PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รัฐบาลส่ง 3 รมต.แจงตัวเลขจำนำข้าว แต่ยังไม่ชัดเจนเรื่องผลขาดทุน

By สำนักข่าวไทย TNA News | 7 มิ.ย. 2556 16:52

ก.พาณิชย์ 7 มิ.ย. - หลังจากที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวเลขการขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวที่อาจขาดทุนถึง 260,000 ล้านบาท ตามที่มีข้อมูลจากคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตร ล่าสุดนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และตัวแทนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ออกมาชี้แจงในเรื่องนี้

นายบุญทรง เปิดเผยว่า โครงการรับจำนำข้าวได้เริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2554 ซึ่งที่ผ่านมาสร้างผลทางเศรษฐกิจอย่างมาก โดยส่งผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2555 ให้เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5-1 และทำให้เกษตรกร 14-15 ล้านครัวเรือนได้รับประโยชน์ สามารถขายข้าวได้ในราคาสูงขึ้น โดยข้าวที่เข้าโครงการปีแรก 22 ล้านตันข้าวเปลือก ปีนี้นาปี 15 ล้านตันข้าวเปลือก และนาปรัง 2 ล้านตันข้าวเปลือก รวม 39.5-40 ล้านตันข้าวเปลือก ใช้งบประมาณรวม 600,000 ล้านบาท ระบายข้าวและใช้คืน ธ.ก.ส.ไปแล้ว 120,000 ล้านบาท โดยแหล่งที่มาของเงินใช้เงินกู้ที่มีอยู่ 410,000 ล้านบาท และวงเงินกู้ยืมจาก ธ.ก.ส.90,000 ล้านบาท ซึ่งวงเงินเหล่านี้ยังเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการรับจำนำต่อไป โดยไม่ได้ขอเพิ่มวงเงินแต่อย่างใด

นายบุญทรงยืนยันข้อมูลที่มีการนำออกมากล่าวหาต่างๆ ทั้งในสภา และในโซเชียลเน็ตเวิร์กว่าตัวเลขการขาดทุน 260,000 ล้านบาท ไม่เป็นความจริง โดยที่ผ่านมาโครงการรับจำนำข้าวฤดูกาลผลิต 2554/2555 รอบแรกใช้งบประมาณดำเนินการวงเงิน 118,000 ล้านบาท รอบที่ 2 วงเงิน 280,000 ล้านบาท และโครงการรับจำนำข้าวฤดูกาลผลิต 2555/2556 รอบแรกวงเงิน 228,000 ล้านบาท และรอบ 2 ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ เบื้องต้นใช้งบประมาณแล้ว 50,000 ล้านบาท พร้อมกันนี้เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความผิดพลาด หรือการนำตัวเลขต่าง ๆ ออกมาเปิดเผยเพื่อหวังผลทางการเมือง ทางกระทรวงพาณิชย์จะจัดตั้งคณะกรรมการและประชาสัมพันธ์ เพื่อดำเนินการแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ ต่อไป

ด้านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ในเอกสารที่คณะกรรมการปิดบัญชีฯ ส่งเรื่องมาให้ไม่มีการบันทึกตัวเลข 260,000 ล้านบาท ตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด มีเพียงข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2556 ระบุมีสินค้าที่เป็นผลผลิตทางการเกษตร 17 รายการ ที่เข้าโครงการจำนำโครงการของรัฐบาล ซึ่งรวมการรับจำนำข้าวคงเหลือในสตอก 226,000 ล้านบาท ซึ่งมีการบันทึกขาดทุนรวม 216,000 ล้านบาท แต่หลังจากวันที่ 31 มกราคม มีข้าวเข้ามาเพิ่มขึ้น รวมทั้งรัฐบาลสามารถระบายออกได้เช่นกัน ดังนั้น แม้โครงการนี้จะมีผลการดำเนินงานขาดทุน แต่ไม่สูงถึง 260,000 ล้านบาท และไม่สูงกว่าการขาดทุนของรัฐบาลชุดก่อนที่อยู่ที่ 70,000-80,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน โดยตัวเลขการขาดทุนดังกล่าวจะมีความชัดเจนภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) สัปดาห์หน้า

ขณะที่นายทนุศักดิ์ยืนยันว่า กระทรวงการคลังให้ความสำคัญในการดำเนินการในเรื่องนี้มาโดยตลอด โดยเฉพาะการทำงานประสานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ผ่านเงินสนับสนุนโครงการจาก ธ.ก.ส.

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวจากคณะกรรมการปิดบัญชีฯ ที่ได้สรุปตัวเลขผลการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยระบุรัฐบาลได้ใช้เงินสำหรับการรับจำนำข้าวสำหรับปีการผลิต 2554/2555 และ 2555/2556 รวมทั้งสิ้น 661,224 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เป็นผู้จัดหาจำนวน 408,750 ล้านบาท วงเงินจาก ธ.ก.ส. จำนวน 90,000 ล้านบาท และเงินคืนจากการระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์จำนวน 93,450 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส.ได้ทำการทดรองจ่ายไปเพิ่มอีกประมาณ 68,000 ล้านบาท ขณะที่กรอบการใช้เงินเพื่อโครงการนี้เป็นเงินกู้จำนวน 410,000 ล้านบาท และเงินจาก ธ.ก.ส.จำนวน 90,000 ล้านบาท รวมเป็น 500,000 ล้านบาท

ขณะที่การปิดบัญชี ณ วันที่ 31 มกราคม 2556 ปรากฏว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวมีผลขาดทุนรวม 220,967 ล้านบาท แบ่งเป็นการรับจำนำข้าวนาปีฤดูกาลผลิต 2554/2555 จำนวน 42,963 ล้านบาท การรับจำนำข้าวนาปรังฤดูกาลผลิต 2555 จำนวน 93,933 ล้านบาท และการรับจำนำข้าวนาปีฤดูกาลผลิต 2555/2556 จำนวน 84,071 ล้านบาท เมื่อรวมกับผลขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวและผลผลิตการเกษตรในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปรากฏผลขาดทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น 393,902 ล้านบาท โดยการรับจำนำข้าวนาปรังในปี 2551 มีผลขาดทุน 33,623 ล้านบาท การรับจำนำข้าวนาปี ปี 2551/2552 มีผลขาดทุน 30,449 ล้านบาท และการรับจำนำข้าวนาปรังปี 2552 มีผลขาดทุน 41,677 ล้านบาท.- สำนักข่าวไทย

นักโทษประหารคดียาบ้า


นักโทษประหารคดียาบ้า

เวลา 15.40 น. ข้าพเจ้าได้รับทราบชื่อนักโทษที่จะถูกประหารในวันนี้คือ น.ช.สมคิด นามแก้ว โดยข้าพเจ้าเข้าไปเบิกตัวที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 เมื่อเวลา 16.10 น. เมื่อเจ้าหน้าที่ประจำตึกขังได้ไขกุญแจเปิดตึก เสียงพูดคุยที่ดังอยู่ภายในได้เงียบลงทันที ข้าพเจ้าเดินเข้าไปภายใน นักโทษประหารที่อยู่ตามห้องต่างๆ พากันหลบสายตาของข้าพเจ้า แต่ก็ยังมีคนถามข้าพเจ้าขึ้นมาจนได้ “กี่คนครับหัวหน้า คดีอะไร” ข้าพเจ้าตอบกลับไป “คนเดียว คดียาบ้า” นักโทษประหารซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักโทษคดียาบ้า ต่างพากันสะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที และมีเสียงพูดขึ้นมาดังๆว่า “เฮ้ยพวกเรา คดียาบ้าเขาเอาจริงแล้วโว้ย วันนี้ไม่รู้ใครจะประเดิมเป็นรายแรก กูหนอกู ไม่น่าคิดผิดไปขนยาบ้ามาเลย สงสัยคราวหน้าคงไม่พ้นตัวกูแน่เว้ย มาคิดได้ก็สายซะแล้ว ไม่คุ้มเลยจริงๆ เงินก็ไม่ได้ใช้ ยังจะต้องมาตายในคุกอีก”

นักโทษประหารเด็ดขาดที่ต้องโทษคดียาบ้า ต่างหน้าซีดเหงื่อตกไปตามๆกัน รอฟังว่าใครจะเป็นผู้ที่ถูกเรียกชื่อ เมื่อข้าพเจ้าเดินไปหยุดยืนที่หน้าห้องคุมขังน.ช.สมคิด นักโทษประหารที่อยู่ภายในโดยเฉพาะคดียาบ้า ต่างสั่นไปตามๆกัน เมื่อหัวหน้าฝ่ายควบคุมกลางเรียกชื่อขึ้น “สมคิด นามแก้ว ขอให้ออกมาหน้าห้องด้วย” ข้าพเจ้าเห็นน.ช.สมคิดซึ่งนั่งอยู่ริมห้อง สดุ้งเฮือกแทบจะหงายหลังลงไปกับพื้น แล้วค่อยๆลุกขึ้นเดินออกมาที่ประตูห้อง เมื่อเจ้าหน้าที่ประจำตึกขังไขกุญแจเปิดประตูห้อง ข้าพเจ้าคว้าตัวน.ช.สมคิดให้ออกมาจากห้องในทันที ใส่กุญแจมือและตรวจค้นตัว น.ช.สมคิดเกิดอาการเข่าอ่อนยวบขึ้นมาทันที ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีกนายต้องเข้าประคองพาเดินออกมาจากตึกขัง

ระหว่างทางขณะที่ข้าพเจ้านำน.ช.สมคิดไปที่หมวดผู้ช่วยเหลือฯ น.ช.สมคิดได้ถามข้าพเจ้าว่า “หัวหน้าครับ ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหารเนื่องจากยาบ้าใช่ไหมครับ” ข้าพเจ้าตอบไปว่า “ใช่ เวลานี้รัฐบาลเอาจริงในการปราบยาเสพติดแล้ว เดียวออกไปพ้นจากแดน 1 สมคิดคอยดูนะ จะเห็นพวกนักข่าวมากันเต็มไปหมดแต่สมคิดไม่ต้องไปสนใจอะไร ใครอยากจะถ่ายรูปก็ปล่อยเขาไป คิดเสียว่าอย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคมเป็นครั้งสุดท้าย พวกพ่อค้ายาเสพติดเห็นแล้วจะได้รู้จักกลัวกันบ้าง คงไม่มีใครอยากถูกยิงเป้าหรอก”

เมื่อนำตัวออกมาถึงหมวดผู้ช่วยเหลือฯ ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากรยังมาไม่ถึง น.ช.สมคิดได้พูดขึ้นมาอีก “หัวหน้าครับ ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ต้องเอาพวกนักการเมืองทั้งหลาย ไม่ว่าจะระดับท้องถิ่นหรือระดับประเทศ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด มายิงทิ้งให้หมด ความจริงก็รู้ๆกันอยู่ว่าใครบ้างที่เกี่ยวข้องหรือคอยบงการอยู่เบื้องหลัง แต่ผมไม่เคยเห็นใครทำอะไรคนพวกนี้ได้เลย มีแต่ยิ่งร่ำรวย และยิ่งใหญ่ในสภาขึ้นทุกวัน ถ้าไม่มีคนพวกนี้คอยสนับสนุน ยาบ้าคงไม่ระบาดหนักขนาดนี้หรอกครับ อย่างของผมนี่ก็เหมือนกัน เจ้าของยาบ้าตัวจริงเป็นนักการเมืองระดับท้องถิ่น ผมเป็นเพียงผู้รับจ้างขนเท่านั้น”

ข้าพเจ้าถามน.ช.สมคิดไปว่า “ในเมื่อรู้ตัวว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และใครเป็นเจ้าของยาบ้า ทำไมสมคิดไม่ให้การกับตำรวจไป ถ้าจับคนพวกนี้ได้ สมคิดคงได้รับการลดหย่อนโทษเป็นผลตอบแทน”

น.ช.สมคิดอธิบายให้ข้าพเจ้าฟัง “หัวหน้าครับ ถึงผมจะให้การซัดทอดไป แต่จะทำอะไรคนพวกนี้ได้ หลักฐานต่างๆที่จะสาวถึงตัวก็ไม่มี เงินทองทั้งหลายที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ก็ผ่านระบบฟอกเงินจนกลายเป็นเงินสะอาด หัวหน้าเห็นไหมครับ บางคนสมัยก่อนยังต้องนั่งรถเมล์และเช่าบ้านเขาอยู่ แต่เดี๋ยวนี้เป็นยังไงบ้างครับดูเอาเถอะ มีรถราคาหลายล้านจอดเต็มบ้าน บ้านที่ปลูกก็ใหญ่ยังกับวัง เงินในธนาคารมีเป็นร้อยล้าน ทำไมถึงไม่ตรวจสอบถึงที่มาของความร่ำรวยเหล่านั้นกันบ้าง แต่อย่างว่าแหละครับ คนที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบก็เป็นคนของพวกนี้กันทั้งนั้น แล้วจะไปตรวจสอบเจออะไร คนที่มารับโทษก็ไม่พ้นที่จะต้องมาเป็นคนระดับพวกผม ที่มีหน้าที่ขนส่งเท่านั้น แล้วมันคุ้มกันไหมครับกับเงินห้าหมื่นบาท แลกกับชีวิตของผมทั้งชีวิต ส่วนเจ้าของยาเสพติดก็ยังลอยนวล แล้วก็หาคนรับจ้างขนรายต่อไป เพื่อถอนทุนของที่ถูกจับงวดก่อน โอกาสที่ยาบ้าจะหมดไปจากประเทศไทยจึงยากมาก”

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากรมาถึง ได้เข้ามาทำการพิมพ์ลายนิ้วมือน.ช.สมคิดทันที น.ช.สมคิดได้พูดลอยๆขึ้นมาว่า “ผมไม่คิดว่าคดียาบ้าจะโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต ถ้ารู้ว่าจะต้องมารับโทษถึงขั้นนี้ ผมจะหลีกหนีให้ไกลยาบ้าอย่างที่สุด ถึงผมจะเป็นนักโทษคดียาบ้ารายแรกที่ถูกประหาร แต่คงไม่ใช่รายสุดท้ายแน่ ตราบใดที่ยังมีการค้าการเสพกันอยู่ ถ้าใครได้มาอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับผมในเวลานี้ ผมเชื่อแน่ว่าต่อให้เอาเงินค่าจ้างขนของมากองให้เป็นล้านบาทตรงหน้า คงไม่มีใครยอมเกี่ยวข้องด้วยแน่ ผมมารู้ตัวและได้คิดก็ต่อเมื่อสายเกินไปเสียแล้ว ถ้ามีโอกาสผมอยากฝากบอกถึงคนไทยทั้งประเทศ อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าหากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ผลที่ได้รับมามันไม่คุ้มกับชีวิตอันมีค่า ซึ่งกว่าที่จะเติบโตมาได้ต้องใช้เวลาเนิ่นนาน แต่เวลาจะตาย กลับใช้เวลาแค่เดี๋ยวเดียว และยังทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเสียหายไปด้วย พ่อแม่พี่น้องลูกเมียจะมองหน้าใครได้ ในเมื่อคนในบ้านเป็นนักโทษที่ถูกประหารเพราะยาเสพติด”

ข้าพเจ้าได้ตบไหล่เป็นการปลอบใจและให้กำลังใจ หลังจากที่น.ช.สมคิดได้ระบายความในใจออกมาหมดแล้ว น.ช.สมคิดได้ร้องขอกาแฟดำแก่ๆหนึ่งแก้ว และขอบุหรี่สูบหนึ่งมวน ซึ่งก็ได้จัดให้ตามคำขอทันที หลังจากดื่มกาแฟหมดถ้วยและเจ้าหน้าที่ได้พิมพ์ลายนิ้วมือเสร็จ เวรผู้ใหญ่ได้ทำการอ่านคำสั่งจากสำนักนายกรัฐมนตรีให้น.ช.สมคิดฟัง และเซ็นทราบในคำสั่งนั้น เสร็จแล้วได้ให้ทำพินัยกรรมและเขียนจดหมายถึงญาติพี่น้องได้ตามสะดวก ซึ่งเนื้อความในจดหมายมีว่า “ขอให้ทางบ้านอย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด ถึงแม้จะยากจนแค่ไหนก็ตาม ถ้าหากยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเมื่อใด อาจจะต้องมาเป็นแบบตน ซึ่งต้องมาตายด้วยการถูกประหารชีวิต การทำมาหากินอย่างสุจริตอาจจะไม่รวยทันใจ แต่ชีวิตยังสามารถอยู่ได้อีกนานไม่สั้นเหมือนตนในขณะนี้”

ข้าพเจ้าได้ยกอาหารมื้อสุดท้ายมาให้น.ช.สมคิด แต่น.ช.สมคิดไม่แตะต้องอาหารแต่อย่างใด กลับร้องขอกาแฟเพิ่มอีกหนึ่งแก้ว เสร็จแล้วจึงนำไปฟังเทศนาธรรมจากพระสงฆ์ที่ได้นิมนต์มา ภายในห้องเยี่ยมสำหรับทนาย ซึ่งน.ช.สมคิดตั้งใจฟังอย่างสงบ พร้อมกับได้ถวายปัจจัยแก่พระสงฆ์ แล้วจึงนำตัวไปห้องประหาร

ระหว่างทางข้าพเจ้าถามน.ช.สมคิดว่า “ต้องการรถเข็นหรือเปล่า ผมรู้สึกว่าสมคิดจะขาอ่อนเดินไม่ไหวนะ” น.ช.สมคิดตอบมาว่า “ไม่ต้องครับหัวหน้า ผมจะพยายามเดินไปให้ถึง อย่าให้ผมนั่งรถเข็นเลย เวลานักข่าวเอารูปผมไปลง จะได้ไม่ต้องอายใคร เดี๋ยวเขาจะหาว่าผมเป็นคนอ่อนแอ” ขณะเดียวกันนักข่าวได้ถ่ายรูปน.ช.สมคิดในระหว่างเดินไปสู่หลักประหารกันให้วูบวาบไปหมด น.ช.สมคิดได้พูดขึ้น “น่าจะให้ผมได้คุยกับนักข่าวด้วยนะ ผมจะแฉให้หมดเลยว่าใครเป็นตัวการใหญ่ในขบวนการยาเสพติด แล้วใครได้รับผลประโยชน์บ้าง” ข้าพเจ้าตอบกลับไป “ไม่ได้หรอกสมคิดถ้าจะคุยกับนักข่าว ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ก่อน แต่ผมเห็นด้วยนะ ยังไงสมคิดก็จะตายอยู่แล้ว แฉขบวนการค้ายาเสพติดออกมาให้หมดก็ดีเหมือนกัน”

เมื่อถึงศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์ ข้าพเจ้าได้ให้น.ช.สมคิดได้แวะกราบลาที่หน้าศาล เสร็จแล้วนำไปที่ห้องประหารต่อ เมื่อใกล้ถึงศาลาเย็นใจ น.ช.สมคิดได้เกิดอาการเข่าอ่อนขึ้นมาอีกครั้ง ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีกนาย ต้องช่วยกันประคองตัวจนถึงศาลาเย็นใจ น.ช.สมคิดได้พูดขึ้น “ทำไมความตายมันถึงน่ากลัวอย่างนี้ จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ไม่รู้ ผมกลัวจังเลยครับหัวหน้า ขอผมปัสสาวะอีกสักครั้งก่อนได้ไหมครับ ผมจะกลั้นไม่อยู่แล้ว” ข้าพเจ้าจึงนำตัวไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ข้างห้องประหาร เสร็จแล้วนำตัวกลับมาที่ศาลาเย็นใจ ส่งดอกไม้ธูปเทียนให้ พร้อมกับนำผ้าดิบมาผูกตา แล้วช่วยกันประคองตัวเข้าไปภายในห้องประหาร

ภายในห้องประหาร ข้าพเจ้าได้นำตัวน.ช.สมคิดไปที่หลักประหารหลักที่หนึ่ง ทำการผูกมัดตัวกับหลัก ตั้งเป้าตาวัว ใช้ทรายแห้งโรยรอบหลักประหาร แล้วจึงทำการขอขมาต่อน.ช.สมคิดอีกครั้ง ซึ่งขณะนั้นเหงื่อของน.ช.สมคิด ได้หลั่งออกมาจนชุ่มโชกเพราะความกลัว

พลเล็งปืนเข้าทำหน้าที่บรรจุกระสุนและตั้งศูนย์ปืน เพชฌฆาตมือหนึ่งเข้าตรวจสอบศูนย์ปืนอีกครั้ง เมื่อพร้อมแล้วหัวหน้าชุดประหารได้โบกธงแดงลงทันที “ปัง ปัง ปังๆๆๆๆๆๆๆๆ” รวมทั้งสิ้น 11 นัด ทำการประหารเมื่อเวลา 17.55 น.

เมื่อครบ 3 นาทีข้าพเจ้าเข้าไปตรวจดูร่างน.ช.สมคิด ปรากฏว่าได้สิ้นใจไปแล้ว หัวหน้าชุดประหารจึงสั่งให้นำร่างน.ช.สมคิดลงจากหลักประหาร จับพลิกตัวให้นอนคว่ำหน้าไว้ เพื่อความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือ

นี่แหละครับ ผลของการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อผู้อ่านได้อ่านเรื่องนี้แล้ว จะเกิดความเกรงกลัวต่อโทษทัณฑ์ของการค้ายาเสพติด และหลีกหนีให้ห่างไกลพร้อมกับช่วยกันเตือนสติของผู้หลงผิด ให้คิดกลับตัวกลับใจ เลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีกต่อไป

ขออโหสิกรรมต่อดวงวิญญาณนายสมคิด นามแก้ว จงอยู่ในสุคติภพที่ดีด้วยเทอญ

ขอชมเชยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจค้นและจับกุม ที่ไม่เห็นแก่สินบนของผู้กระทำผิดที่ได้เสนอให้ และกระทำตามหน้าที่สมศักดิ์ศรีผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

เครดิต yuthbk.blogspot.com

'บุญทรง' แถลงยืนยันจำนำข้าวไม่ขาดทุน2.6แสนล้าน

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีพาณิชย์ ออกโรงชี้แจงทางทีวีช่วงบ่ายวันนี้ (7 มิ.ย.) ย้ำในการแถลงข่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลได้ช่วยให้ราคาข้าวมีเสถียรภาพ และยกระดับรายได้แก่ชาวนา ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ภายในกรอบวงเงินหมุนเวียน 5 แสนล้านบาท

โดยรับจำนำข้าวจากเกษตรกรในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด 30% มีผลช่วยทำให้ชาวนามีรายได้สูงขึ้นประมาณ 1.5 แสนล้านบาท การที่ชาวนามีรายได้สูงขึ้น ทำให้มีการจับจ่ายทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น และส่งผลต่อกำลังซื้อและเพิ่มการบริโภคของประเทศและมีส่วนทำให้ GDP ของประเทศสูงขึ้น ซึ่งในปี 2555 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 5.5% เป็น 6.4%

การรับจำนำข้าว เป็นก้าวแรกของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจประเทศในมิติของข้าว ที่รัฐบาลต้องการให้ข้าวไทยมีคุณภาพ ผู้บริโภคทั้งไทยและโลก ได้บริโภคข้าวที่มีคุณภาพ เป็นประโยชน์ และราคาที่เหมาะสม

โดยข้าวที่มีคุณภาพของไทย ต้องได้ราคาที่ดีกว่าข้าวที่ผลิตทั่วไป และสร้างรายได้ให้กับประเทศมากกว่าที่ต้องแข่งขันในเชิงปริมาณในตลาดล่าง ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างด้านราคาข้าว จะเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเกษตรโซนนิ่ง ที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรไทยโดยรวม

"ส่วนการดำเนินโครงการ ฝ่ายปฏิบัติที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ได้ปฏิบัติงานตามขั้นตอนให้มีความชัดเจนและโปร่งใส เพื่อให้การรั่วไหลน้อยที่สุด และหากในบางครั้ง อาจจะมีการปฏิบัติที่รั่วไหล รัฐบาลก็มีกระบวนการตรวจจับและอุดรูที่รั่วไหล

เทียบกับโครงการไทยเข้มแข็งมูลค่า 4 แสนล้านบาท ในรัฐบาลก่อน ซึ่งมีเรื่องอื้อฉาวมากมาย และหลายเรื่องถูกรับเรื่องไว้ดำเนินคดีที่ DSI ตามข่าวที่กล่าวว่าโครงการรับจำนำขาดทุน 2.6 แสนล้านบาท ขอยืนยันว่าไม่จริง " รัฐมนตรีพาณิชย์กล่าว

"ภาคปชช.บุกไขลานผู้ตรวจฯเร่งสอบโกงจำนำข้าว "พงศ์เทพ" ยื้อแจงไม่ริบพาสปอร์ต "แม้ว"

เครือข่ายหยุดผูกขาดข้าว บุก สนง.ผู้ตรวจการฯ ทวงถามความคืบหน้า ให้ตรวจสอบโครงการจำนำข้าว และการทุจริต หลังยื่นมา 7 เดือนเรื่องยังเงียบ ด้านโฆษกสำนักงานผู้ตรวจฯ แจงเตรียมสรุปแล้ว คาดจันทร์นี้ทราบความคืบหน้า ส่วน "พงศ์เทพ" เล่นเกมยื้อแจงบัวแก้วยังไม่ริบพาสปอร์ต "นช.แม้ว" ขอขยายเวลาชี้แจงอีกรอบ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ ( 7 มิ.ย.) นายวรา จันทรมณี ผู้ประสานงานเครือข่ายหยุดผูกขาดข้าว พร้อมคณะ เดินทางเข้ายื่นหนังสือติดตามทวงถามความคืบหน้ากรณีได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินไปเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 ขอให้ตรวจสอบการกระทำของรัฐบาลในโครงการรับจำนำข้าว ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญในมาตรา 43 ประกอบมาตรา 63 ที่ให้สิทธิประชาชนในการประกอบกิจการอาชีพ รัฐต้องให้การสนับสนุนให้มีการแข่งขันอย่างเสรีเป็นธรรม และการทุจริตในโครงการดังกล่าว ต่อนายรักษเกชา แฉ่ฉาย รองเลขาธิการและโฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เนื่องจากได้ยื่นเรื่องมานานกว่า 7 เดือนแล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้าใด รวมทั้งรัฐบาลก็ยังคงดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวทั้งที่มีการทักทวงจากหน่วยงานหรือองค์กรเอกชนต่างๆ ว่าโครงการดังกล่าวจะก่อความเสียหายให้กับประเทศชาติ บิดเบือนกลไกตลาด

ดังนั้นเพื่อยับยั่งความเสียหายที่อาจจะลุกลามจึงอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน เร่งพิจารณาเรื่องร้องเรียน เพื่อส่งข้อพิจารณาไปยังองค์กรที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว

ด้านนายรักษเกชา ชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวมีผู้ร้องเรียนเข้ามาเพิ่มเติมอีก 2-3 ราย และผู้ตรวจฯ ได้รวมพิจารณาเป็นคำร้องเดียวกัน ซึ่งเบื้องต้นในระดับเจ้าหน้าที่เห็นว่า เป็นการขอให้ตรวจสอบนโยบายรัฐบาล ไม่อยู่ในอำนาจที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะรับไว้พิจารณาจึงเสนอให้ยุติเรื่อง แต่ที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดิน เห็นว่า ตามคำร้องขอให้ผู้ตรวจฯ ตรวจสอบการกระทำผิดของรัฐบาลในโครงการรับจำนำข้าวซึ่งถือว่าเข้าข่าย มาตรา 28 (1) ของ พ.ร.บ. ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552 บัญญัติไว้ ว่า เรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่น ไม่สามารถรับไว้พิจารณาได้คือเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภา เว้นแต่เรื่องการปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าวมีลักษณะไม่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จึงมอบให้นายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน ดำเนินการตรวจสอบ

โดยนายศรีราชา ได้ลงพื้นที่ใน 9-10 จังหวัด หาข้อมูลเชิงลึก เพื่อดูว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่มีการกล่าวหาหรือไม่ ขณะนี้ถือว่าอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายที่กำลังจะมีการสรุป แต่เนื่องจากเป็นเรื่องที่ผู้ร้องขอให้ผู้ตรวจฯ พิจารณาและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครองพิจารณา จึงต้องมีการนำข้อสรุปเสนอต่อที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อขอความเห็นชอบ โดยในวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายนนี้ จะมีการประชุมผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งจะได้มีการรายงานความคืบหน้าให้ที่ประชุมได้รับทราบ โดยยืนยันว่าผู้ตรวจการแผ่นดินจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

นายรักษเกชา เปิดเผยด้วยย่า เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงการต่างประเทศ และได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ทำคำชี้แจงต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีผู้ตรวจการฯ มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีขอให้พิจารณาเกี่ยวกับการที่กระทรวงการต่างประเทศ ไม่ยอมทบทวนการออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี ได้มีหนังสือแจ้งกลับมาหลังเลยระยะเวลาที่ผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ยื่นคำชี้แจง

โดยนายพงษ์เทพ ได้ขอขยายระยะเวลาการชี้แจง ซึ่งให้เหตุผลว่า เนื่องจากทางผู้ตรวจการแผ่นดินได้ให้ข้อเสนอแนะ ให้มีการแก้ไขระเบียบกระทรวงการทางประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 จึงต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาดำเนินการ ซึ่งตนก็จะได้นำหนังสือของนายพงษ์เทพ แจงให้ที่ประชุมผู้การแผ่นดินพิจารณาในวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายนนี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ตรวจการแผ่นดินว่าจะอนุมัติให้ขยายระยะเวลาต่อไปหรือไม่ และจะขยายได้จำนวนกี่วัน โดยอยู่กับความเหมาะสม

ผู้สื่อข่าวถามว่า การขอขยายระยะเวลาของนายพงษ์เทพ เพื่อต้องการยื้อเวลาออกไปหรือไม่ เพราะผู้ตรวจการแผ่นดินได้วินิจฉัยแล้ว ว่า การออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ถูกต้องตามระเบียบ และขอให้มีการปรับปรุงระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศ ถือเป็นคนละประเด็นกัน นายรักษเกชา กล่าวว่า ผู้ตรวจการฯ ก็อาจจะต้องหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพิจารณาว่าเป็นคนละขั้นตอนกับหรือไม่ แต่เรื่องการขยายระยะเวลาออกไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ตรวจฯคงไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะจะต้องมีคำตอบออกมา เนื่องจากสังคมให้ความสนใจ

http://astv.mobi/AXTvly6

“กิตติรัตน์” โต้เดิมพันเก้าอี้ “รมต.” หากเจ๊ง “จำนำข้าว” ลั่นถ้าพูดจริงต้องมีคลิปมาชี้แจง"

“กิตติรัตน์” ปัดเดิมพันเก้าอี้ “รมต.” หากโครงการจำนำข้าวเจ๊ง ยันไม่เคยบอกว่าจะลาออกจากตำแหน่ง หากขาดทุนเกิน 6 หมื่นล้าน ลั่นหากพูดจริงก็คงต้องมีหลักฐาน หรือคลิปมาชี้แจงแล้ว ไม่ใช่แค่ข่าวลือ พร้อมสั่ง “สศค.” เร่งแจง “มูดี้ส์” ส่วนกรณีตัวเลขขาดทุน 2.6 แสนล้าน เป็นตัวเลขที่รวมพืชผลทางการเกษตรต่อเนื่องหลายปี และหลายสินค้าเกษตร ไม่ใช่แต่ผลของการรับจำนำข้าวเพียงอย่างเดียว

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ตนเองจะลาออกจากตำแหน่งหากโครงการรับจำนำข้าวขาดทุนเกิน 6 หมื่นล้านบาท โดยยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด พร้อมระบุว่า ตนเองไม่เคยพูดว่าจะลาออกจากตำแหน่งในกรณีดังกล่าวอย่างแน่นอน เพราะหากตนเองพูดจริง ก็คงต้องมีหลักฐาน หรือคลิปมาชี้แจงแล้ว ไม่ใช่แค่ข่าวลือว่าพูดเท่านั้น

ทั้งนี้ จากกรณีตัวเลขของคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจํานําผลผลิตการเกษตรที่แต่งตั้งโดยรัฐบาล และกระทรวงการคลัง โดยมี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานปีการผลิต 2554/2555 ขาดทุน 2.6 แสนล้านบาท ขอชี้แจงว่าเป็นตัวเลขที่รวมพืชผลทางการเกษตรต่อเนื่องหลายปี และหลายสินค้าเกษตร ไม่ใช่แต่ผลของการรับจำนำข้าวเพียงอย่างเดียว ซึ่งต้องมีการพิจารณารายรับ ราคาสินค้า ค่าเสื่อมสภาพของสินค้าเกษตรอื่นๆ ด้วย

โดยหลังจากนี้ ตนเองได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค.ทำข้อมูลชี้แจ้งสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ จำกัด เพื่อให้มู้ดี้ส์ได้ทราบข้อมูลที่แท้จริงของกระทวงการคลังมากกว่าสาธารณะ

นอกจากนี้ ได้กำชับให้กระทรวงพาณิชย์ ใช้ข้อมูลเดียวกับคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรของกระทรวงการคลังเพียงที่เดียวเท่านั้น เพื่อป้องกันข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ส่วนวงเงินการบริหารจัดการโครงการรับจำนำข้าวปีการผลิต 2554/2555 จะเกินวงเงินที่ตั้งไว้ที่ 500,000 ล้านบาทหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ แต่ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังขยายวงเงินรับจำนำได้ ซึ่งหากในช่วงที่ดำเนินการยังไม่มีงบประมาณก็สามารถดึงงบประมาณส่วนอื่นมาใช้ก่อนได้แล้วจึงตั้งบประมาณชดเชย โดยขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการตั้งวงเงินงบประมาณชดเชย 7-8 หมื่นล้านบาท สอดคล้องกับตัวเลขที่เคยตั้งเอาไว้

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบเบื้องต้นของผู้สื่อข่าว ASTVผู้จัดการ พบว่า เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2555 นายกิตติรัตน์ เคยให้สัมภาษณ์ในกรณีการขาดทุนจากนโยบายการจำนำข้าวของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่าระบุตัวเลขการขาดทุนไม่ได้ แต่ตัวเลขการขาดทุนน้อยกว่านโยบายการประกันรายได้เกษตรกรของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในสมัยนั้นขาดทุนมหาศาลถึง 5 หมื่นล้านบาท

"แล้วส่วนที่ฝ่ายค้านเขาพยายามจะวิจารณ์ว่า โครงการนี้จะนำมาซึ่งผลขาดทุนเนี่ยนะครับ ตอนที่ประกันรายได้ ขาดทุนมหาศาล โดยที่ต้องเอาส่วนต่างระหว่างราคาตลาดกับราคาประกัน ทั้งๆ ที่ในเวลานั้นประกันในระดับราคาค่อนข้างต่ำ ยังขาดทุนขนาดนั้นเลย" นายกิตติรัตน์กล่าวในเวลานั้น

http://astv.mobi/A9U5V1Z


นายบุญผ่อง สิริเวชชะภัณฑ์ วีรบุรุษทางรถไฟสายมรณะ

นายบุญผ่อง สิริเวชชะภัณฑ์  เป็นนายกเทศมนตรีและเป็นพ่อค้าไทย ณ ปากแพรก กาญจบุรี ได้รับสัมปทานในการส่งอาหารให้แก่แคมป์เชลยไปจนถึงทางตอนใต้สุดของทางรถไฟสายมรณะ ซึ่งฐานะอย่างเขาเพียงแค่ค้าขายกับญี่ปุ่นเท่านั้นก็อยู่อย่างสุขสบายแล้ว แต่เขายังอุตสาห์นำพาชีวิตและครอบครัวเข้าแลกกับการช่วยเหลือเชลยต่างชาติ...เพียงเพื่อมนุษยธรรม!!!

อาหาร ยาและแบตเตอร์รึ่ คือสิ่งที่ต้องลักลอบเสี่ยงตายเข้าสู่ค่ายเชลยครั้งแล้วครั้งเล่า หลายร้อยหลายพันครั้ง และดูเหมือนบุญผ่องจะเป็นเครื่องจักรที่ไม่อยากจะพักการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ... กี่ร้อยกี่พันคนที่รอดชีวิตด้วยการเสี่ยงตายของบุญผ่องและครอบครัว

โชคดี!!! สงครามจบลงก่อนที่เครื่องจักรแห่งสยามจะถูกทำลาย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังถูกยิงทำร้ายโดยคนไทยที่คอยยกหางให้ญี่ปุ่น...แต่เขาก็รอดมาได้โดยอาศัยอดีตเชลยทหารสัมพันธมิตรพาไปส่งโรงพยาบาลที่มีเชลยต่างชาติเป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งนายบุญผ่องมีชีวิตรอดมาได้...

.
..Brian G Brown ได้เคยเล่าเอาไว้ว่า “ผมมีจดหมายจาก R A Westhoff, Estepona เจ้าหน้าที่แห่งราชนาวี ซึ่งเคยเป็นเชลยสร้างทางรถไฟสายมรณะ Westhoff รู้จักนายบุญผ่องและภรรยา Westhoff บอกว่า บุญผ่องเป็นผู้ให้เชลยกู้ยืมเงินทุกๆIOUs ซื่อสัตย์เป็นธรรมและภรรยาของเขาเคยแอบว่ายน้ำเข้ามาในค่ายตอนกลางคืน โดยรอบคอแขวนเวชภัณฑ์ยาเอาไว้ …

นอกจากนี้
Westhoff ได้ไปเยี่ยมนายบุญผ่องที่บ้าน หลังญี่ปุ่นยอมแพ้ และฟังวิทยุที่นายบุญผ่องใช้รับฟังข่าวสารและมาบอกพวกเราที่ค่าต่อมาเขาได้รับเกียติจากเครือจักภพอังกฤษ และบุตรของเขาทุกคนได้รับการศึกษาโดยทุนรัฐบาลแห่งดัชช์และ Federation of British Industries ” 

สิ่งเหล่านี้คือการยืนยันข้อสรุปความเป็นบุญผ่อง สิ่งที่บุญผ่องและครอบครัวทำ และ...รางวัลแห่งความดีที่เขาและครอบครัวได้รับ...

คลิปเพิ่มเติม จาก TPBShttp://clip.thaipbs.or.th/home.php?vid=6354&ap=flase
ที่มาhttp://www.oknation.net/blog/boonpong/2013/05/01/entry-4
แอดมินรถไฟ...

“ธีระชัย” ฮุกซ้ำแผล “จำนำข้าว” ยันเจ๊งเกิน 2.6 แสนล้าน แฉเงื่อนงำเด้ง “สุภา” สายฟ้าแลบ".

"ธีระชัย” โพสต์เฟซบุ๊กชำแหละเงื่อนงำโครงการ “จำนำข้าว” เผยคนวงในยืนยันตัวเลขขาดทุนสูงกว่า 2.6 แสนล้าน กังขา “สุภา” รองปลัดที่มีฉายาว่าตงฉินที่สุดในประเทศไทย และเป็น ปธ.ปิดบัญชีข้าว ถูก “กิตติรัตน์” สั่งเด้งแบบสายฟ้าแลบ ฝากเตือน “กิตติรัตน์” หากใช้วิธีอำพรางข้อมูล อาจทำให้ข้อสงสัยไม่หายไปจากสมองของมูดี้ส์ และอาจลามไปบริษัทจัดอันดับเครดิตอื่นๆ ด้วย

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กเรื่องโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล โดยระบุว่า คณะกรรมการปิดบัญชีฯ ที่สังกัดกระทรวงการคลัง ซึ่งเดิมคุณสุภา รองปลัดที่มีฉายาว่าตงฉินที่สุดในประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นประธาน คณะนี้ได้มีการประชุมกับหน่วยงานภาคทางการกว่า 10 หน่วยงาน มีประชุมกันหลายครั้ง ทำตารางวิธีคำนวณ แล้วเอาข้อมูลจากทุกหน่วยงานกรอกเข้าไป เป็นการทำงานตามขั้นตอนที่ปิดบัญชีโครงการอื่นๆ ที่ผ่านมาทุกโครงการ การประชุมครั้งสุดท้ายมีข้อสรุปว่า รัฐบาลมีภาระจากโครงการต่างเป็นเงินมหาศาลข่าวในสื่อบอกว่าคณะดังกล่าวประเมินผลขาดทุนกว่า 2.6 แสนล้าน ผมได้ข้อมูลจากคนวงในว่า ตัวเลขขาดทุนจริงมากกว่านี้เสียอีก คณะนี้ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ ทำงานแบบมืออาชีพ ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เพราะเขาต้องรับผิดชอบตัวเลขในการบริหารฐานะการคลังของประเทศ และเขาเป็นผู้ที่มีความรู้สูง วิธีปิดบัญชีก็ทำกันมาหลายครั้งแล้ว เป็นการทำงานตามระเบียบราชการด้านการคลัง

ผลปรากฏว่า ภายหลังที่มีข้อสรุปดังกล่าว รัฐมนตรีคลังสั่งย้าย คุณสุภา แบบสายฟ้าแลบแทนที่จะย้ายข้าราชการ รัฐมนตรีคลัง ควรจะเอาข้อมูลผลการประชุมของคณะกรรมการปิดบัญชี เปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อให้นักวิชาการช่วยกันดูว่า คณะกรรมการเขาคำนวณอย่างไร เข้าท่าเข้าทางหรือไม่ หรือมีข้อผิดพลาดที่บุคคลภายนอกจะช่วยเสนอแนะได้หรือไม่ การถกเถียงตัวเลขกันอย่างโปร่งใส จะช่วยทำให้ตัวเลขภาระของรัฐมีความน่าเชื่อถือ

ไม่แน่นะครับ เมื่อเปิดเผยเต็มที่แล้ว อาจจะฟลุกมีนักวิชาการที่สามารถมองเห็นว่า วิธีคิดของคณะกรรมการนี้เพี้ยน หรือไม่ถูกต้องก็อาจจะเป็นได้ แต่ถ้าปิดบังไม่ให้ตัวเลขที่ชัดเจน ตัวเลข 2.6 แสนล้าน ก็จะไม่หายไปจากสมองของ มูดี้ส์ อย่างแน่นอน แล้วต่อไปก็จะลามไปยังบริษัทจัดอันดับเครดิตอื่นๆ อีกด้วย


http://astv.mobi/AbCfvRg

อัยการเลื่อนฟังคำสั่งคดีม็อบเสธ.อ้าย ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ความมั่นคง

Thu, 2013-06-06 15:32

อัยการเลื่อนฟังคำสั่งคดีผู้ชุมนุมกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ออกไปเป็นวันที่ 25 ก.ค.นี้ เนื่องจากยังพิจารณาสำนวนไม่แล้วเสร็จ
(6 มิ.ย.56) สำนักข่าวไทย รายงานว่า อัยการนัดฟังการสั่งคดีที่นายธเนศ หอมทวนลม ผู้ร่วมชุมนุมกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) กับพวกรวม 127 คน ผู้ต้องหาคดีฝ่าฝืน พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 กรณีเมื่อวันที่ 24 พ.ย.55 พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า
คดีดังกล่าวพนักงานสอบสวนกองปราบปรามส่งสำนวนให้อัยการ เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.55 โดยสรุปความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 127 คน ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธ โดยแยกดำเนินคดี 3 สำนวน ประกอบด้วย สำนวนที่ 1 นายธเนศ หอมทวนลม กับพวกรวม 97 คน ที่ชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ในวันที่ 24 พ.ย.55 สำนวนที่ 2 นายยี่ไทย ปิตะวนิค กับพวกรวม 16 คน ที่ชุมนุมบริเวณแยกมิสกวัน ในช่วงเช้าของวันที่ 24 พ.ย.55 และสำนวนที่ 3 น.ส.พิชญ์สินี พิพลัชภามล กับพวกรวม 14 คน ที่ชุมนุมบริเวณแยกมิสกวัน ในช่วงบ่ายของวันที่ 24 พ.ย.55 อย่างไรก็ตาม อัยการมีคำสั่งเลื่อนฟังการสั่งคดีครั้งที่ 2 ออกไป เนื่องจากยังพิจารณาสำนวนไม่แล้วเสร็จ โดยนัดฟังการสั่งคดีอีกครั้ง วันที่ 25 ก.ค.นี้ เวลา 10.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 พ.ย.55 รัฐบาลได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ ในเขตดุสิต พระนคร และป้อมปราบศัตรูพ่าย ต่อมาวันที่ 24 พ.ย.55 กลุ่มผู้ต้องหาได้ฝ่าฝืน โดยเข้าไปในพื้นที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ และพื้นที่อื่นๆ ซึ่งนายสมสมัย นิทาจิ๊ ผู้ต้องหาที่ 30 ได้ขับรถบรรทุก 6 ล้อ พุ่งชนแนวเจ้าหน้าที่ ซึ่งยืนควบคุมพื้นที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ อันเป็นความผิดฐาน ฝ่าฝืนประกาศของเจ้าพนักงานที่ห้ามบุคคลเข้า-ออกในพื้นที่ ตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ขณะที่ผู้ต้องหาบางรายมีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 139 อีกด้วย ส่วนคดีที่นายสิงห์ทอง บัวชุม แจ้งความกับพนักงานสอบสวนนครบาล กล่าวหา พล.อ.บุญเลิศ หรือ เสธ.อ้าย ประธาน อพส. กับพวก ซึ่งเป็นแกนนำการชุมนุมรวม 11 คนนั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ของพนักงานสอบสว

อธิบดี DSI แถลงเตรียมสั่งฟ้อง อภิสิทธิ์-สุเทพ คดีเหยื่อกระสุน พ.ค.53 ศุกร์นี้

Wed, 2013-06-05 18:47

ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(แฟ้มภาพ/ประชาไท)
5 มิ.ย.56 - มติชนออนไลน์ รายงาน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.ฐานก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล กรณีการเสียชีวิต ของนายพัน คำกอง / เด็กชายคุณากร ศรีสุวรรณ หรือน้องอีซา และฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นพยายามฆ่า นายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส จากการเข้าควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 ว่า พนักงานสอบสวนเตรียมสรุปสำนวนคดี พร้อมความเห็นสั่งฟ้องในวันศุกร์นี้ เวลา 16 นาฬิกา ซึ่งถือเป็นการปิดสำนวนคดีแรกเกี่ยวกับการเสียชีวิตของกลุ่มคนเสื้อแดง
ขณะเดียวกัน นายธาริต ยังกล่าวถึง กรณีการส่งสำนวนการเสียชีวิตของกลุ่มคนเสื้อแดง อีก 3 ศพ ให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลทำการสืบสวนและชันสูตรพลิกศพ หาหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งรวมกับของเดิมที่ก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้ส่งให้แล้วเป็น 39 ศพ แล้ว
ส่วนกรณีที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล มีภาพผู้ต้องสงสัยเป็นผู้วางเพลิงห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์รวม 31 รายซึ่งสามารถยืนยันใบหน้าชัดเจนได้เพียง 6 ราย นั้นขณะนี้ ดีเอสไอ ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ตรวจสอบแล้ว
ขณะที่ Voice TV รายงานด้วยว่า  ดีเอสไอ ได้ส่งสำนวนการชันสูตรพลิกศพ นายอินแปลง เทศวงศ์ นายเสน่ห์ นิลเหลือง และนายวุฒิชัย วราห์คัม ซึ่งเสียชีวิตที่บริเวณถนนพระราม 4 ให้พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพิ่มเติมจาก 36 ศพก่อนหน้านี้ เพื่อดำเนินการในขั้นตอนไต่สวนหาสาเหตุการตายต่อไป

กอร์ปศักดิ์ แฉปลอด

“มันทวงให้ไปสร้างศูนย์ประชุมที่ภูเก็ต แต่เราไม่สร้างมีปัญหาไหมล่ะ? วันหน้าจะสร้างแน่นอน ภูเก็ตเลือกคนของเราจะไปสร้างให้ วันนี้ไม่มีอารมณ์จะสร้าง” ..... ปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี

เคยคุยให้เพื่อนๆฟังเมื่อวันก่อนว่าสส.ที่พวกเราเลือกไปนั่งในสภาเขามีอำนาจมาก เพราะเขาเป็นผู้ที่ใช้จ่ายเงินภาษีของพวกเรา แต่สำหรับคุณปลอด หนักกว่านั้น คุณปลอดไม่ใช่เป็นแค่สส.ธรรมดา ตำแหน่งใหญ่โด เป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี ชัดเจนในเรื่องของความยิ่งใหญ่ ความมีอำนาจ

ไม่แปลกใจมากนักหรอก ว่าคนระดับนี้พูดจาอย่างนี้ได้อย่างไร ช่วงนี้ใกล้ปรับครม.แล้วครับ บ่าวเอาใจนายจึงมีให้เห็นถี่ขึ้น จำได้ไหมเมื่อปีที่แล้วตอนใกล้ปรับ ครม. เราได้ยินคำพูดว่า ‘ ผมเป็นขี้ข้าทักษิณ เป็นมานานแล้วด้วย ‘ ทำทุกอย่างเพื่อรักษาเก้าอี้ กลัวตกงานกันครับ

ผมว่าเรามาดูข้อเท๊จจริงเรื่องศูนย์ประชุมกันดีกว่า

ศูนย์ประชุมที่เชียงใหม่เริ่มสมัยนายกสมชายครับ คุณสมชายเป็นนายกรัฐมนตรี 75 วัน ปัญหารุมเร้ามากมาย แต่ก็ยังได้ใช้ความสามารถพิเศษ ให้ความเห็นชอบอนุมัติโครงการนี้ได้ นำเข้าครม.อนุมัติวงเงิน 2,219 ล้านบาทเมื่อวันที่ 29 กค. 2551 ครับ ยังไม่ทันได้ทำอะไรได้มาก นายกสมชายก็ตกงาน

การเมืองเปลี่ยน นายกเปลี่ยน แต่เชียงใหม่โชคดี โครงการได้เดินหน้าต่อ รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์อนุมัติเงินงบประมาณเพื่อก่อสร้างวงเงิน 1,867 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 กย. 2552 และมีการอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมอีกสองครั้ง เป็นค่างานระบบและงานครุภัณฑ์

นอกจากคุณอภิสิทธิ์ไม่ได้ยกเลิกโครงการไนท์ซาฟารีตามที่คุณปลอดกล่าวหาแล้ว คุณอภิสิทธิ์ยังได้ลุยงานต่อ ไม่มีการดึง เร่งจัดงบประมาณเพื่อให้การก่อสร้างศูนย์ประชุมสามารถเริ่มได้ วันนี้การก่อสร้างแล้วเสร็จตามเป้าหมายทุกประการ

จังหวัดภูเก็ตไมได้ต่างจากจังหวัดเชียงใหม่ ความจริงถ้าจะนับจำนวนนักท่องเที่ยวว่าชอบเที่ยวแบบไหนอย่างไรแล้วละก็ ภูเขาไม่มีทางสู้ทะเลได้หรอกครับ พวกเราจึงอยากเห็นจังหวัดภูเก็ตได้มีศุนย์ประชุมเช่นเดียวกับจังหวัดเชียงใหม

แต่เมื่อรัฐบาลเปลี่ยน นายกเปลี่ยน ภูเก็ตโชคไม่ดี เจอแต่อุปสรรค
รัฐบาลอ้างการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ( EIA ) ของภูเก็ตไม่ผ่าน ไม่ได้รับการอนุมัติ รัฐบาลจึงเดินหน้าต่อโครงการนี้ไม่ได้

ความจริงปรากฎในวันนี้แล้วว่า ไม่ใช่เรื่องของ EIA ไม่ใช่เรื่องของสิ่งแวดล้อม เป็นเรืองนโยบายหลักของทักษิณ นโยบายแบล็คเมล์ เขตไหน จังหวัดไหนไม่เลือกพวกเรา เราได้เป็นใหญ่ เราจะไม่จัดงบงบประมาณให้ แต่ถ้ากลับใจมาเลือก ก็จะทำให้ทันที

บ่าวเอาใจนาย กลัวตกงาน ต้องทำตามนโยบายหลักของนาย ขึ้นเวทีประกาศไปทั่วว่า ไม่สร้าง ( โว้ย ) ไม่มีอารมณ์ กรรมของประเทศครับ

"เจ้าสัวบุญชัย" แจงยิบ-ไม่ได้เป็นนายทุนให้ "ส." วางแผนล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์

วันที่ 5 มิ.ย. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ที่โรงภาพยนตร์เอสเอฟเอ็กซ์ ซีนีม่า เซ็นทรัลลาดพร้าว จัดรอบปฐมทัศน์ ภาพยนคร์เรื่องนางฟ้า ซึ่งเป็นผลงานการกำกับและเขียนบทของ ตั๊ก บงกช คงมาลัย โดยมี เจ้าสัว บุญชัย เบญจรงคกุล ผู้บริหารบริษัทมือถือดีแทค สามีของตั๊ก มาร่วมแสดงความยินดี 

หลังจากเสร็จพิธีการบนเวที ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ เจ้าสัวบุญชัย ถึงเรื่องที่มีข่าวว่า ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ออกมาพูดเจ้าของมีเจ้าของกิจการมือถือ เมียสวย เป็นนายทุนจ่ายน้ำเลี้ยงให้ "ส." เจ้าของสถานีสื่อ ล้มล้างรัฐบาล 

ทั้งนี้ เจ้าสัวบุญชัย เผยว่า “ไม่คิดอะไรมากครับ แล้วก็ไม่มีอะไร ตัว ส.นั่นคืออดีตเพื่อนร่วมงาน เคยทำไอเอ็นเอ็นมาด้วยกันแต่ตอนนี้ไม่ได้ทำด้วยกันแล้วเพราะเขาไปเปิดสำนักข่าวของเขาเอง ซึ่ง ส.นั่นเป็นข่าวอยู่กับคุณเฉลิมบ่อยๆ ท่านเลยอาจจะเลี้ยงผ่านมานิดนึง ไม่ซีเรียสครับเพราะเขาชมว่าเมียผมสวย ผมเห็นข่าวนี้ด้วยตัวเอง อ่านแล้วก็รู้ว่าเป็นผม แหมใครอ่านแล้วจะไม่รู้ อ่านแล้วก็ไม่ซีเรียสเพราะผมกับคุณเฉลิมรู้จักกันมาเป็น10กว่าปีตั้งแต่สมัยนายกชวน หลีกภัยแล้ว แต่ถามว่าสนิทกันไหมก็ไม่นะ ใช่คำว่าคนรู้จักกันดีกว่า คุยกันได้ครับ”

ผู้สื่อข่าวถามว่าแล้วให้เงินสนับสนุนตามข่าวจริงไหมเจ้าสัวบุญชัยแจงว่า“ผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของการเมืองเลย ผมเองทำมูลนิธิสำนึกรักบ้านเกิด ทำเพื่อประชาชน ทำให้ประชาชน แต่ผมไม่ได้เป็นตัวแทนประชาชนไปทำอะไรแบบนั้น ฉะนั้นการเมืองกับเรื่องนี้ต้องแยกส่วนกันนะครับ ผมเองก็ทำแต่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย MOCA ช่วยดูแลสนับสนุนภรรยาผมทำหนัง แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย

เมื่อถามว่าต้องโทรเคลียร์หรือไม่นายบุญชัยกล่าวว่า“ขำๆมากกว่า ไม่จำเป็นครับเพราะท่านปฎิบัติในส่วนของท่านไป เราก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เราไม่ได้ทำอยู่แล้ว ท่านก็รู้ ไม่ติดใจอะไรครับ ถือว่าเป็นสีสันให้กับข่าวแล้วกัน ผมว่ามันเป็นการตีวัวกระทบคราด เพราะภรรยาผมเองก็เป็นคนในสื่อ ส่วนตัวผมกับคุณเฉลิมเองไม่ได้คุยกันนานแล้ว ส่วนตัวผมเองก็ไมได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองด้วย

ต่อข้อถามว่าตั๊กโกรธไหมเจ้าสัวดีแทคเผยว่า“ไม่หรอกครับ เขารู้จักกันเพราะตอนช่วงที่ตั๊กเขามีปัญหาเมื่อครั้งก่อน คุณเฉลิมก็ยังโทรมาหาตั๊กเลยว่าจะให้เขาช่วยอะไรไหม ก็รู้จักกันประมาณนึงครับ ก็รู้กัน ไม่จำเป็นต้องเคลียร์อะไร ถ้าท่านสงสัยก็อาจจะโทรมาถามนั่นถามนี้ ซึ่งผมเองก็พร้อมที่จะตอบ แต่อย่างที่บอกแกคงแค่แซวๆมากกว่าเพราะถ้าแกจริงจังแกคงไม่มาพูดว่าเมียสวยแล้วแต่งงาน”