PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ถอดยศ-เรียกคืนเครื่องราชฯ “พ.ท.หิมาลัย” เหตุถูกจำคุก “คดีบาร์เบียร์”

พันโท หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ต้องโทษคดีรื้อบาร์เบียร์ (ภาพเล็ก) คราวนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ถูกกศาลสั่งจำคุกเมื่อต้นปี 2559
        โปรดเกล้าฯ ถอดยศ-เรียกคืนเครื่องราชฯ “เสธ.หิ” พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ เหตุถูกจำคุก “คดีบาร์เบียร์” จากความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ กรณียกพวกบุกรื้อบาร์เบียร์สุขุมวิท
       
       วันนี้ (15 มิ.ย.) มีรายงายว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอดยศทหารและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์
       
       ทั้งนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอด พันโท หิมาลัย ผิวพรรณ ออกจากยศทหาร ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ลงโทษจำคุกเนื่องจากมีความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.ยศทหาร พ.ศ. 2479 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ยศทหาร (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2501 ประกอบกับระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควรจะดํารงอยู่ในยศทหาร และบรรดาศักดิ์ พ.ศ. 2507 ข้อ 2 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นตริตาภรณ์ มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก และจัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย ที่บุคคลดังกล่าวได้รับพระราชทานอีกด้วย
       
       โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
       
       สำหรับ พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ เป็นผู้ต้องหาในคดีเข้าบุกรุกทำให้เสียทรัพย์ กักขังหน่วงเหนี่ยว กรณีรื้อบาร์เบียร์ย่านสุขุมวิทปี 2546 โดยร่วมกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย และจำเลยอีกหลายคน ต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้ พ.ท.หิมาลัย ต้องโทษจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา โดยศาลให้เหตุผลว่าเพราะการกระทำของ พ.ท.หิมาลัยเป็นการเข้าไปครอบครองพื้นที่โดยอุกอาจ ไม่ยำเกรงกฎหมาย ไม่ได้ใช้กฎหมายที่มีอยู่ดำเนินการให้ถูกต้อง
       
       


ถอดยศ-เรียกคืนเครื่องราชฯ “พ.ท.หิมาลัย” เหตุถูกจำคุก “คดีบาร์เบียร์”

‘พล.ต.ต.ทรงวุฒิ’อดีตผู้การนนท์ คนสนิท ‘เพรียวพันธ์’ ยิงตัวตายบ้านพัก



เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 มิถุนายน พนักงานสอบสวนสน.หัวหมาก รับแจ้งเหตุ ชายใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิต ในบ้านเลขที่ 9 ซอยรามคำแหง 54 (ซอยมหาสิน) ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ รุดไปพร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน(พฐ.) แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ และอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู



ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์สูง 3 ชั้น ปลูกติดกันหลายคูหา บริเวณชั้นล่างของบ้านพบรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่นอี 200 สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ชว 5627 กรุงเทพมหานคร จอดอยู่ จากการตรวจสอบประตูหลังด้านขวา พบศพพล.ต.ต.ทรงวุฒิ ถวัลย์กิจดำรงค์ อายุ 68 ปี อดีตข้าราชการตำรวจ โดยเกษียณราชการตำแหน่งสุดท้ายผบก.ภ.จว.นนทบุรี เมื่อปี 2552 สภาพศพสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงผ้าแพรขายาวสีชมพู มีบาดแผลถูกยิงเข้าที่ขมับขวาทะลุซ้ายจำนวน 1 นัด ใกล้กันพบอาวุธปืนลูกโม่ ขนาด.38ตกอยู่ เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวนเพื่อนบ้านทราบว่า บ้านหลังดังกล่าวพล.ต.ต.ทรงวุฒิ อาศัยอยู่กับภรรยาและลูกชายรวม 3 คน ปกติจะเก็บตัวอยู่ในบ้านกับครอบครัว และหลังเกษียณอายุราชการ เข้ารักษาตัวโรคซึมเศร้าที่โรงพยาบาลรามาธิบดี บางครั้งพล.ต.ต.ทรงวุฒิ ออกมากินข้าวบริเวณใกล้บ้าน มักจะหยิบยาออกมากินด้วยเป็นประจำ ก่อนเกิดเหตุได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด แต่ไม่มีเสียงคนทะเลาะกันหรือสิ่งผิดปกติอื่นแต่อย่างใด
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า ผู้เสียชีวิตอาจจะเครียดเนื่องจากป่วยด้วยโรคประจำตัวมานานหลายปี ขณะเกิดเหตุอยู่บริเวณชั้นล่างของบ้านเพียงลำพัง ส่วนภรรยาอยู่บนบ้าน ก่อนตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงตัวตายดังกล่าว อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ได้นำศพส่งชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมสอบปากคำญาติเพื่อสรุปหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุ พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผู้ช่วยผบ.ตร.) เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วย เนื่องจากผู้เสียชีวิตเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา สำหรับพล.ต.ต.ทรงวุฒิ นั้นเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีตผบ.ตร. และมีความสนิทกับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) และพล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรองผบช.ก. อีกด้วย

ประยุทธ์งัด ม.44 สั่งจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี ฟรี ต้องมีมาตรฐานและคุณภาพ W


ed, 2016-06-15 18:36

ประยุทธ์ ใช้ ม.44 ตาม รธน.ชั่วคราว ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. เรื่อง ให้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี ให้มีมาตรฐานและคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
15 มิ.ย.2559 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 28/2559 เรื่อง ให้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เป็นผู้ลงนาม
คำสั่งระบุว่า ตามที่กฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติกําหนดให้รัฐต้องจัดให้บุคคลได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายนั้น รัฐบาลที่ผ่านมามีนโยบายจัดการศึกษาดังกล่าวโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย เป็นเวลา 15 ปี ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 13 ม.ค. 2552 โดยขออนุมัติตั้งงบประมาณเป็นรายปี และขยายขอบเขตการดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลแต่ละคณะมาเป็นลําดับ หัวหน้าคณะรักษาความสงบ แห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นว่าโดยที่เรื่องนี้สอดคล้องกับนโยบายด้านการศึกษาของคณะรักษาความสงบ แห่งชาติ และนโยบายปฏิรูปการศึกษาของรัฐบาล ทั้งสามารถลดความเหลื่อมล้ํา สร้างโอกาสทางการศึกษา และความเป็นธรรมในสังคม แก้ปัญหาความยากจน ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน จึงสมควรยืนยันแนวทางดังกล่าวและพัฒนาต่อไป ด้วยการยกระดับจากการเป็นโครงการตามนโยบายของแต่ละรัฐบาลให้เป็นหน้าที่ของรัฐและมาตรการ ตามกฎหมาย เพื่อเป็นหลักประกันความยั่งยืนมั่นคง และเพื่อให้สามารถจัดงบประมาณสนับสนุน ได้อย่างต่อเนื่อง
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ในคําสั่งนี้ “ค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษา” หมายความว่า งบประมาณที่รัฐจัดสรรให้แก่หรือผ่านทางสถานศึกษา หรือผู้จัดการศึกษาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี
“การศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี” หมายความว่า การศึกษาตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษา (อนุบาล) (ถ้ามี) ระดับประถมศึกษา จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช. 3) หรือเทียบเท่า และให้หมายความรวมถึงการศึกษาพิเศษและการศึกษาสงเคราะห์ด้วย
“การศึกษาพิเศษ” หมายความว่า การจัดการศึกษาให้แก่บุคคลซึ่งมีความผิดปกติอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งจําเป็นต้องจัดการศึกษาให้เป็นรูปแบบโดยเฉพาะ และอาศัยเทคนิคต่าง ๆ ในการสอนตามลักษณะ ความต้องการและความจําเป็นของแต่ละบุคคล
“การศึกษาสงเคราะห์” หมายความว่า การจัดการศึกษาให้แก่เด็กที่ตกอยู่ในภาวะยากลําบาก หรืออยู่ในสถานภาพที่ด้อยกว่าเด็กทั่วไป หรือที่มีลักษณะเป็นการกุศล เพื่อให้มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีพัฒนาการที่ถูกต้องและเหมาะสมกับวัย
ข้อ 2 ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามที่คณะรัฐมนตรีกําหนดเตรียมการเพื่อจัดให้เด็กเล็ก ก่อนวัยเรียนได้รับการดูแล และพัฒนาทางร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการดําเนินการด้วย
ข้อ 3 ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานดําเนินการจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐาน 15 ปี ให้มีมาตรฐานและคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีกําหนดอัตรา ค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาสําหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี เพื่อเสนอตามกระบวนการจัดทํา งบประมาณรายจ่ายประจําปี ค่าใช้จ่ายตามวรรคสอง ได้แก่ (1) ค่าจัดการเรียนการสอน (2) ค่าหนังสือเรียน (3) ค่าอุปกรณ์การเรียน (4) ค่าเครื่องแบบนักเรียน (5) ค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน (6) ค่าใช้จ่ายอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ
ข้อ 4 ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทําหรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อนํามาใช้แทน และขยายผลต่อจากคําสั่งนี้แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในหกเดือนนับแต่วันที่คําสั่งนี้ใช้บังคับ
ข้อ 5 ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคําสั่งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีอํานาจวินิจฉัยชี้ขาด
ข้อ 6 ให้อัตราค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่มีผลใช้อยู่ในวันก่อนวันที่คําสั่งนี้ใช้บังคับ ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะมีการกําหนดอัตรา ค่าใช้จ่ายสําหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี ตามข้อ 3
ข้อ 7 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ดูลีลา ของ บิ๊กเจี๊ยบ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผช.ผบทบ.แคนดิเดทผบทบ.คนใหม่

ฟัง...น้ำเสียง และ ดูลีลา ของ บิ๊กเจี๊ยบ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผช.ผบทบ.แคนดิเดทผบทบ.คนใหม่ บนเวที...พูดสดๆ ไม่ต้องมีสคริปต์
บิ๊กเจี๊ยบ ผช.ผบทบ.เตือน ผบ.หน่วย-รด.จิตอาสา ระวังคนคิดต่าง มาทำลายความน่าเชื่อถือ ระวังการพูดเชิญชวนปชช.ลงประชามติร่างรธน. ต้องยึดตามกรอบกม. ไม่ยุ่งในคูหา ยันนี่เป็นแนวทางพัฒนาปชต.
ที่ ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดย นายประวิช รัตนเพียร ได้ทำพิธีส่งมอบ ร่างรธน. ให้กองทัพบก. ผ่าน พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผช.ผบทบ. เพื่อส่งมอบให้ หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน(นรด.) เพื่อให้ นักศึกษาวิชาทหาร (รด.) รด.จิตอาสา 1แสนคน ไปร่วมรณรงค์เชิญชวนประชาชน ไปลงประชามติ ร่าง รธน. 7 สค.นึ้ โดยมี หนุมาน เป็น แมสค็อท
โดยมี นายทหาร จาก กองทัพภาค1-2-3-4 และมณฑลทหารบก ทั่วประเทศ และ รด.จิตอาสา ร่วมพิธีและการสัมมนา 2,500 คน
ในการนี้ พลเอกเฉลิมชัย ได้ดูการสาธิตการทำหน้าที่ของ รด.จิตอาสา หน้าหน่วยลงประชามติ ด้วย และได้ทดลอง ขั้นตอนการออกเสียงประชามตืในคูหาจำลอง ด้วย
พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผช.ผบทบ. กล่าวว่า สิ่งที่เราทำนี้ ถือเป็น แนวทางพัฒนา ปชต.ตาม โรดแมพ ของคสช. ที่มีทบ เป็นกำลังหลัก ในการสนับสนุนรัฐบาล และคสช. โดยใช้กลไกของกองทัพ และกกล.รักษาความสงบฯ และกลไกประชารัฐ ในการทำงานร่วมกันทั่วประเทศ
พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่า รด.จิตอาสา จะได้ประสบการณ์ ในการทำงานเพื่อสังคม ในการออกพบปะประชาชน เพื่อขอให่้มาลงประชามติ จนถึงการไปประจำหน่วยเลือกตั้ง ในวันลงประชามติ7 สค.นี้
"แต่ที่ ทบ.เราห่วงใย คือ เราต้องตระหนักว่า การลง ประชามติ ครั้งนี้ มีคนเห็นต่าง อยู่และพยายามทำลายความน่าเชื่อถือ จึงขอให้ขอ ผบ หน่วยย ดูแลใกล้ชิด ในการปฏิบัติ ในกรอบของกม." ผช.ผบทบ. กล่าว
พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่า จากนี้ เราต้องทำงานหนัก แต่ย้ำว่าต้องในกรอบของกม. ขอให้ใช้ความระมัดระวัง และยืนอยู่บนความถูกต้อง โปร่งใส และหวังว่า ทุกอย่าง จะเป็นไปตามที่วางเป้าหมายได้
ทั้งนึ้ กองทัพบก เตรียมส่ง รด.จิตอาสา จำนวน12,000 คน ไปช่วยงาน ตามที่ กกต.ร้องขอ ในการไปทำหน้าที่ วันลงประชามติ ที่หน้าหน่วยลงประชามติ โดยจะไม่เข้าไปใน เขตคูหา แต่อยู่ด้านหน้า คอบอำนวยความสะดวก แกคนแก่ คนพิการ และประชาขน ในการตรวจหารายชื่อ ดูเลขที่ ในการออกเสียงประชามติ เท่านั้น ไม่มีการพูดชี้นำใด
โดยหน้าที่ ของ รด.จิตอาสา มี2 ส่วนคือ การไปรณรงค์ ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ ลงประชามติให้มากที่สุด และ หน้าที่อำนวยความสะดวกในวันลงประชามติ ที่หน้าคูหาเลือกตั้ง

.ลีลา ท่าทาง มือไม้ ในการให้สัมภาษณ์สื่อของ บิ๊กเจี๊ยบ แคนดิเดท ผบ.ทบ.คนใหม่ จากสายรบพิเศษ



.ลีลา ท่าทาง มือไม้ ในการให้สัมภาษณ์สื่อของ บิ๊กเจี๊ยบ แคนดิเดท ผบ.ทบ.คนใหม่ จากสายรบพิเศษ
บิ๊กเจี๊ยบ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผช.ผบทบ. กล่าวว่า สิ่งที่เราทำนี้ ถือเป็น แนวทางพัฒนา ปชต.ตาม โรดแมพ ของคสช. ที่มีทบ. เป็นกำลังหลัก ในการสนับสนุนรัฐบาล และคสช. โดยใช้กลไกของกองทัพ และกกล.รักษาความสงบฯ และกลไกประชารัฐ ในการทำงานร่วมกันทั่วประเทศ
พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่า รด.จิตอาสา จะได้ประสบการณ์ ในการทำงานเพื่อสังคม ในการออกพบปะประชาชน เพื่อขอให่้มาลงประชามติ จนถึงการไปประจำหน่วยเลือกตั้ง ในวันลงประชามติ7 สค.นี้
"แต่ที่ ทบ.เราห่วงใย คือ เราต้องตระหนักว่า การลง ประชามติ ครั้งนี้ มีคนเห็นต่าง อยู่และพยายามทำลายความน่าเชื่อถือ จึงขอให้ขอ ผบ หน่วย ดูแลใกล้ชิด ในการปฏิบัติ ในกรอบของกม." ผช.ผบทบ. กล่าว
พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่า จากนี้ เราต้องทำงานหนัก แต่ย้ำว่าต้องในกรอบของกม. ขอให้ใช้ความระมัดระวัง และยืนอยู่บนความถูกต้อง โปร่งใส และหวังว่า ทุกอย่าง จะเป็นไปตามที่วางเป้าหมายได้
ทั้งนี้กองทัพบก เตรียมส่ง รด.จิตอาสา จำนวน12,000 คน ไปช่วยงาน ตามที่ กกต.ร้องขอ ในการไปทำหน้าที่ วันลงประชามติ ที่หน้าหน่วยลงประชามติ โดยจะไม่เข้าไปใน เขตคูหา แต่อยู่ด้านหน้า คอบอำนวยความสะดวก แก่คนแก่ คนพิการ และประชาขน ในการตรวจหารายชื่อ ดูเลขที่ ในการออกเสียงประชามติ เท่านั้น ไม่มีการพูดชี้นำใด
โดยหน้าที่ ของ รด.จิตอาสา มี2 ส่วนคือ การไปรณรงค์ ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ ลงประชามติให้มากที่สุด และ หน้าที่อำนวยความสะดวกในวันลงประชามติ ที่หน้าคูหาเลือกตั้ง
พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่า. ได้เน้นย้ำให้ ผบ.หน่วย และ รด.จิตอาสาระมัดระวัง เพราะมีคนคิดเห็นต่างกัน ดังนั้นต้องยึดกรอบกม.
เมื่อถามว่า ศูนย์ปราบโกงประชามตื ของ นปช. มีผลต่อการทำหน้าที่ของ รด.จิตอาสาหรือไม่ พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่า ไม่เกี่ยวข้อง เพราะ รด.จิตอาสา ไม่ได้ทำอะไรผิดกม. ไม่ได้ชี้นำ เพราะน้องๆรู้ว่า อะไรพูดได้ หรือไม่ได้ แต่แค่ เชิญชวนลงประชามติ และ อำนวยความสะดวก หน้าหน่วย วันลงประชามตืเท่านั้น
เมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่ว่า น้องๆรด.จิตอาสา อาจเดียงสา ไม่เท่าทัน คนที่จะมาหลอกล่อ ให้พูดอะไร ที่เป็นการชี้นำ พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่า เพราะเราเป็นกลัว ไง จึงต้องมาเตือนกัน

โฆษกทบ. ไม่ห่วง การปลุกกระแส ถล่ม เว็บไซต์ทบ. เ

โฆษกทบ. ไม่ห่วง การปลุกกระแส ถล่ม เว็บไซต์ทบ. เผยเพราะทำระบบป้องกัน จำกัดจำนวนการเข้าใช้อยู่ในปริมาณที่พอดี ไม่เกินกว่าที่ระบบจะรองรับได้ และถ้าเกินปริมาณก็จะกันออกไป
จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อความ ในเพจ"พลเมืองต่อต้านsingle Gateway Thailand Internet Firewall" ที่ระดมให้ประชาชนนัดแสดงพลังเข้าถล่ม เว็บไซต์ของหน่วยงานราชการ โดยเฉพาะเว็บไซต์กองทัพบก และกรมการเงินทหารบก นั้น
พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก ทบ. กล่าวว่า เป็น ลักษณะของการชักชวนให้คนเข้าไปใช้เวบไซต์นั้นในลักษณะผิดธรรมชาติเกินปริมาณกว่าที่ระบบรองรับได้ จนอาจทำให้เวบฯมีปัญหา แต่ปัจจุบันในทุกๆเวบฯส่วนใหญ่ ได้แก้ปัญหาด้วยการทำระบบป้องกัน ให้ระดับจำนวนการเข้าใช้อยู่ในปริมาณที่พอดี ไม่เกินกว่าที่ระบบจะรองรับได้ และถ้าเกินปริมาณก็จะกันออกไป
ขณะที่ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก ยืนยันเว็บไซต์หน่วยงานของกองทัพบกยังปลอดภัยจากการโจมตีของกลุ่มเคลื่อนไหวทางไซเบอร์
พลตรี ฤทธี อินทราวุธ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร หรือ ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก ระบุหลังจากที่มีกระแสข่าวทางสื่อออนไลน์ เรื่องการประกาศโจมตีเว็บไซต์ของหน่วยราชการ ว่า การปฏิบัติงานดูแลเว็บไซต์ของกองทัพบกมีการติดตามมาโดยตลอดและได้แจ้งหน่วยที่ดูแลเว็บไซต์ของกองทัพบกให้เฝ้าติดตามและระวังตามปกติ
แต่ในส่วนของเว็บไซต์ กรมการเงินทหารบกและ E Army นั้นเป็นความร่วมมือกับเอาท์ซอส ที่ดำเนินการจัดทำเซิร์ฟเวอร์ระบบงานให้ติดตั้งไว้ภายนอก ซึ่งแม้ว่าจะมีข้อมูลของกองทัพบก แต่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และในทางปฏิบัติได้ประสานงานด้านรักษาความปลอดภัยกลับ out souce ดังกล่าวแล้ว แม้จะมีการโจมตีเว็บไซต์และเข้ามาในเว็บไซต์เป็นจำนวนมากนั้น เซิร์ฟเวอร์ก็สามารถรองรับได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่สามารถรองรับได้ จะมีอีกเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับ
โดยไม่สามารถเจาะถึงข้อมูลของกองทัพบกได้อย่างแน่นอน ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นกับกรมการเงินและE Army นั้นเป็นเรื่องของการเข้าถึงเว็บไซต์เท่านั้นไม่ใช่เป็นการเจาะข้อมูลแต่อย่างใด
ปัจจุบันเว็บไซต์ของสองหน่วยงานนี้ยังคงใช้งานได้ตามปกติ เพียงแต่เมื่อมีความพยายามในการโจมตี ซึ่งตัวระบบการรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายจะทำการปิดกั้นผู้กระทำไม่ให้เข้าถึงได้อยู่แล้ว ซึ่งกลุ่มที่พยายามโจมตีเว็บไซต์อาจเข้าใจผิดว่าสามารถทำได้ ดังนั้นหน่วยยังคงมีความมั่นใจที่จะดูแลเว็บไซต์ต่างๆของกองทัพบกได้ต่อไป

เตรียมแผนกบิล59บุกคุมตัวพระธัมชโย

เอาแล้ว!?!...หลังตร.-ดีเอสไอเตรียมใช้ กบิล59 ชิงตัว"ธัมมชโย" ลูกศิษย์ธรรมกายจะทำไงต่อ

ผอ.สำนักสื่อสารองค์กร พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส แถลงชี้แจงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษส่งสำนวนคดีพิเศษที่ 27/2559 เกี่ยวกับพระธัมมชโยไปยังอัยการ เมื่อวันจันทร์ที่ 13 มิ.ย. โดยได้ชี้แจงโดยสรุปว่า เนื้อหาในคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้สอบสวนแล้วในคดีพิเศษที่ 766/2556 และเสนอสำนวนการสอบสวนต่อพนักงานอัยการแล้ว จึงไม่อาจแยกเรื่องออกมาเป็นคดีใหม่ที่ 27/2559 การ กระทำดังกล่าวจึงอาจเป็นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบและจะขอความเป็นธรรมจากพนักงานอัยการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

ในช่วงเย็น พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมประชุมตามแผนกบิล 59 ในการสนธิกำลังเข้าตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาคดีพิเศษ พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เรื่องที่ประชุมส่วนใหญ่ คือการป้องกันเหตุร้ายในกรณีที่ ดีเอสไอจะเข้าไปในวัดพระธรรมกาย เพราะว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สาธารณะและมีคนอยู่จำนวนมาก ส่วนการสืบสวนจับกุมก็ต้องเป็นหน้าที่ของดีเอสไอ ถ้าไม่มีเหตุรุนแรงอะไรตำรวจก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปมีส่วนร่วม เท่าที่ทราบมาทางวัดกับลูกศิษย์ก็ให้ความร่วมมือดี ส่วนเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปดูแลความเรียบร้อยก็จะเป็นในส่วนของตำรวจภูธรภาค 1 ร่วมมือกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

มีรายงานข่าวว่า ภายในวันศุกร์นี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษเตรียมเข้าจับกุมพระธัมมชโยภาย  โดยวันพฤหัสบดีพนักงานสอบสวนจะขอหมายค้น ก่อนเดินทางไปวัดธรรมกายในช่วงเช้า ใช้กำลังตำรวจ 4 กองร้อย ปิดประตูที่ 7 ไม่ให้บุคคลเข้าออก ใช้การเจรจาเป็นหลัก แต่หากการเจรจาไม่เป็นผลก็จะแจ้งข้อหาพระธัมมชโยผ่านทนายความ โดยไม่ใช้กำลังเข้าปะทะโดยเด็ดขาด
       
ที่มา ศูนย์ข่าวแปซิฟิก
/////
ดีเดย์ศุกร์นี้ "ดีเอสไอ" บุกวัดธรรมกาย เตรียมตำรวจ 4 กองร้อยเข้าค้น ถ้าเจอก็จับพระธัมมชโย แต่หากมวลชนต่อต้าน เตรียมแผนสำรอง แจ้งข้อหาผ่านทนายความของวัดแทน อธิบดีดีเอสไอชี้ ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะศาลอนุมัติหมายจับแล้ว ลั่นพระธัมมชโยมีทางเลือกแค่ 2 ทาง คือมอบตัวกับถูกจับกุม ส่วนคณะประชุม 3 ฝ่ายที่วัดเขียนเขต ประกาศยุติบทบาทคนกลาง ระบุสิ้นสุดหน้าที่ในการเจรจา


เมื่อ เวลา 10.10 น. วันที่ 14 มิ.ย. ที่สำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผอ.สำนักสื่อสารองค์กร แถลงชี้แจงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษส่งสำนวนคดีพิเศษที่ 27/2559 เกี่ยวกับพระธัมมชโยไปยังอัยการ เมื่อวันจันทร์ที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยได้ชี้แจงโดยสรุปว่า เนื้อหาในคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้สอบสวนแล้วในคดีพิเศษที่ 766/2556 และเสนอสำนวนการสอบสวนต่อพนักงานอัยการแล้ว จึงไม่อาจแยกเรื่องออกมาเป็นคดีใหม่ที่ 27/2559 การ กระทำดังกล่าวจึงอาจเป็นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ


กรมสอบ สวนคดีพิเศษมีคำสั่งที่ 531/2559 เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขอความร่วมมือจากพระเทพรัตนสุธี เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และดร. สมศักดิ์ โตรักษา ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ร่วมเป็นคณะกรรมการประสานงานในคดีดังกล่าว ซึ่งได้ประชุมที่วัดเขียนเขต ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยดร. สมศักดิ์ได้ประสานงานกับวัดพระธรรมกายมาโดยตลอด การเจรจามีความคืบหน้าด้วยดีเหลือเพียงประเด็นการเปลี่ยนหัวหน้าพนัก งานสอบสวน แต่แล้วในวันจันทร์ที่ 13 มิ.ย. กรมสอบสวนคดีพิเศษกลับสั่งฟ้องและส่งสำนวนคดีไปยังอัยการ โดยไม่รอการประชุมในวันที่ 14 มิ.ย.


"ทำไมจึงรีบร้อนรวบรัด กระบวนการผิดปกติ ทำไมไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการประชุมแม้แต่ข้อเดียว พระธัมมชโยได้รับบริจาค โดยเปิดเผยและสุจริต ไม่ได้นำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน มีหลักฐานเส้นทางการเงินที่ชัดเจน สำนักงาน ปปง.ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมดและส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว เมื่อเกิดเป็นคดีความมีข้อสงสัยถึงที่มาของทรัพย์ คณะศิษย์วัดพระธรรมกายยังตั้งกองทุนเยียวยาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นจน ครบ และสหกรณ์ซึ่งเป็นผู้เสียหายแสดงเจตนารมณ์ไม่ติดใจเอาความทั้งทางแพ่งและ อาญา ต่อไปการรับบริจาคของวัดและองค์กรสาธารณะอื่นๆ อาจถูกดำเนินคดี ว่ารับของโจรและฟอกเงินได้เช่นเดียวกัน วัดพระธรรมกายยืนยันเคารพกระบวนการยุติธรรม และจะขอความเป็นธรรมจากพนักงานอัยการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป"


วัน เดียวกัน เวลา 11.00 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดี พ.ต.ท. ปกรณ์ สุชีวกุล ผบ.สำนักคดีการเงินการธนาคาร ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ คดีที่ 27/2559 ในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร ร่วมกันแถลงภายหลังการประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งมีที่ปรึกษาคดีพิเศษและพนักงานอัยการร่วมประชุมด้วย ว่าพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนคดีที่ 27/2559 ส่งพนักงานอัยการเรียบร้อยแล้วมีทั้งหมด 13 แฟ้มกว่า 10,000 หน้ากระดาษ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งอัยการฝ่ายคดีพิเศษได้รับสำนวนแล้ว


พ.ต.อ. ไพสิฐกล่าวว่า อีกเรื่องคือเรื่องของชุดเจรจาในประเด็นที่ดีเอสไอต้องการให้พระธัมมชโยเข้า มอบตัวกับพนักงานสอบสวน ซึ่งมีด้วยกัน 3 ฝ่าย คือ ดีเอสไอ พระเทพรัตนสุธี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และตัวแทนวัดพระธรรมกายนั้น วันนี้ดีเอสไอยังเดินทางไปเจรจาตามที่มี การนัดหมายไว้เหมือนเดิม ซึ่งเป็นอีกกระบวนการหนึ่ง


"ส่วนการดำเนินการตามหมายจับ ดีเอสไอ ยังต้องปฏิบัติตามเนื่องจากศาลได้อนุมัติแล้วก็ต้องดำเนินการตามหมายจับต่อ ไป กรณีวัดพระธรรมกายต้องการเปลี่ยนพนักงานสอบ สวน ดีเอสไอเพิ่งได้รับเรื่องเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ส่วนจะเปลี่ยนหรือไม่ พ.ต.ท.สมบูรณ์จะเป็นผู้ดำเนินการในส่วนนี้ สำหรับคดีอื่นที่เกี่ยวข้องมีทั้งหมด 10 กว่าคดี ซึ่งเกี่ยวข้องกับนายสถาพร วัฒนาศิรินุกูล คาดภายในเดือนก.ค.นี้ จะสรุปคดีได้เพิ่มอีก 2-3 คดี


ผู้ สื่อข่าวถามว่า หากการเจรจาวันนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ดีเอสไอจะมีแผนเข้าไปจับกุมภายในวัดพระธรรมกายหรือไม่ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ดีเอสไอพูดมาตลอดว่า ขั้นตอนการดำเนินการมี 5 ขั้นตอน แต่ละขั้นตอนไม่ได้ผูกพันซึ่งกันและกัน การดำเนินการตามหมายจับเราก็ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นแล้ว ส่วนกรณีที่มีการมองว่าดีเอสไอจะรอให้อัยการสั่งฟ้องก่อน จึงจะดำเนินการเข้าจับกุมพระธัมมชโยนั้น


"ขอเรียนว่าเรา ดำเนินการตามหมายจับมาโดยตลอด ไม่ได้รออะไร หากมีสถานการณ์เหมาะสม ซึ่งเราประเมินสถานการณ์แล้ว ก็ดำเนินการเข้าจับกุมได้ทันที ดังนั้นการดำเนินการตามหมายจับไม่เกี่ยวกับสำนวนอยู่แล้ว อีกทั้งคดีนี้มีผู้ต้องหาทั้งหมด 5 ราย ซึ่ง 3 รายเราแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ส่วนอีก 2 ราย คือ พระธัมมชโย และน.ส.ศศิธร ได้ส่งหมายจับติดสำนวนไปแล้ว หากถึงวันที่อัยการมีความเห็นทางคดีแล้ว การที่จะนำตัวไปนั้นอัยการคงมีหนังสือแจ้งมาว่าให้นำตัวผู้ที่ถูกออกหมายจับ ไปพบ พอถึงตอนนั้นเราก็มีวิธีการดำเนินการตามขั้นตอนอยู่แล้ว" อธิบดีดีเอสไอกล่าว


จากนั้นเวลา 15.30 น. ที่วัดเขียนเขต ต.บึงยี่โถ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี พ.ต.ท. สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมคณะพนักงานสอบสวน และตัวแทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมหารือกับพระเทพรัตนสุธี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี โดยมีนายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เป็นตัวแทนผู้ประสานงาน ก่อนประกาศยุติการประชุมทั้ง 3 ฝ่ายเนื่องจากสิ้นสุดหน้าที่ในการเจรจาแล้ว


ภาย หลังการประชุม พระเทพรัตนสุธีกล่าวว่า เนื่องจากเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา จังหวัดได้ทราบว่าพนักงานสอบสวนส่งสำนวนสอบสวนพระเทพญาณมหามุนี หรือพระไชยบูลย์ ธัมมชโย พร้อมกับพวกให้อัยการแล้ว และอัยการก็ได้นัดวันที่ 13 ก.ค. 2559 จังหวัดจึงพิจารณาเห็นแล้วว่าพนักงานสอบสวนได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ของ ตนแล้ว อาตมภาพพร้อมด้วยดร.สมศักดิ์ โตรักษา จึงขอยุติการปรึกษาหารือตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


ด้านนายสม ศักดิ์กล่าวว่า ตนทำหน้าที่ประสานระหว่างคณะของพระธัมมชโยและคณะทำงานของเรา ขอยืนยันว่าเราได้นำเงื่อนไขต่างๆ ในที่ประชุมทั้งหมดไปให้กับคณะทำงานของพระธัมมชโยตลอด อย่างที่พระเทพรัตนสุธีได้กล่าวไปแล้ว เมื่อดีเอสไอได้ยื่นสำนวนสอบสวนไปแล้วนั้น หน้าที่ของเราก็ยุติลง ขณะนี้ก็เป็นหน้าที่ของอัยการที่ต้องพิจารณาเรื่องต่างๆ ต่อไป


ขณะ ที่พ.ต.ท.สมบูรณ์กล่าวว่า เมื่อสำนวนการสอบสวนได้เสร็จสิ้นจึงได้ส่งสำนวนสอบสวนให้แก่อัยการ กระบวนการเจรจาเป็นหนึ่งใน 5 แนวทางที่ท่านรัฐมนตรีได้เคยให้นโยบายไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากนี้ก็อยู่ที่ตัวพระธัมมชโยเองซึ่งจะมอบตัวหรือเจ้าหน้าที่บุกเข้าจับ กุม เป็นกระบวนการตามหมายจับซึ่งมีผล 15 ปี ทั้งนี้พระธัมมชโยก็มีทางเลือกเพียง 2 ทาง คือยอมมอบตัว หรือถูกจับกุม


ถัด มาเวลา 17.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง พล.ต.ต. ศรายุทธ พูลธัญญะ รอง ผบช.ภ.1 ร่วมกับชุดสืบสวน บช.ภ.1 ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี จ.พระนครศรีอยุธยา และจ.นนทบุรี ร่วมประชุมตามแผนกบิล 59 ในการสนธิกำลังเข้าตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาคดีพิเศษ พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยใช้เวลาประชุม 1 ชั่วโมง


พล.ต.อ. ศรีวราห์กล่าวว่า เรื่องที่ประชุมส่วนใหญ่ คือการป้องกันเหตุร้ายในกรณีที่ ดีเอสไอจะเข้าไปในวัดพระธรรมกาย เพราะว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สาธารณะและมีคนอยู่จำนวนมาก ส่วนการสืบสวนจับกุมก็ต้องเป็นหน้าที่ของดีเอสไอ ถ้าไม่มีเหตุรุนแรงอะไรตำรวจก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปมี ส่วนร่วม เท่าที่ทราบมาทางวัดกับลูกศิษย์ก็ให้ความร่วมมือดี ส่วนเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปดูแลความเรียบร้อยก็จะเป็นในส่วนของตำรวจภูธรภาค 1 ร่วมมือกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง


ผู้สื่อข่าวถามว่า เจ้าหน้าที่รัฐอยากจะเสนอทางออกหรือแนวทางอะไรให้กับทางวัดพระธรรมกาย พิจารณาหรือไม่ พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า ตนมองว่าไม่ว่าจะเป็นพระ ข้าราชการหรือเอกชน ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมือง


เมื่อ ถามถึงคดีพระธัมมชโยจะกระทบด้านความมั่นคงหรือไม่ พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า กรณีดังกล่าวมีมวลชนเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องเข้าไปกำกับ ดูแล ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหา ตนมองว่าทุกคนเป็นคนไทยก็ควรทำตามกฎหมายบ้านเมือง


ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวว่า ยังไม่กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าจะดำเนินการจับกุมในช่วงวันเวลาใด ซึ่งจะต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง และหากมีความพร้อมก็จะดำเนินการตามขั้นตอน แต่ยืนยันว่าที่ผ่านมาดีเอสไอ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายมา โดยตลอด


เมื่อถามว่าพระ ธัมมชโยยังอยู่ที่วัดพระธรรมกายหรือไม่ พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวว่า จากรายงานที่ผ่านมา พระธัมมชโยยังอยู่ภายในวัดแต่ขณะนี้จะยังอยู่หรือไม่ จะต้องรอดูขณะเข้าปฏิบัติการอีกครั้ง


ผู้สื่อข่าวรายงาน ด้วย มีรายงานข่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษเตรียมเข้าจับกุมพระธัมมชโยภายในวันศุกร์นี้ โดยวันพฤหัสบดีพนักงานสอบสวนจะขอหมายค้น ก่อนเดินทางไปวัดธรรมกายในช่วงเช้า ใช้กำลังตำรวจ 4 กองร้อย ปิดประตูที่ 7 ไม่ให้บุคคลเข้าออก ใช้การเจรจาเป็นหลัก แต่หากการเจรจาไม่เป็นผลก็จะแจ้งข้อหาพระธัมมชโยผ่านทนายความ โดยไม่ใช้กำลังเข้าปะทะโดยเด็ดขาด

ยกฟ้องคดี 'ชายชุดดำ' ระเบิดเตรียมคาร์บอม

ยกฟ้องคดี 'ชายชุดดำ' ระเบิดเตรียมคาร์บอม

 
14 มิ.ย.2559 วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) แจ้งว่าเมื่อเวลา 14.45 น. ที่ศาลอาญา ห้องพิจารณาคดีที่ 813 ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.1940/2558 คดีระเบิดคาร์บอมที่อพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง ย่านถนนรามอินทรา ระหว่างพนักงานอัยการ โจทก์ กับกิตติศักดิ์ สุ่มศรี จำเลย โดยโจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกอีก 2 คน ร่วมกันครอบครองวัตถุระเบิด วงจรระเบิด อาวุธปืนสงครามซุกซ่อนในรถยนต์ฮอนด้าซีวิคซึ่งมีผู้แจ้งหายจอดทิ้งไว้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โคกคราม พร้อมด้วยเจ้าหน้าเก็บกู้วัตถุระเบิด(EOD) ทราบเหตุได้รับแจ้งจากผู้หวังดี จึงเข้าตรวจค้นรถยนต์ของกลาง พบของกลางระเบิดซีโฟร์ ทีเอ็นที ดินระเบิด ระเบิดขวด ถังดับเพลิงบรรจุปุ๋ยูเรีย ประกับอาวุธปืนอาก้า ลูกกระสุนเอ็ม 79 รวมจำนวน 20 รายการ
 
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์แล้ว ทั้งพยานบุคคลที่มีผู้ดูแลอพาร์ทเมนต์ที่เคยให้การในชั้นสอบสวนและเบิกความในศาลขัดแย้งกับที่มาเบิกความในศาล และเป็นผู้มีส่วนได้เสียจึงไม่น่าเชื่อถือ ประกอบกับผลการตรวจดีเอ็นเอ และลายนิ้วมือแฝงของจำเลยเทียบกับวัตถุพยานของกลางไม่ตรงกับจำเลย จึงเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้ลงโทษจำเลยได้ พิพากษายกฟ้อง
 
วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจำเลย กล่าวว่า กิตติศักดิ์ ถูกฟ้องคดีนี้คนเดียวภายหลังจากถูกฟ้องมาแล้วอีกหนึ่งคดีซึ่งกิตติศักดิ์ ตกเป็น 1 ในผู้ต้องหา 5 คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น "ชายชุดดำ" ที่ก่อเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่ในวันที่ 10 เม.ย. 2553 ที่แยกคอกวัว ถูกจับกุมในช่วงเดือน ก.ย. 2557 โดยทหารชุดทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และพนักงานสอบสวนที่ตั้งขึ้นเป็นคณะทำงานพิเศษ นำตัวไปควบคุมที่ค่ายทหารหลายวัน ต่อมานำตัวมาแถลงข่าวว่า ชายชุดดำทั้ง 5 คน (ในจำนวนนี้มีหญิง 1 คน) ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุในวันที่ 10 เม.ย. 2553 แต่หลังจากนั้นผู้ต้องหาทั้ง 5 ได้มอบหมายให้ทนายความนำหนังสือยืนยันว่าพวกเขาถูกบังคับและทำร้ายร่างกายในการสอบปากคำในสถานที่แห่งหนึ่ง และได้ขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาสั่งไม่ฟ้อง อย่างไรก็ตามต่อมาอัยการได้ฟ้องชายชุดดำทั้ง 5 คน ต่อศาลอาญา ข้อหาร่วมกันมีและครอบครองงอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกมบอนุญาตได้ และข้อหาพาอาวุธไปในเมือง ร่วมกันก่อการร้าย เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.4022/2557 ซึ่งคดีชายชุดดำดังกล่าวอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ โดยที่ตัวจำเลยทั้งหมดไม่ได้รับการอนุญาติให้ประกันตัวแต่อย่างใด