคนอาจรู้สึกอ่อนไหวกับเรื่องเหล่านี้ได้ง่ายกว่า
ส่วนหลังๆมา จะเริ่มมีการหยิบใช้ประเด็นเรื่อง ม.44 เพราะอาจเป็นคำคุ้นเคยทางการเมือง สามารถหยิบมาเสริมปั้นแต่งให้เป็นประเด็นในมุมต่างๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะเรื่อง ม.44 คงคาดเดาว่าอาจทำให้มีแนวร่วมอื่นมาสมทบสนับสนุนได้
"ขอให้มั่นใจแนวทางของผู้บังคับบัญชาต่อการดำเนินการของ จนท.ภายใต้ คำสั่งฯ ม.44 คงเน้นปฏิบัติภายใต้กรอบ ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะหลีกเลี่ยงความรุนแรงที่อาจเกิดให้ได้มากที่สุด และกระทำทุกอย่าด้วยสุจริตเหมาะสม ป้องกันไม่ให้ถูกผู้ไม่หวังดีหยิบไปขยายผลในทางลบ "

แผนช็อป10ปี

แผนช็อป10ปี
"บิ๊กป้อม"นำผบ.เหล่าทัพ ถกสภากลาโหม อนุมัติ แผนซื้ออาวุธ10ปี ชื่อ"แผนพัฒนาขีดความสามารถกระทรวงกลาโหม" Modernization Plan : Vision 2026 ) กำหนดแผนจัดซื้อจัดหา แบบ ความต้องการระดับสูงสุด-ต่ำสุด ในการดำรงศักยภาพกองทัพ ดำรงสภาพพร้อมรบ ชี้สอดคล้อง แผนยุทธศาสตร์ชาติ20ปี และแผนปฏิรูปกลาโหม
พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม กล่าวว่า ในการประชุมสภากลาโหม ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ได้ให้ความเห็นชอบ 
ร่างแผนพัฒนาขีดความสามารถกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2560 – 2569( Modernization Plan : Vision 2026 )

สำหรับ ร่างแผนพัฒนาขีดความสามารถกระทรวงกลาโหม นี้. เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปกองทัพ เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างกำลังกองทัพ ให้มีความพร้อมด้านยุทโธปกรณ์ ตามความจำเป็นเร่งด่วน ในห้วงระยะเวลา 10 ปี ให้สามารถเผชิญกับภัยคุกคาม
พร้อมกับการปฏิบัติภารกิจตามความรับผิดชอบและการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยประเมินจากปัจจัยสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคง ความต้องการยุทโธปกรณ์ การวิเคราะห์ความเสี่ยงและการประเมินผล ควบคู่กับ จัดทำขึ้นให้สอดคล้องกับ ร่างยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ร่างยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ กห.(พ.ศ.2560 – 2579) ร่างยุทธศาสตร์ทหาร กองทัพไทย 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) ร่างแผนแม่บทการปฏิรูปการบริหารจัดการและการปรับปรุงโครงสร้าง กห. (พ.ศ. 2560 – 2569) และแผนแม่บทอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (พ.ศ.2558 – 2563)
โดยเป็นการกำหนดความต้องการยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ในภาพรวม 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มดำรงสภาพความพร้อมรบ กลุ่มขยายขีดความสามารถ และกลุ่มเสริมสร้างความทันสมัย
โดยแบ่งความต้องการเป็น 2 ระดับ คือ ความต้องการระดับสูงสุด เพื่อเสริมสร้างศักยภาพกองทัพให้มีความสมบูรณ์ ภายใต้กรอบวงเงินซึ่งตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ กห. ได้รับการจัดสรรงบประมาณในสัดส่วนที่เปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับจากประมาณร้อยละ 1.4 – 2 ของ GDP ในปีงบประมาณ พ.ศ.2569
และความต้องการระดับต่ำสุด เพื่อเสริมสร้างศักยภาพกองทัพ เท่าที่มีความจำเป็นและสามารถยอมรับเกณฑ์เสี่ยงได้ โดยไม่กระทบต่อการปฏิบัติภารกิจปกติของหน่วย ภายใต้กรอบวงเงินขั้นต่ำสุด ซึ่งตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ กห. ได้รับจัดสรรงบประมาณอย่างต่อเนื่องในแต่ละปีเพิ่มขึ้นประมาณ ร้อยละ 3 ของปีที่ผ่านมา
โดยภาพรวม แผนดังกล่าว นี้ เป็นการสรุปความต้องการยุทโธปกรณ์และการพัฒนาขีดความสามารถกำลังกองทัพ ระดับสูงสุดและต่ำสุด ในห้วงระยะเวลา 10 ปี โดยการประเมินและวิเคราะห์ความเสี่ยง เพื่อเสริมสร้างกองทัพให้มีความสมบูรณ์และมีความพร้อมรบ ในการทำหน้าที่เป็นหลักประกันความมั่นคงของชาติ บนปัจจัยหลักพื้นฐาน ด้านสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคง นโยบายของรัฐบาลและสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ

เสร็จเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น



"บิ๊กตู่" เปรยโรดแมพ นั่นคือโรดแมพ ทำเมื่อไหร่ เสร็จเมื่อไหร่ อะไรเมื่อไหร่ แต่ถ้ามันมีอะไรมาขัดขวาง โรดแมพ มันก็ขยับ/ขอ ทุกคนสงบสติอารมณ์ ทำบ้านเมืองสงบเรียบร้อย จะทำอะไรก็ตามนึกถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ อย่าไปให้ความสนใจ เรื่องขัดแย้ง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีบวงสรวงการก่อสร้างและยกเสาเอกพระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของกรมศิลปากร และคาดว่าจะใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 1 ปี หรือประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม 2560 ก็เสร็จเรียบร้อย และจะมีพิธีที่ยิ่งใหญ่ เพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพ
"ช่วงนี้อยากให้ทุกคนสงบสติอารมณ์ ทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย นึกถึงคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศเขาบ้าง จะทำอะไรก็ตามนึกถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ รัฐบาลคิดทุกอย่าง นึกถึงคนทั่วประเทศอยู่ทุกวันๆ แก้ปัญหาทุกปัญหาทุกวันๆ เพราะฉะนั้นอะไรที่ไม่จำเป็น อะไรที่เป็นความขัดแย้ง อะไรที่ไม่สร้างสรรค์ อย่าไปให้ความสนใจมากนัก ให้เจ้าหน้าที่เขาทำงานเท่านั้นเอง" นายกฯกล่าว
นายกฯ กล่าว ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเจ้าหน้าที่และขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ซึ่งในส่วนของรัฐบาลที่ได้มอบหมายรองนายกฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และรัฐมนตรีส่วนที่เกี่ยวข้องรวมถึงคณะกรรมการอำนวยการฯทั้งคณะ ที่ตนเป็นประธาน วันนี้ได้มาเห็นความก้าวหน้าและสบายใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนงาน
"การจะทำอะไรก็ตามต้องมีแผนงาน การสร้างที่นี่ก็มีแผนงานไปจบเดือนกันยายน-ตุลาคม เหมือนกับรัฐบาลทำงานก็มีโรดแมพ นั่นคือโรดแมพ ทำเมื่อไหร่ เสร็จเมื่อไหร่ อะไรเมื่อไหร่ แต่ถ้ามันมีอะไรมาขัดขวาง โรดแมพมันก็ขยับ ทำไม่เสร็จ เข้าใจแค่นี้พอ ไม่ต้องเรื่องมาก" พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

"ออกมาแล้วครับ"



"ออกมาแล้วครับ"
วันนี้ เวลา 10.00 น. ผมไปพบท่านแม่ทัพภาคที่ 1 (พลโทอภิรัชต์ คงสมพงษ์) ที่กองทัพภาคที่ 1 ตามคำเชิญ ผมนั่งรถไปกับนายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยและน้องๆ ที่ขอไปเป็นเพื่อน ท่านแม่ทัพอนุญาตให้ผมและคณะทุกคนเข้าไปในกองทัพภาคที่ 1 ได้ โดยให้ลูกน้องขับรถนำรถพวกผมเข้าไปแต่ขอให้คณะพักรอในห้องรับรอง ส่วนผมท่านเชิญให้เข้าไปคุยในห้องทำงานกับท่านเป็นส่วนตัวเรื่องแนวทางสร้างความปรองดอง ทั้งนี้เนื่องจากผมปฏิเสธการเป็นตัวแทนของพรรคที่จะไปพูดคุยกับ ปยป. ที่กระทรวงกลาโหม ท่านแม่ทัพจึงต้องเชิญผมมาพูดคุยกับท่านต่างหากเพื่อเป็นข้อมูล การสนทนาสิ้นสุดประมาณ 13.00 น. จากนั้นท่านได้ให้นายทหารขับรถนำรถพวกผมออกมาจากกองทัพภาคเป็นอันเสร็จภารกิจ
ผมจะยังคงแสดงความเห็นทางการเมืองต่อไปเพราะไม่มีใครมาขอร้อง จึงขอขอบคุณทุกท่านที่แสดงความเป็นห่วงและให้กำลังใจ ผมออกมาอย่างปลอดภัยและพร้อมจะสู้ต่อไปจนกว่าเราจะได้ประชาธิปไตยบนหลักนิติธรรมครับ
วัฒนา เมืองสุข
พรรคเพื่อไทย
27 กุมภาพันธ์ 2560

ข่าว27/2/60

พระเมรุมาศ

นายกฯ เป็นประธานพิธีบวงสรวงการก่อสร้างและยกเสาเอกพระเมรุมาศ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ร.9

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีบวงสรวงการก่อสร้างและยกเสาเอกพระเมรุมาศ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ บริเวณท้องสนามหลวง โดยมี คณะกรรมการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ คณะรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการกรมศิลปากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธี

ทั้งนี้ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุมาศ สิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศ และบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถและพระยานมาศฯ กล่าวรายงานในนามของรัฐบาล และพสกนิกรชาวไทยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ จึงพร้อมใจกันแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ซึ่งการสร้างพระเมรุมาศสำหรับถวายพระเพลิง พระบรมศพ สมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเป็นราชประเพณีที่สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา รูปแบบพระเมรุมาศเปรียบดังทิพยวิมานที่ประดิษฐานอยู่เหนือยอดเขาพระสุเมรุ อันเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

สำหรับงานพิธีบวงสรวงการก่อสร้างและยกเสาเอกพระเมรุมาศ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เริ่มในเวลา 10.01 น. ตามเวลามหัทธโนฤกษ์ เพื่อเป็นนิมิตรหมายอันดีให้การดำเนินงานน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมสนองพระมหากรุณาธิคุณสำเร็จลุล่วงสมดังมโนปณิธานทุกประการ

โดยนายกรัฐมนตรี ได้จุดธูปเทียนที่เครื่องบวงสรวง ก่อนทำพิธีสรงน้ำ ปิดทอง และผูกผ้าแพร 3 สี ที่เสาเอกพระเมรุมาศ พร้อมโปรยข้าวตอกดอกไม้ และวางพวงมาลัยที่โคนเสาเอกฯ จากนั้นนายกฯ ได้ถวายภัตตาหารพร้อมด้วยเครื่องไทยธรรมและจตุปัจจัยแด่พระสงฆ์จำนวน 10 รูป

อย่างไรก็ตาม ภายหลังเสร็จสิ้นพิธี นายกรัฐมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมแบบผังพระเมรุมาศและตรวจการก่อสร้างพระที่นั่งทรงธรรม ก่อนตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของกรมศิลปากร ณ วิธานสถาปกศาลา (โรงขยายแบบ) บริเวณท้องสนามหลวงด้านทิศใต้ ด้วย
/////////
ธรรมกาย
คสช. ยันใช้ ม.44 วัดพระธรรมกาย อำนวยความสะดวกเจ้าหน้าที่ ยันใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ขออย่าบิดเบือน

พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. ชี้แจงถึงคำสั่งที่ 5/60 ในการให้อำนาจและกำหนดพื้นที่ควบคุม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการบังคับใช้กฎหมาย บริเวณวัดพระธรรมกาย และพื้นที่โดยรอบ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถบูรณาการกำลัง เข้าตรวจค้นติดตามจับกุม พระธัมมชโย นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ว่า สถานการณ์ขณะนี้มีการปลุกระดมมวลชนมาต่อต้าน การเคลื่อนไหวของแกนนำมวลชนที่เคยใช้ความรุนแรง และอดีตนักการเมืองเข้ามาในพื้นที่รวมทั้งการบิดเบือนข้อมูล สร้างภาพอันเป็นเท็จเพื่อปลุกกระแสในสังคมออนไลน์ และมีการแขวนป้าย We need food เพื่อเจตนาบิดเบือน ว่า เจ้าหน้าที่ห้ามนำอาหารเข้าไปภายในวัด และพยายามจุดกระแสว่า คำสั่งตามมาตรา 44 คือประเด็นปัญหา จึงต้องการชี้ให้เห็นว่า เรื่องเป็นปัญหาร่วมกันของคนในประเทศ ที่กฎหมายอะไรก็ยุติคนไม่ดีไม่ได้ และวันข้างหน้าถ้าไม่มี มาตรา 44 ไม่มี คสช. จะอยู่กันอย่างไร และอนาคตจะเป็นอย่างไร การใช้กฎหมู่ไม่เคารพกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม อันจะนำไปสู่ความเดือดร้อนวุ่นวาย ในที่สุดตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ตั้งแต่การเจรจา และขอเข้าตรวจค้น ตามคำสั่งของศาล ซึ่งนอกจะไม่ได้รับความร่วมมือแล้ว ยังถูกขัดขวางทุกวิถีทาง จนสุ่มเสี่ยงต่อการ ที่จะนำไปสู่ความรุนแรงขึ้น คสช. จึงจำเป็น ต้องใช้กฎหมายพิเศษ เข้าควบคุมพื้นที่ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม คำสั่ง คสช. ไม่ได้กระทบกระเทือน ลิดรอนสิทธิ หรือสร้างผลกระทบ ต่อประชาชนโดยทั่วไป แต่เป็นเครื่องมือให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะกฎหมายปกติ ไม่สามารถทำได้ และยืนยัน ที่จะดำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศชาติ บังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและเสมอภาค เหมาะสมตามขั้นตอน และมั่นใจได้ว่าการบังคับใช้กฎหมายได้ดำเนินไปตามกรอบและคำสั่งของศาล และกระบวนการยุติธรรม ที่ถูกต้องสมบูรณ์ แม้ว่าอาจต้องใช้เวลา
------------
"พล.อ.ประวิตร" โยนถาม "สุวพันธุ์" ปมวัดพระธรรมกาย คุมสอบตำรวจ ยันยึดตามกฎหมาย

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีการดำเนินการกับวัดพระธรรมกาย ว่า ไม่ทราบในรายละเอียด จึงไม่ขอตอบอะไรในตอนนี้ แต่ที่ผ่านมาได้รับรายงานมาโดยตลอด และให้สอบถามถึงสถานการณ์ล่าสุดกับ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพราะเป็นผู้ดูแลในเรื่องดังกล่าว และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ก็ดูแลในเรื่องนี้ ซึ่งมั่นใจว่าสถานการณ์จะต้องคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และทุกฝ่ายต้องยอมรับ เพื่อไม่ให้เกิดการปะทะเสียเลือดเนื้อ โดยยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปล่อยให้มวลชนเข้าไปสนับสนุนเพิ่มเติม แต่ยอมรับว่าทางวัดพระธรรมกายก็มีทั้งคนที่ชื่นชอบและไม่ชอบเหมือนกัน

ส่วนกรณีที่มีผู้เสียชีวิต 1 ราย จากการฆ่าตัวตาย จากการประท้วงให้ยุติการใช้มาตรา 44 นั้น ตนเองไม่ขอวิจารณ์ ขอให้ไปถามคนในพื้นที่ และการจับกุมอดีตนายตำรวจที่พกอาวุธเข้าพื้นที่วัดพระธรรมกาย เพื่อนำไปสอบสวนนั้น ก็ต้องเป็นตามกระบวนการของกฎหมาย
---------------
เจ้าหน้าที่ ควบคุมตัว อดีต พล.ต.ต.  พยายามขับรถเข้าพื้นที่วัดพระธรรมกาย ตรวจค้นภายในรถพบ อาวุธมีด - เสื้อเกราะ  

เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวชายต้องสงสัย 1 คน ชื่อตามบัตรประชาชน พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ เภกะนันท์ ได้ที่บริเวณคลองสาม ขณะขับรถมุ่งหน้าไปทางคลองสี่ ซึ่งคนในพื้นที่รู้กันดีว่ามีทางลัดเข้าวัดพระธรรมกายได้ โดยชายต้องสงสัยได้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าจะไปย่านรามคำแหง แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เพราะเห็นกระจกหลังรถติดสติ๊กเกอร์ของวัดพระธรรมกาย จึงขอตรวจค้นรถตรวจสอบในรถพบมีดพก และเสื้อเกราะกันกระสุน พร้อมแผ่นป้ายกระดาษขนาด A4 ที่เขียนด้วยลายมือ มีข้อความว่า "นายอนวัช ธนเจริญรัฐ วีรบุรุษชาวพุทธ สละชีวิตให้มาตรา 44 เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2560 21.00 น. พวกเราช่วยกันแผ่เมตตาร่วมงานศพตามศรัทธา"

ขณะนี้ เจ้าหน้าที่นำตัวไปสอบที่ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้น พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ เภกะนันท์ เคยเป็นผู้บังคับการส่วนตรวจราชการ 1 และอดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.
----------
เจ้าหน้าที่นำกำลังค้นพื้นที่ก่อสร้างศูนย์อบรมเยาวชนคลองหลวง ถ.เลียบคลองสี่ หลังพบกลุ่มพระสงฆ์ปักหลักเข้าออกพื้นที่

เจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เข้าตรวจสอบพื้นที่ก่อสร้างศูนย์อบรมเยาวชนคลองหลวง เนื้อที่ประมาณ 52 ไร่ บริเวณถนนเลียบคลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี หลังได้รับแจ้งเบาะแสว่ามีกลุ่มพระภิกษุสงฆ์กลุ่มหนึ่ง เดินเข้าออกพื้นที่ดังกล่าว โดยไม่ทราบว่าเป็นพระจากวัดใด

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ อยู่ระหว่างเข้าตรวจสอบ เบื้องต้นพบพระภิกษุสงฆ์จำนวน 12 รูป โดยกลุ่มพระให้ข้อมูลว่าเป็นพระที่เพิ่งบวชใหม่ จึงยังไม่มีใบสูทธิประจำตัว อีกทั้งยังพบว่ามีมุ้งสำหรับพักแรม ตั้งอยู่ภายในพื้นที่อีกด้วย

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบตู้คอนเทนเนอร์ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งมีทั้งหมด 3 ตู้ ตรวจสอบเบื้องต้นพบอุปกรณ์ก่อสร้างทั่วไปอยู่ภายในตู้
------------
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เตรียมเข้าตรวจสอบพระสงฆ์ปักหลัก หลังวัดพระธรรมกาย ด้านพระ แจง แค่มาร่วมโครงการบวชถวายเป็นพระราชกุศล เตรียมเดินกลับแล้ว 

ความคืบหน้าหลังจากเจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เข้าตรวจสอบพื้นที่ก่อสร้างศูนย์อบรมเยาวชนคลองหลวง เนื้อที่ประมาณ 52 ไร่ บริเวณถนนเลียบคลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี หลังได้รับแจ้งเบาะแสว่ามีกลุ่มพระภิกษุสงฆ์กลุ่มหนึ่ง เดินเข้าออกพื้นที่ดังกล่าว โดยไม่ทราบว่าเป็นพระจากวัดใด

ล่าสุดจากการสอบถาม พระสงฆ์รูปหนึ่ง ที่เดินทางออกมาจากพื้นที่ดังกล่าว เปิดเผยว่า ตัวเองเดินทางมาจากจังหวัดเชียงราย เพื่อเข้าร่วมโครงการบวชถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ทางวัดพระธรรมกายจัดขึ้น ซึ่งมีระยะเวลาโครงการ 21 วัน ครบกำหนดไปเมื่อวานนี้ ส่วนสาเหตุที่มาพักแรมอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ทางวัดจัดไว้ให้สำหรับปฏิบัติธรรม แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ความวุ่นวายขึ้น ก็จะตัดสินใจจะเดินทางกลับไปจำวัดต่อที่จังหวัดเชียงราย

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่อนุญาตให้พระสงฆ์ทั้งหมดออกนอกพื้นที่ เพื่อรอให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าตรวจสอบอีกครั้ง ในเวลา 10.00 น.
---------------
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอ พระธัมมชโย ตัดสินใจมอบตัว ยุติความเคลื่อนไหว - เร่งหารือปรับแผนปฏิบัติ

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผย ระบุ 3 แนวทางยุติความเคลื่อนไหวในพื้นที่วัดพระธรรมกาย โดยขอให้พระธัมมชโย ตัดสินใจ เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเนื่องจาก เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด แต่หากไม่เข้ามอบตัวก็จะต้องเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ผู้ฏิบัติงาน ได้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ทั้งหมด รวมถึงการชุมนุมขัดขวางของพระสงฆ์และลูกศิษย์วัด จะต้องยุติบทบาทการตามไปด้วย ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่จะต้องทำให้เกิดขึ้น โดยพยายามหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งและความรุนแรง

ส่วนที่พระสงฆ์และลูกศิษย์ รวมตัวกันชุมนุมโดยรอบพื้นที่ควบคุมพิเศษนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ได้มีการหารือปรับแผนกันทุกวัน และเชื่อว่าสัปดาห์นี้จะมีการปรับแผนการปฏิบัติเพิ่มขึ้นด้วย ย้ำว่าการดำเนินการกว่า 10 วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ปฏิบัติอย่างชัดเจน โดยมีหลายฝ่ายทั้งในและต่างประเทศ เข้าไปสังเกตการณ์ในพื้นที่ จึงเชื่อว่าทั้งหมดจะเป็นพยาน ได้ว่าการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างไร

ส่วนกระแสข่าวการหลบหนีของพระธัมมชโยนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวด้วยว่า เนื่องจากเชื่อว่า พระธัมมชโย ยังคงหลบหนีอยู่ในพื้นที่ เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นที่จะต้องเข้าตรวจสอบพื้นที่วัดอย่างละเอียด โดยเฉพาะบริเวณโซน เอ และ โซน บี เพื่อยืนยันว่ายังหลบหนีอยู่ภายในวัดหรือไม่ ส่วนการปรับเปลี่ยนผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ตนเอง เชื่อในสำนักนายกรัฐมนตรี ว่ามีการพิจารณาความเหมาะสมอย่างรอบครบและรอบด้านแล้ว
-----------
พระมหาวิชิต พระลูกวัดพระธรรมกาย ยัน พระ 12 รูป หลังวัดพระธรรมกาย เป็นพระสงฆ์บวชใหม่ตามโครงการทดแทนคุณบิดา - มารดา ระยะสั้นที่จัดขึ้นทุกปี - พศ. เชิญตรวจสอบรายละเอียดเพิ่ม 

นายสงคราม ไชยนาม เจ้าหน้าที่สำนักเลธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าตรวจสอบพื้นที่ 52 ไร่ บริเวณถนนเลียบคลองสี่ จ.ปทุมธานี หลังได้รับแจ้งว่ามีพระภิกษุสงฆ์
กลุ่มหนึ่งพักอาศัญอยู่ โดยจากการพูดคุยกับ พระมหาวิชิต ธมมวชิโร พระลูกวัดพระธรรมกาย ที่ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่บริเวณนี้ ยอมรับว่า พื้นที่เป็นของมูลนิธิวัดพระธรรมกาย ที่ขอใช้ในการจัดตั้งเป็นศูนย์อบรมเยาวชน มาประมาณ 1 ปีแล้ว ส่วนพระสงฆ์ที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ เป็นพระสงฆ์ที่เข้าร่วมโครงการบวชทดแทนคุณบิดา - มารดา ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งยืนยันว่าโครงการดังกล่าวเป็นการจัดขึ้นโดยไม่มีสังกัดและไม่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย และแต่เดิมมีพระสงฆ์บวชเข้าร่วมโครงการ 16 รูป แต่เมื่อวานนี้หลังสิ้นสุดโครงการ มีพระสงฆ์ลาสิขาบท 5 รูป ทำให้เหลือพระสงฆ์อาศัยอยู่ที่นี่ 12 รูป รวมพระมหาวิชิต

ส่วนกรณีที่พระสงฆ์เหล่านี้ไม่มีใบสุทธิสงฆ์แสดงต่อเจ้าหน้าที่ เนื่องจากเป็นพระสงฆ์บวชใหม่และเป็นการบวชในโครงการระยะสั้น 21 วัน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยื่นเรื่องทำใบสุทธิสงฆ์ แต่หลังจากนี้หากมีพระสงฆ์รูปใดประสงค์ที่จะบวชต่อ ก็จะมีการขออนุญาตเป็นกรณีไป

ทั้งนี้ ภายหลังการเข้าตรวจสอบ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้นิมนต์พระสงฆ์ทั้งหมด ไปพูดคุยพร้อมกับตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมที่วัดตะวันเรือง ซึ่งเป็นสำนักงานเจ้าคณะตำบล
-----------
พระสนิทวงศ์ เรียกร้องเจ้าหน้าที่ คืนน้ำมัน 9 หมื่นลิตร ไข่ไก่ รวมกว่า 1.5 ล้านบาท ให้วัดพระธรรมกาย เพราะขาดแคลนอาหารแล้ว ปัดไม่รู้ใครติดป้ายเราต้องการอาหารหอสังเกตการณ์ - ปลดออกแล้ว 

พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่คืนน้ำมัน 9.8 หมื่นลิตร ที่ทำการตรวจยึดไปจากบริเวณภายในวัด เพื่อนำไปตรวจสอบ เนื่องจากมีมูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท รวมถึงเสบียงอาหาร อาทิ ไข่ไก่ คืนให้กับวัดพระธรรมกาย เนื่องจากภายในวัดขณะนี้ขาดแคลนอาหารแล้ว จนทำให้เมื่อวานที่ผ่านมา มีบุคคลนำป้ายผ้าเขียนอักษรว่า WE NEED FOOD เราต้องการอาหาร ไปติดไว้ที่หอสังเกตการณ์ ใกล้กับอาคาร 100 ปี พื้นที่ 196 ไร่ ซึ่งทางวัดไม่ทราบว่าใครเป็นคนนำป้ายผ้าไปติดไว้ และทางวัดได้ปลดป้ายผ้าออกแล้ว

ส่วนการที่เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ได้มีการปิดล้อมวัดพระธรรมกาย จึงอยากเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่นำตู้คอนเทนเนอร์ที่ปิดอยู่บริเวณทางเข้าออกประตู 15 ออกจากพื้นที่
---------
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เผย ไม่ให้ประกัน อดีตนายตำรวจ พกป้ายข้อความแสดงความเสียใจ ชายผูกคอเสียชีวิต ต้าน ม.44 

พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ระบุว่า จะไม่อนุญาตให้ประกันตัว พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ เภกะนันท์ อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งถูกทหารควบคุม
ตัวได้ ขณะขับรถเข้าไปบริเวณเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ ใกล้วัดพระธรรมกาย เมื่อคืนนี้ พร้อมยึดของกลางเสื้อเกราะ, มีด และป้ายข้อความแสดงความเสียใจต่อกรณีการเสียชีวิตของ นายอนวัช ธนเจ
ริญณัฐ อายุ 64 ปี ที่เรียกร้องให้รัฐบาล ยกเลิกคำสั่ง คสช. มาตรา 44 ที่ประกาศให้บริเวณโดยรอบ และวัดพระธรรมกาย เป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ หลังมีการดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว พร้อมระบุด้วยว่า จากการตรวจสอบพบมีประวัติ เคยบวชที่วัดพระธรรมกายด้วย  
------------
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เผย ดีเอสไอ เตรียมเรียกแกนนำปลุกระดมวัดพระธรรมกายกว่า 40 คน เข้าพบพนักงานสอบสวน - เชื่อพระธัมมชโย อยู่วัด

พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เปิดเผยว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เตรียมเรียกแกนนำปลุกระดมมวลชนวัดพระธรรมกาย ประมาณ 30 - 40 คน เข้าพบพนักงานสอบสวน ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ ขอให้ดีเอสไอเป็นผู้ชี้แจง แต่ยืนยันว่า ตำรวจมีการตรวจสอบการข่าวกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมปลุกระดมมวลชนทั้งในและนอกประเทศมาอย่างต่อเนื่อง และขณะนี้การตรวจสอบพบว่า มวลชนค่อนข้างคงที่แต่เพื่อความไม่ประมาท ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ได้สั่งการให้ตำรวจทุกพื้นที่ สอดส่องเรื่องการนำพระสงฆ์ และศิษยานุศิษย์ เข้ามาในพื้นที่เพิ่มเติม

ทั้งนี้ สำหรับกำลังตำรวจที่รักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบวัดพระธรรมกาย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 กล่าวด้วยว่า จะมีการสับเปลี่ยนกำลังตามปกติ แทนกำลังพลที่อ่อนล้า พร้อมเชื่อมั่นว่า พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ยังอยู่ภายในวัด
-----------------
เจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม เผย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สอบพระ 12 รูป ปักหลักหลังวัดพระธรรมกาย ไม่พบความผิดปกติ  

ภายหลัง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นิมนต์พระสงฆ์ 12 รูป ที่ศูนย์ฝึกอบรมเยาวชนคลองหลวงไปสอบถามรายละเอียดการบวช เนื่องจากไม่มีใบสุทธิสงฆ์ มาแสดงโดย นายสงคราม ไชยนาม เจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยรายละเอียดการบวช มีพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นเจ้าคณะอำเภอคลองหลวง ได้มาเป็นผู้รับรองการบวชตามโครงการของศูนย์ฝึกอบรมจริง และศูนย์ฝึกอบรมแห่งนี้ ก็มีเอกสิทธิ์ซึ่งเป็นของมูลนิรัตนอุบาสิกาจันทร์ โดยใช้เป็นศูนย์ฝึกอบรมและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และไม่ต้องแจ้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในการจัดตั้ง และขณะนี้ทางดีเอสไอ ยังไม่มีการประสานสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อเข้าตรวจค้นพื้นที่ใดอีก อยู่ระหว่างรอการประสานงาน
-------------
DSI ยืนยัน อนุญาตให้นำอาหารปรุงสุกเข้าไปในวัดได้ เผยไม่สามารถคืนน้ำมันให้กับทางวัดได้ เนื่องจากผิด พ.ร.บ.ควบคุมเชื้อเพลิง

พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษก กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ยืนยันอนุญาตให้นำอาหารปรุงสุกเข้าไปภายในวัดพระธรรมกายได้ แต่ขอความร่วมมือไม่ให้นำอาหารสดเข้าไป ซึ่งก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้ยึดอาหารสด อาทิ ไข่ไก่ เนื้อหมู โดยได้นำไปคัดแยกและแจกจ่ายให้กับวัดที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง เนื่องจากตามข้อตกลง หากจะนำสิ่งของเข้าไปภายในวัด ต้องให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอตรวจสอบก่อน

ทั้งนี้ จากการข่าวทราบว่าวัดยังมีอาหารเพียงพอ ยืนยันไม่มีการสกัดกั้นการนำอาหารเข้าไปภายในวัด ส่วนการขึ้นป้ายผ้าข้อความ WE NEED FOOD เราต้องการอาหาร พบว่าขึ้นอยู่ในพื้นที่ 196 ไร่ของวัดพระธรรมกาย วัดจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่รู้เห็น ขณะที่ความต้องการอาหารที่ทางวัดระบุว่าไม่เพียงพอนั้น ก็อยากให้ลูกศิษย์ และบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องออกมาจากวัด เนื่องจากในวัดมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก

ส่วนที่ พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย เรียกร้องให้ดีเอสไอคืนน้ำมันเกือบ 1 แสนลิตร นั้น พ.ต.ต.วรณัน ระบุว่า ไม่สามารถคืนน้ำมันดังกล่าวได้ เนื่องจากผิด พ.ร.บ.ควบคุมเชื้อเพลิง ตำรวจ สภ.คลองหลวง ได้ดำเนินการยึดไว้เป็นของกลาง ส่วนกล้องวงจรปิดที่ทางวัดอ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่ดีเอสไอทุบทำลาย ยังไม่ได้รับรายงาน ขณะที่ตัวแทนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยืนยันว่า ดีเอสไอไม่ได้สกัดกั้นการนำอาหารเข้าไปภายในวัด แต่ยอมรับว่าอาหารปรุงสุกที่ส่งเข้าไปภายในวัดนั้น ไม่เพียงพอ โดยความต้องการคือ 300 กล่องต่อวัน แต่ส่งเข้าไปได้เพียง 200 กว่ากล่องเท่านั้น

ส่วน พระวินยาธิการ ที่มีการแต่งตั้งขึ้นโดยเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ระบุว่า ยังคงร่วมกับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบใบสุทธิสงฆ์ของพระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาสมทบ บริเวณวัดพระธรรมกายและพื้นที่ตลาดกลางคลองหลวง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระจากวัดสาขาของวัดพระธรรมกาย และหากพบว่าไม่ได้เป็นพระลูกวัดพระธรรมกาย ก็จะให้เดินทางกลับวัดตามภูมิลำเนา พร้อมยืนยันว่า ตั้งแต่ที่มีการตรวจสอบยังไม่พบพระสงฆ์ประพฤติผิดวินัย
-----------
ผบ.ตร. ยอมรับมีเจ้าหน้าที่รัฐหลายส่วน เป็นลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย ทำให้การตรวจค้นยาก ยัน ไม่นำเรื่องนี้ไปขยายผลทางการเมือง

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยอมรับ มีเจ้าหน้าที่รัฐที่มีความศรัทธาและเป็นลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย ทำให้ดำเนินการเข้าตรวจค้นเป็นไปได้ยาก และยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน พร้อมปฏิเสธแสดงความเห็นกรณีการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เนื่องจากขณะนี้ตำรวจมีหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนการปฏิบัติของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เท่านั้น ซึ่งจะสามารถเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกายได้อีกเมื่อใด ขึ้นอยู่กับดีเอสไอ ย้ำ ตำรวจจะบังคับใช้กฎหมายจนถึงที่สุด

นอกจากนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังยืนยันด้วยว่า ดีเอสไอ หรือ ตำรวจ มีอำนาจในการเชิญตัวแกนนำปลุกระดมมวลชน วัดพระธรรมกาย เข้าพูดคุยปรับทัศนคติได้อยู่แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบ รวมถึงการปลุกระดมตามช่องทางต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศ ตลอดจนจับตาบุคคลทางการเมือง ที่ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายด้วย โดยยังเชื่อมั่นว่า จะไม่มีการนำกรณีวัดพระธรรมกาย ไปขยายผลเป็นประเด็นทางการเมือง
------------

//////////
ปรองดอง

นายกฯ ย้ำยึดโรดแมป ขู่เลื่อน หากยังขัดแย้ง ขอทุกคนมีสติให้ประเทศสงบสุข

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังพิธีบวงสรวงก่อสร้างและยกเสาเอกพระเมรุมาศ ว่า วันนี้เป็นการมาเยี่ยมการทำงาน ซึ่งกรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบ โดยวันนี้เป็นพิธีลงเสาเอก ที่เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ แสดงถึงความสามารถของคนไทยในการออกแบบและใช้ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ จึงอยากให้สังคมและประชาชนรู้ ว่าประเทศไทยมีสิ่งที่สวยงามที่เป็นจารีต ประเพณี เป็นอัตลักษณ์ความเป็นไทย โดยเฉพาะรูปแบบอาคารเป็นสิ่งที่เราควรภาคภูมิใจ เพราะเป็นการถวายงานในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่คนไทยทั้งประเทศร่วมกันทำมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะใช้เวลา 1 ปี

ทั้งนี้ จากการเยี่ยมครั้งนี้ ก็รู้สึกสบายใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการดำเนินงาน เพราะทุกอย่างต้องมีแผนงานเหมือนกับรัฐบาลที่มีโรดแมป แต่หากมีอะไรมาขัดขวาง โรดแมปก็ขยับออกไป 

อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้อยากให้ทุกคนสงบสติอารมณ์ ทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย และนึกถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยยืนยันว่า รัฐบาลทำทุกอย่างได้นึกถึงคนทั้งประเทศและแก้ปัญหาอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้น เรื่องใดที่ไม่จำเป็นเกิดความขัดแย้ง และไม่สร้างสรรค์ ก็ขออย่าไปให้ความสนใจมาก โดยปล่อยให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงาน
-------------
"พล.อ.ประวิตร" ต้อนรับ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา หารือความสัมพันธ์ทวิภาคี

ความเคลื่อนไหวที่กระทรวงกลาโหมเช้าวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้การตอนรับนาย Glyn T. Davies (กลิน ที เดวีส) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย จะเข้าเยี่ยมคำนับ เพื่อหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย - สหรัฐฯ ครบ 200 ปี ในปี 2560

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่ทราบถึงรายละเอียดของการหารือ คาดว่า เป็นการติดตามความคืบหน้าสถานการณ์ของประเทศไทย
----------
ทูต US หวังไทยมุ่งเลือกตั้งตามโรดแมป พร้อมชื่นชนไทยเจ้าภาพฝึกคอบบรา โกลด์ ได้ดี มั่นใจสร้างความเข้มแข็งภูมิภาคนี้ 

นายกลิน ที เดวีส เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย กล่าวภายหลังการเข้าพบหารือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ดีใจที่ได้เข้าพบและมีการพูดคุยในหลายเรื่อง ทั้งนี้ ได้กล่าวขอบคุณในการฝึกคอบบรา โกลด์ 17 ซึ่งไทยนั้นเป็นเจ้าภาพที่ดีเยี่ยม เป็นความร่วมมือของทั้ง 28 ประเทศ ที่เข้าร่วม โดยจะเป็นการสร้างสร้างความมั่นคง ปลอดภัยในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงความร่วมมือในด้านสาธารณสุข การบังคับใช้กฎหมาย และความสัมพันธ์ของประชาชนสองประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยถึงเรื่องการปรองดองและการดำเนินการตามโรดแมป เพื่อนำไปสู่กระบวนการประชาธิปไตย ซึ่งมีการพัฒนามาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นการหารือที่ดีและหวังว่าจะมีการพบกันอีกครั้งหน้า ส่วนในปีหน้าที่จะมีการเลือกตั้งนั้น สหรัฐฯ ก็ตั้งความหวังว่าจะเป็นไปตามแผนของการปองดองเพื่อนำไปสู่ประชาธิปไตยซึ่งประชาชนควรจะมีส่วนร่วม ส่วนในรายละเอียดของการพูดคุยตนเองเป็นนักการทูตไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้

-----------
"วัฒนา" อดีต ส.ส.เพื่อไทย เข้าให้ข้อมูลราชการที่กองทัพภาค 1 แล้ว เชื่อไม่โดนกักตัว 

ล่าสุด นายวัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินทางเข้าไปภายในกองทัพภาคที่ 1 แล้ว ตามคำเชิญของผู้บังคับการพลทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ โดยก่อนเข้าพบ นายวัฒนา ได้นัดรอหนังสือเชิญอย่างเป็นทางการ ที่ปั๊ม ปตท.เสือป่า พร้อมเปิดเผยว่า การเชิญมาในวันนี้เป็นการให้ข้อมูลทางราชการ ซึ่งตนเองได้รับโทรศัพท์เชิญตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และมีความพร้อมที่จะเข้ามาพบในวันนี้

ทั้งนี้ เชื่อว่าจะไม่มีการกักตัว เพราะหากเป็นเช่นนั้นถือว่าเป็นการหลอกลวงให้มาให้ข้อมูล คงไม่มีนายทหารกล้านำเกียรติยศมาทำเช่นนี้ นอกจากนี้ นายวัฒนา ยังกล่าวอีกว่า เป็นครั้งแรกที่ยอมเดินทางมา เพราะมีการเชิญด้วยดีเป็นมิตร และเนื่องด้วยเป็นบรรยากาศของการสร้างความปรองดองด้วย อย่างไรก็ตาม คาดว่าเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นของคนผ่านสื่อ
----------
“วัฒนา” อดีต ส.ส. เพื่อไทย มองการสร้างปรองดอง ป.ย.ป. ไม่ยั่งยืน แนะใช้หลักนิติธรรมทุกฝ่ายร่วมกำหนดกติกา

นายวัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกระบวนการสร้างความปรองดองของคณะกรรมการเตรียมการสร้างความปรองดอง ใน ป.ย.ป. ซึ่งเชื่อว่า อาจไม่มีความยั่งยืน
เพราะการสร้างความปรองดอง เป็นการสร้างกระบวนการให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ โดยคู่ขัดแย้งและประชาชน จะต้องกำหนดข้อตกลงร่วมกัน แต่ขณะนี้กติกาได้ถูกกำหนดไปแล้ว จากการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ก็อาจเกิดความขัดแย้งขึ้นอีก

ทั้งนี้ เชื่อว่าหลักนิติธรรมจะช่วยให้คนคิดเห็นต่างอยู่ร่วมกันได้ และเกิดความปรองดองขึ้น รวมถึงการกำหนดกติกาต่าง ๆ ก็จะต้องให้คนเห็นต่าง มาร่วมกันกำหนด โดยจะต้องรับฟังความคิดเห็นจากสังคมด้วย
--------------
"พล.อ.ประวิตร" โยนคสช.ดูทภ.1เชิญ "วัฒนา" เข้าพบ ชี้พรรคการเมืองร่วมมือให้ความเห็นปรองเป็นอย่างดี 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีกองทัพภาคที่ 1 เชิญ นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย เข้าพบ เนื่องจากการแสดงความคิดเห็น เรื่อง วัดพระธรรมกาย ทางโซเชียล ว่า เป็นเรื่องของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ได้ติดตามการเคลื่อนไหว ซึ่งตนเองไม่ทราบในรายละเอียด

พร้อมกันนี้ พล.อ.ประวิตร ยังเปิดเผยว่า การดำเนินการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ขณะนี้พรรคการเมืองได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และตอบรับมาเสนอข้อคิดเห็นมาตลอด ตั้งแต่เริ่มกระบวนการรับฟัง
-----------
"พล.อ.ประวิตร" เผย ตำรวจจับมือโพสต์เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวได้แล้ว ปัดตอบว่าเป็นบุคคลกลุ่มใด

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถจับกุมบุคคลที่นำหมายเลขโทรศัพท์บ้าน และเบอร์ส่วนตัว ของตนเองไปเผยแพร่บนเพจเฟซบุ๊ก พลเมืองต่อต้าน Single Gateway เพื่อสันติภาพและความยุติธรรม ในโซเชียลมีเดียได้แล้ว แต่ปฏิเสธตอบว่าเป็นบุคคลกลุ่มใด
------------
คณะอนุฯ รับฟังเตรียมส่งร่างปรองดองให้ กมธ. การเมืองต้น มี.ค. นี้ คาดส่งให้ ป.ย.ป. ได้กลางเดือนหน้า 

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษา รวบรวมความคิดเห็นวิเคราะห์และสังเคราะห์ประเด็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและการสร้างความปรองดอง ในคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการเมือง (สปท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการศึกษา รวบรวมความคิดเห็นปรองดอง ว่า ในร่างนี้คณะอนุฯ ได้พยายามแก้ไขปัญหาที่เป็นสาเหตุของความขัดแย้งและลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ โดยขณะนี้ได้ยกร่างเกือบเสร็จแล้ว ซึ่งจะนำมาปรับปรุงแก้ไขอีกครั้งหนึ่ง และเตรียมส่งให้แก่คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองในต้นเดือนมีนาคม เพื่อพิจารณาต่อไป

อย่างไรก็ตาม พล.อ.เอกชัย เชื่อ กมธ. ว่า จะสามารถนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาและส่งให้คณะกรรมการ ป.ย.ป. ได้ในกลางเดือนมีนาคมนี้
------------
"พล.ต.คงชีพ" แจง เวทีปรองดองต่างจังหวัดไม่เจาะจงที่ไหนก่อน ย้ำใครพร้อมเริ่มได้ทันที 

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกระบวนการสร้างความสามัคคีปรองดอง ในส่วนของการจัดเวทีปรองดองในต่างจังหวัด จะทยอยจัด ซึ่งทางผู้รับผิดชอบ ทั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค เป็นผู้กำกับในระดับภาค ส่วนในระดับจังหวัดจะเป็นผู้ว่าราชการฯ เป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ ส่วนที่มีระบุว่าจังหวัดเชียงใหม่เป็นแห่งแรกนั้น ระบุว่า ไม่ได้เจาะจง หากจังหวัดไหนพร้อมก่อน มีคณะกรรมการ และประสานกับพรรคการเมืองต่าง ๆ สามารถเริ่มได้ก่อนเลย โดยจะเริ่มในช่วงต้นเดือนมีนาคมเป็นต้นไป ใช้ระยะเวลา 1 เดือน ในการดำเนินงาน
----------------
สภากลาโหม เห็นชอบร่างแผนพัฒนาขีดความสามารถกระทรวงกลาโหม ปี พ.ศ. 2560 - 2569 ปฏิรูปกองทัพ

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหมครั้งที่ 2/2560 ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบร่างแผนพัฒนาขีดความสามารถกระทรวงกลาโหม ปี พ.ศ. 2560-2569 (10 ปี) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปกองทัพ เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างกำลังกองทัพ ให้มีความพร้อมด้านยุทโธปกรณ์ตามความจำเป็นเร่งด่วนในช่วง 10 ปี เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะคำนึงถึงการดำรงสภาพพร้อมรบ การขยายขีดความสามารถ และการเสริมสร้างความทันสมัย โดยแบ่งความต้องการเป็นระดับความต้องการสูงสุด ที่อ้างอิงกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี ซึ่งสูงขึ้นทุกปี และระดับความต้องการต่ำสุด ภายใต้กรอบวงเงินขั้นต่ำสุดเท่าที่มีความจำเป็น
////////////////
การทุจริต

ประธาน ป.ป.ช. นัด คกก. ประสานและเร่งรัดการดำเนินคดีทุจริตระหว่างประเทศประชุมนัดแรก - หารือกรอบการทำงาน

พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้นัดประชุมคณะกรรมการประสานและเร่งรัดการดำเนินคดีทุจริตระหว่างประเทศนัดแรก โดยมีหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฃประชุม ประกอบด้วย สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ

ซึ่งเบื้องต้นจะหารือถึงกรอบการทำงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน แต่จะยังไม่มีการลงลึกในรายละเอียด พร้อมจะชี้แจงแนวทางการทำงานของ ป.ป.ช. ให้กับหน่วยงานอื่นที่เข้ามาเป็นคณะกรรมการด้วย เช่น กรณีขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานต่างประเทศผ่านอัยการสูงสุด ใครจะเป็นผู้ตั้งประเด็นคำถาม เป็นต้น คณะกรรมการชุดนี้จะดำเนินการในทุกคดีระหว่างต่างประเทศ ซึ่งมีอยู่ 20 คดี
----------------
ประธาน ป.ป.ช. ยัน ยังไม่มีการประสานข้อมูลสินบนอังกฤษเป็นทางการ รอตั้งข้อกล่าวหาให้ชัดเจน ก่อนให้ อสส. เป็นผู้ดำเนินการ

พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. กล่าวถึงการตรวจสอบกรณีการติดสินบทของบริษัท โรลส์ - รอยซ์ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการประสานขอข้อมูลจากประเทศอังกฤษอย่างเป็นทางการ แต่ได้มีการขอข้อมูลเป็นการภายใน เพื่อนำมาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลของ สตง. และบริษัทการบินไทย ส่งให้ ป.ป.ช. ซึ่งขณะนี้อยู่ในชั้นของการแสวงหาข้อเท็จจริง ที่จะรวบรวมข้อมูลจนเกิดความชัดเจน ก่อนตั้งข้อกล่าวหากับผู้ที่กระทำความผิด เพื่อนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง และเมื่อมีความชัดเจนในความผิดแล้ว ก็จะให้อัยการสูงสุดประสานข้อมูลกับประเทศอังกฤษอย่างเป็นทางการ

ส่วนกรณีที่กฎหมายของไทย มีบทกำหนดโทษคดีทุจริตสูงสุดประหารชีวิต ทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือในการส่งข้อมูลจากต่างประเทศนั้น นายอำนาจ โชติชัย อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ กล่าวว่า กรณีนี้มีทางออกโดยให้รัฐบาลโดยผ่านมติคณะรัฐมนตรีทำหนังสือรับรองว่าจะให้ใช้โทษจำคุกตลอดชีวิตแทน ซึ่งสามารถทำได้ตาม พระราชบัญญัติความร่วมมือคดีอาญาระหว่างประเทศ มาตรา 36/1 ฉบับแก้ไขใหม่ ที่ระบุว่าแม้ศาลพิพากษาสูงสุดให้ประหารชีวิตในคดีนี้ รัฐบาลสามารถเปลี่ยนแปลงใช้โทษจำคุกตลอดชีวิตแทนได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประเทศที่ไม่มีโทษประหารชีวิต
-------
ประธาน ป.ป.ช. พบคดีสินบนข้ามชาติ 12 เรื่อง เร่งบูรณาการความร่วมมือทุกฝ่าย กำหนดทิศทางเพื่อไม่ให้การขอข้อมูลจากต่างประเทศ 

พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เปิดเผยภายหลังการหารือ คณะกรรมการประสานและเร่งรัดการดำเนินคดีทุจริตระหว่างประเทศ ว่า ขณะนี้มีเรื่องการติดสินบนข้ามชาติอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ ทั้งหมด 12 เรื่อง รวมถึง กรณีบริษัท โรลส์ - รอยซ์ ซึ่งหลังจากนี้จะมีการบูรณาการงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. สำนักงานอัยการสูงสุด หรือ อสส. โดยให้คณะกรรมการชุดนี้เป็นผู้กำหนดทิศทาง เพื่อไม่ให้การขอข้อมูลจากต่างประเทศกระจัดกระจาย โดยที่ประชุมได้มีมติว่าในส่วนของการขอข้อมูลอย่างเป็นทางการจะให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุด แต่หากเป็นการประสานข้อมูลภายในอย่างไม่เป็นทางการ สำนักงาน ป.ป.ช. จะเป็นผู้ดำเนินการ พร้อมยืนยันว่า ทุกหน่วยงานจะทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ และขอความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ ให้เบาะแสหรือข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบต่อไป ฃ
------------
"พล.ต.อ.วัชรพล" แจง คกก. ประสานและเร่งรัดการดำเนินคดีทุจริตระหว่างประเทศ เร่งดำเนินการ 12 คดี 

พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า มีเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการประสานและเร่งรัดการดำเนินคดีทุจริตระหว่างประเทศ มีทั้งสิ้น 12 คดี ประกอบด้วย คดี บริษัท เจเนอรัล เคเบิล คอร์ปอเรชั่น จ่ายสินบน ToT และการไฟฟ้านครหลวง ติดตั้งสายเคเบิ้ล, คดีติดสินบนจัดซื้อเครื่องตรวจวินิจฉัยโรค กระทรวงสาธารณสุข, คดีติดสินบนจัดซื้อใบยาสูบจากเอกชนสหรัฐฯ ของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง, คดีติดสินบนนำเข้าสุราข้ามชาติของสรรพสามิต, คดีติดสินบนกรมศุลกากร หลีกเลี่ยงภาษีนำเข้ารถหรู, คดีบริษัท พีทีที กรีนเอเนอร์ยี่ จ่ายสินบนจัดซื้อที่ดินปลูกปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซียโดยมิชอบ, คดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอล แบงค์กอก อารีน่าของ กทม., คดีทุจริตสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองแสนแสบ - คลองลาดพร้าว ของ กทม., คดีรับสินบนให้สัมปทานบริษัทเหมืองแร่ข้ามชาติ, คดีอดีตผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยรับสินบนจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ,คดีอดีตผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่ำรวยผิดปกติ และคดีเรียกรับสินบนโรยส์รอย จากอังกฤษ
----------
"เรืองไกร" ยื่นนายกฯ เรียกร้องปลด 2 รมต. ผิดมาตรา 4 พ.ร.บ.จัดการหุ้นส่วนหรือถือหุ้นของ รมต. 

ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้ปลด นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ออกจากตำแหน่ง กรณีที่เป็นหุ้นส่วนในการทำธุรกิจที่ดินเขาใหญ่ เข้าข่ายผิดมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.จัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543

โดย นายเรืองไกร กล่าวว่า มาตรา 4 ของ พ.ร.บ.จัดการหุ้นส่วน ห้ามรัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วน และห้ามเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ซึ่งของ นายอุตตม และ นายสนธิรัตน์ มีหลักฐานชัดเจนในเรื่องการเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญ โดยมีหลักฐานแจ้งไว้ต่อ ป.ป.ช. ว่า มีการทำสัญญาลงทุนทำธุรกิจที่ดินที่เขาใหญ่ จำนวน 29 ไร่ มูลค่า 100 ล้านบาท เพื่อแบ่งผลกำไรกัน ซึ่งเข้าลักษณะการเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญชัดเจน โดยมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.ยกเว้นให้เฉพาะ 2 กรณี คือ การเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัด ความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัดเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ หรือการเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัด เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ แต่หากเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญ อย่างกรณีการลงทุนทำธุรกิจที่ดินของรัฐมนตรีทั้ง 2 คน มาตรา 4 ของ พ.ร.บ.จัดการหุ้นส่วนฯ ห้ามเอาไว้โดยเด็ดขาด

ทั้งนี้ นายเรืองไกร ย้ำว่าเมื่อมีการฝ่าฝืนกฎหมาย จึงมีสองทางเลือก คือ รัฐมนตรีทั้ง 2 คน ควรลาออกจากตำแหน่ง หรือนายกรัฐมนตรี ต้องปรับออกจากตำแหน่ง แต่กรณีที่เกิดขึ้นยังไม่เห็นการแสดงความรับผิดชอบจากรัฐมนตรีทั้ง 2 คน จึงขอให้นายกฯ พิจารณาปรับทั้ง 2 คน ออกจากตำแหน่ง และหวังว่านายกฯ จะยึดหลักกฎหมายตามที่เคยพูดไว้ หากยังไม่มีความคืบหน้าในสัปดาห์หน้าตนจะเดินทางไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเอง
/////////////
รัฐธรรมนูญ

รบ. ให้ความสำคัญในการปรับปรุงโครงสร้างของหน่วยงานภาครัฐ มุ่งเน้นให้มีการปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรม 

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ว่า รัฐบาลได้มีนโยบาย และให้ความสำคัญในการปรับปรุงโครงสร้างของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อการพัฒนาประเทศทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งกลไกลในการพัฒนา ประเทศได้มุ่งเน้นให้มีการปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรม การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปวิทยาแขนงต่าง ๆ ให้เกิดความรู้และการพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจ สังคม และเพิ่มขีดและความสามารถในการแข่งขันของประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชน

ทั้งนี้ พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า สำหรับการประชุมในวันนี้เป็นการประชุมครั้งแรก เพื่อที่จะกำหนดกรอบการทำงาน ซึ่งมีวาระพิจารณาเกี่ยวกับโครงสร้างการดำเนินงานภายใต้สภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ แผนการขับเคลื่อนและการปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรมแบบบูรณาการของประเทศ และรวบถึงกรอบแนวทางการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ภายใต้โครงการสารพลังประชารัฐ รวมทั้งได้รับทราบกรอบงบประมาณตามแผนบูรณาการการวิจัยและนวัตกรรม ปีงบประมาณ 2561

---------
กมธ.สื่อสารมวลชน ปรับเพิ่มสัดส่วนกรรมการวิชาชีพสื่อฯ เป็น 15 คน จ่อถกอีกครั้ง 6 มีนาคม ก่อนส่ง วิป สปท. บรรจุวาระ

พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมทำการทบทวนร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน โดยมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนกรรมการใน "สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ" ใหม่ เป็น 15 คน จากเดิมมีจำนวน 13 คน โดยเพิ่มสัดส่วนกรรมการด้านสื่อสารมวลชนอีก 2 คน พร้อมให้คำจำกัดความของสื่อ คือ ต้องเป็นผู้ปฏิบัติงานประจำและมีค่าตอบแทน โดยหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้สื่อมวลชนจะต้องขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตภายใน 2 ปี

อย่างไรก็ตาม ทางคณะกรรมาธิการฯ จะทำการทำทบทวนร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน อีกครั้งในวันที่ 6 มีนาคมนี้ ก่อนส่งให้คณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือ วิป สปท. ในวันที่ 9 มีนาคมนี้ พิจารณาเพื่อบรรจุวาระต่อไป