PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ผู้มีอิทธิพลในรัฐบาล

“ผู้มีอิทธิพล”ในรัฐบาล

“บิ๊กตู่” ยัน ไม่เคยสั่ง กระทรวงไหน เก็บเงิน ส่ง  ไม่ว่าจะ “เพื่อน-คนสนิท”ก็ไม่ได้  ชี้ สั่งแบบนี้ ได้หรือ? เผย แม้คนในครอบครัว ยังไม่เคยขออะไรพิเศษ 

“หลายคนอ้างผู้มีอิทธิพลในรัฐบาล สั่งโน้นสั่งนี้ ผมถาม จะสั่งได้อย่างไร 

ผมเป็นนายกฯ ยังไม่สั่งให้กระทรวงไหนเก็บเงินมาให้ มันสั่งได้เหรอ มันสั่งไม่ได้ 

อย่าไปเชื่อ ใครจะอ้างอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น จะเพื่อนผม จะสนิทสนม จะใครก็ไม่รู้หรือ แม้แต่คนในครอบครัวผม ก็ไม่ได้ มาขออะไรพิเศษไม่ได้ เพราะเรากำลังทำให้ประเทศและประชาชนของเรา”พลเอกประยุทธ์ กล่าว

หมา-การเมือง

นายกฯ รัก”น้องหมา”!!!

“บิ๊กตู่” เผย สงสาร “น้องหมา” ยืนรอเจ้าของ ที่ระยอง เจ้าของย้ายบ้านแม่เอาไปด้วย เผย สั่ง “บิ๊กป๊อก” ไป ดูแล เผย ชมรมคนรักสุนัขระยอง ไปดูแล้ว / เผย ที่บ้าน มีเลี้ยงแล้ว4-5 ตัว ไม่คิดอยากเอาไปเลี้ยง

“นายกฯบิ๊กตู่”เผย เรื่องสั่งให้ มท.1 ช่วยเหลือ”น้องหมา”ที่ถูกทิ้งไว้บริเวณเกาะกลางถนนว่า มีคนที่รักสุนัข นำไปเลี้ยงเรียบร้อยแล้ว ซึ่งพล.อ.อนุพงษ์ ไปติดตามดูด้วยตนเอง 

ตอนนี้ ทราบว่าทางสมาคมผู้รักสัตว์จังหวัดระยองเป็นผู้นำสุนัขไปเลี้ยงแล้ว 

"เรื่องนี้มีคนตามไปดูและตรวจเช็คข้อมูลก็ทราบว่ามีคนนำไปเลี้ยงและมีการส่งรูปมาให้ดูเรียบร้อยแล้ว เท่าที่ทราบอยู่ที่จังหวัดระยอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี 

ทั้งนี้ผมเองได้เห็นสุนัขตัวนึ้ ในโซเชียลมีเดีย เป็นภาพน้องหมาข้างถนน เลยได้นำมาพูดคุยกับ พล.อ.อนุพงษ์ อยากให้คนไปดูหน่อย เพราะสงสารมัน 

เพราะปัจจุบันเราก็ดูแลปัญหาเรื่องการทารุณสัตว์เหล่านี้ด้วย เพราะตอนเด็กๆ ตัวเล็กๆก็ชอบเลี้ยงกัน 

เท่าที่ทราบ เจ้าของสุนัขตัวนี้ ย้ายบ้านแล้ว ไม่ได้นำสุนัขตัวนี้ ไปด้วย แล้วก็ทิ้งไว้ มันก็ยืนรอเจ้าของอยู่ตรงนั้นที่เดิม ซึ่งก็ไม่อยากจะตามไปลงโทษ"
           
ผู้สื่อข่าวถามว่า ความตั้งใจเดิมต้องการจะนำสุนัขตัวนี้ ไปเลี้ยงเองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ สุนัขบ้าน ผมมีเยอะอยู่แล้ว 4-5 ตัว แต่อยากให้คนใจบุญนำไปเลี้ยง

'จากลอนดอนถึงอัตตะปือ'


    
      ระริกดีนัก.........
      เอาจริงหรือเอาหลอก เป็นอีกเรื่อง?
      แต่อย่างน้อย.........
      การที่ประเทศไทย อ้างถึง "สนธิสัญญาระหว่างสหราชอาณาจักรและสยาม ปี ๑๙๑๑" ว่าด้วยการส่งตัว
อาชญากรผู้หลบหนีคดีกลับประเทศ ประกอบการร้องขอให้ส่งนารีขี่ม้าขี้เรื้อน กลับมาเข้าคุก
      เท่ากับ "ประจาน" มัน อีกดอก
      ให้สังคมโลกได้รู้ "กระดี่ได้น้ำ" นางนี้ คือ "อาชญากรต่อเนื่อง" ในคดีทุจริตจำนำข้าว มูลค่าหลายแสนล้าน
      ไม่ใช่นักโทษการเมือง-การหมาอะไรที่ไหน!
      อาจถาม แล้วไงต่อ?
      นี่ไง คำตอบจาก "นายกฯ ประยุทธ์"..........
      "เรื่องนี้ เป็นการทำตามขั้นตอน โดย สตช., อสส. และ กต.(กระทรวงการต่างประเทศ) ซึ่งมีหน้าที่ 'ส่งเรื่อง' 
ขอตัว
      แต่เมื่อส่งไปแล้ว สิ่งที่ผมเคยบอก 'เห็น ก็คือ เห็น'
      แต่การที่เราจะไปจับกุมใครในต่างประเทศ เราจับเองไม่ได้ เป็นเรื่องของประเทศนั้นๆ
      ฉะนั้น ถ้าเขายังไม่ตอบเอกสารมาอย่างเป็นทางการ มันก็จับไม่ได้ นั่นคือข้อเท็จจริง
      เหมือนบ้านเมืองเรา ก็มีกฎหมายของเรา ใครขอเรามา เราจะส่งหรือไม่ส่ง ก็ต้องพิจารณาเป็นเรื่องของเรา
 ฉะนั้น ประเทศอื่นเขาก็ทำแบบนี้"
      แล้วอังกฤษว่าไง?
      "กระทรวงต่างประเทศอังกฤษ" ไม่ว่า ส่งให้มหาดไทยของเขาว่า โดยโฆษกกระทรวง ตอบเป็นอีเมล
      “เราถือเป็นนโยบายและแนวทางปฏิบัติตลอดมา เราจะไม่ตอบยืนยัน หรือปฏิเสธ ว่าเราได้ร้องขอหรือได้รับ
การร้องขอในเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
      จนกว่าบุคคลนั้นจะถูกจับกุมตามคำร้องนั้น”
      แปลว่า........
      "จับเมื่อไหร่ แล้วจะบอก
      เมื่อยังไม่บอก แสดงว่ายังไม่จับ"
      จบนะ....ฉากนี้!
      คุยเรื่องอัตตะปือดีกว่า คืออยากบอกอะไรกับชาวเราซักคำ-สองคำ ตามความรู้สึก
      พอดีอ่าน fb อาจารย์ "สมเกียรติ โอสถสภา" เมื่อวาน (๓๑ ก.ค.) ก็อาศัยแตะแขนกรวดน้ำตามไปด้วยเลย
      Somkiat Osotsapa
        เมื่อลาวมีทุกข์ เขื่อนแตก
        ------------------------------
        "วันแรกที่เขื่อนแตก ประเทศใหญ่ๆ ต่างก็ห่วงใย ว่าจะช่วยเหลือผู้ประสบภัยกันอย่างไร เรื่องการช่วยชีวิต
ผู้ติดอยู่บนที่สูง เช่น ต้นไม้ หลังคา อาหาร น้ำ ยา ปัจจัยสี่
        แล้วสำนักข่าวต่างๆ ญี่ปุน จีน ก็รายงานว่า หน่วยกู้ภัยและอาสาสมัครของไทยร่วมพันคน กำลังเดินทาง
เข้าลาว พร้อมด้วยอาหาร น้ำ ยานพาหนะ ตามมาด้วยภาพคาราวานจากประเทศไทย ที่พยายามเข้าสู่อัตตะปือ
        สถานทูต องค์กรต่างประเทศ ก็รายงานจากข่าวเหล่านั้น รวมถึงสื่อไทย โลกโซเชียลรายงานไวมาก
        นี่คือปฏิกิริยาของคนไทย ก่อนที่รัฐบาลไทยจะดำเนินการด้วยซ้ำ
        ในเวลานั้น คนในประเทศลาวก็มึนงงแหละ เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์ฉุกเฉินระดับนี้มาก่อน จะเดินทาง
จากเวียงจันทน์มาถึงอุบล ก็ร่วม 800 กิโลเมตร เดินทางทางฝั่งลาวลำบากมาก
        เมื่อคนลาวทั่วประเทศที่ติดตามข่าวเขื่อนแตกรู้ ก็ล้วนแต่ชื่นชมความผูกพันต่อกันของคนไทย-คนลาว 
ไม่ต้องพูดถึงสนธิสัญญาความร่วมมือใดๆ
        หากผมจะเอาข่าวคนไทยที่รวมกำลังกันโดยไม่ได้นัดหมาย คงจะต้องนำมาลงเพจนี้ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ 
จึงจะหมด ไม่ต้องลงข่าวอะไรแล้ว
        สรุปสั้นๆ
        หนึ่ง รัฐบาลไทยเป็นประเทศแรกที่ต่อสายถึงนายกฯ ลาว พร้อมให้ความช่วยเหลือลาวเต็มที่ในทุกๆ ด้าน 
มอบเองทันที 5 ล้าน
        สอง กู้ภัยของประเทศไทย จากองค์กรต่างๆ 30 องค์กรเข้าไปช่วยลาวแต่วันแรกๆ
        เมื่อวานทางการลาวขอให้ลงทะเบียน มีอยู่ 24 องค์กร
        สาม พี่น้องไทยในจังหวัดภาคอีสาน คือ ขอนแก่น โคราช กาฬสินธุ์ หนองคาย อุบล สกลนคร  มุกดาหาร 
นครพนม อุดร       
        จังหวัดที่ใกล้เคียงในการขนส่งข้ามไปลาว หรือตั้งใกล้สถานกงสุล ร่วมกันส่งข้าวปลา อาหาร เครื่องใช้ 
ส่งไปทางรถกันมากมาย ยังมีชาวตรังในลาวด้วยนะ
        สี่ รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ระดมทุน เช่น ปตท.ทำถุงยังชีพราว 5 ล้าน ราชบุรี โฮลดิ้ง 5 ล้าน  กฟผ.มอบ
ให้การไฟฟ้าลาว 4 ล้าน ประชาชนสมทบผ่านทำเนียบ 34 ล้าน ยังมีเซนทราล กสิกร ซีพี เยอะแยะ สภากาชาด 
เงินยังไม่นับอีกเยอะ จากจังหวัดต่างๆ
        ห้า เที่ยวบิน C 130 บินไปส่งของให้ลาว 6 เที่ยว เยอะสุดในบรรดาประเทศต่างๆ ยังไม่นับเที่ยวบินจาก
กองบิน 21 อุบล ขบวนรถขนของจากไทยเยอะสุด หลายร้อยเที่ยว
        พระราชทานความช่วยเหลือในสองเที่ยวแรก หรือมากกว่านั้น
        หก หน่วยแพทย์ของไทยข้ามไปลาว จากอุบล 30 คน เยี่ยม
        เจ็ด รวมแล้วไทยช่วยราว 200 ล้าน พอเพียงอยู่ได้เป็นเดือน คนสามพันคน
        แปด ได้ความสัมพันธ์ทางใจระหว่างคนไทย-ลาว อย่างดีมาก คนนะครับ ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นๆ
        เก้า ที่สำคัญ เราชี้ว่าบริษัทก่อสร้างต้องรับผิดชอบ รัฐบาลเกาหลีใต้ โดยประธานาธิบดี ช่วยมา 330  ล้าน 
พอชดใช้ค่าเสียหาย
        สร้างบ้าน ที่อยู่ และยังมีโครงการด้านอาชีพต่างๆ ตามมา ข้อขัดแย้งไม่มี
        สิบ ประเทศก็ให้ความช่วยเหลือ
        สิงคโปร์ขนของมาเต็ม C 130 ช่วยเงินอีก 10 ล้านบาท
        เวียดนาม ส่งทหารภาค 5 มาช่วย 100 คน ด้านการแพทย์ ให้เงิน 7 แสนบาท
        จีน ส่งทีมแพทย์มา น่าจะส่งของมาให้เยอะ
        ญี่ปุ่น มาเลย์ ไม่มีรายละเอียด
        เมื่อวาน รัฐบาลลาวบอกว่าอาหาร สิ่งของมีพอแล้ว แล้วที่รวมไว้จะส่งไปยังไง
        ยังช่วยเงินได้อีก
        น้ำแห้งแล้ว อยู่ในขั้นตอนหาผู้สูญหาย
        ประชาชนลาวระดมเงินได้ถึง 15 ล้านบาท มาช่วยครอบครัวผู้ประสบภัย เป็นความสามัคคีครั้งใหญ่ของชาว
ลาว
        สรุป ภารกิจเพื่อมนุษยธรรม เราทำได้ดีทีเดียว ความสำเร็จอีกครั้ง หลังจากถ้ำหลวง กระหึ่มโลกทีเดียว
        ยังมีงานระยะกลางอีกครับ
        ชื่นชมครับ
        ผมสรุปอะไรบกพร่องไปบ้างหรือเปล่า ช่วยเพิ่มเติมนะครับ
        เดี๋ยวจะบอกว่า ทำไมต้องเรียกกู้ภัยกลับบ้าน"
        ครับ.........
      อาจารย์สมเกียรติว่า "เดี๋ยวบอก"
      ขอตัดหน้า "บอก" ในส่วนความเห็นผมก่อนละกัน
      ทั้งในความเป็นเพื่อนมนุษย์ ทั้งในความเป็น "ไทย-ลาว" ที่เหมือนญาติสนิท
      เมื่อพี่น้องที่อัตตะปือ ตกทุกข์ได้ยาก เราไม่รั้งรอ ที่จะรีบไปช่วย ด้วยใจบริสุทธิ์
      แต่ก็นั่นแหละ อัตตะปือก็ "บ้านเขา-เมืองเขา" พี่น้องที่อัตตะปือ ก็คนในปกครองเขา
      ฉะนั้น คำว่า พอดีๆ.......
      อย่าถึงขั้น "เจ้าของบ้าน" เกิดความรู้สึกว่า เรา "ข้ามหน้า-ข้ามตา" เขา จะดีที่สุด
      เจ้าของบ้านเขาออกปากแล้วมิใช่หรือ "สิ่งของบริจาคคนไทย ล้นจนไม่มีที่จะเก็บ?"
      พูดตรงๆ มากจนกลายเป็นภาระเขาแล้ว และมองไม่เห็นว่า ข้าวของเป็นโกดังนั้น จะเดินทางไปถึงมือ-ถึงปาก
ผู้ทุกข์ร้อนได้อย่างไร เมื่อใด?
      จากมาตรการภาครัฐของลาว ที่มีต่อหน่วยความช่วยเหลือไทยที่เข้าไป ถึงตอนนี้ ต้องใช้คำว่า
      "เป็นความปรารถนาดีที่เกินต้องการเขาแล้ว"!
      ไม่อยากใช้คำว่า "เขาเริ่มรังเกียจ"
      แต่อยากบอกว่า "ภาครัฐ" เขาอยากให้หน่วยช่วยเหลือจากไทย "ถอยออกมา" จากบ้านเขา มากกว่าต้องการ
ให้อยู่
      นี่ความรู้สึกผม จากสังเกตท่าทีและการใช้มาตรการไร้เยื่อของเจ้าหน้าที่ลาว ต่อพี่น้องไทยเรา ที่เข้าไปช่วย
เหลือ
      ผมจึงอยากบอกพวกเรา...........
      กลับบ้านเราเถอะ
      ตอนนี้ ที่บ้านเรา หลายพื้นที่ ในหลายจังหวัด ก็กำลังเดือดร้อน พี่น้องของเรา รออยู่นะ
      เก็บความรู้สึกดีๆ ต่อพี่น้องชาวลาวไว้ เก็บใจศรัทธาพวกเราเป็นดาวบนท้องฟ้าในเดือนมืดไว้
      อย่าให้หม่นด้วยเมฆเลื่อนลอยเลย!
      ถึงตอนนี้ เหตุเฉพาะหน้าที่อัตตะปือ ผ่านไปแล้ว ความช่วยเหลือ "เงินทองก้อนโต" จากหลายประเทศ
 เข้าไปแล้ว
      คนของเขา บ้านเมืองของเขา ผู้บริหารประเทศเขา กับปัญหาชาวบ้านของเขา เขาบริหาร-จัดการเขาเองได้
      เราอย่าอยู่จนเป็น "ส่วนเกิน" ในบ้านเขาเลย อยู่แค่เขาพอใจ อย่าให้ถึงขั้นแสดงอาการเสือกไส ก็พอแล้ว
      ใจเรา บริสุทธิ์อย่างไรต่อเขา เรารู้..........
      แต่ใจเขา บริสุทธิ์อย่างไรต่อเรา ด้วยระบบของเขา เราไม่รู้!? 
      ผม "จับท่าที" ได้อย่างนี้ อาจผิดได้
      ดังนั้น ท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะ "เทพผู้ให้" ในร่างไทย ที่ไปอยู่ในอัตตะปือขณะนี้
      รับรู้เช่นไร ก็ให้เป็นไปตามนั้นเถิด.

รายงาน : ฟื้นอดีต ของวลี อาหารดี ดนตรีไพเราะ กับ ประชาธิปัตย์

รายงาน : ฟื้นอดีต ของวลี อาหารดี ดนตรีไพเราะ กับ ประชาธิปัตย์


ขณะที่ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดย นายวิรัตน์ กัลยาศิริ เตรียมฟ้องจดหมายเปิดผนึกของ นายนคร มาฉิม ว่าให้ร้ายต่อพรรคประชาธิปัตย์
“อาหารดี ดนตรีไพเราะ” ก็ดังกังวานใบหน้าของ นายกษิต ภิรมย์ ลอยเด่นขึ้นมาพร้อมกับบรรยากาศไม่ว่าจะเป็นที่ทำเนียบรัฐบาลหรือเมื่อตอนมีการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
นั่นคือ ที่เรียกกันว่า “ปรากฏการณ์สนธิ”
อันเป็นการชุมนุมของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายนปีเดียวกัน และเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2551 ในรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ต่อเนื่องมายังรัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ถามว่า นายกษิต ภิรมย์ เป็นใคร ตอบได้เลยว่าเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์และเคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
อาหารดี ดนตรีไพเราะ
ถามว่าก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ต่อยาวมายังก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 บทบาทของพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างไร
มีส่วนในการ “ปูทาง” และสร้าง “เงื่อนไข” หรือไม่
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คงตอบได้ว่าเหตุใดจึงเดินทางไปเยี่ยม นายสนธิ
ลิ้มทองกุล ณ บ้านพระอาทิตย์
ถ่ายรูปและโอบกอดอย่างสันถวมิตร สนิทสนม
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ คงตอบได้ว่ามีบทบาทอย่างไรกับแกนนำหลายคนในพรรคประชาธิปัตย์ที่ร่วมกันจัดตั้ง “กปปส.” ขึ้น
แม้จะอ้างว่าได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า “มวลมหาประชาชน” ด้านหลักที่ยืนหยัดในการชัตดาวน์ทั้งบนท้องถนนและส่วนราชการใน กทม. และที่เข้าไปปิดล้อมสกัดขัดขวางการเลือกตั้งมีรากฐานมาอย่างไร

ทั้งหมดนี้ปรากฏชัดทั้ง “ภาพ” และ “ข่าว”
ทั้งๆ ที่รายละเอียดและบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ดังได้เสนอเป็นคำถามมามิได้เป็นเรื่องลี้ลับตั้งแต่ก่อนรัฐประหารทั้งปี 2549 และปี 2557
เหตุใด “จดหมายเปิดผนึก” จึงเป็นเรื่องอึกทึกครึกโครม
คำตอบมิได้ซับซ้อนอะไรเลย 1 เพราะว่า นายนคร มาฉิม เคยเป็น ส.ส.พิษณุโลก สังกัดพรรคประชาธิปัตย์มาในห้วงเหตุการณ์นั้นๆ
แม้มิได้เป็นคนดัง แต่ก็เป็นคนหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์
ขณะเดียวกัน 1 บทบาทของ “จดหมายเปิดผนึก” เท่ากับเป็นการเปิดความนัยและข้อสังเกตอันมาจากองคาพยพหนึ่งภายในของพรรคประชาธิปัตย์ คนพรรคประชาธิปัตย์จึงมีความแค้นเคืองอย่างรุนแรง
ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์นำ “จดหมายเปิดผนึก” ไปเป็นประเด็นในการฟ้องร้อง พื้นที่ทางการเมืองในส่วนนี้ก็จะยิ่งขยายออกไป ที่หวังจะ “ปิดปาก” ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
กรณีนี้ได้กลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ไปแล้วอย่างสมบูรณ์
นับวันบทบาทและความหมายของ “จดหมายเปิดผนึก” จะยิ่งขยายวง เพราะพื้นฐานมิได้เป็นเรื่องส่วนตัว ตรงกันข้าม เป็นเรื่องของส่วนรวม
กระแทกโดยตรงไปยัง “รัฐประหาร”
หากสามารถไล่เรียงอย่างรอบด้านก็จะฉายภาพที่ก่อรูปขึ้นผ่าน “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” และ
ต่อเนื่องมายัง “กปปส.”
เท่ากับ “ปูทาง” สร้าง “เงื่อนไข” ไปสู่รัฐประหาร

สถานีคิดเลขที่ 12 : โมเดลชนะขาด : โดย ชุมฉันท์ ชำนิประศาสน์

สถานีคิดเลขที่ 12 : โมเดลชนะขาด : โดย ชุมฉันท์ ชำนิประศาสน์


ฮุน เซนโมเดล กำลังเป็นที่กล่าวขานมากในตอนนี้ หลังจากกัมพูชาเพิ่งจัดการเลือกตั้งแบบสงบเสงี่ยมเรียบร้อยไปเมื่อ 29 ก.ค.
นายกฯ ฮุน เซน กล่าวด้วยความปลาบปลื้ม ว่า การเลือกตั้งนี้ ทั้งฟรีทั้งแฟร์ และยุติธรรมเหลือล้น
หลังจากท่านอยู่ในตำแหน่งผู้นำมา 33 ปี จึงมีลุ้นว่าอาจจะครองอำนาจยาวนานจนทุบสถิติของท่าน โรเบิร์ต มูกาเบ แห่งซิมบับเว ที่เป็นทั้งนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีต่อเนื่อง 37 ปีก็เป็นได้
ท่านมูกาเบนั้นกระเด็นตกเก้าอี้ผู้นำเมื่อปี 2560 เพราะมั่นใจในการอยู่ยาวของตนเองมากเกินไป และประมาทกองทัพมากเกินไป ปล่อยให้ภริยาไปเผชิญหน้ากับทหารจนสุดท้ายต้องหยุดสถิติไว้เพียงเท่านั้น
ส่วนท่าน ฮุน เซน ก็เกือบพลาดท่าเมื่อการเลือกตั้งครั้งก่อน เมื่อปี 2556 ที่ชาวบ้านร่ำลือกันว่าถ้าไฟฟ้าไม่ดับช่วงนับคะแนน เผลอๆ พรรคกู้ชาติที่นำโดย นายสม รังสี ในตอนนั้นเป็นฝ่ายกำชัยไปแล้ว
บทเรียนจากการเลือกตั้งหนก่อนที่พรรคซีพีพีของท่านฮุน เซนได้ที่นั่ง 68 ที่นั่ง ไม่ห่างมากจากพรรคกู้ชาติที่มี 55 ที่นั่ง จากจำนวน ส.ส.ทั้งหมด 123 ที่นั่ง น่าจะทำให้ท่านฮุน เซนส่ายหน้าว่าไม่เอาอีกแล้ว มันหวาดเสียวเกินไป
ถ้าเป็นเกมฟุตบอลต้องยิงให้ขาดชนิด 7-8 ลูก โดยไม่ต้องให้คู่แข่งยิงได้แม้แต่ประตูเดียว
ความคิดนี้น่าจะเป็นที่มาของฮุน เซนโมเดล ซึ่งกวาดที่นั่งทั้งหมดในสภา 125 ที่นั่งไปครอง นอกจากสานอำนาจไร้รอยต่อแล้ว ยังไม่มีสมาชิกฝ่ายค้านมาอภิปรายการตรวจสอบผลการทำงานในสภา จะออกกฎหมายอะไรก็ราบรื่น ขาเก้าอี้ผู้นำก็มั่นคงแข็งแรง
ความสำเร็จที่ดูดีไปโม้ดแบบนี้ จึงทำให้ผู้นิยมประชาธิปไตยใจไม่ดีนัก

ชัยชนะของนายฮุน เซนไม่เป็นที่ยอมรับของชาติตะวันตก เพราะรู้ๆ กันว่าวิธีการปราบคู่แข่งให้เหี้ยนก่อนการเลือกตั้งนั้น มาจากการใช้อำนาจที่มีกฎหมายอยู่ในมือมากเกินไป
ถ้าเปรียบเทียบกับเกมฟุตบอล (อีกครั้ง) ก็เหมือนแจกใบแดงอย่างสนุกมือจนนักเตะทีมคู่แข่งทั้ง 11 ผู้เล่นถูกไล่ออกจากสนามไปหมด จากนั้นก็อ้างว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีพรรคเล็กพรรคน้อยลงสนามถึง 19 พรรค ซึ่งเหมือนการเอาทีมดิวิชั่นห่างชั้นขึ้นมาดวลแข้งด้วยให้ตัวเองดูเก่งเลิศ
เงื่อนไขสำคัญอีกประการในโมเดลชนะขาดก็คือ ต่อให้สหรัฐอเมริกาและยุโรปไม่นิยมชมชอบรัฐบาลฮุน เซนมากแค่ไหน ก็ไม่มีฤทธิ์เดชเท่ากับความใกล้ชิดสนิทสนมที่รัฐบาลจีนมีให้นายฮุน เซน และคณะ
กัมพูชาแสดงตนเป็นมหามิตรของจีนในเวทีการประชุมอาเซียนอย่างชัดเจน เวลาเกิดข้อขัดแย้งการแย่งชิงกรรมสิทธิ์ดินแดนทางทะเล เช่น หมู่เกาะสแปรตลี และพื้นที่อื่นๆ ในทะเลจีนใต้
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่กัมพูชาได้รับจากจีนจึงมีชัดเจนมากเช่นกัน
จากนี้ไปท่านฮุน เซนก็คงบริหารประเทศต่อได้อย่างสบายใจ และพร้อมจะเปิดบ้านกอดกับผู้นำไทยคนไหนก็ได้ที่จะชนะการเลือกตั้งในปี 2562
ไม่ว่าคนคนนั้นจะลอก “ฮุน เซนโมเดล” ไปใช้หรือไม่
ชุมฉันท์ ชำนิประศาสน์

เกินกำลัง

เกินกำลัง



เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
มนุษย์ทุกคนไม่ว่ายากดีมีจน เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตาย ไม่ช้าก็เร็ว
ปี 2564 หรืออีก 3 ปีจากนี้ไป ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมคนแก่อย่างแท้จริง
เพราะจะมีประชากรอายุเกิน 60 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ของประชาชนทั้งประเทศ 70 ล้านคน
ข้อมูลจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่าประชากรชายจะมีอายุเฉลี่ย 80 ปี และประชากรหญิงจะมีอายุเฉลี่ย 84 ปี
พูดง่ายๆ คือผู้หญิงไทยตายช้ากว่าผู้ชาย 4 ปี
หมายความว่าประชากรสูงวัย ต้องดำรงชีวิตโดยไม่มีรายได้ต่อไปอีก 20 ปี หรือ 24 ปี
เรื่องสำคัญมันอยู่ตรงช่วงโค้งสุดท้ายนี่แหละโยม
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า ปัญหาใหญ่ที่ผู้สูงอายุชาวไทยจะต้องเตรียมความพร้อมในช่วงโค้งสุดท้ายของชีวิตให้มั่นคง
จะแก่อย่างไร? จะเจ็บอย่างไร? และจะตายอย่างไร? ไม่ให้เดือดร้อนลูกหลาน และไม่ให้เดือดร้อนตัวเอง??
คือต้องเร่งเก็บออมเงินไว้ก่อนตั้งแต่ยังอยู่ในช่วงวัยทำงาน ให้มีเงินมากพอใช้จ่ายในช่วงวัยชราไปอีก 20 ปี หรือ 25 ปี หรือ 30 ปี
ล่าสุด มีข้อแนะนำจากผู้บริหารสถาบันการเงินชื่อดัง สำหรับการวางแผนออมเงินเตรียมเข้าสู่วัยชราเอาไว้ 3 รูปแบบ ดังนี้คือ...
แบบที่ 1, ถ้าต้องการเกษียณอายุอย่างสะดวกสบาย
ต้องมีเงินเก็บออมไว้ใช้หลังเกษียณไม่ต่ำกว่า 12 ล้านบาทต่อคน เพื่อให้มีเงินใช้จ่าย 6.2 แสนบาทต่อปี หรือ 5 หมื่นบาทต่อเดือน
เงื่อนไขสำคัญ คือ ท่านต้องเริ่มเก็บเงินออมไว้ตั้งแต่อายุ 40 ปี
และต้องเก็บเงินออมให้ได้ไม่น้อยกว่า 5 หมื่นบาทต่อเดือน!!
ใครทำได้ตามสูตรนี้ จะแก่สบาย เจ็บสบาย และตายสบายแน่นอน
แบบที่ 2, ถ้าต้องการมีชีวิตหลังเกษียณอายุเพียงพอต่อการดำรงชีพตามความจำเป็น
ท่านต้องมีเงินออมไว้ไม่ต่ำกว่า 5.8 ล้านบาทต่อคน
เพื่อให้มีเงินใช้จ่ายไม่เกิน 2.9 แสนบาทต่อปี หรือ 24,500 บาทต่อเดือน
เงื่อนไขเหมือนเดิม ต้องเริ่มเก็บออมเงินตั้งแต่อายุ 40 ปี
และต้องเก็บเงินให้ได้อย่างน้อย 14,000 บาทต่อเดือน!!
แบบที่ 3, ถ้าต้องการใช้ชีวิตหลังเกษียณแบบมีลุ้นมีเสียวต้องรัดเข็มขัดใช้จ่ายเฉพาะจำเป็นจริงๆ
ท่านต้องมีเงินออมหลังเกษียณไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาทต่อคน
เพื่อให้มีเงินใช้แก้ขัดหนักขัดเบา 1 แสนบาทต่อปี หรือ 8,300 บาทต่อเดือน
เงื่อนไขเหมือนเดิม คือ ต้องเริ่มเก็บออมตั้งแต่อายุ 40 ปี
และต้องเก็บให้ได้ไม่น้อยกว่า 4,800 บาทต่อเดือน!!
“แม่ลูกจันทร์” เห็นว่า การเตรียมพินัยกรรมชีวิตหลังเกษียณด้วยการเริ่มเก็บออมเงินล่วงหน้าตั้งแต่อายุ 40 ปี ฟังดูเหมือนง่าย...
แต่ยากชะมัดเลย
เพราะคนที่มีอายุ 40 ปี ส่วนใหญ่ไม่มีเงินเหลือพอให้เก็บออม
เมื่อกลายเป็นผู้สูงอายุ จึงไม่มีเงินออมพอใช้จ่ายไปอีก 20 ปี 25 ปี 30 ปี
ยกเว้น ถ้าเป็นข้าราชการมีเบี้ย บำนาญกินน้ำบ่อทรายไปได้ยาวๆ
ส่วนมนุษย์เงินเดือนมีกองทุนประกันสังคมก็จริง
แต่ถ้าไม่มีเงินออมส่วนตัว...ก็อ่วมอรทัย
“แม่ลูกจันทร์” ไม่แน่ใจว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของ คสช.มีมาตรการแก้ปัญหานี้ไว้หรือยัง??
ถ้ายังไม่มี...ต้องทำให้มีซะโดยเร็ว.
"แม่ลูกจันทร์"

โทษคนอื่นยิ่งเข้าเนื้อ

โทษคนอื่นยิ่งเข้าเนื้อ



โชว์ฟอร์มเตะตา ขึ้นชั้น “มวยหลัก” ของ “นายใหญ่” ตั้งแต่เริ่มเลย
กับช็อตที่นายนคร มาฉิม อดีตผู้แทนฯเมืองพิษณุโลก ว่าที่ลูกแถวพรรคเพื่อไทยคนใหม่แสดงอาการ “สำนึกบาป”
ย้อนอดีตฟื้นความหลัง เปิดปฏิบัติการแฉขบวนการ “สมคบคิด”
โค่นล้มรัฐบาลสองพี่น้องตระกูลชิน ทั้งอดีตนายกฯทักษิณและอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
โดยตัวการสำคัญก็คือค่ายประชาธิปัตย์ ต้นสังกัดเก่าของนายนครเอง
เล่นเอาคนยี่ห้อประชาธิปัตย์เกิดอาการ “ดิ้นพล่าน” นั่งไม่ติดกันทั้งพรรค รุ่นใหญ่รุ่นเล็กดาหน้าออกมารุมถล่มนายนครผู้ทรยศแปรพักตร์ ถึงขั้นจะลากขึ้นโรงขึ้นศาลเอาผิดทางกฎหมาย
กลายเป็นฝ่ายที่เจ็บตัวสุดจากเรื่องเก่าเล่าใหม่ อดีตคนในค่ายออกมาตอกย้ำประจาน
คน ปชป.พังบ้านประชาธิปัตย์ ผลงานประเดิมโชว์ “นายใหญ่”
และไม่ใช่แค่นายนครเท่านั้นที่พังบ้านเก่าเข้าบ้านใหม่ ตามข่าวที่ปรากฏตามสื่อยังมีชื่อของ “เสี่ยอ๊อด” นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไปโผล่อยู่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในห้วงเบิร์ธเดย์ “นายใหญ่” เปิดดีลเข้าร่วมพรรคเพื่อไทย
พิจิตร พิษณุโลก “นายใหญ่” บวกเพิ่ม “ตัวเก๋า” ภาคเหนือตอนล่าง
กลบตัวเลขที่หายไปจากอาการเลือดไหลในภาคอีสาน
และตามฟอร์มก็อย่างที่เห็นลีลา ถ้าเป็นอดีต ส.ส.ที่ออกจากพรรคเพื่อไทยไปเข้าค่ายพลังประชารัฐ
โดน “นายใหญ่” กับลูกหาบตามด่าไล่หลังว่าถูกดูด ไม่มีอุดมการณ์
แต่พอดูดคนอื่นไหลเข้าพรรคเพื่อไทย กลับได้รับการอวยเพราะศรัทธาในประชาธิปไตย
อารมณ์แบบที่ “เสี่ยเต้น” นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำพรรคเพื่อไทยสายเสื้อแดง นปช. รีบออกมา “ยกหาง” นายนครทันที ชื่นชมผลงานการตอกย้ำคนประชาธิปัตย์คือไส้ศึกฝ่ายเผด็จการ
โชว์เหลี่ยมการตลาดนำการเมืองอย่างเป็นระบบ “ครบวงจร”
เรื่องของเรื่องกรณีของนายนคร ถ้าย้อนไปดูข้อมูลจริงๆเจ้าตัวออกจากประชาธิปัตย์มาสังกัดพรรคชาติพัฒนาตั้งแต่ปลายปี 2556 ห้วงที่การเลือกตั้งเป็นโมฆะแล้ว และแสดงท่าทีเปิดหน้าโซ้ยกับทหาร คสช.มาตลอดในการลุยแฉทุจริตโครงการขุดลอกบึงในจังหวัดพิษณุโลกร่วมกับทีมงานเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย
ช็อตนี้ก็แค่ย้ำ “แผลเป็น” ให้ประชาธิปัตย์สะดุ้งทุกที
ที่เซอร์ไพรส์ก็คือคิวของนายประดิษฐ์ที่เงียบมาพักใหญ่หลังหลบไปบวชที่วัดป่าในจังหวัดเชียงราย หลายฝ่ายนึกว่าจะวางมือ แต่โผล่อีกทีไปป้วนเปี้ยนที่ลอนดอนห้วงวันเกิด “นายใหญ่”
ในจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อ “ทักษิณ” กำลังมีปัญหาเรื่องท่อน้ำเลี้ยงโดนบล็อกหมด
“เสี่ยอ๊อด” จึงอยู่ในโหมดถูกจับตาเป็น “หัวจ่าย” ใหม่
แต่เช็กข้อมูลวงการนักเลือกตั้งขาใหญ่ วันนี้ “เสี่ยอ๊อด” ก็ไม่ได้จัดอยู่ในข่าย “หน้าตักหนา” สักเท่าไหร่
ประเมินตามแนวโน้มเงื่อนไขสถานการณ์การเมืองห้วงเปลี่ยนผ่าน เซียนเขี้ยวการเมืองส่วนใหญ่มองตรงกัน ในบรรยากาศที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนเลือกตั้ง
อยู่ฝั่งไหนก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊า แตะมือ “เหยียบตีน” กันเล่น ต่างฝ่ายต่างไม่เข้าเนื้อดีกว่า
ในมุมนี้ “เสี่ยอ๊อด” ก็คงหวังกินบุญเก่ายี่ห้อ “ทักษิณ” เกาะขบวนเข้าป้าย
ภายใต้โจทย์ยากๆ “นายใหญ่” ยังต้องคิดหนัก จะสู้จริงจังแค่ไหน
แต่ที่ลำบากยิ่งกว่าก็คือคนยี่ห้อประชาธิปัตย์จะกู้สถานการณ์ยังไง ถูกอดีตคนกันเองพังบ้านยับเยิน
โดยอาการคิดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูก นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ก็โทษรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกฯหัวหน้า คสช. ทำเสียของ เพราะคิดสืบทอดอำนาจ ไปดูด ส.ส.เพื่อไทยทำให้ความน่าเชื่อถือหมดลง
ทำให้ผลสวิงกลับมาอยู่กับฝ่ายยึดอำนาจ
เตะลูกกลับไปเข้าเหลี่ยม “ทักษิณ” ได้โอกาสกลับมายึดประเทศรอบใหม่
แต่พูดไปก็ “เข้าเนื้อ” คนกันเอง เจ็บแปลบๆแสบลึกๆ
ในเมื่อภาพมันฟ้องอยู่หลัดๆ ประชาธิปัตย์ได้รับโอกาสเต็มๆมาแล้ว กับการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร อุ้ม “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ขึ้นเป็นนายกฯ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ก่อนปล่อยเลือกตั้งแพ้ “ทักษิณ” ยับเยิน
นั่นต่างหากที่ชัดเจนว่าทำ “เสียของ”
อะไรไม่ว่า มาถึงตรงนี้ ประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของ “เดอะมาร์ค” ก็ยังออกอาการยึกยัก ทำท่าจะขี่คอทหารกลับมาคุมอำนาจเป็นใหญ่ ส่อพฤติการณ์ให้ฝ่ายคุมเกมไม่ไว้วางใจ
ต้องตั้งค่าย “พลังประชารัฐ” มาเป็นฐานส่วนตัวของ “นายกฯลุงตู่”
เบียดประชาธิปัตย์รูดไปอยู่อันดับสามตามโพล นับวันยิ่งลุ้นไม่ขึ้น
เสียงต่อรองขอเกาะขบวน “ลุงตู่” เบาลงทุกที.
ทีมข่าวการเมือง

อีเวนต์เก่าอีเวนต์ใหม่

อีเวนต์เก่าอีเวนต์ใหม่



อีเวนต์การตลาดประจำสัปดาห์ ก่อนประชุม ครม.
กับลีลาของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ทำขึงขังตึงตัง ระหว่างที่นายฐาปน สิริวัฒนภักดี “เจ้าสัวน้อย” อาณาจักรช้าง ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ นำชมนิทรรศการผลงานความคืบหน้าโครงการประชารัฐ
บ่นลอยๆให้ได้ยินกัน อยากให้ทุกคนช่วยติดตามว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหาอะไรไปบ้าง วันนี้มีเอกชนหลายบริษัทมาทำงานร่วมกับรัฐบาล แต่เวลาทำประโยชน์ให้ประเทศไม่มีใครสนใจ ยืนยันไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กัน เพราะนี่คือระบบของเศรษฐกิจ สื่อวิจารณ์กันไปมาก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น
ว่าแล้วก็ไม่ลืมกระซิบนักข่าวตอนท้าย “เขียนให้มันดีๆหน่อยนะ”
แบไต๋ “ลุงตู่” แสดงออกเลยว่า ตั้งใจ เน้นเหลี่ยมเคลียร์ข้อครหารัฐเอื้อเอกชน
และนั่นก็มองได้ถึงการหวังผลตอกย้ำยี่ห้อ “ประชารัฐ” ในแง่มุมบวก ให้ประชาชนจดจำ
มัดจำแต้มค่ายการเมืองพลังประชารัฐ แหล่งรวมกองหนุนให้ “ลุงตู่” ตีตั๋วต่อ
ในอารมณ์แบบคนที่กำไพ่เด็ดไว้ในมือ รอตีกินแต้มอีกหลายใบ
โดยเฉพาะอีเวนต์ประชุม ครม.สัญจร มุกการตลาดโกยแต้มได้เป็นกอบเป็นกำ ที่ “นายกฯลุงตู่” ประกาศปูทางนำร่อง ยิ่งใกล้เลือกตั้งยิ่งต้องนำคณะหางเครื่องชุดใหญ่จัดคิวเดินสายแบบถี่ยิบ
หิ้วของฝากไปเสิร์ฟพี่น้องประชาชนต่างจังหวัดถึงหัวบันไดบ้าน
บริหารราชการไปพร้อมๆกับการบริหารแต้มการเมืองแบบเนียนๆ
โดยมีโคตรเซียนการตลาดอย่าง “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ กดปุ่มปล่อยโปรโมชันลดแลกแจกแถมยี่ห้อ “ประชารัฐ”
จัดหนัก จัดเต็ม แบบที่ประชุม ครม.สัญจรจังหวัดอุบลฯ อนุมัติงบ 9.7 หมื่นล้านบาท อุดหนุนมาตรการดูแลข้าวปี 2561/62 กำหนดราคาจำนำยุ้งฉางและเงินช่วยเหลือเก็บเกี่ยวปรับปรุงคุณภาพข้าว โดยตัวเลขข้าวหอมมะลิได้ตันละกว่า 17,000 บาท
ลดหลั่นกันลงไปกับข้าวเปลือกเหนียว ข้าวปทุมธานี
อัปราคา ไม่น้อยกว่าโครงการจำนำข้าวของเพื่อไทย
ล่าสุดกระทรวงการคลังเสนอที่ประชุม ครม.อนุมัติโครงการพักชำระหนี้เกษตรกร 3 ปี โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยวงเงิน 1.63 ล้านบาท ช่วยเหลือเกษตรกรที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายได้ 3.81 ล้านราย
ลุยอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
เน้นอุดช่องโหว่ แก้จุดอ่อนที่รัฐบาลโดนโจมตีปมเศรษฐกิจปากท้อง
สอดคล้องกับจังหวะการเคลื่อนตัวของทีมงาน “สามมิตร” โดย “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ปิดสนามกอล์ฟไพน์เฮิร์สทเลี้ยงเช็กยอด ส.ส.แบบเดือนต่อเดือน ล้อกับงานมวลชนที่ “สมศักดิ์ เทพสุทิน”
เดินสายดีลกลุ่มเกษตรกรกลุ่มต่างๆ เป็นนายหน้ารับข้อมูลปัญหาชงให้รัฐบาลออกนโยบายมาซื้อใจชาวนา ชาวไร่
“พลังประชารัฐ” ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ทั้งๆที่ยังไม่เปิดตัวเป็นทางการ
หันไปอีกด้าน ประเมินอีเวนต์การตลาด 2 ช็อตติดๆกัน
จากวันเกิดอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว มาถึงวันเกิดอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย
ฉายหนังม้วนเก่า มุกเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา
“ทักษิณ” ตะโกนด่าข้ามประเทศ เหน็บทหารใส่กระโปรงลายพราง “น้องปู” โชว์ชีวิตดี๊ดีกับลูกน้องสายตรงที่บินไปให้เจ้านายเลี้ยงไอติมถึงลอนดอน ส่งรูปกลับมาเบิ้ลบลัฟฝ่ายคุมเกมอำนาจ
และนั่นก็เจอกับมุกใหม่ ของขวัญวันเกิดจากเมืองไทย
หมายจับใบที่ 5 ของ “นายใหญ่” พร้อมๆกับจังหวะรุกคืบ
คดีลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “เสี่ยโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ถูกนำตัวให้อัยการสูงสุดสั่งฟ้องทุจริตปล่อยกู้แบงก์กรุงไทยให้กลุ่มกฤษดานคร
ล่าสุดสดๆร้อนๆ สำนักข่าวบีบีซีไทยรายงานว่า สถานเอกอัครราชทูตไทยในสหราชอาณาจักร ได้ส่งจดหมายลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 ไปที่กระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ เพื่อร้องขอต่อทางการของอังกฤษโดยอ้างสนธิสัญญาระหว่างสหราชอาณาจักรและสยามปี 1911 ให้ส่งตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมารับโทษในประเทศไทย
ตามรูปการณ์ไม่ได้อยู่เหนือการคาดหมาย
สองพี่น้องตระกูลชินขยับตัวแรง ก็เจอกระตุกชนักปักหลังเข้าลึก
ในสภาพเป็นต่อเกมเลือกตั้ง เป็นรองเกมอำนาจ โจทย์ใหญ่ “ทักษิณ” จะหักดิบ สู้หมดหน้าตัก
หรือแค่ประคองตัวให้รอดช่วงเปลี่ยนผ่าน ไปลุ้นดาบหน้า.
ทีมข่าวการเมือง