PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

"บิ๊กตู่" โอด 3 ปี ไม่เคยได้ไปเที่ยว-ไท่เคยได้เดินห้าง

"บิ๊กตู่" โอด 3 ปี ไม่เคยได้ไปเที่ยว-ไท่เคยได้เดินห้าง ขนาดนอน ยังฝันแต่เรื่องงาน ลั่น 60 ปี สู้เพื่อรักษาแผ่นดิน มาตลอด ยันไม่ยอมให้ใครมาทำลายเด็ดขาด ชี้ "ถ้ารักประเทศจริง ทุกคนต้องคิดแบบผม"

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ปิดการประชุมสัมมนาทางวิชาการ "มิติการศึกษา พัฒนาพื้นที่พิเศษ เดินหน้าประเทศไทย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ที่ แอมบาสซาเดอร์ฯ พัทยา
นายกฯกล่าวว่า ผมมีความตั้งใจดี ยืนยันเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่จะทำให้ระบบการศึกษาดีขึ้น
ที่ผ่านมา ปรับกันหลายอย่าง แต่ไม่มีใครเห็นชอบทั้งหมด แต่นี่คือหลักการประชาธิปไตย เสียงส่วนใหญ่เห็นชอบก็ต้องเป็นไปตามนั้น แต่ต้องดูแลเสียงส่วนน้อยด้วย นี่คือการปกครองตามระบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่ทำตามเสียงส่วนน้อย หรือทำตามคะแนนเสียงที่เลือก
"นี่ว่าจะไม่พูดการเมือง"

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การใช้มาตรา 44 วันนี้ ผมใช้ตามสมควร ผมเข้ามาแล้วก็ต้องทำ ต้องให้คนเข้าใจ
ประเด็นคือคนไม่เข้าใจ หากผมไม่ยืนยันด้วยตัวเอง มันก็ไม่ได้อีก บางทีพูดอะไรไปแล้วเกิดไม่ทันใจ ก็โดนอีก
แต่ยืนยันว่าจะต้องทำให้ได้ โดยพวกเราทุกคน ไม่ใช่ผมคนเดียว 2 มือ 1 หัวใจ ทำไม่ได้หรอก ต้องร่วมกันทั้งหมด มือ 76 ล้านคู่ กับ 76 ล้านหัวใจ ต้องระดมสติปัญญาช่วยกันทำ โดยปลดตัวเองไว้ก่อน
"ผมปลดตัวเอง มาตรงนี้ ไม่ต้องการผลประโยชน์ ไม่ต้องการขัดแย้งกับใคร หรือเอื้อประโยชน์ให้กับใคร
ผมคิดได้ พูดได้ ทำได้ แต่ปัญหาคือ คนที่รับต่อจากผม จะคิดแบบผมหรือไม่ ถ้าคิดได้แบบผม ก็จะไปถึงข้างล่าง ต้องลืมตัวเองนึกถึงคนอื่น
ตั้งแต่เช้าถึงเย็น นึกไป และนอนฝันตอนกลางคืนว่า จะทำอะไร ผมทำแบบนี้ตลอดเวลา 3 ปีไม่เคยคิดเรื่องอื่นเลย
3 ปี ไม่เคยไปไหน ไม่เคยไปเที่ยว ไม่เคยไปศูนย์การค้า"
วันนี้ มาโรงแรม ผมก็มาทำงาน แล้วก็ขึ้นเครื่องบินกลับ ไปต่างประเทศก็แบบนี้ ประชุมเสร็จก็กลับ ไม่เคยและไม่ใช่พิเศษ แต่ผมรู้ว่าประเทศชาติ มีอันตรายตรงไหน
"ผมยอมเพราะแผ่นดินนี้ ผมต้องรักษาไว้ ชีวิตผม 60 ปี ผมสู้มา เพื่อรักษาแผ่นดินผืนนี้ไว้ตั้งแต่ชายแดน ผมจะไม่ให้ใครมาทำลายเด็ดขาด ถ้ารักประเทศจริง ทุกคนต้องคิดแบบผม"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พานางเอกหนี' ไม่มีความผิด?

นึกว่าพระเอกที่ไหนเป็นคนพา "นารีขี่ม้าแดง" หนี?
ที่แท้ก็....."ตำรวจ" นี่เอง!
ทราบตามที่ "พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล" รอง ผบ.ตร.แจกแจงเมื่อวาน (๒๒ ก.ย.๖๐) แล้วกระมัง คนพาหนี ก็มี
-พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อยู่ฤทธิ์ รอง ผบก.น.๕
-พ.ต.ท.สามิตร ไชยอิ่นคำ สารวัตร กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม
-ด.ต.พรพิพัฒน์ มากบุญงาม ผู้บังคับหมู่ ฝ่ายอำนวยการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม
แล้วทาง "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" จัดการตำรวจที่พานางเอกเชิดอย่างไร?
เอ้า...ฟัง พล.ต.อ.ศรีวราห์พูดโดยตรงดีกว่า..........
"ตำรวจทั้ง ๓ นาย ยืนยันยังไม่มีความผิดอาญาในการพาหนี เพราะขณะนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มีหมายจับติดตัว
ส่วนเจตนาว่า พาหนีหรือไม่ อย่างไร จะเอาผิดทางวินัย หรือจะเสนอเรื่องให้พักราชการหรือไม่?
เป็นอำนาจหน้าที่ 'ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด' เป็นผู้พิจารณา อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดให้การเป็นประโยชน์
สำหรับเส้นทางหลบหนีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่ยืนยันว่าเปลี่ยนรถแล้วออกไปนอกประเทศ ไปทางสระแก้วหรือไม่ ถ้าพูดไปอาจจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้
ผู้ต้องสงสัยทั้ง ๓ นาย ได้ปล่อยตัวไป เพราะตำรวจไม่มีอำนาจควบคุมตัวไว้ ข้อหายังไม่มี ไม่มีข้อหาอะไรที่ไปจะควบคุมเขาไว้"
สังเกตให้ดีนะครับ........
ตามที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ใช้คำว่า
"ยังไม่ยืนยันว่า เปลี่ยนรถแล้ว ออกไปนอกประเทศ ไปทางสระแก้วหรือไม่"
นั่นเท่ากับการันตีให้ตำรวจทั้ง ๓ นาย ว่าพายิ่งลักษณ์นั่งรถกินลมชมวิวแล้วไปส่งลงแค่ในเขตประเทศไทยเท่านั้น
"เปล่าขับรถข้ามแดนออกไปส่ง" ถึงนอกประเทศแต่อย่างใด!?
ดังนั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ จึง "ตัดฉากจบ" ด้วยคำว่า......
-ยืนยัน ตำรวจทั้ง ๓ นาย ยังไม่มีความผิดอาญาในการพาหนี เพราะขณะนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มีหมายจับติดตัว
-ไม่มีข้อหาอะไรที่ไปจะควบคุมตำรวจทั้ง ๓ คนนั้นไว้
ก็เอาตามที่ท่านสบายใจเถอะ เห็นย้ายแก้เขินทั้ง ๓ นายกันไปแล้ว
ซักพัก พอสังคมลืมๆ ค่อยกลับ!
ถามกันว่า อีกคนอยู่นครบาล อีก ๒ คนอยู่นครปฐม แล้วมาบรรจบเป็น "มะเขือเทศสามัคคี" พานารีขี่แคมรี่ส่งชายแดนได้ยังไง?
ก็ลูกน้อง "ร่วมนายสายมะเขือเทศ" ระดับ พล.ต.อ.-พล.ต.ท.ในอดีต ด้วยกันนั่นแหละ
ก็รู้ๆ กันอยู่ พูดไปก็ไลฟ์บอย!
สำหรับความคิดส่วนตัวผมกรณีนี้ เออ...ดีแล้ว พาหนีไปเหอะ
ขืนให้อยู่ "แมลงวันตอมขี้" ทั้งเหม็น-ทั้งรำคาญเปล่าๆ
แต่มีประเด็นน่าสังเกตอยู่นิด......
กองบังคับการตำรวจนครบาล ๕ นี่ ถ้าเส้นไม่ใหญ่-นายไม่ปึ้ก ตำรวจคนไหน จะย้ายเข้ามา "กินพื้นที่" ยาก
เพราะเป็น "เหมืองทอง" กลางกรุง ย่อมมีขาใหญ่คุมสัมปทาน ตำรวจที่จะได้ย้ายมา ส่วนใหญ่ต้องเป็นคนในสาย
พื้นที่นครบาล ๕ เป็นย่านเศรษฐี ย่านธุรกิจการค้า มีทั้งอาบนวด ผับ บาร์ สถานบริการ โรงแรม ห้างสรรพสินค้า และ (บ่อน) ด้วย!
โรงพักในเขตพื้นที่ ก็มี สน.ทองหล่อ, ลุมพินี, คลองตัน, ท่าเรือ, ทุ่งมหาเมฆ, วัดพระยาไกร, บางโพงพาง, พระโขนง และ สน.บางนา
พื้นที่เกรด A ต้องตำรวจเกรด A (ในความหมายของตำรวจ) เท่านั้น จะได้มาอยู่
แต่ปรากฏว่า ตำรวจเกรด A พื้นที่นี้ ก็สร้าง "เกียรติประวัติ" ด้านฉาวให้สถาบันตำรวจโด่งดังประจำ
เมื่อมิถุนา ปี ๕๘ ตำรวจ-ทหาร บุกจับบ่อนพนันออนไลน์ ย่านสุขุมวิท ๖๙
ถูกย้ายกันตั้งแต่ตัว "ผู้บังคับการนครบาล ๕" ไปยันผู้กำกับโรงพักคลองตันถึงสารวัตร
เรียกว่า "ย้ายยกโรงพัก"!
คดี "บอส-กระทิงแดง" ขับรถชนตำรวจตายปี ๕๕ นี่ก็ "นครบาล ๕" อีกเหมือนกัน
๕ ปี คดีดองไว้..........
ตอนนี้ ถูก ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการไต่สวนชนิดยกกองบังคับการ
ตั้งแต่ตัว ผบก.-รอง ผบก.ไปจนถึงผู้กำกับ-สารวัตร โรงพักทองหล่อ
บิ๊กแจ๊ด "พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง" ตอนเกิดเรื่อง เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
แสดงบทพระเอก "เอาเป็น-เอาตาย" กับคดีนี้ เรียกเสียงเชียร์ บิ๊กแจ๊ดสู้ๆ..บิ๊กแจ๊ดสู้ๆ...อื้ออึง!
"พ.ต.ท.ปัณณ์ณภณ นามเมือง" สวป. สน.ทองหล่อ ไปเอาคนในบ้านบอส-กระทิงแดง มารับสมอ้างเป็นคนขับ
บิ๊กแจ๊ดโกรธ "ลูกน้องตายลูกพี่กลับไปช่วยคนที่ทำให้ตาย" สั่งเอาโทษทั้งวินัย-อาญากับ พ.ต.ท.ปัณณ์ณภน และให้ออกจากราชการไว้ก่อน
นี่...คุณสมบัติตำรวจนครบาล ๕
แต่การไล่ออกของบิ๊กแจ๊ด กลับปรากฏว่า "พ.ต.ท.ปัณณ์ณภณ" ไปยิ่งยศ-ยิ่งใหญ่ อยู่ "โรงพักบางบอน" โน่น
พอเรื่องเงียบ ก็คืนถิ่นนครบาล ๕ จะให้กลับทองหล่อดูจะเอิกเกริกไปนิด เลยมาอยู่แถวๆ ท่าเรือ
และล่าสุดตอนนี้ "พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อยู่ฤทธิ์" ที่นำทีมยิ่งลักษณ์หนี
ก็นครบาล ๕ ระดับ รอง ผบก.น.๕ เลยทีเดียว!
ทีนี้ ย้อนมาดูที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ บอกว่า ตำรวจทั้ง ๓ นาย ยังไม่มีความผิดอาญาในการพายิ่งลักษณ์หนี ด้วยเหตุผลว่า
-ขณะนั้น "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ยังไม่มีหมายจับ
-ยังไม่มีข้อหาอะไรที่จะคุมตัวตำรวจทั้ง ๓ ได้!
นั่นเป็นความเห็นทางตำรวจ ผมมิบังอาจท้วงติง เพียงแต่ข้องใจอยากถามบางประเด็นเป็นความรู้เท่านั้น
คืออยากถามว่า........
เมื่อ ๑๙ พฤษภา ๕๘ ที่อัยการสูงสุดฟ้องยิ่งลักษณ์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ฐานความผิดต่อหน้าที่ ในโครงการรับจำนำข้าว นัดแรก นั้น
ทนายยิ่งลักษณ์ยื่นหลักทรัพย์ เป็นสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำนวน ๓๐ ล้านบาท ขอให้ปล่อยตัวชั่วคราว
ศาลอนุญาต โดยมีคำสั่งว่า..........
"จำเลยมีหน้าที่ต้องมาศาลตามนัดทุกครั้ง หากจำเลยไม่สามารถมาศาลในนัดใด ให้จำเลยยื่นคำร้องแสดงเหตุจำเป็นต่อศาล พิจารณาเป็นครั้งคราวไป"
โดยกำหนดเงื่อนไข............
"ห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล"
ท่าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ครับ...........
การที่ตำรวจพายิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นจำเลยที่ศาลให้ประกันด้วยเงื่อนไข "ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร" เช่นนี้
ตำรวจทั้ง ๓ ไม่เข้าข่ายผิดตาม ป.วิ.อาญา มาตรา ๑๕๗ หรือครับ ที่ว่า.....
"ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ"
นอกจากมาตรา ๑๕๗ นี้แล้ว........
ยังน่าจะเข้าข่ายความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๙๘ ด้วย
"ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น
โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
ผมมีความเห็นว่า ที่ท่านว่า "ไม่มีข้อหา ไม่มีอำนาจคุมตัว ต้องปล่อยตำรวจทั้ง ๓ คนไป" นั้น
ท่านเทเร็วไปหรือเปล่า?
ไม่ใช่อะไรหรอก ยุคนี้ "นักร้อง" เยอะ ๓ ตำรวจไม่ถูกข้อหา ตัวท่านเองนั่นแหละ
เผลอๆ จะเจอข้อหา "เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่" เสียเอง
แล้วบ้านเมืองก็จะเสียนายตำรวจตงฉิน ซื่อสัตย์-ซื่อตรงต่อหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไปซะอีกคนเปล่าๆ
ความจริง การสืบจับจนได้ตัว ๓ ตำรวจ ถือว่าขึ้นต้นเป็น "ลำไม้ไผ่" ได้สวยงาม
ทุกคนก็รู้ ๓ ตำรวจ แค่ "ลูกน้อง" ในฟาร์มมะเขือเทศใหญ่ ที่ทำตามคำสั่งเจ้านายเท่านั้น
ถ้าลิเกจบแค่ลูกน้อง...........
ต้องระวัง ที่ขึ้นต้นสวย จะลงท้ายด้วย "ไฟไหม้โรงยี่เก คสช."!

"บิ๊กป้อม"กำชับ ผบ.เหล่าทัพ จัดซื้อจัดจ้าง ให้โปร่งใส -พร้อมรับการตรวจสอบ

คำเตือน!!
"บิ๊กป้อม"กำชับ ผบ.เหล่าทัพ จัดซื้อจัดจ้าง ให้โปร่งใส -พร้อมรับการตรวจสอบ ไม่ให้ผิดพลาดเสียหาย เป็นอันขาด สั่งให้ยึด พรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ2560 เคร่งครัด หลังมอบอำนาจ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ อนุมัติใช้งบฯของตนเอง/ หนุนจัดงานนิทรรศการอาวุธ"Defense & Security 2017"6-9พย.นี้ ที่ อิมแพค
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหม
โดยได้เน้นย้ำเรื่อง การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ

โดย ขอให้หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพได้ให้ความสำคัญกับพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และกฎหมายลำดับรอง ที่มีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2560
โดยได้มีการมอบอำนาจการจัดซื้อจัดจ้างให้กับ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และหัวหน้าส่วนราชการเจ้าของงบประมาณเพิ่มมากขึ้น

"ขอทำทุกอย่างให้โปร่งใส และให้พร้อมรับการตรวจสอบ เพื่อมิให้เกิดความผิดพลาดเสียหายตามมาเป็นอันขาด"พลเอกประวิตร ระบุ
พลตรีคงชีพ ตันตระวานิชย์ โฆษกกลาโหม เผยว่า พลเอกประวิตร ได้กล่าว ขอบคุณสมาชิกสภากลาโหม เพราะการประชุมสภากลาโหมเดือนนี้ เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีงบประมาณ 2560
" ขอบคุณสมาชิกสภากลาโหม และผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่าน ที่ได้ทุ่มเท แรงกาย แรงใจ และสติปัญญา ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ ทำให้ภารกิจต่างๆ ของสภากลาโหมสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ก่อให้เกิดประโยชน์แก่กระทรวงกลาโหมโดยต่อเนื่อง"
นอกจากนี้ กลาโหม เตรียมการจัดงานนิทรรศการอุปกรณ์ป้องกันประเทศ (Defense & Security 2017)

ขอให้นขต.กห.และเหล่าทัพ สนับสนุนการจัดงานนิทรรศการอุปกรณ์ป้องกันประเทศ ที่กระทรวงกลาโหมร่วมกับภาคเอกชนร่วมกันจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 6 - 9 พฤศจิกายน 2560ที่ อาคารอิมแพค เมืองทองธานี เพื่อแสดงถึงพัฒนาการของเทคโนโลยีทางทหารและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมทั้งความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศกับมิตรประเทศ สนองต่อนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล

"บิ๊กป้อม" ฝากถึง ทหารใต้ ขออดทน

"บิ๊กป้อม" ฝากถึง ทหารใต้ ขออดทน จริงใจในการทำหน้าที่ต่อไป ด้วยความเข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา แม้จะเกิดความสูญเสีย ยันเสียใจ ฝากทบ.ดูแล
ในที่ประชุมสภากลาโหม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กห. ได้แสดงความเสียใจ กับหัวหน้าหน่วยขึ้นตรง(นขต.กห.) และผบ.เหล่าทัพ ต่อการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหาร4 นาย จากเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จชต.ที่ผ่านมา
โดยขอให้กองทัพบกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลกำลังพลและครอบครัวของผู้เสียชีวิตอย่างเต็มกำลังและให้เกียรติสูงสุด
พร้อมทั้ง ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจและข้าราชการทุกคนในพื้นที่ ให้ใช้ความอดทนและความจริงใจในการทำหน้าที่ต่อไป ด้วยความเข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา เพื่อร่วมกันดูแลความปลอดภัยและยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ยังขาดโอกาสไปด้วยกัน
โดยหวังว่า การเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อของเจ้าหน้าที่ที่ผ่านมา ตลอดจนการทุ่มเททำงานของเจ้าหน้าที่ทุกคน จะเป็นโอกาสของความเข้าใจกันและกัน ในการเปิดใจกว้างให้ความจริงใจในการพูดคุยสันติสุขร่วมกันในทุกระดับ เพื่อยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้นและอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติสุขระยะยาว

"ไม่ได้ไปกินอะไรเลย "เป็ด โฟร์ซีซั่น" กิไม่ได้กิน

"ไม่ได้ไปกินอะไรเลย "เป็ด โฟร์ซีซั่น" กิไม่ได้กิน
"บิ๊กป้อม" พลเอกประวิตร ปัดข่าว ที่ "เพจคนใกล้ชิด ที่ออกมาช่วยแจงว่า ไปลอนดอน ก่อนคณะ เพราะอยากไปกินของอร่อยๆ ก่อน" ไม่ได้ไปพบ "ทักษิณ"
" ไม่มีเวลาเลย. ไม่ได้ไปกินอะไรเลย เป็ด โฟร์ซีซั่น ก็ไม่ได้กิน ไม่มีเวลาเลย กว่าจะลงเครื่อง ก็เข้าที่พักเลย" บิ๊กป้อม พูดแบบเซ็งๆ

"บิ๊กป้อม" ซัด"หญิงหน่อย"เร่งชี้วันเลือกตั้ง แนะถ้าไม่มั่นใจ ก็มาทำเองเลย



"บิ๊กป้อม" ซัด"หญิงหน่อย"เร่งชี้วันเลือกตั้ง แนะถ้าไม่มั่นใจ ก็มาทำเองเลย ยันกม.ลูกเสร็จ150วัน แล้วจะบอกว่าเลือกตั้งเมื่อไหร่ ยันไม่มีตุกติก ชี้ประชาชนไม่อยากให้เลือกตั้ง เปรย บิ๊กตู่ จะอยู่ต่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาชน หากจะเล่นการเมืองก็ต้องไปสมัครเลือกตั้ง

ล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้รัฐบาลและคสช. ประกาศวันเลือกตั้งให้ชัดเจน ว่า เรื่องนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้

"ถ้าคุณสุดารัตน์ อยากมั่นใจ ก็มาทำเอง เลย"

พลเอกประวิตร กล่าวว่า บอกแล้วไงว่า ทุกอย่าง เพราะต้องรอให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)ดำเนินการร่างกฎหมายลูกให้เรียบร้อยก่อน และการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
จากนั้น อีก 150 วัน ถึงจะมีการกำหนดวันเลือกตั้งได้ จะบอกได้ว่าเลือกตั้งวันไหน

และคงต้องไปถาม กรธ. ว่า จะดำเนินการร่างกฎหมายลูกเสร็จสิ้นเมื่อไหร่

ส่วนผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ที่ไม่มั่นใจว่า จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.ประวิตร ระบุว่า เท่าที่รับทราบข้อมูล เห็นว่า ประชาชนยังไม่อยากเลือกตั้ง

แต่ยืนยันว่า รัฐบาลอยากให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นทันตามโรดแมป คือ ภายในปี 2561 ซึ่งจากการประเมิน ก็ยังไม่พบปัจจัยที่ทำให้มีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป

เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่ารัฐบาลและ คสช. จะไม่ตุกติกเรื่องกำหนดวันเลือกตั้ง

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตุกติกยังไง ขณะนี้คณะกรรมการเลือกตั้ง(กรธ.)ดำเนินการอยู่ และต้องรอผ่านสภานิติบัญญัติ (สนช.) แล้วจะตุกติกยังไง

ส่วนที่นักการเมืองและประชาชนไม่มั้นใจว่าจะมีการเลือกตั้งนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ประชาชนไม่อยากให้เลือกตั้งไม่ใช่หรือ

ส่วนจะทันปี 2561 หรือไม่นั้น ไม่ทราบ รัฐบาลอยากเป็นไปตามโรดแมพวางไว้ ขณะนี้ไม่มีปัจจัยทำให้โรดแมพเปลี่ยน

พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึง กรณีที่มีคนเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะอยู่ต่อว่า ตนไม่รู้ มาถามตนได้อย่างไร คนที่บอกให้อยู่ต่อเป็นใคร ก็เป็นประชาชน

เมื่อถามย้ำว่า ถ้าเช่นนั้น พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะเล่นการเมือง ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า หากเล่นการเมือง ต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง

ส่วนที่้นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาลงสมัครรับเลือกตั้ง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่มีคิดอะไร ส่วนคนพูดจะคิดอะไร ตนไม่รู้

ส่วนกรณี อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า หากปี 2561-2562 ไม่มีการเลือกตั้ง ก็ตัวใครตัวมันนั้น เป็นอย่างไรตัวใคร ตัวมัน ต้องไปถามคุณอนุทิน เพราะเป็นคนพูด
-0:42

"บิ๊กป้อม" อ้าง "ประชาชน ยังไม่อยากให้เลือกตั้ง"

"บิ๊กป้อม" อ้าง "ประชาชน ยังไม่อยากให้เลือกตั้ง"
พลเอกประวิตร กล่าวถึงกรณีที่ นักการเมืองและ ผลโพลล์ ประชาชนไม่มั่นใจว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่นั้น ว่า ประชาชนไม่อยากให้เลือกตั้งไม่ใช่หรือ
ส่วนจะทันปี 2561 หรือไม่นั้น ไม่ทราบ รัฐบาลอยากเป็นไปตามโรดแมพวางไว้ ขณะนี้ไม่มีปัจจัยทำให้โรดแมพเปลี่ยน

ส่วนที่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะอยู่ต่อว่า ตนไม่รู้ มาถามตนได้อย่างไร คนที่บอกให้อยู่ต่อเป็นใคร ก็เป็นประชาชน
เมื่อถามย้ำว่า ถ้าเช่นนั้น พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะเล่นการเมือง ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า หากเล่นการเมือง ต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง

ส่วนที่้นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาลงสมัครรับเลือกตั้ง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่มีคิดอะไร ส่วนคนพูดจะคิดอะไร ตนไม่รู้

ไม่ใช่กม....ไม่ได้บังคับ....ไม่มีMou... แต่เป็น"พันธะทางใจ"

ไม่ใช่กม....ไม่ได้บังคับ....ไม่มีMou... แต่เป็น"พันธะทางใจ"
กลาโหม เผยแพร่ "สัญญาประชาคม"แล้ว 10ข้อ อีก15ภาคผนวก ชี้ เป็น"สัญญาฉบับแรก"ที่เกิดจากบทเรียนความขัดแย้งอันยาวนาน เป็นเสมือน"พันธะทางใจร่วมกัน" ระหว่างประชาชนทุกคน

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ ประธานอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ ฯ เปิดเผยว่า การสร้างความสามัคคีปรองดอง เป็นนโยบายหลักที่คสช.และรัฐบาลให้ความสำคัญ

โดยตั้งแต่ปี 2557 ที่ผ่านมา คสช.ได้เริ่มดำเนินการด้วยการยุติความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรงโดยทันที

ต่อจากนั้น รัฐบาลพยายามควบคุมสถานการณ์ความขัดแย้ง ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันในสังคม ควบคู่ไปกับ ความพยายามผ่อนคลายอารมณ์ทางสังคมที่ยังตกค้าง ด้วยการขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย ให้ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้งร่วมกัน

เมื่ออารมณ์ทางสังคมเริ่มผ่อนคลาย รัฐบาลจึงเปิดกว้างรับฟังจากประชาชน ด้วยการให้ทุกฝ่าย มีส่วนร่วมเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ผ่านมา ควบคู่ไปกับ การรวบรวมข้อมูลจากผลศึกษาด้านการสร้างความสามัคคีปรองดองที่มีมา

โดยนำความเห็นร่วมที่ตรงกันของทุกฝ่ายมาจัดทำเป็น “สัญญาประชาคม” เพื่อกำหนดแนวทางการอยู่ร่วมกันในอนาคตอย่างสงบสันติสุข

ขณะเดียวกัน ปัญหาของประชาชนในแต่ละพื้นที่และปัญหาความเหลื่อมล้ำของสังคมในภาพรวม ที่ได้รับฟังจากทุกฝ่าย ถือว่าเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญและกำลังแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนในลักษณะมีส่วนร่วมกัน ด้วยกลไกประชารัฐภายในกรอบเวลาที่มี

โดยหวังว่าการตระหนักต่อปัญหาและความพยายามเดินหน้าร่วมกันของทุกฝ่าย ด้วยใจเปิดกว้างและเป็นกลาง ที่มุ่งประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ จะเป็นทางออกจากความขัดแย้งสู่เป้าหมายอนาคตร่วมกัน

"ดังนั้น “สัญญาประชาคม” ที่ร่วมกันคิดและจัดทำขึ้นนี้ เนื้อหาในภาพรวมไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สาระสำคัญ เป็นความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ ที่ต้องการอยู่ร่วมกันภายใต้กฎหมายและกรอบกติกาทางสังคมที่ร่วมกันกำหนด"

โดยเป็น "สัญญาฉบับแรก"ที่เกิดขึ้นจากบทเรียนของความขัดแย้งที่มีร่วมกันมายาวนาน และทำหน้าที่เสมือนพันธะทางใจร่วมกันระหว่างประชาชนทุกคน ที่ต้องการความสำนึกและรับผิดชอบร่วมกัน ต้องการการเคารพและทำหน้าที่ร่วมกันในเรื่องที่จำเป็น และการไม่ทำในเรื่องที่ไม่ควรทำ ซึ่งหากตระหนักรู้เข้าใจและให้ความร่วมมือกันทุกฝ่าย ก็เป็นที่เชื่อมั่นร่วมกันว่า สังคมในอนาคตจะสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยปราศจากเงื่อนไขความขัดแย้งเดิม

ขอเรียนว่า ขณะนี้ กระบวนการสร้างความสามัคคีปรองดอง อยู่ระหว่างการเผยแพร่ “เอกสารสัญญาประชาคม” จากทุกส่วนราชการ เพื่อการรับรู้และความเข้าใจในสำนึกและหน้าที่ ที่ประชาชนทุกคนพึงมีให้กัน

โดยสามารถ Down load ได้ที่ website กรมประชาสัมพันธ์ในขั้นต้น และจาก website ของส่วนราชการต่างๆที่จะมีตามมา

แบ่งงาน ทบ.

"บิ๊กเจี๊ยบ" ลงนามคำสั่ง ทบ.ตั้ง"บิ๊กแดง"เป็น ผช.ผบทบ.(2)คุมสายงานสำคัญส่งกำลังบำรุง จัดซิ้อจัดจ้าง /บิ๊กอ้อม ผช.ผบทบ.(1)ดูกำลังพล-กิจการพลเรือน/แต่รองเสธ."สุชาติ" เด็กบิ๊กป้อม คุม ก.บ.
พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ลงนามในคำสั่ง กองทัพบก(เฉพาะ) ที่ 1250 / 60 เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ ของ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก, เสนาธิการทหารบก และรองเสนาธิการทหารบก

อันเป็นคำสั่งในการมอบหมายงาน

โดยมอบหมายให้ บิ๊กอ้อม พลเอกวีรชัยอินทุโศภน เป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก(1) รับผิดชอบงานและเอกสารในสายงานด้านกำลังพล , กิจการพลเรือน และงานพิเศษที่กองทัพบก 

มอบหมายให้ บิ๊กแดงพลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้ช่วยผบทบ.(2) รับผิดชอบงาน และเอกสารในสายงานส่งกำลังบำรุง และงานพิเศษที่กองทัพบก 

มอบหมายบิ๊กเล็ก พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์เสนาธิการทหารบก รับผิดชอบงานและเอกสารในสายงานการข่าว, ยุทธการ, การฝึกศึกษาทางทหาร , กิจการต่างประเทศ ,ปลัดบัญชี

โดยมี พลโทสุชาติ ผ่องพุฒิ รองเสนาธิการทหารบก(4) น้องรักพลเอกประวิตร รับผิดชอบงานและเอกสารในสายงานส่งกำลังบำรุง
พลโท ธีระวัฒน์ บุญยะวัฒน์ รองเสนาธิการทหารบก(1) รับผิดชอบงาน และเอกสารในสายงานกำลังพล
พลโทกนิษฐ์ ชาญปรีชญา รองเสนาธิการทหารบก(2) รับผิดชอบสายงานและเอกสารสายงานการข่าว และกิจการต่างประเทศ
พลโทชูชาติ บัวขาว รองเสนาธิการทหารบก(3) รับผิดชอบสายงานและเอกสาร สาย
งานยุทธการ
พลโทสิงห์ทอง หมีทอง รองเสนาธิการทหารบก(5) รับผิดชอบสายงานและเอกสารด้านกิจการพลเรือน
ทั้งนี้มีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไปลงชื่อ พลเอกเฉลิมชัย 22 กันยายน 2560

"ประยุทธ์" เหนื่อยปะทะ "วิกฤติศรัทธา" รัฐบาล คสช. : สนิมอำนาจ เจาะเรือแป๊ะ

"ประยุทธ์" เหนื่อยปะทะ "วิกฤติศรัทธา" รัฐบาล คสช. : สนิมอำนาจ เจาะเรือแป๊ะ

ร้องลิเก เล่นลำตัด ขับรถหว่านข้าวในทุ่งนา ฯลฯ

ตามภาพข่าวที่ปรากฏสู่สายตาคนทั่วประเทศ ปฏิเสธไม่ได้ว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ทำได้เนียนกว่านักการเมืองอาชีพด้วยซ้ำ

และนั่นก็ทำให้การเดินสายตรวจราชการที่จังหวัดสุพรรณบุรี ต่อเนื่องกับการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

ประสบผลสำเร็จอย่างมากในเชิงการตลาด

ยุทธศาสตร์ในการสื่อสารตรงกับประชาชนทำได้ตามเป้า ในการเลือกจุดกระแสตามหัวเมืองใหญ่แต่ละภาค ทำให้ชาวบ้านได้รับรู้ถึงผลการทำงานของรัฐบาล เห็นถึงความคืบหน้าโครงการที่รัฐบาลพยายามแก้ปัญหา ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

โดยเฉพาะการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ลืมใส่ใจคนยากคนจน

และยังน่าจะหวังไปถึงผลทางการเมือง ผ่อนสถานการณ์รัฐบาล คสช.ที่ต้องเผชิญกับแรงเสียด-ทานหนักหน่วงขึ้น ตามเงื่อนเวลาท้ายเทอม ปลายโรดแม็ป

แบบที่มีการวิเคราะห์ข้ามช็อตไปถึง “รัฐบาลเพื่อการปฏิรูป” หรือ “รัฐบาลแห่งชาติ” ตามสัญญาณการเปิดโอกาสให้นักการเมืองเข้าร่วมงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ในอนาคต

ลดโทนการตั้งแง่ของผู้นำทหารที่รังเกียจ นักเลือกตั้งอาชีพมาตลอด

เรื่องของเรื่อง ภายใต้เงื่อนไขที่สัมผัสได้ถึงระดับความเข้มอำนาจรัฐบาลทหาร คสช.ไม่ได้เบ็ดเสร็จเหมือนช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ดาบอาญาสิทธิ์มาตรา 44 ชักออกจากฝักแบบกล้าๆกลัวๆ

ประมวลผลสถานการณ์ทุกเรื่องทุกอย่างเริ่มไหลเข้าตัว

ปมร้อนย้อนมานัวเนียอยู่ที่ท่านผู้นำ

ที่สำคัญในจังหวะที่ตัวละครเอกของขั้วตรงข้ามอย่าง “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตัดสินใจหนีการฟังคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีจำนำข้าว

ปฏิบัติการณ์ “ล่องหน” ไปจากกระดานข่าวการเมือง

ตามท้องเรื่องที่ยังมีควันหลงในการแกะรอยเส้นทางหนี ล่าสุดมีการตามล็อกตัวนายตำรวจเจ้าของรถปริศนาที่ต้องสงสัยว่าเป็นพาหนะนำอดีตนายกฯหญิงหลบหนีไปด้านชายแดนจังหวัดสระแก้ว

แนวโน้มทิศทางข่าว เหมือนเคลียร์ข้อครหาฝ่ายคุมเกมอำนาจ คสช.เปิดทางให้เผ่น

แต่ที่แน่ๆ ฝ่ายความมั่นคง คสช.ฟันธงเลยว่า อดีตนายกฯหญิงจะไม่มาตามที่ศาลฎีกาฯนัดอ่านคำพิพากษาอีกครั้งในวันที่ 27 กันยายนนี้ กบดานยาวเพื่อผลในการลี้ภัย

นั่นก็เป็นอะไรที่เป้าโฟกัสจะหันกลับมาที่ “นายกฯลุงตู่” และรัฐบาล คสช.เต็มๆ

ถึงแม้โดยรูปเกมในเบื้องแรกเลย จะเป็นจังหวะดีของ พล.อ.ประยุทธ์และทีมงานรัฐบาล คสช.ในการเดินหน้าบริหารอำนาจพิเศษไปตามเส้นทางโรดแม็ป
แบบที่ไม่มี “น้องปู” คนสวยมาคอยแย่งซีน กวนสมาธิ

ทีม “นายใหญ่” ทั้งพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายเสื้อแดง นปช.ระส่ำ ตั้งหลักไม่ทัน นั่นหมายถึงหนทางสะดวกในการวางหมากรองรับยุทธศาสตร์ที่ คสช.จะต้องคุมสถานการณ์เปลี่ยนผ่านไปอีกอย่างน้อย 5 ปี ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ

ซึ่งก็เห็นได้ชัดถึงการเร่งเครื่องตุนแต้ม โชว์เนื้องานปั่นคะแนน

ตามแผนเชิงยุทธศาสตร์ที่สะท้อนจากจังหวะของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พยายามแสดงให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช.ที่เดินมาถูกทาง
เริ่มส่งผลเชิงบวกในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งฉากที่ตัวแทนรัฐบาลและนักลงทุนญี่ปุ่นมาดูเมกะโปรเจกต์ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) และประกาศให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนในอาเซียน ล้อไปกับการตีฆ้อง สัญญาณบวกทางเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นบวกต่อเนื่อง กระทรวงพาณิชย์แถลงตัวเลขส่งออกเดือนสิงหาคมที่ตัวเลขโต 2 หลัก สูงเป็นประวัติการณ์รอบหลายปี

ขณะที่การจัดคิวให้ “นายกฯลุงตู่” ลงพื้นที่ประชุม ครม.สัญจรในต่างจังหวัด ตรวจความคืบหน้าเนื้องานตามนโยบาย ขายตรงผลงานรัฐบาล เน้นให้เห็นการแก้ปัญหาปากท้อง ทั้งแจกที่ดินทำกินจัดงบฯช่วยเหลือเกษตรกร มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย บัตรสวัสดิการประชารัฐ ฯลฯ

สารพัดมาตรการซื้อใจคนจนฐานใหญ่ของประเทศ

สร้างโมเมนตัมทั้งเศรษฐกิจและกระตุกแรงเหวี่ยงทางการเมือง

ว่ากันด้วยเรื่องของเหลี่ยมการตลาดยี่ห้อ “สมคิด” ที่จัดว่าไม่ธรรมดา นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับได้ “นายกฯลุงตู่” ที่เล่นบทได้เนียนกว่านักการเมืองอาชีพ

ในจังหวะสถานการณ์สู้กับเกมบีบกระแสอยากเลือกตั้งตามผลโพล

บริบทการเมืองเดิมๆที่ชาวบ้านร้านตลาดจะเคยชินกับระบบนิเวศเก่าๆที่มองว่าเศรษฐกิจจะคล่องตัว เงินจะหมุนในช่วงดังกล่าว ซึ่งเข้าทางนักการเมืองที่เอามาขยายผลกดดันรัฐบาลทหาร

เหมาเลยว่า ชาวบ้านมองหาตัวช่วยใหม่แทนทีม “นายกฯลุงตู่”

ตามฉากสถานการณ์ที่ตัวเดินแต้มสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์กับนายสมคิด กอดคอ “วิ่งสู้ฟัด” แบบสุดกำลัง
ในจังหวะปะทะกับวิกฤติศรัทธาที่ถาโถมเข้าใส่รัฐบาล คสช.

“สนิมอำนาจ” เจาะเรือแป๊ะ

กับปรากฏการณ์อีกด้านหนึ่งที่ “พี่รอง” อย่าง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ต้องกลายเป็นเป้าตำบลกระสุนตก โดนถล่มอ่วม

ปัดเผือกร้อนกันไม่ทัน ปมการเซ็นอนุมัติให้บริษัทเอกชนเช่าที่ดินป่าชุมชนเขตต้นน้ำในจังหวัดขอนแก่นยังอ้ำๆอึ้งๆ ตั้งลำทรงตัวไม่ได้ ก็ต้องมาเจอกับคำถามแรงๆ กรณีการปลดประจำการของเรือเหาะตรวจการณ์ที่จัดซื้อสมัย พล.อ.อนุพงษ์เป็น ผบ.ทบ. ด้วยงบฯ 350 ล้าน ใช้งานไปได้แค่ 8 ปี

บินขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้าง ขึ้นได้แต่ลงไม่ได้

และภาพที่เห็นคือทั้ง พล.อ.อนุพงษ์ ทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ต่างฝ่ายต่างโยนให้ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.เป็นคนเคลียร์คำถามในฐานะที่สั่งให้เลิกใช้
เพราะหากให้กำลังพลขึ้นไปปฏิบัติงาน เกรงจะเสี่ยงอันตราย

ไปๆมาๆเหมือนความรับผิดชอบจะตกเป็นของ พล.อ.เฉลิมชัย ไปเต็มๆ ทั้งๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับเรือเหาะอื้อฉาว แค่เข้ามาเกี่ยวในสถานะของ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน

เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ต้องเอากระดูกมาแขวนคอ

หรืออีกกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ตั้งข้อสังเกตกลางวงประชุมคณะรัฐมนตรี ต่อกรณีโครงการ 9101 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงินกว่า 22,895 ล้านบาท สนับสนุนงบฯให้ชุมชนละ 2.5 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติ

ได้รับข้อร้องเรียนว่า ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่โปร่งใส ไม่ถึงมือชาวบ้านอย่างแท้จริง

รีบชิงประจานเอง มันย่อมไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา
กระตุก พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ต้องรีบเด้งรับ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และประเมินผลเป็นระยะ

นี่ยังไม่นับปมขายข้าวดีเป็นข้าวเน่าที่คนประชาธิปัตย์ไล่กัดติด

คนใกล้ตัว ทั้งพี่ ทั้งเพื่อน ตกอยู่ในวงล้อมตำบลกระสุนตก สถานการณ์ล้อกับคิวที่ “บิ๊กตู่” ขึ้นพูดบนเวทีของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เป็นนัยส่งสัญญาณปรามคนใกล้ตัวเป็นพิษ

แถมยังมีการออกตัวเรื่องขบวนการ “เสธ.อ” แอบอ้างเป็นเพื่อนนายกฯหาผลประโยชน์

โจทย์ร้อน “ลุงตู่” ต้องรีบตัดไฟทุจริตที่เริ่มลามข้างๆตัว

นั่นไม่เท่ากับว่า โดยสถานการณ์มันโยงไปถึงภาวะเกษตรกรคนยากจนเดือดร้อนปากท้อง แต่ 2 หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบโดยตรงทั้งกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต่างตกอยู่ในห้วงที่รัฐมนตรีกลายเป็นเป้าตำบลกระสุนตกและบ่อน้ำมัน

อันเป็นสถานการณ์ “ติดล็อก” จากกลไกภายในเรือแป๊ะเอง

“สนิม” สะสมทับถมจนสลัดไม่หลุด

“นายกฯลุงตู่” ตกอยู่ในภาวะน้ำท่วมปาก หยิกเล็บเจ็บเนื้อ ไม่กล้าแตะคนในแวดวงใกล้ตัว

อึดอัดมากๆก็บ่นคนไม่เห็นใจคนทำงานเหนื่อย พาลด่าไปทั่ว ทั้งนักข่าว ทั้งชาวบ้าน

แต่ทั้งหมดทั้งปวง โดยสถานการณ์ที่หนีไม่ออก ในเมื่อยึดอำนาจประชาชนมาโดยอาสาเอง ก็ต้องรับผิดชอบกับอำนาจและการตัดสินใจของตัวเอง

ถ้าคิดว่าอุ้มกระเตงกันต่อไปไหว ก็ลากถูกันไป

จะบ่นให้พวกหมั่นไส้หัวเราะสะใจทำไม.

“ทีมการเมือง”

แย่งเกาะขบวนอำนาจ

แย่งเกาะขบวนอำนาจ

กำลังอยู่ในช่วงเนื้อหอมจากภายในและภายนอกประเทศ

ในโปรแกรมที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. มีคิวบินข้ามทวีปไปเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาต้นเดือนตุลาคมนี้

ตามคำเชิญของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมีโปรแกรมเจรจาขยายความร่วมมือด้านการค้า เศรษฐกิจ และความมั่นคง

แม้จะยังไม่รู้ผลการหารือจะได้ข้อสรุปอย่างไร แต่ที่แน่ๆเป็นผลดีต่อผู้นำ คสช.ในแง่ภาพลักษณ์
ได้ผงาดบนเวทีทำเนียบขาว เช็กแฮนด์เบอร์หนึ่งพญาอินทรี ล้างภาพมหาอำนาจโลกรังเกียจเผด็จการทหาร

เปิดทางให้เวทีโลกยอมรับภาพลักษณ์ประเทศไทยดีขึ้น

ขณะที่เวทีในประเทศ สถานการณ์ทางการเมืองช่วงนี้ดูเป็นใจให้ผู้นำอำนาจพิเศษไม่ต้องพะวงเสี้ยนหนามสำคัญ นับตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลบหนีฟังคำพิพากษาไปต่างประเทศ
แม้จะเสียหน้าไปบ้างที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทำได้แค่ไล่ตามเงา “อดีตนายกฯปู” หรืออย่างดีที่สุดเพียงแค่ตะครุบตัวทีมนายตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องขับรถพาหลบหนีไปยังชายแดน แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยตัวไป

ไม่สามารถแจ้งข้อหาดำเนินคดีได้ เพราะขณะนั้น “ยิ่งลักษณ์” ยังไม่มีคดีติดตัว

แต่อย่างน้อยสถานการณ์ภาพรวมทางการเมืองในประเทศถือว่า คสช.ยังควบคุมได้เบ็ดเสร็จ ตามรูปการณ์ที่ฝ่ายการเมืองเริ่มขยับวิ่งเข้าหาศูนย์กลางอำนาจในช่วงเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง

อย่างที่เห็นๆจากซีนที่ระดับ “บิ๊กเนม” และ “ยังเติร์ก” พรรคชาติไทยพัฒนาหยอดคำหวานใส่ “บิ๊กตู่” ระหว่างลงพื้นที่ ครม.สัญจรที่ จ.สุพรรณบุรี อวยกันต่อหน้า ไม่ขัดข้องหากรัฐบาลจะอยู่ยาวอีก 8 ปี 10 ปี
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะถอดรหัสเป็นการดีลจองโควตาร่วมรัฐบาล ตามสูตรสำเร็จค่ายปลาไหลที่ร่วมหอลงโรงได้ทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลทหารหรือพลเรือน

กลิ่นอายเลือกตั้งเริ่มเข้มข้นขึ้น ในจังหวะที่ “บิ๊กตู่” ตระเวนลงพื้นที่ ครม.สัญจรถี่ยิบ นำทีมรัฐมนตรีประชุม ครม.นอกสถานที่ตามหัวเมืองใหญ่ๆในช่วงเวลาห่างกันไม่ถึงเดือน

เลือกเจาะเป้าหมาย จ.นครราชสีมา สุพรรณบุรี อยุธยา ประเคนงบประมาณพัฒนาพื้นที่กันเต็มเหนี่ยว หมายมั่นปั้นมือสลายคะแนนนิยมเขตอิทธิพลของพรรคใหญ่และพรรคขนาดกลาง

และที่สดๆร้อนๆคือ การเปิดตัวใช้ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” เมื่อวันที่ 21 กันยายน ตามนโยบายกระทรวงการคลังนำบัตรคนจนมาแจกให้ผู้มีรายได้น้อย 1.3 ล้านคน เพื่อช่วยลดค่าครองชีพ อาทิ ค่าสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ค่ารถเมล์ รถ บขส. รถไฟ ค่าก๊าซหุงต้ม

“บิ๊กตู่” ปรับกลยุทธ์กระหน่ำสารพัดโครงการเอาใจคนรากหญ้า โปรโมตแคมเปญ “ประชารัฐ” ก็มีดีไม่น้อยหน้า “ประชานิยม”

สะสมหน้าตัก โกยแต้มฝ่ายเดียว ในยามที่นักการเมืองถูกแช่แข็ง บรรดาหัวโจกสีเสื้อต่างๆไม่ติดคุก ก็มีชนักปักหลังเป็นคดีติดตัว ไม่สามารถขยับตัวเคลื่อนไหวอะไรได้

ตุนคะแนนไว้เป็นความชอบธรรม รอกลับมาเป็น “นายกฯคนนอก” โดยไม่ต้องลงสนามเลือกตั้ง

ในความรู้สึกลึกๆในใจของนักการเมืองอาชีพเอง คงไม่มีใครอยากเสี่ยงเป็นนายกฯภายหลังการเลือกตั้ง
 เพราะมีกับดักทางข้อกฎหมายมากมาย หากพลาดท่าขึ้นมาย่อมสุ่มเสี่ยงต่อการหมดอนาคตทางการเมือง

สถานการณ์ปูทางให้ “บิ๊กตู่” ขี่หลังเสือต่อ มาสานต่อแนวทางบริหารประเทศที่ท็อปบูตกรุยทางไว้เรียบร้อยแล้ว

นั่นเป็นสิ่งที่พรรคขนาดกลางอ่านไต๋รู้ ดูเหลี่ยมกันออก ต้องรีบทอดสะพาน เสนอตัวเป็นทางเลือกให้ “บิ๊กตู่” เลือกเข้าสู่เส้นทางอำนาจในเที่ยวต่อไป

เข้าทางเงื่อนไขที่ขั้วอำนาจพิเศษอยากกวาดต้อนพรรคขนาดกลาง และพรรคขนาดเล็กมาช่วยเสริมเสถียรภาพในอนาคต

เพราะลำพังแค่เสียง ส.ว.250 เสียง ไม่สามารถการันตีจะช่วยประคองรัฐบาลไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่

โมเดลอำนาจใหม่หลังเลือกตั้งจึงย่อมหนาแน่นไปด้วยพรรคขนาดกลาง และพรรคขนาดเล็ก

เหลือโควตาสุดท้ายให้ 2 พรรคใหญ่ “เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์” แย่งกันเกาะขั้วอำนาจใหม่

ใครตกขบวนก็ต้องไปนั่งเป็นฝ่ายค้าน!!!

ทีมข่าวการเมือง