PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

สงสัยสัยBRNอ้างความรับผิดชอบ

"พลเอก อักษรา"สงสัย ทำไมBRN ออกมาอ้างความรับผิดชอบ ยันเชื่อ กลุ่มBRN-Marapatani ที่คุยด้วยไม่เกี่ยวเหตุไม่สงบภาคใต้ งง คนอ้างว่าทำเป็นใคร หวังผลอะไร /เลขาฯสมช.ระบุถกสันติสุขจ.ชายแดนใต้ อยู่ในระยะสร้างความเข้าใจ
 
พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนใต้  กล่าวถึงความคืบหน้าการพูดคุยกับกลุ่มเห็นต่างหรือ กลุ่ม MaraPatani  ว่า ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะพูดคุยอีกครั้งเมื่อใด เพราะต้องให้ฝ่ายเทคนิคประสานงานก่อน ซึ่งการพูดคุยไม่ได้หยุดชะงัก มีความต่อเนื่องมาโดยตลอด

เพียงแต่ไม่รวดเร็ว เนื่องจากเราดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะยังอยู่ในระยะสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน 

ส่วนที่สงสัยว่ากลุ่มที่เราพูดคุยมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นในบ้านเราหรือไม่ นั้น เราได้ถามแล้ว ซึ่งเขาก็บอกไม่เกี่ยว แต่เราก็ไม่เชื่อ เพราะเรามีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมจึงมีคนออกมาสารภาพ แล้วคนที่สารภาพตอนนี้หนีไปไหน คนสารภาพ เป็นใครชื่ออะไร BRN ไหน RKK คนไหน ปกติ ไม่เคยมีการออกมาบอกว่า ตัวเองทำ
 “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าใครที่ทำ ก็กระโดดหนีหมด ไม่มีใครออกมา ยอมรับผิด คนที่ออกมารับเองก็ตกใจกระโดดหนีไปแล้ว ตอนนี้ยังหาตัวไม่ได้เลย RKK คนนั้นชื่ออะไร BRN ก็ไม่ได้ทำ แต่ก็พยายามโยงกันอยู่ได้” พล.อ.อักษรา กล่าว
 
เมื่อถามอีก ว่าถ้าไม่ใช่เป็นการกระทำของกลุ่มขบวนการเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดจากภัยแทรกซ้อน พล.อ.อักษรา กล่าวว่า ก็มีทั้งนั้น มีสารพัด แต่ว่าจะทำเพราะอะไร ด้วยเหตุอะไรยังไม่รู้ ส่วนที่มีการมองกันว่า เป็นเรื่องของการรับจ้างนั้น ก็มีความเป็นไปได้ ทั้งนั้นแหละ
 
ส่วนเรื่องข้อเสนอ กำหนด พื้นที่ปลอดภัย พล.อ.อักษรา กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดพื้นที่ จะมีการพูดคุยกันครั้งหน้า

บิ๊กป้อม พอใจงานความมั่นคง ทำประเทศสงบ ชายแดนใต้ เหตุลดลง60%/ ย้ำระเบิด7จ.ใต้ ไม่ใช่ โจรใต้ลามขยายพื้นที่/เตรียมส่งทหารไปSouth Sudan



บิ๊กป้อม พอใจงานความมั่นคง ทำประเทศสงบ ชายแดนใต้ เหตุลดลง60%/ ย้ำระเบิด7จ.ใต้ ไม่ใช่ โจรใต้ลามขยายพื้นที่/เตรียมส่งทหารไปSouth Sudan
พลเอก ประวิตร รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และรมว.กห. แถลง ผลงานฝ่ายความมั่นคง สร้างประเทศสงบเรียบร้อย และ
ที่ชายแดนใต้ สถานการณ์มีแนวโน้ม ดีขึ้น สถิติเหตุรุนแรงลดลง ร้อยละ 60%
โดย ใช้กำลังรวม 6หมื่นคน เป็นทหาร3 หมื่นคน และตำรวจ พลเรือน 2 หมื่นคน
รวมทั้ง ทำระบบฐานข้อมูล ด้านนิติวิทยาศาสตร์
ส่วนเหตุระเบิด 7จ.ใต้ตอนบน นั่น ออกหมายจับ แล้ว6คน แม้จะมาจากชายแดนใต้ แต่ ไม่เชื่อมโยงกับขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่ และไม่ใช่การ ขยายพื้นที่การก่อเหตุ มายังภาคใต้ตอนบน
นอกจากนี้ ยังเผยด้วยว่า นายกฯอนุมัติแล้ว ส่งทหาร หน่วยเฉพาะกิจ ไปร่วมภารกิจรักษาสันติภาพ ที่ South Sudan
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า แก้ไขสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยยึดถือยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ในห้วง 1ปี ที่ผ่านมา จัดกำลังทหาร ตำรวจ และพลเรือน ปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ทั้งงานการรักษาความปลอดภัย และการพัฒนา จำนวน 60,085คน เป็นทหาร 31,634นาย ตำรวจ 18,771 นาย และ พลเรือน 9,680 คน
"สถานการณ์โดยรวมมีแนวโน้มที่ดีขึ้น สถิติการก่อเหตุรุนแรงลดลงประมาณร้อยละ 60" พลเอกประวิตร กล่าว
ส่วน สืบสวนจับกุมคดีวางระเบิดในพื้นที่ภาคใต้ในห้วง 11-12สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้ จับกุมผู้ต้องหา จำนวน 1คน และออกหมายจับ จำนวน 6ราย
" แม้ว่าในทางการสอบสวนจะพบว่าผู้กระทำความผิดมาจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เหตุการณ์นี้ ไม่มีความเชื่อมโยง และไม่ใช่การขยายพื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงขึ้นมาในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ตอนบน"
ส่วน การป้องกันการก่อเหตุร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ บูรณาการทุกภาคส่วนทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศเพื่อป้องกันปัญหาการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งได้มีการจัดเตรียมกำลังเตรียมพร้อม เพื่อเผชิญสถานการณ์และแก้ไขปัญหาได้ทันทีในทุกพื้นที่ของประเทศ
///

ทบ.จัดเทิดเกียรตินายพลเกษียณสมเกียรติ "บิ๊กหมู"นำอำลาเหล่าราบ ที่อุทยานราชภักดิ์

ทบ.จัดเทิดเกียรตินายพลเกษียณสมเกียรติ "บิ๊กหมู"นำอำลาเหล่าราบ ที่อุทยานราชภักดิ์ ศูนย์ฯราบ 26กย. และอำลารวม ที่ รร.จปร.29กย.
พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก ทบ. กล่าวว่า ในระหว่างวันที่ ๑๕ – ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ กองทัพบก โดยหน่วยทหารทั่วประเทศมีกำหนดจัดพิธีเทิดเกียรติและอำลาชีวิตราชการทหารให้กับกำลังพลที่ครบกำหนดเกษียณอายุราชการประจำปี ๒๕๕๙
เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติข้าราชการทหารในทุกระดับที่เกษียณอายุราชการ ซึ่งได้ทุ่มเท มุ่งมั่น ตั้งใจปฏิบัติงานตามภาระหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อกองทัพบก ประเทศชาติและประชาชนมาตลอดระยะเวลาของการรับราชการ
โดยพิธีจะจัดขึ้นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และมีการจัดพิธีอำลา
แยกตามเหล่าสายวิทยาการด้วย โดยลักษณะงานจะมีทั้งพิธีทางศาสนา การสวนสนามเทิดเกียรติ การมอบโล่เกียรติยศ เป็นต้น
สำหรับกำหนดการจัดพิธีอำลาชีวิตราชการทหารของหน่วยต่างๆ ที่สำคัญดังนี้
- วันที่ ๑๖ กันยายน ๕๙ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๘.๓๐ น. พิธีเทิดเกียรติและอำลาชีวิตราชการนายทหารสัญญาบัตรเหล่าทหารช่าง ณ กองบัญชาการกรมการทหารช่าง จ.ราชบุรี
- วันที่ ๑๖ กันยายน ๕๙ เวลา ๐๘.๐๐ – ๑๓.๓๐ น. พิธีอำลาชีวิตราชการและ
เชิดชูเกียรตินายทหารเหล่าทหารปืนใหญ่ ณ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี
- วันที่ ๒๑ กันยายน ๕๙ เวลา ๐๘.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. พิธีอำลาชีวิตราชการและ
เชิดชูเกียรตินายทหารเหล่าทหารม้า ณ ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จ.สระบุรี
- วันที่ ๒๓ กันยายน ๕๙ เวลา ๐๗.๐๐ – ๑๓.๐๐ น. พิธีอำลาชีวิตราชการทหารเหล่าทหารสื่อสาร ณ กรมการทหารสื่อสาร กทม.​
- วันที่ ๒๓ กันยายน ๕๙ เวลา ๐๘.๐๐ – ๑๓.๐๐ น. พิธีเกียรติยศนักรบพิเศษ
ณ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี
- วันที่ ๒๖ กันยายน ๕๙ เวลา ๐๘.๑๕ – ๑๔.๐๐ น. พิธีเทิดเกียรตินายทหารชั้นนายพลเหล่าทหารราบ ณ ศูนย์การทหารราบ จ.ประจวบคีรีขันธ์
- วันที่ ๒๙ กันยายน ๕๙ ตั้งแต่เวลา ๐๘.๒๐ น. เป็นต้นไป “พิธีเทิดเกียรติและ
อำลาชีวิตราชการทหารของนายทหารชั้นนายพล โดยกองทัพบกประจำปี ๒๕๕๙” ซึ่งเป็นการจัดพิธีในนามกองทัพบกเป็นส่วนรวม โดยมีผู้บัญชาการทหารบกเป็นประธาน ณ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จ.นครนายก
ประกอบด้วยการถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, การสวนสนามเทิดเกียรติของ ๑๖ กองพันสวนสนาม และการจัดแสดงยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก
ในปีนี้มีนายทหารชั้นนายพลในสังกัดกองทัพบกเกษียณอายุราชการจำนวน ๒๐๕ นาย เช่น พลเอก ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก,
พลเอก วลิต โรจนภักดี รองผู้บัญชาการทหารบก, พลเอก วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ประธารคณะที่ปรึกษากองทัพบก, พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก

ในทุกปีกองทัพบกจะมีข้าราชการในสังกัดที่เกษียณอายุราชการจำนวนหนึ่ง ซึ่งกองทัพบกเชื่อมั่นว่า กำลังพลที่เกษียณอายุราชการไปแล้วนั้น จะยังคงเป็นบุคคลที่มีคุณค่า สามารถนำความรู้ความสามารถที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาการรับราชการไปสร้างคุณประโยชน์ต่อสังคมและบ้านเมืองโดยรวม รวมทั้งดำรงตนเป็นพลเมืองดีของสังคมต่อไป ในขณะเดียวกันกองทัพบกมีการจัดสรรกำลังพลให้มาปฏิบัติหน้าที่ทดแทนผู้ที่เกษียณอายุราชการ เพื่อขับเคลื่อนงานของกองทัพบกต่อไปเช่นกัน สำหรับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกที่มีพระบรม
ราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ใน ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ นั้น กองทัพบกมีกำหนดจัดพิธีรับ – ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการทหารบกในวันที่
๓๐ กันยายน ๕๙ ณ กองบัญชาการกองทัพบก
​ .............................................
๑๓ กันยายน ๒๕๕๙

บันทึกประวัติศาสตร์

บันทึกประวัติศาสตร์
"วิษณุ เครืองาม" ย้อนอดีต2ปี ม็อบยึดทำเนียบฯ บ้านเมืองวุ่นวาย จนจะเป็นFailed State และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ต้องเอา "ตรา พระปรมาภิไธย" ที่เก็บรักษาไว้ที่ทำเนียบรัฐบาล ไปไว้ที่อื่น แล้วเอากลับมา 3วันหลังการรัฐประหาร 22พค.2557 ไม่น่าเชื่อว่า บ้านเมืองเราเคยอยู่ในสภาพเช่นนั้น เพราะวันนี้ บ้านเมืองสงบฯ
"วิษณุ"นำติดแฮชแท็ก
#ช่วงนั้นร้องไห้หนักมาก

"บิ๊กป้อม" เผย จัดการผู้มีอิทธิพล มาเฟีย เสื้อวิน มอเตอร์ไซค์ หวย ยาเสพติด บ่อนการพนันทั่วประเทศถึง ๖๑๕,๘๘๒ คดี



"บิ๊กป้อม" เผย จัดการผู้มีอิทธิพล มาเฟีย เสื้อวิน มอเตอร์ไซค์ หวย ยาเสพติด บ่อนการพนันทั่วประเทศถึง ๖๑๕,๘๘๒ คดี ผู้ต้องหา ๕๐๓,๗๗๒ คน/ แจงตัวเลข เพียบ ผลงาน จัดระเบียบสังคมทุกด้าน และค้ามนุษย์ และIUU Fishing แรงงาน ขอทาน กำจัดขยะ
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า การดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนรัฐบาลและวาระแห่งชาติ ซึ่งทุกเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการทำให้ประเทศได้รับความเชื่อมั่นในเวทีระหว่างประเทศ และส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
โดยรัฐบาลจะยังคงมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทั้ง การแก้ไขปัญหาข้อตกลงระหว่างประเทศ ได้แก่ การทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม(Illegal, Unreported and Unregulated fishing : IUU Fishing) และการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน
การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ซึ่งประเทศไทยได้รับการยกระดับจาก Tier 3 ขึ้นมาอยู่ในระดับ Tier 2
การคุ้มครองพื้นที่ป่าไม้ โดยบังคับใช้กฎหมายกับนายทุนให้ได้พื้นที่คืน เพื่อจัดสรรเป็นที่ทำกินให้กับราษฎร และฟื้นฟูให้เป็นป่าไม้ที่สมบูรณ์ จำนวนมากกว่า ๙๖,๐๐๐ ไร่ ให้การคุ้มครองพื้นที่ป่าไม้สมบูรณ์กว่า ๑๐๒ ล้านไร่เศษ

กลุ่มที่ ๓ กลุ่มงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง คือ งานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ได้แก่ ช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย
จัดหาที่ดินทำกินให้ราษฎรผู้ยากไร้ในลักษณะ "แปลงรวม" โดยให้ชุมชนดูแลกันเอง จำนวน ๑๐ พื้นที่ใน ๖ จังหวัด
แบ่งพื้นที่เป็น ๗.๖๒๗ แปลง (รวมเนื้อที่ ๓๐,๕๐๐ ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ จำนวน ๕,๖๗๘ ราย)
ลดหรืองดค่าเช่านา (รวมผู้เช่านา ๑๒๕,๒๙๔ ราย ผู้ให้เช่านา ๑๒๘,๕๕๐ ราย พื้นที่การเช่านาที่ได้รับ
การเจรจา ๒,๒๕๖,๓๗๐ ไร่ รวมเป็นเงินที่เจรจาขอลดค่าเช่านาซึ่งประชาชนได้รับประโยชน์ทั้งสิ้น ๔๘,๓๐๑,๐๗๔ บาท)
ส่วนการ จัดหางานและแก้ไขปัญหาแรงงาน
การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย (เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม) (จำนวนมากกว่า ๑.๓ ล้านคน)โดยกำหนดหลักเกณฑ์ และกระบวนการอนุญาตให้มีการจ้างงานและแรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบที่รัฐกำหนด
ด้วยความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ประเทศจะได้รับประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับความมั่นคงของชาติ
ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) จำนวน ๔๔ แห่ง สร้างงาน สร้างรายได้ เพื่อคนไทยทุกคนทุกกลุ่มมีงานทำ (โดยบรรจุงานทั้งบุคคลทั่วไปและผู้พิการแล้ว มากกว่า ๒๐๐,๐๐๐ คน จัดส่งคนไปทำงานต่างประเทศมากกว่า ๕๐,๐๐๐ คน มีรายได้รวมมากกว่า ๑๖๕,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี)
พัฒนาทักษะฝีมือ มีแรงงานที่ผ่านการทดสอบมาตรฐาน (มากกว่า ๕๓,๐๐๐ คน เข้าสู่ระบบการจ้างงานตามฝีมือ ได้ค่าจ้างถึงคนละ ๕๐๐ บาทต่อวัน)
การสร้างความปลอดภัยในการทำงาน(สามารถลดอุบัติเหตุของสถานประกอบการได้จาก ๘.๗๘ คน ใน ๑,๐๐๐ คน เหลือ ๗.๙๖ คน)

ปฏิรูประบบประกันสังคมด้วยการเพิ่มสิทธิประโยชน์ตั้งแต่แรกเกิดจนเสียชีวิต เช่น เพิ่มอัตราค่าทดแทนกรณีสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ และเสียชีวิต เพิ่มค่าจัดการศพ เพิ่มระยะเวลาการจ่ายค่าทดแทนกรณีทุพพลภาพ มีผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ ๑๓ ล้านคน เป็นเงินมากกว่า ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท) รวมทั้งสวัสดิการเงินบำนาญชราภาพให้ผู้ประกันตนภายหลังอายุ ๕๕ ปี ไปแล้ว
การจัดระเบียบสังคมโดยบูรณาการกำลังทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง รักษาความสงบเรียบร้อย
จัดระเบียบสังคมและควบคุมการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งผลที่ได้รับ คือ การสร้างความเป็นธรรมในสังคม ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากการประกอบอาชีพสุจริต และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
การป้องกันประเทศ ด้านปฏิบัติภารกิจป้องกันชายแดน โดยบูรณาการการปฏิบัติระหว่างทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง โดยให้ความสำคัญเร่งด่วนกับพื้นที่ซึ่งมีปัญหาเรื่องเขตแดนและปัญหาภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบต่างๆ ส่งผลให้ประชาชนตามแนวชายแดนมีความมั่นคงปลอดภัย เช่น การป้องกันการลักลอบนำเข้ายาเสพติด สามารถจับกุม ได้จำนวน ๒,๗๒๖ ครั้ง ยึดของกลางยาบ้า ได้ จำนวน ๑๔,๙๗๑,๔๖๕เม็ด เฮโรอีน ๓๒.๗ กิโลกรัม ผู้ต้องหา จำนวน๒,๗๔๙ คน จับกุมแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและผลักดันกลับประเทศต้นทาง ได้จำนวน ๔๔,๗๘๔ คน จับกุมผู้ลักลอบตัดไม้ทำลายป่า จำนวน ๑,๒๖๕ ครั้ง ผู้กระทำผิด ๕๓๑ คน ยึดได้ของกลางไม้ชนิดต่างๆ จำนวน ๒๗,๘๖๓ ท่อน
จัดการกับผู้มีอิทธิพล มาเฟีย เรียกรับผลประโยชน์ เสื้อวิน มอเตอร์ไซค์ สลากกินแบ่งรัฐบาล ยาเสพติด บ่อนการพนัน ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ (มีผลการจับกุมจำนวน ๖๑๕,๘๘๒ คดี ผู้ต้องหารวม๕๐๓,๗๗๒ คน)
ปราบปรามการค้ามนุษย์ (โดยมีผลจับกุม จำนวน ๓๑ คดี ช่วยเหลือและคุ้มครองเด็กผู้เสียหาย จำนวน ๓๒ คน)
จัดระเบียบการค้าขายบนทางเท้า ชายหาดแก้ไขปัญหารถสาธารณะ/รถแท็กซี่ จัดการนักเรียนตีกัน และการแข่งรถในที่สาธารณะ
จัดระเบียบขอทาน (ซึ่งตั้งแต่ปี ๕๗ ถึงปัจจุบัน พบว่ามีขอมีทาน รวม ๔,๖๑๘ คน (คนไทย ๒,๙๒๗ คน และคนต่างด้าว ๑,๖๙๑ คน)) ภายหลังการจัดระเบียบและการบังคับใช้กฎหมาย (พ.ร.บ.ควบคุมการขอทาน พ.ศ.๒๕๕๙) ถึงปัจจุบัน ทำให้คนขอทานในสถานที่สาธารณะต่างๆ มีจำนวนลดลง
การตรวจสถานบริการที่เปิดเกินเวลาและผิดกฎหมายและแหล่งอบายมุข (ตรวจสถานที่จำนวน ๑๓๗,๘๒๖ แห่ง โดยเพิกถอนใบอนุญาต ๕ แห่ง สั่งพักใช้ใบอนุญาต ๘ แห่ง สั่งปิด ๕ ปี จำนวน ๑๓ แห่ง ดำเนินคดีตามกฎหมาย จำนวน ๕๙๕ แห่ง)
การแก้ไขปัญหาขยะสะสมทั่วประเทศ (ทำลายขยะ จำนวน ๒๒.๔๙ ล้านตัน จากปริมาณสะสม ๓๐.๔๙ ล้านตัน คิดเป็น ร้อยละ ๗๓)
ดำเนินการตาม “โครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา” เลียบแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกรวมความยาวประมาณ ๑๔ กิโลเมตรซึ่งในด้านสถาปัตยกรรมจะออกแบบแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ซึ่งประชาชนจะได้รับประโยชน์เพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสามารถเข้าถึงพื้นที่ โดยมีการเชื่อมต่อกับการเดินทางระบบขนส่งสาธารณะทุกระบบ
การจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย ชุมชนคลองลาดพร้าว เพื่อจัดที่อยู่อาศัยให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม และสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ชาวบ้านกับชาวบ้าน และรัฐกับชาวบ้านได้เข้ามาทำงานร่วมกันและจัดให้มีโครงการบ้านมั่นคงเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยอย่างถาวรของประชาชน (ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะมีประชาชนได้รับประโยชน์ ๔๙ ชุมชน จำนวน ๖,๙๕๕ ครัวเรือน)
งานด้านความมั่นคงที่รัฐบาลได้ทำนั้น เพื่อความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของบ้านเมือง งานด้านความมั่นคง นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นเรื่องเฉพาะทหาร และตำรวจเท่านั้น แต่เป็นเรื่อง ที่มีความเกี่ยวข้องกับคนไทยทุกๆ คน เกี่ยวข้องกับการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และการพัฒนาประเทศในมิติอื่นๆ ด้วย ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหารและประชาชน ต้องร่วมมือกัน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศชาติขอให้พี่น้องสื่อมวลชนได้ช่วยกันนำข้อมูลที่ได้รับไปเผยแพร่ให้ประชาชนชาวไทยรับทราบต่อไป

สมคิด จาตุศรีพิักษ์ :"เราไม่ได้ หลงทาง"

"เราไม่ได้ หลงทาง"
"ผม เข้ามา2 ครั้ง แต่มาตอนเศรษฐกิจไม่ดี ไม่เคยได้มาตอนสบายๆปกติ แต่ยืนยันว่า เราไม่ได้หลงทาง เรามาถูกทางแล้ว
"มีเส้นทางง่ายๆ เรา ไม่เดิน เราฉีดเงินเข้าไปได้. แต่เราไม่ทำ เพราะเป็นการเอาเงินของลูกหลานมาผลาญ เราอดทนเดิน เส้นทางลำบาก"
"ขอเถอะ หยุดกระแนะกระแหน ได้แล้ว เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไป แล้วเลือกตั้ง ใครจะมา ก็มาเลย ผมอยู่มาทั้งรัฐบาลเลือกตั้ง และรัฐบาลรัฐประหาร ผมรู้หมด แต่ทำคนเดียว ไม่ได้ ทำเป็นทีม ก็ไม่ได้ แต่ต้องทำทั้งหมด ประชาชนต้องเข้าใจ ตอนนี้บ้านเมือง เราขาด trust ขอให้ มั่นใจว่า เราไม่ทำความเสียหาย และทำให้ดีที่สุด"
: สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แม่ทัพเศรษฐกิจ

มาแล้ว! “ครม.ส่วนหน้า” ม.44 แก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ ตั้ง “ผู้แทนพิเศษรัฐบาล” เทียบเท่า “ผู้แทนการค้าไทย”

  ม.44 ตั้ง “ครม.ส่วนหน้า” แก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ ให้อำนาจนายกฯ แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ มีประสบการณ์ ชงเป็น “ผู้แทนพิเศษรัฐบาล” ภายใต้ชื่อ “คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ คปต. ให้ สลน.-คลังจัดค่าตอบแทน-สิทธิประโยชน์-โอนงบฯ เทียบเท่าผู้แทนการค้าไทย-ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประสานงาน กอ.รมน.-ศอ.บต.จังหวัด แก้ปัญหาทั้งระบบ
       
       วันนี้ (15 ก.ย.) ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 57/2559 เรื่องการปรับปรุงการบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนี้
       
       “ตามที่ได้ดําเนินการตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๙๘/๒๕๕๗ เรื่อง การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ และคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๑๔/๒๕๕๙ เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหาร และการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการกําหนดอํานาจหน้าที่ของกองอํานวยการรักษาความมั่นคง ภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาแล้วระยะหนึ่ง นั้น
       
       สถานการณ์ได้คลี่คลายมาเป็นลําดับ ความรับรู้ความเข้าใจปัญหาและความร่วมมือจาก ภาคส่วนต่างๆ ในการแก้ไขปัญหามีมากขึ้น ประชาชนเชื่อมั่นในมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อยมากขึ้น ทั้งยังได้ดําเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างอาชีพสร้างรายได้ การพัฒนาคุณภาพชีวิต การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ การให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน และการแก้ปัญหาเร่งด่วน ตอบสนองข้อเรียกร้อง ของประชาชนหลายเรื่อง เช่น ปัญหายาเสพติด ทั้งนี้ เพื่อให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม อย่างสันติสุข ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีความสะดวกสบายในการทํามาหากิน ได้รับความสงบร่มเย็น มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สามารถร่วมกันพัฒนาและปฏิรูปประเทศตามแนวทางประชารัฐ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยไม่ทอดทิ้งผู้ใดไว้ข้างหลัง
       
       การจะดําเนินการเช่นว่านี้ให้ได้ผลสมบูรณ์จําเป็นต้องบูรณาการแผนปฏิบัติการ แผนงาน และ โครงการทั้งหลายในด้านความมั่นคงและการพัฒนาในพื้นที่เพื่อให้ประสานสอดคล้องทุกมิติ ดังที่คณะรักษา ความสงบแห่งชาติ ได้กําหนดระดับการบริหารไว้แล้วเป็น ๓ ระดับได้แก่ ระดับนโยบาย ระดับแปลงนโยบาย ไปสู่การปฏิบัติ และระดับหน่วยปฏิบัติ เมื่อได้ดําเนินการเช่นว่านี้มาแล้วระยะหนึ่ง สมควรยกระดับ และปรับปรุงการบริหารขั้นต่อไปเพื่อให้การแก้ไขปัญหา การพัฒนา และการสร้างความรับรู้ความเข้าใจ บนพื้นฐานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาคประชาสังคม ภาคเอกชนและภาคประชาชน ในพื้นที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในลักษณะบูรณาการและเป็นเอกภาพ มีความคล่องตัวและรวดเร็วทันต่อปัญหา และความต้องการของประชาชนในการปฏิบัติภารกิจเชิงยุทธศาสตร์ และเชิงพื้นที่ที่มีสภาพปัญหาพิเศษ และต้องการปัจจัยเกื้อหนุนการทํางานแตกต่างจากพื้นที่อื่น ทั้งต้องให้มีความคล่องตัวในการบริหารงานบุคคล และการบริหารงบประมาณ ตลอดจนทรัพยากรต่าง ๆ ทํานองเดียวกับที่เคยใช้ในการแก้ไขปัญหาอื่น และในพื้นที่อื่นได้ผลมาแล้ว โดยมีแกนนําของกลไกการบริหารจัดการในพื้นที่เข้ามาบูรณาการส่วนที่ยัง ไม่มีเอกภาพ และปรับปรุงแก้ไขส่วนที่หย่อนประสิทธิภาพในการปฏิบัติและการพัฒนา อันจะเป็นประโยชน์ ต่อการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ อํานวยประโยชน์ต่อราชการแผ่นดิน และการปฏิรูปการแก้ไขปัญหา จังหวัดชายแดนภาคใต้
       
       อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
       
       ข้อ ๑ ให้กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และศูนย์อํานวยการ บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ปฏิบัติหน้าที่และมีอํานาจในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยมีคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) เป็นฝ่ายบูรณาการงานในระดับแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๙๘/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗
       
       ข้อ ๒ ในกรณีเห็นสมควร นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีอาจแต่งตั้ง ผู้ทรงคุณวุฒิและมีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นผู้แทนพิเศษของรัฐบาล มีหน้าที่ประสานงานระหว่างคณะรัฐมนตรีและราชการส่วนกลางกับหน่วยงานในพื้นที่ ประสานงานกับ รัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในเขตตรวจราชการจังหวัด ชายแดนภาคใต้ และประสานงานกับ คปต. กอ.รมน. ศอ.บต. จังหวัด ส่วนราชการ และภาคส่วนต่างๆ ในการเชื่อมโยงงานให้เกิดการบูรณาการ และปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติและการพัฒนา ตลอดจนให้คําแนะนําแก่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่โดยไม่ขัดต่อกฎหมายและไม่มีอํานาจวินิจฉัยสั่งการ และให้รายงาน ปัญหา อุปสรรค ตลอดจนเสนอแนวทางการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและประธาน คปต. อาจมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่อื่นด้วยก็ได้
       
       ในกรณีที่มีผู้แทนพิเศษของรัฐบาลหลายคน นายกรัฐมนตรีอาจกําหนดหน้าที่และอํานาจของ ผู้ดํารงตําแหน่งดังกล่าวแต่ละคนให้รับผิดชอบเป็นการเฉพาะเรื่องก็ได้
       
       ให้ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เป็นกรรมการ คปต. และให้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังจัดให้ผู้แทนพิเศษ ได้รับค่าตอบแทน และสิทธิประโยชน์ ตามความเหมาะสมโดยคํานึงถึงตําแหน่งในลักษณะเดียวกัน เช่น ผู้แทนการค้าไทยหรือกรรมการ ผู้ช่วยรัฐมนตรี ให้มี สํานักงาน คปต. ส่วนหน้าตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อปฏิบัติงานด้านธุรการ ตามที่ประธาน คปต. มอบหมาย และให้เจ้าหน้าที่สํานักงาน คปต. ส่วนหน้าได้รับค่าตอบแทนและ สิทธิประโยชน์ตามระเบียบของทางราชการ
       
       ข้อ ๓ เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การโอนหรือการนํารายจ่าย ที่กําหนดไว้สําหรับส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจใดตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมไปใช้สําหรับส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจอื่น นอกเหนือจากกรณีตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ เพื่อการขับเคลื่อน การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้กระทําได้ ทั้งนี้ ตามระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์การโอนงบประมาณ ที่ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณกําหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และหากเป็นการโอน งบประมาณข้ามแผนงานจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน
       
       การโอนงบประมาณของส่วนราชการเดียวกันจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปดําเนินการในพื้นที่อื่น ต้องได้รับความเห็นชอบจาก คปต. หรือตามระเบียบที่ คปต. กําหนดก่อนจะดําเนินการต่อไป
       
       ข้อ ๔ ให้นายกรัฐมนตรีมีอํานาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อ ๒ ของคําสั่งนี้ได้ตามความจําเป็น
       
       ข้อ ๕ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
       
       สั่ง ณ วันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๙
       
       พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
       หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ”
       
       ก่อนหน้านั้น สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ผู้ที่ได้รับคาดหมายว่าจะมีชื่อใน “ครม.ส่วนหน้า” หรือ “รัฐบาลส่วนหน้า” เช่น นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต. ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้, พล.อ.ปราการ ชลยุทธ รองเสนาธิการทหาร อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างสูงจากภาคประชาสังคม และเก่งงานมวลชน โดย พล.อ.ปราการก็จะเกษียณอายุราชการในสิ้นเดือนนี้เช่นกัน นอกจากนั้นยังมี พล.อ.สกล ชื่นตระกูล อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รวมถึง พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 อีกคนหนึ่งด้วย
       
       สำหรับรัฐมนตรีที่คาดว่าจะได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้า “ครม.ส่วนหน้า” มีข่าวว่าอาจจะเป็น พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งรับผิดชอบงานด้านการศึกษาที่ชายแดนใต้เป็นหลักอยู่แล้ว

สนช.ลงมติพรบ.แก้ป.วิอาญาป้องกันจำเลยหนีการลงโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล

วันนี้ที่ 15 กันยายน 2559 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติให้แก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 และมาตรา 216 อันเป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวด้วยการยื่นอุทธรณ์และยื่นฎีกาของจำเลย คือ
.....ตามมาตรา 198 บัญญัติว่า ถ้าจำเลยที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกและไม่ได้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ หากจำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ จำเลยจะต้องมาแสดงตัวต่อเจ้าพนักงานศาลในขณะยื่นอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
.....การยื่นฎีกาตามมาตรา 216 ก็ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 198 มาใช้บังคับคือ ถ้าจำเลยที่ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกและไม่ได้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ หากจำเลยฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา จำเลยจะต้องมาแสดงตัวต่อเจ้าพนักงานศาลในขณะยื่นฎีกา มิฉะนั้นให้ศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกา
.....กล่าวโดยสรุปก็คือเมื่อร่างพระราชบัญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จำเลยที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจะยื่นอุทธรณ์ หรือศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจะยื่นฎีกา ถ้าจำเลยมิได้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ จำเลยจะต้องไปแสดงตัวต่อเจ้าพนักงานศาลในขณะยื่นอุทธรณ์หรือยื่นฎีกา มิฉะนั้นศาลจะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์หรือฎีกา
.....ต่อจากนี้ไปจำเลยที่หลบหนีการลงโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลจะให้ทนายความยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาแทนไม่ได้อีกแล้ว
.....การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังกล่าว เป็นแก้ไขให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่ได้บัญญัติในเรื่องการยื่นอุทธรณ์และยื่นฎีกาไว้ในทำนองเดียวกันและมีผลใช้บังคับแล้ว
.....สภานิติบัญญัติแห่งชาติควรแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในบทบัญญัติส่วนที่เกี่ยวกับคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ด้วยว่า ถ้าจำเลยที่หลบหนีการลงโทษตามคำพิพากษาของศาล ห้ามมิให้เป็นโจทก์ฟ้องคดีต่อศาล เพราะเมื่อตนเองไม่ยอมรับโทษตามคำพิพากษาของศาล ก็ไม่ควรให้มีสิทธิฟ้องบุคคลอื่นต่อศาลได้

ศาลฎีกาจำคุก 2 ปี คนขายหนังสือต้องห้าม “กงจักรปีศาจ”

ศาลฎีกาจำคุก 2 ปี คนขายหนังสือต้องห้าม “กงจักรปีศาจ”
ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาศาลฎีกาคนขายหนังสือเร่วัย 67 ปี ในความผิดฐานหมิ่นสถาบันกษัตริย์ เนื่องจากขายหนังสือกงจักรปีศาจซึ่งเป็นหนังสือต้องห้ามและมีเนื้อหาหมิ่นพระมหากษัตริย์ โดยศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี และลดโทษเหลือ 2 ปี เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อคดี
จำเลยรายนี้ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลลุมพินีจับกุมเมื่อวันที่ วันที่ 2 พ.ค.2549 เนื่องจากไปตั้งแผงขายหนังสือบริเวณสวนลุมพินี ซึ่งมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) โดยตำรวจได้ทำการยึดหนังสือกงจักรปีศาจและวารสารฟ้าเดียวกัน ฉบับสถาบันกษัตริย์กับสังคมไทย (ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม 2548) หรือที่เรียกกันว่า ปกโค้ก ไปอย่างละ 1 เล่ม ในชั้นสอบสวนเขาให้การปฏิเสธและได้รับการประกันตัวโดยวางหลักทรัพย์เป็นเงิน 40,000 บาท ศาลชั้นต้นตัดสินว่าจำเลยไม่มีเจตนาในการกระทำผิด จากนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษากลับลงโทษจำคุกจำเลยเป็นเวลา 3 ปี แต่ลดโทษให้เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี จึงลดโทษเหลือ 2 ปี และวันนี้ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ทนายความจำเลยเผยว่า ศาลฎีกาลงโทษสามปีเป็นโทษขั้นต่ำของมาตรา 112 และศาลระบุว่าลงโทษต่ำสุดแล้ว อย่างไรก็ตามศาลตัดสินให้จำเลยรับโทษโดยไม่รอลงอาญา โดยนายยิ่งชีพระบุว่า ทั้งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดเพราะจำเลยขายหนังสือเร่เป็นอาชีพ และขณะถูกจับกุมนั้น พบว่าจำเลยขายวารสารฟ้าเดียวกันด้วย ซึ่งฟ้าเดียวกันก็เคยถูกสั่งเป็นหนังสือต้องห้าม อย่างไรก็ตาม ในการไต่สวนไม่มีการหยิบเนื้อหาของวารสารฟ้าเดียวกันมาพิจารณาแต่อย่างใด
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ซึ่งลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศขณะนี้เคยเขียนถึงหนังสือ “กงจักรปีศาจ” ไว้ในบล็อกเก็บผลงานบทความของตนเองว่าเป็นหนังสือที่มีสถานะเป็น “ตำนาน” ในหมู่ผู้สนใจการเมืองเนื่องจากกล่าวถึงกรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และกลายเป็นหนังสือ “ต้องห้าม” ผิดกฎหมาย ไม่สามารถมีไว้ในครอบครองได้ แต่มีการเผยแพร่ออกมาเป็นภาษาไทยในปี 2517 โดยหน้าปกระบุผู้เขียน Rayne Kruger และแปลโดย ร.อ.ชลิต ชัยสิทธิเวช ร.น.

6 องค์กรวิชาชีพสื่อ ยื่นจม.เปิดหนึก "ร่างกม.มาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน"

ตัวแทน 6 องค์กรวิชาชีพสื่อ เข้าพบ ประธาน กมธ. การปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน เพื่อยืน จ.ม.เปิดผนึก เรื่อง "ร่างกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน"
(15 ก.ย. 59) ตัวแทน 6 องค์กรวิชาชีพสื่อ โดย นายเทพชัย หย่อง นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ / นายวันชัย วงศ์มีชัย นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และ นายชวรงค์ ลิมปัทมปาณี ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึก เรื่อง การจัดทำร่างกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน โดยมี พลอากาศเอกคณิต สุวรรณเนตร ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารรัฐสภา 1 และนำเข้าพิจารณาในการประชุมเช้านี้

จดหมายเปิดผนึก
เรื่อง การจัดทำร่างกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน
เรียน ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน

ตามที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) โดยคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน ได้ดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ............... เพื่อดำเนินการส่งให้คณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไปตามความทราบแล้วนั้น
องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ๖ องค์กร ประกอบด้วย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ได้ติดตามและได้รับเชิญไปแสดงความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายดังกล่าวหลายครั้ง เพื่อให้การยกร่างกฎหมายเป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ผ่านการลงประชามติเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ ซึ่งยังคงหลักการสำคัญในการรับรองสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยอิสระและปราศจากการแทรกแซงใดๆ จากการเมือง อันจะทำให้สิทธิการรับรู้ข่าวสารอย่างรอบด้านของประชาชนสูญเสียไป
อย่างไรก็ตาม จากร่างกฎหมายดังกล่าวล่าสุดที่คณะกรรมาธิการดังกล่าว ได้นำมารับฟังความคิดเห็นเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๙ พบว่ามีเนื้อหาบางประการที่สอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรมที่องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนดำเนินการอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีเนื้อหาอีกบางส่วนที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญข้างต้น องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง ๖ องค์กร จึงขอเสนอความเห็นมายังคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ดังต่อไปนี้

- ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน
พ.ศ. ............... เป็นร่างพระราชบัญญัติที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ผ่านการลงประชามติเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ ซึ่งมีหลักการสำคัญในการรับรองสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยอิสระและปราศจากการแทรกแซงใดๆ จากการเมือง ดังนี้
๑) การกำหนดให้มีการจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติให้เป็นองค์กรตามกฎหมายที่มี
อำนาจในการลงโทษตามกฎหมายแก่ผู้ประกอบวิชาชีพและองค์กรสื่อมวลชน ย่อมเป็นการเปิดช่องให้มีการแทรกแซงการทำหน้าที่อย่างเป็นอิสระของสื่อมวลชนของฝ่ายการเมืองโดยผ่านสภาวิชาชีพดังกล่าว เช่น การแทรกแซงกระบวนการสรรหา โดยการจัดตั้งองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างแท้จริง เข้ามาเป็นสมาชิกของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ
๒) การร่างกฎหมายดังกล่าว ควรยึดโยงกับร่างรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการมุ่งเน้น
การคุ้มครองเสรีภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ทั้งในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ขณะที่การส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน เป็นหน้าที่ขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ในการกำกับดูกันเองในสื่อหนังสือพิมพ์ หรือการกำกับดูแลร่วมกับองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระในกรณีของสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ไม่ใช่การร่างกฎหมายให้มีองค์กรตามกฎหมายที่มีความเสี่ยงต่อการถูกแทรกแซงมาควบคุมองค์กรวิชาชีพอีกชั้นหนึ่ง ขณะเดียวกัน ควรมีการเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการกำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชนให้มากขึ้น
จากเหตุผลและข้อมูลข้างต้น องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง ๖ องค์กร ขอเสนอข้อคิดเห็นดังกล่าว มายังคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สภาการขับเคลื่อนประเทศ ให้พิจารณาทบทวนการเสนอกฎหมายที่มีเนื้อหาขัดกับเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญ และการธำรงไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชน ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสืบไป
สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
สมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย
๑๕ กันยายน ๒๕๕๙

"แก้วขวัญ" เลขาธิการพระราชวัง ถึงแก่อสัญกรรมภาวะปอดติดเชื้อ ในวัย 88 ปี

"แก้วขวัญ" เลขาธิการพระราชวัง ถึงแก่อสัญกรรมภาวะปอดติดเชื้อ ในวัย 88 ปี
ศาสตราจารย์ นพ.ประสิทธิ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า นายแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการพระราชวัง ถึงแก่อสัญกรรมแล้วเมื่อเวลา 10.02 น. ที่ผ่านมา ด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หลังจากเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช ด้วยภาวะหัวใจขาดเลือด โดยมีการผ่าตัดและอยู่ในความดูแลของแพทย์มาระยะหนึ่ง แต่ด้วยความที่สูงอายุ จึงเกิดอาการสำลัก ปอดติดเชื้อ
ทั้งนี้ นายแก้วขวัญ วัชโรทัย เกิดเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2471 เป็นบุตรของพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร (กาด วัชโรทัย) และท่านผู้หญิงอนุรักษ์ราชมณเฑียร (พัว วัชโรทัย) มีศักดิ์เป็นหลานน้าในสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระสุจริตสุดา (เปรื่อง สุจริตกุล) พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดย ชื่อ แก้วขวัญ เป็นชื่อพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมรสกับ ท่านผู้หญิงเพ็ญศรี วัชโรทัย (หม่อมหลวงเพ็ญศรี ศรีธวัช) มีบุตร-ธิดา 3 คน ประกอบด้วย
1. นางรัตนาภา เทวกุล ณ อยุธยา (สมรสกับ หม่อมหลวงทศนวอมร เทวกุล)
2. นายรัตนาวุธ วัชโรทัย ที่ปรึกษาฝ่ายกิจกรรมพิเศษ สำนักพระราชวัง และ
3. นายวัชรกิตติ วัชโรทัย กรมวังผู้ใหญ่ สำนักพระราชวัง
นายแก้วขวัญ เริ่มรับราชการที่สำนักพระราชวัง ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2493 ทำหน้าที่มหาดเล็กและนายเวรห้องพระบรรทม เป็นช่างถ่ายภาพยนตร์ส่วนพระองค์ ตามเสด็จฯ ไปถ่ายทำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ตามจังหวัดต่าง ๆ และต่างประเทศเกือบทั่วโลก เป็นผู้จัดทำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉาย
พ.ศ. 2505 เป็นผู้ช่วยหัวหน้ากองมหาดเล็ก ผู้จัดการโรงโคนมสวนจิตรลดา ผู้กำกับราชการส่วนสวนพระราชวังดุสิต และเป็นผู้จัดการกองทุนสวัสดิการในพระบรมราชูปถัมภ์
พ.ศ. 2509 รับพระมหากรุณาพระราชทานให้อุปสมบทเป็นนาคหลวงในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และจำพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร
พ.ศ. 2515 หลังจบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายการเงิน มีหน้าที่ตรวจตราและควบคุมการบริหารงานในกองคลังเพิ่มเติมจากหน้าที่เดิม
พ.ศ. 2521 เลื่อนเป็นรองเลขาธิการพระราชวัง คนที่ 2
พ.ศ. 2530 โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพระราชวัง เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 และโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา โดยดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการพระราชวังมาถึง 29 ปี จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
นายแก้วขวัญ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ปฐมจุลจอมเกล้า, มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก, มหาวิชรมงกุฎ, ปฐมดิเรกคุณาภรณ์, เหรียญรัตนาภรณ์ ร.9 ชั้นที่ 2 และเหรียญราชอิสริยาภรณ์อื่นๆ