PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขมวดพิรุธ อผศ.ขุดคลองก่อนสรุป 'คนใน'ไม่ผิด! ‘อิศรา’คุ้ย-กก.สอบไม่เจอ?

“…หากผลสรุปออกมา ‘ค้านสายตา’ สาธารณชนอย่างนี้ ใครจะต้องรับผิดชอบ หรือจะปล่อยให้ผ่านไปกับสายลมเหมือนกับกรณีการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ... หากเป็นเช่นนั้นจริง คงไม่สามารถพูดว่า ‘ทหาร’ เข้ามาเพื่อ ‘ปฏิรูป-ปราบคอร์รัปชั่น’ ได้อย่างเต็มปากนัก…”
 PIC apsapsss 22 7 59 1
“เรื่องนี้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างขั้นตอนยื่นเรื่องต่อผู้บังคับบัญชาพิจารณา เบื้องต้นไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่จากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) เกี่ยวข้อง โดยมีการสอบถามจากบริษัทเอกชนแล้ว คณะกรรมการฯ ยังไม่พบข้อมูลที่ชัดเจนในกรณีนี้”
เป็นคำยืนยันบางห้วงบางตอนจาก พล.ท.สวัสดิ์ ทัศนา รอง ผอ.อผศ. ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีร้องเรียนกลุ่มเอกชนเรียกรับหัวคิวในการขุดคลองของ อผศ. ทั่วประเทศ
เมื่อได้รับคำตอบมาเช่นนี้ อาจทำให้สาธารณชนคลางแคลงใจกับผลสอบดังกล่าวแน่นอน ?
เนื่องจากก่อนหน้านี้ที่กลุ่มธรรมาภิบาล และสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบและนำเสนอมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงองค์กรอิสระที่เข้าไปตรวจสอบอย่าง สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ต่างพบความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินโครงการดังกล่าว
โดยเฉพาะประเด็น เอกชนเข้าไปรับงานทำเอง (ซึ่งอาจขัดกับมติของคณะกรรมการสิทธิพิเศษฯ กระทรวงการคลัง ที่ระบุให้ อผศ. ต้องเป็นคนทำเอง) และปล่อยช่วงให้ผู้รับเหมารายย่อยในพื้นที่ทำต่อ มีการร้องเรียนเรื่องหักหัวคิวที่ถูกร้องเรียนอย่างหนัก มีการทำหนังสือไปยื่นถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และองค์กรอิสระต่าง ๆ ให้เข้าไปตรวจสอบด้วย
เพื่อขยายข้อเท็จจริงให้ชัดขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงหลักฐาน-ข้อร้องเรียนต่าง ๆ ลงพื้นที่พิสูจน์ร่วมกับภาคประชาชน (กลุ่มธรรมาภิบาล) และข้อมูลจาก สตง. มานำเสนอให้เห็นกันอีกครั้ง ดังนี้
พล.อ.รณชัย มัญชุสุนทรกุล ผอ.อผศ. เคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา ระบุว่า ในการขุดคลองทั่วประเทศมีทั้งหมดประมาณ 1,300 สัญญา วงเงินรวมประมาณ 4,800 ล้านบาท โดยหน่วยงานรัฐที่ว่าจ้างมากที่สุดคือ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย
ประเด็นอ้างปล่อยเอกชนเช่าเครื่องจักร 
กรณีนี้คณะกรรมการสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง มีมติเห็นชอบให้สิทธิพิเศษแก่ อผศ. เมื่อช่วงปี 2556 ก่อนที่ประชุม คสช. จะมีมติอนุมัติตามกระทรวงการคลังเสนอเมื่อปี 2557 โดยประเด็นสำคัญที่ทำให้ อผศ. ได้รับสิทธิพิเศษคือ คณะกรรมการสิทธิพิเศษฯ ระบุว่า อผศ. มีเครื่องมือเพียบพร้อมในการทำงานขุดลอกแหล่งน้ำ และมีบุคลากรเพียงพอ
ทว่าข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบพบคือ อผศ. กลับทำสัญญาโดยอ้างว่าเช่าเครื่องจักรจากเอกชนเพื่อเข้าไปทำงานขุดคลองในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ พล.อ.รณชัย มัญชุสุนทรกุล ผอ.อผศ. เคยให้สัมภาษณ์ยืนยันสำนักข่าวอิศราว่า มีอุปกรณ์-เครื่องจักร ไม่เพียงพอจริง และไม่อยากจัดซื้อเพราะเกรงว่า ในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป อาจไม่คุ้มค่า จึงใช้วิธีเช่าจากเอกชน
ประเด็น อผศ. ไม่ทำ แต่ให้เอกชนเข้าไปทำงานเอง
กรณีนี้เกิดจากการร้องเรียนของกลุ่มธรรมาภิบาลที่ยื่นต่อนายกรัฐมนตรี รวมถึงองค์กรอิสระต่าง ๆ โดยเบื้องต้นพบว่า ในหลายพื้นที่ที่ อผศ. เข้าไปรับงานขุดคลองนั้น แท้จริงแล้วเป็นการทำสัญญาให้เอกชนเข้าไปดำเนินการเอง โดยอ้างว่าปล่อยเช่าเครื่องจักร 
ขณะที่จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของสำนักข่าวอิศรา พร้อมกับผู้บริหาร อผศ. ใน จ.สุพรรณบุรี อย่างน้อย 2 แห่ง ได้รับข้อมูลยืนยันจากกลุ่มผู้รับเหมาว่า เข้ามาขุดคลองดังกล่าวเอง โดยมีการ ‘ดีล’ กันระหว่าง สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในจังหวัด กับ อผศ. และมีการคัดเลือกผู้รับเหมาให้เข้าไปทำ ก่อนที่จะมาทำเรื่องเบิกเงิน
ประเด็นการหักหัวคิว-กินส่วนต่าง
กรณีนี้พบว่า มีกลุ่ม ‘คุณนาย อ.’ ร่วมกับกลุ่ม ‘ส.จ.ผู้กว้างขวางในสุพรรณบุรี’ คือสองเอกชนรายใหญ่ที่เข้าไปทำสัญญาปล่อยเช่าเครื่องจักรให้ อผศ. นับหลายร้อยสัญญา โดยมีการดีลกันระหว่าง ‘บิ๊กใน อผศ.’ รายหนึ่งและ ‘บิ๊กใน ปภ.’ รายหนึ่ง ที่เป็นคนชงเรื่องให้ ปภ.จังหวัดทั่วประเทศ จ้าง อผศ. ขุดลอกคลอง
ทั้งนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า อผศ. ไม่ได้ทำงานเอง แต่ปล่อยให้กลุ่มเอกชนทั้งสองรายปล่อยช่วงสัญญาให้ผู้รับเหมาในพื้นที่ทำต่อ โดยส่วนใหญ่เป็นการทำสัญญาปากเปล่า และกินหัวคิวประมาณ 30-40% ของทุกสัญญา 
นอกจากนี้ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียง ‘กลุ่มคุณนาย อ.’ และกลุ่ม ‘ส.จ.’ ยังปล่อยสัญญาให้กับกลุ่ม ‘เจ๊ ร.-เจ๊ น.’ โดยหักหัวคิวประมาณ 30-40% ของทุกสัญญา ก่อนที่กลุ่ม ‘เจ๊ ร.-เจ๊ น.’ จะนำมาปล่อยช่วงอีกครั้งให้กับผู้รับเหมาในพื้นที่ ทำให้กลุ่มผู้รับเหมาบางรายแทบไม่ได้กำไร หรือแทบไม่ได้เงินเลย หรือบางรายไม่ได้รับเงิน จนต้องมาทวงถามด้วยตัวเองที่ อผศ.
ทว่าเมื่อมาทวงถามกลับเจอ ‘บิ๊ก อผศ.’ รายหนึ่ง ระบุทำนองว่า ตอนนี้ยังไม่มีเงิน และ ‘ฉีก’ สัญญาดังกล่าวทิ้งต่อหน้า 
ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าว กลุ่มผู้รับเหมาหลายรายในหลายจังหวัดอ้างด้วยว่า ก่อนจะได้งานบางสัญญาต้องมีการจ่ายใต้โต๊ะให้กับ ‘บิ๊ก อผศ.’ คนดังกล่าวด้วย ?
ขณะเดียวกันในการนัดเคลียร์กันระหว่าง ผอ.อผศ. และคณะผู้บริหารระดับสูงใน อผศ. กับเอกชนกลุ่มที่ปล่อยช่วงต่อให้ผู้รับเหมาในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น พล.อ.รณชัย ระบุกลางวงประชุมเลยว่า เพิ่งทราบปัญหาเหล่านี้ ขณะที่กลุ่มผู้รับเหมารายย่อยในพื้นที่หลายรายไม่พอใจ เนื่องจากไม่ได้เงิน โดยมีเอกชนรายหนึ่งทิ้งวงประชุมหนีไปก่อนด้วย
ประเด็นการตรวจสอบของ สตง.
องค์กรอิสระที่เข้าไปตรวจสอบกรณีนี้มีอยู่ 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และ สตง. อย่างไรก็ดี ป.ป.ท. ยังคงไม่มีความคืบหน้าอะไรมากนักในการตรวจสอบ แต่ สตง. ตรวจสอบแล้วเบื้องต้นพบว่า โครงการนี้มีปัญหาหลายรูปแบบ ทั้งการส่งมอบงานล่าช้า การยกเลิกโครงการ การเรียกค่าปรับงาน รวมถึงปัญหา อผศ. ไปจ้างช่วงเอกชนในพื้นที่มาขุดคลองแทนด้วย
"จากการตรวจสอบข้อมูล สตง.พบว่ามีงานขุดคลองบางโครงการที่ อผศ. ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการเอง แต่ไปว่าจ้างเอกชนในพื้นที่มาเป็นผู้ขุดแทน ซึ่งถือเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อมติคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษ กระทรวงการคลัง ที่กำหนดให้ อผศ. ต้องเป็นผู้ดำเนินการขุดคลองเอง ในการเข้าไปรับงานขุดคลองจากหน่วยงานราชการโดยใช้วิธิพิเศษ" แหล่งข่าวจาก สตง. ระบุ
ทั้งหมดคือเงื่อนปมชัด ๆ ที่ ผอ.อผศ. ยังคงไม่เคลียร์ แต่ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาดำเนินการตรวจสอบ กระทั่งสรุปผลสอบมาว่า ‘คนใน’ ไม่มีความผิด ?
ทั้งที่มีการร้องเรียนมาอย่างโจ่งแจ้งจากบรรดากลุ่มผู้รับเหมาในพื้นที่หลายจังหวัดว่า บางงานกว่าจะได้มาต้องนำเงินไปจ่ายใต้โต๊ะให้กับ ‘บิ๊ก อผศ.’ รายหนึ่ง 
รวมถึงประเด็นการรับช่วงต่องานจากกลุ่ม ‘คุณนาย อ.-ส.จ.’ เพื่อมาทำต่อ แม้จะได้เงินน้อยกว่างบประมาณเดิมอย่างมากก็ตาม ซึ่งตรงนี้ทาง อผศ. ไม่ได้มีการระบุแต่อย่างใดว่าสอบไปถึงไหนบ้างแล้ว ?
ทั้งหมดคือข้อมูล-หลักฐานเชิงประจักษ์ ที่อาจเรียกได้ว่า การดำเนินงานขุดลอกแหล่งน้ำของ อผศ. ค่อนข้างไม่โปร่งใส !
ดังนั้น หากผลสรุปออกมา ‘ค้านสายตา’ สาธารณชนอย่างนี้ ใครจะต้องรับผิดชอบ 
หรือจะปล่อยให้ผ่านไปกับสายลมเหมือนกับกรณีการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง 2 ชุด คือ ชุดแรกกองทัพบกตั้ง ผลสอบคือไม่พบความผิดปกติ ชุดสองศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริต (ศอตช.) ตั้ง ก็ยังไม่พบความผิดปกติ
หากเป็นเช่นนั้นจริง คงไม่สามารถพูดว่า ‘ทหาร’ เข้ามาเพื่อ ‘ปฏิรูป-ปราบคอร์รัปชั่น’ ได้อย่างเต็มปากนัก 

อาวุธของทัมป์คือลูกสาว



คนนี้น่าจะ “Make Trump Great Again” Ivanka Trump 34 ปี อดีตนางแบบ ปัจจุบันนักเขียนและนักธุรกิจ ลูกสาวจากภรรยาคนแรก (แม่ชื่อ Ivana เป็นเช็คโกสโลวาเกีย) เพิ่งพูดจบไปหมาด ๆ เป็นคนอาราธนาให้พ่อขึ้นพูดใน acceptance speech ที่ ‪#‎RNC‬ คลีฟแลนด์
บุคลิกของอิวังกาตรงข้ามกับพ่อ ไม่โผงผาง ประหยัดถ้อยประหยัดคำ “thoughtful” เขาว่าเป็นทายาทสืบทอดกิจการเรือธงของพ่อ ทั้งอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม ในสปีชเธอเล่าว่าระหว่างที่เธอต่อเลโก้สร้างบ้านอยู่ริมโต๊ะทำงานของพ่อใน Trump Tower พ่อของเธอก็เอาหินดินทรายสร้างอาคารบ้านช่อง "When my father says that he will make America great again, he will deliver." ยืนยันว่าพ่อเธอทำได้แน่ (ถ้าเลือกเขาอะนะ)
อิวังกาถือว่าเป็นไพ่ใบเด็ด เพราะภาพลักษณ์ดี เป็นภาพด้าน enterprenerial เจ้าของกิจการของตระกูล Trump ที่สำคัญเป็น “ผู้หญิง เพราะทรัมป์มีจุดอ่อนด้านผู้หญิงมาตลอด แกอาจขุนแผนมีเมียมาก ปกครองเมียได้ แต่กับ voters ที่เป็นผู้หญิง เสียงไม่ดีเอาเลย ไม่ต้องแปลกใจที่คืนนี้อิวังกาพูดถึงเรื่อง “wage equality” และบอกว่าพ่อเธอไม่ได้พูดอย่างเดียวแบบนักการเมือง แต่ทำมาตลอดชีวิต “Politicians talk about wage equality, but my father made a practice for his entire career." เธอบอกว่าที่บริษัทพ่อเธอ ถ้าพนักงานหญิงมีลูกจะได้รับการสนับสนุน
ตอนนั้น ทรัมป์กล่าวหาว่าฮิลารี คลินตัน “playing women’s card” ดูเหมือนเที่ยวนี้เขาจะเอาไพ่ใบเดียวกันมาเล่น ท่าทางได้ผล สื่อลงข่าวการพูดของอิวังกากันครึกโครมเชียว เห็นว่าเธอเป็นขวัญใจของบรรดา Republican Millennial กันทีเดียว
Getting To Know Ivanka Trump http://n.pr/29smJ2A

เตือนThaiPBS แต่ขอช่วยดู ช่อง11. อย่ารังเกียจ



"นายกฯ" เตือน อีกครั้ง"ไทยPBS ” หากไม่ปรับเปลี่ยนเสนอข่าว ย้ำที่ผ่านมาหยิบแต่ปัญหาเล็ก ๆ มาตี แต่ไม่เสนอผลสำเร็จ ถาม เอางบประมาณมาทำ แต่ไม่เคยชมผม ยอมรับตัวเองชอบเสพข่าวลบ แต่ไม่อ่านก็โง่ตามไม่ทัน เปลี่ยน ผอ.ไม่มีผล เพราะข้างล่างยังเหมือนเดิม/ ขอดู ช่อง11 บ้าง อย่าไปรังเกียจ และคิดเพียงว่าเขาจะมาโฆษณาให้กับผมมันไม่ใช่ แต่เป็นกระบวนการสร้างการเรียนรู้ "
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวตอนหนึ่งในการเป็นประธานเปิดการประชุมประจำปี 2559 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ถึงการทำงานของสื่อมวลชนว่า ทุกวันนี้พอเห็นข่าว หรือรายการจากสถานีช่อง 11 ส่วนใหญ่ก็จะเปลี่ยนหนีทันที ขอร้องว่าให้ดูกันบ้างจะได้เห็นว่า รัฐบาลและหน่วยงานราชการทำอะไรบ้าง แค่ช่วงสั้น ๆ ช่วงพักละครก็ได้ จะได้รู้ว่ารัฐบาลทำงานมีสาระอะไรบ้าง
"อย่าไปรังเกียจ และคิดเพียงว่าเขาจะมาโฆษณาให้กับผมมันไม่ใช่ แต่เป็นกระบวนการสร้างการเรียนรู้ "
ในส่วนกรณีของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส วันนี้ก็จะต้องเอาสิ่งที่รัฐบาลทำไปเล่าให้ประชาชนฟังด้วย ถ้าเอาแต่ปัญหาที่มีอยู่มาตีผมอย่างเดียว มันจะเป็นไทยพีบีเอสได้หรือไม่
“อย่าลืมว่าไทยพีบีเอส เอางบประมาณมาจากไหน ผมไม่ได้บอกว่าจะต้องมาเข้าข้างผม แต่บอกว่าให้เอาสิ่งที่รัฐบาลทำไปนำเสนอบ้าง ซึ่งช่องอื่นเขาก็ทำ ไม่ใช่ว่าอะไรที่ทำสำเร็จก็ไม่พูด แต่ไปหยิบเอาปัญหาเล็ก ๆ เช่น ถนนเป็นรู เป็นร่อง มาเป็นปัญหาแล้วก็ไปถามประชาชนว่าคิดอย่างไร แล้วก็มาพูดว่าเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของสถานี
"และไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้อำนวยการกี่คนก็ยังเหมือนเดิม เพราะข้างล่างยังเป็นแบบเดิม คิดแบบเดิมหมด ควรจะช่วยคิดว่าประเทศจะแก้ปัญหาอย่างไร ผมให้ลูกน้องติดตามดู และไปแก้ปัญหาตลอด แต่ไม่เคยชมผมเลย แล้วก็ไปหาจุดบกพร่องใหม่มากลายเป็นว่ารัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหา หมักหมมปัญหามาตลอดไม่ได้แก้หรือทำอะไรเลย
เดี๋ยวผมจะดูอีกซักที เดี๋ยวเถอะ แล้วเดี๋ยวก็จะกล่าวหาว่าผมไปวุ่นวายกับสื่อ แต่ถามว่าควรจะทำอย่างไรผมพูดหรือไม่ จะปล่อยให้เสรีอยากพูดอะไรก็พูดมันไม่ได้”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หนังสือพิมพ์บางฉบับก็เขียนติอย่างเดียว เคยเขียนมาอย่างไรก็เขียนมาตลอด ตั้งแต่เด็กจนแก่ ผมก็บ้าอ่านอยู่ได้ อ่านแล้วก็บ้า แล้วก็โมโห แต่ถ้าไม่อ่านก็โง่อีก ไม่ทันเขา แต่ยังไงก็ไม่ท้อ

บุกค้นบ้านเมียแอนดูร์

22 ก.ค. 59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชลล์ อดีตนักข่าวรอยเตอร์สและนักเขียนอิสระชาวสกอต ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่ประเทศเยอรมันนี ระบุว่าภรรยของเขา "พลอย-นพวรรณ บันลือศิลป์" อายุ 39 ปี นักข่าวรอยเตอร์สและเอ็นบีซี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. จำนวนกว่า 20 นาย นำหมายศาลอาญาที่ 113/2559 เข้าตรวจค้นบ้านพัก เพื่อตรวจค้นและยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือโน๊ตบุ๊ค และเอกสารต่างๆ เพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด เมื่อเวลา 06.00 น. วันนี้ (22 ก.ค.) ที่ผ่านมา
นายแอนดรูว์ ระบุในเฟซบุ๊กว่า "ภรรยาของผม เธอทำงานเป็นนักข่าวรอยเตอร์สและเอ็นบีที แต่ขณะนี้เธอกลับมาเยี่ยม "ชาร์ลี" ลูกชายวัย 3 ขวบที่กรุงเทพฯ และพลอยไม่เคยมายุ่งเกี่ยวกับงานของผมเลย ผมมั่นใจว่าผมทำงานโดยไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเธอ เพราะมันจะเสี่ยงทั้งคู่ และเธอนั้นมีมุมมองทางการเมืองไทยที่แตกต่างไปจากผม และนี่ไม่ใช่เหตุผลทางการเมืองที่จะควบคุมตัวเธอ ดังนั้นหากตำรวจไทยเชื่อว่าผมทำผิดกฎหมายไทย พวกเขาควรจะจับกุมผมในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนตามกฎหมายระหว่างประเทศ ผมยอมรับไม่ได้ที่ผู้หญิงบริสุทธิ์คนหนึ่งถูกกระทำเช่นนี้ เพียงเพราะเธอแต่งงานกับผม"
ผู้สื่อข่าวรายด้วยว่า ก่อนหน้านี้ นายแอนดรูว์ ได้มีการโพสต์บทความจากเว็บไซต์ต่างประเทศแห่งหนึ่ง ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขา ซึ่งเนื้อหาในเว็บไซต์ดังกล่าวมีลักษณะวิพากษ์วิจารณ์สถาบันเบื้องสูงของไทย
ความคืบหน้าล่าสุด รายงานข่าวแจ้งว่า พลอย นพวรรณ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไปสอบสวนที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) แล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“วิษณุ”แจง ม.44 พักงาน ขรก.เอี่ยวทุจริตล็อต 4 พิจารณารอบคอบแล้ว

เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 22 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีใช้คำสั่งมาตรา 44 สั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า ถือเป็นรายชื่อข้าราชการที่พัวพันการทุจริตล็อตที่ 4 ส่วนเรื่องการให้เงินเดือนหรือไม่นั้น มี 2 กรณี คือ 1.กรณีที่เป็นข้าราชการ เงินเดือนไปลดหรืองดไม่ได้ ฉะนั้นต้องถอยออกมาจากที่เดิมแล้วมีคนไปรักษา ซึ่งตำแหน่งยังอยู่ไม่หลุด โดยให้ดำเนินการตรวจสอบถ้าผลสอบออกมาไม่ผิดก็ขอให้รีบแจ้งมา จะได้รีบดำเนินการให้ และได้รับเงินเดือนทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ไม่ได้เงินประจำตำแหน่ง แต่ในกรณีที่เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเทศบาลนั้น ไม่มีเงินเดือน มีเพียงค่าตอบแทน ซึ่งเมื่อออกมาก็จะไม่ได้ในส่วนนี้ ตามกฎหมายของเขา แต่ข้าราชการยังมีเงินเดือน
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตคำสั่งมาตรา 44 ดังกล่าวไม่มีรายชื่อของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. นายวิษณุกล่าวว่า ก็ไม่มีมาจะให้ทำอย่างไร เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าไม่เข้าข่าย นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ เพราะไม่ได้มีมา และเรื่องดังกล่าวสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ไม่เคยมาปรึกษาตน ไม่มีเรื่องนี้
เมื่อถามอีกว่า สตง. ยืนยันว่าเขาส่งมาที่ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) แล้ว นายวิษณุกล่าวว่า ก็เรื่องของเขา เยอะแยะไปคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ส่งมาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ก็ส่งไป เมื่อพิจารณากันแล้ว ด้วยความละเอียด รอบคอบแล้วอาจจะไม่ได้ส่งมา และมีการเห็นชอบกันอย่างเป็นเอกฉันท์แล้ว ต้องบอกว่ามีหลายอย่าง ไม่ใช่ว่าพอไม่มีชื่อมาแล้วฟอกตัว แล้วหยุด ไม่ใช่แบบนั้น แต่เป็นเรื่องที่หากใช้มาตรการตามปกติได้ เราก็ให้ใช้มาตรการตามปกติ เราต้องคิดถึงบ้านเมืองอีก 2 ปีข้างหน้าหากไม่มีมาตรา 44 ประเทศไทยจะอยู่อย่างไร ต้องคิดถึงตรงนี้ว่าต้องอยู่ได้ ต้องมีระบบของมันอยู่ เพราะเมื่อใดที่จะใช้มาตรา 44 กับใครต้องตอบคำตอบ ไม่ใช่ตอบว่าผิดหรือไม่ผิด ทุจริตหรือไม่ทุจริต แต่ต้องตั้งคำถามว่าถึงขั้นใช้มาตรา 44 หรือไม่ ถ้าไม่ถึงขั้นเขาก็ไปดำเนินการเอง 
ทั้งนี้ กรณีผู้ว่าฯกทม. กระทรวงมหาดไทยก็ดำเนินการสอบสวนอยู่ เมื่อใดที่กระทรวงมหาดไทยเห็นว่าเหนือบ่ากว่าแรง ก็คงจะรายงานไป ศอตช.หรือรายงานตรงมาที่รัฐบาลก็ได้ ฉะนั้นอย่าไปเข้าใจว่ามีแค่นี้หรือไม่ เพราะไม่ใช่ยังมีอีกที่แยกย้ายกันสอบสวนอีก และบัญชีที่ส่งมาถึงตนไม่ได้มีแค่ 90 รายมีถึง 200 รายทั้งหมดที่ส่งมา แต่ตนได้ดูและพบว่าอีกประมาณ 100 กว่ารายเป็นเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการระดับเล็ก ตั้งแต่ซี 3-7 จึงไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 เราจึงส่งรายชื่อไปยังผู้บังคับบัญชา โดยแนบข้อหาบอกไปด้วย เพื่อให้ไปสอบสวนกันเอง ซึ่งจะพักงานหรือไม่พักงานอยู่ที่อำนาจของผู้บังคับบัญชา
เมื่อถามอีกว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าคำสั่งมาตรา 44 มีรายชื่อนายกฯอบจ. ที่มีนามสกุลเดียวกับนักการเมือง มีการมองว่าเป็นการเมืองหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ใช่ นามสกุลใหญ่มีเยอะ อย่าไปเน้น 2-3 นามสกุล ขอให้ไปดูว่าข้อหาคืออะไร เจ้าตัวเขารู้ เมื่อถามย้ำว่า การดำเนินการดังกล่าว เพราะช่วงนี้เป็นช่วงใกล้ลงคะแนนเสียงประชามติหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ถ้าเอาตัวนั้นมาเป็นตัวแปร ยังมีอีกหลายจังหวัด

เป็นเพียงรับฟังเท่านั้น เผย 'ป๋าเปรม' รับฟัง คปป. ร้องปม ม.178 ในร่างรธน. แต่ไม่มีอำนาจ


หัวหน้า สนง.ประธานองคมนตรี เผย 'ป๋าเปรม' รับฟัง คปป. ร้องเรียนปม ม.178 ในร่างรธน. เท่านั้น แต่ไม่มีอำนาจ ด้านหมอกมลพรรณ ชี้มาตราดังกล่าว สุ่มเสี่ยงเสียดินแดน-ทรัพยากร เสี่ยงโยกย้ายสมบัติชาติให้กลุ่มทุนหรือต่างชาติได้สะดวกขึ้น
ที่มาภาพ เฟซบุ๊ก 'Kamolpan Cheewapansri'
เมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ (คปป.) นำโดย พ.ท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี ผู้ประสานงานพร้อมคณะ ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับเรื่องและนำส่งสำนักงานประธานองคมนตรีต่อไป สำหรับเอกสารดังกล่าว ระบุว่า ต้องการสอบถามความเห็นในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ มีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธานคณะกรรมการยกร่างฯ มีเนื้อหาในตามมาตรา 178
โดยระบุว่าหนังสือสัญญาเกี่ยวกับดินแดนการให้สัมปทานทรัพยากร หรือหนังสือสัญญาต้องยื่นผ่านรัฐสภา ซึ่งต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วัน หากพิจารณาไม่เสร็จให้ถือว่ารัฐสภาเห็นชอบ ซึ่งการบัญญัติดังกล่าว สุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดนและทรัพยากรของแผ่นดิน อีกทั้งเสี่ยงต่อการโยกย้ายสมบัติชาติให้กลุ่มทุนหรือต่างชาติได้สะดวกขึ้นหรือไม่

ด้าน พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรี กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องไว้ ก็จะส่งเรื่องมาที่สำนักงานฯ เพื่อส่งต่อให้พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ต่อไป แต่ในเบื้องต้นขอเรียนให้ทราบว่า เป็นการบริหารจัดการของฝ่ายบริหาร เราไม่น่าจะเกี่ยวข้อง พล.อ.เปรม ไม่ได้มีอำนาจตรงนั้น คงเป็นการรับฟังจากเอกสารเท่านั้น
ที่มาภาพ เฟซบุ๊ก 'Kamolpan Cheewapansri'
สำหรับจดหมายของ คปป. ยังระบุว่า ม. 178 ตามร่างรัฐธรรมนูญ ดังกล่าว ยังเสี่ยงต่อการโยกสมบัติชาติให้กลุ่มทุนหรือต่างชาติได้สะดวกขึ้น นอกจากนั้น ทีมรัฐมนตรีและผู้บริหารพลังงานเป็นกลุ่มเดิมซึ่งสนับสนุนการแบ่งปันผลผลิตให้กับเอกชนมากกว่า
“ในมาตรา 178 ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดน ทางองมนตรีซึ่งเป็นผู้ถวายคำปรึกษา หรือถวายความเห็นต่อพระเจ้าอยู่หัวมีความเห็นอย่างไรต่อมาตรานี้ และจะมีการแก้ไขอย่างไร และ อยากทราบว่าองคมนตรีมีอำนาจเสนอปลดรายชื่อบุคคลต่างๆ ทั้งคณะกรรมการร่าง รธน. ครม. ผู้บริหารระดับสูงที่ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ชาติได้หรือไม่ ทั้งนี้เครือข่ายมีความจำเป็นต้องมาร้องต่อท่าน เพราะไปทุกที่ก็ไม่ได้รับคำตอบ นอกจากนั้น การแสดงความคิดเห็นหรือเคลื่อนไหวในการเรียกร้องเพื่อผลประโยชน์ของชาติก็ถูกปิดกั้นด้วย พรบ.ชุมนุมในที่สาธารณะ คำสั่งคสช เป็นต้น” เอกสาร ระบุ

ไขปริศนา'ชายหมู'รอด ม.44 ลอต 4! 2 นายก อบจ.ดัง พี่'วราเทพ'-น้อง'อนุชา'โดนฟัน

"..ในกรณี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ นั้น  ล่าสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าหน่วยงานต้นสังกัด ได้ลงนามในคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว และมอบหมายให้นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย แจ้งความดำเนินคดีอาญาและแพ่ง กับผู้ว่าฯ ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบริษัทที่ประมูลไปแล้ว ทางศอตช. จึงไม่ต้องดำเนินการอะไร"
piciidddferereerr22 7 16
ในบรรดารายชื่อข้าราชการและนักการเมืองท้องถิ่นจำนวน 60 ราย (ลอต 4) ที่ถูกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 43/2559 สั่งให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเข้าสู่กระบวนการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือสอบสวนเพื่อดําเนินการทางวินัยของหน่วยงานต้นสังกัดโดยเร็ว ตามที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำข้อมูลมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบเป็นทางการไปแล้ว 
มีนักการเมืองท้องถิ่น 2 ราย ซึ่งเป็นเครือญาติกับนักการเมืองชื่อดังร่วมอยู่ด้วย คือ 
1. นายอนุสรณ์ นาคาศัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท อําเภอเมือง จังหวัดชัยนาท 'น้องชาย' นายอนุชา นาคาศัย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชัยนาท พรรคไทยรักไทย และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย
2. นายสุนทร รัตนากร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกําแพงเพชรอําเภอเมือง จังหวัดกําแพงเพชร 'พี่ชาย' นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 
สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ในศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ว่า นักการเมืองถิ่นท้อง ใน 60 รายชื่อ ที่ถูกคำสั่งหัวหน้า คสช. ระงับการปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ ส่วนใหญ่เข้าไปพัวพันคดีการจัดซื้อจัดจ้าง งานก่อสร้าง และเรื่องการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่ไม่ถูกต้อง และถูกชี้มูลจากหน่วยงานตรวจสอบไปแล้ว แต่ต้นสังกัดยังไม่ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสวนข้อเท็จจริงหรือทางวินัยอะไร
โดยในส่วนของ นายสุนทร รัตนากร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกําแพงเพชรอําเภอเมือง จังหวัดกําแพงเพชร ถูกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ชี้มูลความผิดเรื่องคดีการจัดซื้อรถยนต์ ตั้งแต่ช่วงปี 2556 
ส่วน นายอนุสรณ์ นาคาศัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท อําเภอเมือง จังหวัดชัยนาท ก็ถูกสตง.ชี้มูลความผิดเช่นกัน จากกรณีการอนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณ หมวดเงินอุดหนุนสนับสนุนสมาคมกีฬาจังหวัดชัยนาท ที่มีนายอนุสรณ์ เป็นนายกสมาคม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพ ของสโมสรฟุตบอลจังหวัดชัยนาท ซึ่งมีนายอนุสรณ์เป็นผู้จัดการทีม และเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมแข่งขันชกมวยสากลระดับโลก รวมจำนวนเงิน 44,800,000 บาท 
นอกจากนี้ยังมีการเบิกจ่ายเงินจำนวน 10,070,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการมหกรรมรวมพลังสร้างสุขภาพในวันอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.)แห่งประชาติประจำปี 2554 ของอบจ.ชัยนาท ก็ไม่สามารถเบิกจ่ายได้เช่นกัน เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นในจังหวัดสามารถดำเนินการได้เอง และหลายแห่งได้ดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว
สตง. พิจารณาแล้วเห็นว่า การจัดแข่งขันกีฬาทั้งสองส่วนนี้ เป็นกีฬาเพื่อการอาชีพ ไม่ใช่กีฬา ที่ อบจ.ต้องส่งเสริม อบจ.ชัยนาท จึงไม่อาจเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนกีฬา สมาคมกีฬาจังหวัดชัยนาทได้ และการดำเนินการของนายอนุสรณ์เข้าข่ายการมีผลประโยชน์ทับซ้อนด้วย 
สตง.จึงทำหนังสือถึงองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท ให้นำเงินจำนวน 54,870,000 บาท ส่งคืนคลัง อบจ.ชัยนาทด้วย และพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย หรือระเบียบแบบแผนที่ทางราชการกำหนด ตนเองตามควรแก่กรณี ในฐานะผู้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงบประมาณ แต่มิได้ดำเนินการบริหารงบประมาณให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางราชการกำหนด

(อ่านประกอบ : "ชัยนาท"ต้นแบบ "บุรีรัมย์"! สตง.เชือด "อบจ." ใช้งบขนคนเชียร์ทีมกีฬา "นักการเมือง" ,สั่งคุมเข้ม อบจ. เบิกเงินท้องถิ่นจัดแข่งฟุตบอลไทยลีก-ชิงแชมป์มวยโลก !!)

นอกจากนี้ อบจ.ชัยนาท ก็ยังถูกสตง.ตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณในการจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างป้ายประชาสัมพันธ์อิเล็กทรอนิกส์รูปนก LED Full Color Display ขนาด 4 x 6 เมตร จำนวน 2 ป้ายราคาต่อป้าย 9 ล้านบาท เป็นเงินเกือบ 18 ล้านบาท ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีราคากลางสูงเกินจริงหรือไม่  และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติสำนักงาน จังหวัดชัยนาท (ป.ป.จ.ชัยนาท) ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวอยู่เช่นกัน เนื่องจากมีการว่าจ้างในวงเงินสูง 
ส่วน นายสําเริง กิปัญญา ผู้อํานวยการโรงเรียนโสตศึกษาทุ่งมหาเมฆ ที่ถูกสั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ด้วย เพราะเคยถูกชี้มูลเรื่องการทำเอกสารเบิกจ่ายเงินไม่ถูกต้องสมัยเป็น ผอ.โรงเรียน ในจังหวัดชัยนาท 
ส่วนข้อสงสัยของใครหลายคนว่า ทำไมถึง ไม่ปรากฎชื่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ที่ถูกสตง.ชี้มูลความผิดโครงการประดับไฟ กทม. 39.5 ล้านบาท ไปแล้ว รวมอยู่ในบัญชีลอต 4 นี้ ด้วย 
แหล่งข่าวจาก ศอตช. มีคำอธิบายดังนี้ 
"อย่างที่บอกไปตอนต้นว่ารายชื่อข้าราชการและนักการเมืองท้องถิ่น 60 ราย เน้นบุคคลที่ถูกชี้มูลไปแล้ว แต่หน่วยงานต้นสังกัดยังไม่ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสวนข้อเท็จจริงหรือทางวินัยอะไร"
"โดยในกรณี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ นั้น  ล่าสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าหน่วยงานต้นสังกัด ได้ลงนามในคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว และมอบหมายให้นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย แจ้งความดำเนินคดีอาญาและแพ่ง กับผู้ว่าฯ ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบริษัทที่ประมูลไปแล้ว ทางศอตช. จึงไม่ต้องดำเนินการอะไร"
และนั้นเป็นที่มาว่าทำไมชื่อของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จึงไม่ปรากฎรวมอยู่กับรายชื่อข้าราชการและนักการเมืองท้องถิ่น 60 ราย ในบัญชีลอต 4

"ประยุทธ"ยันกม.ไม่ละเว้นใครกรณี"สมเด็จช่วง"

22 ก.ค.59 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งข้อกล่าว สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช คดีครอบครองรถหรูโดยไม่ถูกต้อง หลัง พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) หรือเจ้าคุณประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ขู่ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน ว่า กฎหมายเขาว่าอย่างไร เจ้าหน้าที่เขามีกฎหมายอยู่แล้ว ผิดกฎหมายก็ดำเนินการ ซึ่งดำเนินการได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
ทั้งนี้ ตนคิดว่าคนไทยต้องเข้าใจ กฎหมายคือกฎหมาย ยกเว้นใครไม่ได้อยู่แล้ว ก็แค่สอบสวนเข้าสู่กระบวนการ ถ้าถูกหรือผิด ก็ว่ากันมาในกระบวนการ มันก็จบแล้ว ทำไมจะต้องมีปัญหามากนัก ก็ไม่รู้เหมือนกัน บ้านเมืองติดไปหมด เอาเถอะเรื่องอื่นอย่าถามตนเลย ตนไม่ตอบอีกแล้ว เรื่องเกี่ยวกับการเมืองตนเลิกตอบ พอแล้ว

กสม.เผยผู้ก่อจลาจลเผาเรือนจำปัตตานีเสียชีวิตแล้ว หลังเพิ่งถูกย้ายไปที่สงขลา

วันนี้ (22 กรกฎาคม) นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้โพสต์ในเฟซบุ๊กระบุว่า ได้ทราบข่าวอย่างไม่เป็นทางการว่า 1 ใน 2 แกนนำที่คาดว่าเป็นผู้ก่อจลาจลเผาเรือนจำปัตตานีที่ย้ายไปอยู่เรือนจำกลางสงขลาได้เสียชีวิตลง และว่า “เรื่องนี้ราชทัณฑ์ต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน หากมีการเสียชีวิตจริง เพราะที่ผ่านมาราชทัณฑ์ยืนยันไม่มีเจ็บเพิ่ม ตายเพิ่ม” พร้อมใส่แฮชแทค ‪#‎RightToLIVE‬
ข้อความในเพจของนางอังคณา‪ กล่าวถึง ข้อกำหนดแมนเดล่า‬ ( ‪#‎MandelaRules‬) หรือมาตรฐานต่ำสุดในการดูแลผู้ต้องขังกรณีเกิดการเจ็บป่วย หรือเหตุฉุกเฉินไว้เพื่อเตือนความจำแก่ราชทัณฑ์
โดย ข้อกำหนด27‬ (1) ระบุว่า ในกรณีฉุกเฉิน ผู้ต้องขังทุกคนต้องได้รับการประกันว่าสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้โดยพลัน ผู้ต้องขังที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา หรือการผ่าตัดเฉพาะทาง ต้องได้รับการส่งตัวไปยังหน่วยงานที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง หรือโรงพยาบาลของพลเรือน ในกรณีที่เรือนจำมีโรงพยาบาลของตนเอง โรงพยาบาลนั้นต้องมีบุคลากรและอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเพียงพอ และมีศักยภาพที่จะให้การรักษา และดูแลอย่างเหมาะสมกับผู้ต้องขังที่ได้รับตัวมา
ขณะที่ข้อกำหนด71‬ (1) ระบุว่า ไม่ว่าจะมีกำรสอบสวนภายในหรือไม่ ผู้บัญชาการเรือนจำต้องรายงานข้อมูลโดยไม่ชักช้าเมื่อมีผู้เสียชีวิต สูญหาย หรือได้รับบาดเจ็บร้ายแรงระหว่างการควบคุมตัวต่อศาลหรือหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ ซึ่งเป็นอิสระจากผู้บริหารเรือนจำ และต้องสอบสวนโดยพลัน อย่างไม่ลำเอียง และอย่างเป็นผลเพื่อให้ทราบถึงพฤติการณ์และสาเหตุ ของกรณีที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม เกิดเหตุกลุ่มนักโทษภายในเรือนจำกลางปัตตานี รวมตัวกันเตรียมก่อจลาจลจนมีผู้เสียชีวิต โดยกลุ่มนักโทษระบุว่า มีการใช้มาตรการเข้มงวดมากเกินไป

สหรัฐจับ"เณรคำ"ได้แล้วDSIบอกอยู่ระหว่างประสานส่งตัว

22 ก.ค. 59 เมื่อเวลา 11.00 น. พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอส) แถลงข่าวว่า ขณะนี้ดีเอสไอ ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ทางสหรัฐอเมริกาว่า ได้จับตัวนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระเณรคำ ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างสำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่ของทางสหรัฐอเมริกา ส่วนรายละเอียดจะแถลงข่าวเร็วๆ นี้
สำหรับนายวิรพล หรือเณรคำ เคยตกเป็นข่าวฉาว เมื่อปี 2556 กรณีปรากฎภาพในสื่อโซเชียลมีเดีย ขณะนั่งเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว และใช้ของใช้ราคาแพง จนนำไปสู่การขุดคุ้ยประวัติฉาวมากมาย อาทิ การใช้ชีวิตหรูหราด้วยการใช้สินค้าแบรนด์เนม มีรถยนต์หรูหลายสิบคัน บ้านพักหรูราคาหลายล้านบาททั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมไปถึงการล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี เป็นต้น
ต่อมาเณรคำถูกออกหมายจับในคดีฉกรรจ์ 5 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาพรากผู้เยาว์ ข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี ข้อหาฉ้อโกงประชาชน ข้อหาฟอกเงิน และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ก่อนหลบหนีไปกบดานอยู่วัดแห่งหนึ่งในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

DSIฟันสมเด็จช่วงหลวงพี่น้ำฝนผิดเลี่ยงภาษีนำเข้ารถจดประกอบ

22 ก.ค. 59 เมื่อเวลา 11.00 น. พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอส) พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค นายนิธิต ภูริคุปต์ ผู้บัญชาการสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร และนายมเหสักข์ พันธ์สง่า พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ ร่วมแถลงข่าวกรณีการสืบสวนสอบสวนการครอบครองรถยนต์ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนอุปกรณ์รถเก่า (รถจดประกอบ) ของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ประกอบด้วย 1.กรณีรถยนต์โบราณ ยี่ห้อ PANTHER ของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม และ 2 กรณีรถยนต์โบราณ ยี่ห้อ  Mercedes-Benz รุ่น 300 บี ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ว่า กรณีแรกรถของของหลวงพี่น้ำฝน จากการสืบสวนสอบสวนพยานหลักฐานพบว่ามีการนำเข้าผิดกฎหมาย มีความผิดฐานเลี่ยงภาษีอากร ตาม พ.ร.บ.ศุลการกร
ส่วนคันที่ 2 ของสมเด็จช่วง ซึ่งในกระบวนการนำเข้าต่างๆ ทางดีเอสไอได้แถลงข่าวไปก่อนหน้านี้แล้วว่า และได้มีการแจ้งข้อหาในคดีนี้ไปแล้ว 3 ราย ออกหมายจับ 1 ราย และวันนี้ในส่วนของผู้ครอบครองและผู้เกี่ยวข้อง ตามพยานหลักฐานทั้งหมด มีความผิดฐานร่วมกันมีไว้ครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษีหรือเลี่ยงหลีกภาษีไม่ครบถ้วน ตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต สืบเนื่องจากพยานหลักฐานชัดเจนว่ารถคันนี้มีการซื้อขายในราคา 4 ล้านบาท แต่ตอนยื่นภาษียื่นแค่ 570,000 บาท อีกส่วนหนึ่งคือมีความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความเป็นอันเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย และร่วมกันแจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารมหาชนหรือในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐาน สืบเนื่องจากว่าการเสียภาษีที่ขนส่งรถราคา 4 ล้านบาท แต่ไปแจ้งเสียภาษี 1 ล้านบาท จึงชัดเจนว่าผู้ครอบครองและผู้เกี่ยวข้องมีความผิดด้วย ทางดีเอสไอขอยืนยันว่าการสอบสวนในคดีนี้และคดีอื่นใช้มาตรฐานเดียวกัน

พุทธะอิสระโต้117คนดัง ไม่สนรธน.ผ่านหรือไม่ ขอบิ๊กตู่อยู่ต่อ หลังลต.กลับมาเป็นนายกฯ

วันนี้ (22 ก.ค.) พุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย และแกนนำกปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ โพสต์ข้อความแสดงความเห็นกรณี เครือข่ายพลเมืองผู้ห่วงใย 16 องค์กร ซึ่งประกอบด้วยบุคคลหลากหลายอาชีพ มีทั้งนักวิชาการ นักธุรกิจ นักการเมือง อาชีพอิสระ ร่วมลงชื่อจำนวน 117 รายชื่อ เพื่อเรียกร้องให้ เปิดกว้างการทำประชามติ โดยพุทธะอิสระ ระบุว่า ขอใช้สิทธิคนไทย ชี้แจงบ้างระบุว่า ที่จริงก็เห็นด้วยกับข้อกังวลที่กลุ่มเครือข่ายพลเมืองผู้ห่วงใยกังวล ถือเป็นความกังวลที่คนไทยรักชาติทุกคนต่างมีอยู่ด้วยกันทุกคน แต่ข้อห่วงใยกังวลที่พวกเรามีหาใช่กังวลว่าเมื่อไหร่จะมีประชาธิปไตย เมื่อไหร่จะเลือกตั้ง พวกเรากังวลว่า การปฏิรูปบ้านเมืองยังไม่เรียบร้อย หากปล่อยให้มีการเลือกตั้งในเร็ววันบ้านเมืองคงต้องวุ่นวายอีก พวกเรากังวลว่าจะเสียของอีก พวกเรากังวลว่า วังวนแห่งการกินรวบประเทศไทยจะย้อนกลับมาอีกรอบหนึ่ง พวกเรากังวลว่า หากไม่มีรัฐบาลคสช.แล้ว การแก้ปัญหาของบ้านเมืองจะไม่เดินหน้า
มองผิวเผินที่กลุ่มเครือข่ายพลเมืองผู้ห่วงใย คือการหวังดีต่อบ้านเมือง แต่หากจะมองอีกมุมหนึ่งก็คือบีบให้คสช.รีบๆ คืนอำนาจ พวกเขาจะได้รีบๆ เลือกตั้ง ช่างน่าเห็นใจคสช.ยิ่งนัก สู้อุตส่าห์ทุ่มเททำงานรับใช้ประชาชน แก้ปัญหาบ้านเมืองด้วยความจริงใจ สุจริตใจ แต่ต้องมาเจอคนไม่เห็นคุณค่า จ้องที่จะบ่อนทำลายการทำงานของคสช. ทั้งที่งานนั้นล้วนเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและคนทั้งประเทศ ก็ถือว่าเป็นสิทธิของทุกคนที่จะแสดงความคิดเห็นได้ และในฐานะของพญาราชสีห์แห่งเวทีแจ้งวัฒนะ ผู้มีส่วนร่วมผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง รวมทั้งพี่น้องประชาชนผู้มีหัวใจรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกคนก็มีสิทธิจะคิด มีสิทธิจะห่วงใยกังวลต่อสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้เหมือนกัน ทุกคนต่างกังวลและคิดตรงกันว่า อยากให้คสช.อยู่ต่อ เพื่อทำการสะสางปัญหาและปฏิรูปบ้านเมืองให้สำเร็จในทุกมิติ จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย จึงเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ที่พวกเราต้องการให้คสช.อยู่ต่อจนกว่าจะปฏิรูปสำเร็จ เพราะพวกเราไม่เชื่อใจนักการเมือง เหมือนที่พวกเราไม่เชื่อว่านักการเมืองจะไม่โกงไม่กินงบประมาณที่พวกตนมีอำนาจอนุมัติ พวกเราไม่เชื่อว่านักการเมือง จะสามารถทวงคืนผืนป่าที่ถูกบุกรุกได้สำเร็จ พวกเราไม่เชื่อว่าพวกนักการเมือง กล้าออกกฎหมายเก็บภาษีมรดกได้ พวกเราไม่เชื่อว่านักการเมือง จะแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมายได้ พวกเราไม่เชื่อว่านักการเมือง จะแก้ปัญหาการบิพลเรือนที่เรื้อรังมานานจนต่างประเทศเขาตั้งข้อรังเกียจได้ จะสามารถจัดโซนนิ่งเกษตรกรได้ พวกเราไม่เชื่อว่าพวกนักการเมือง จะทำให้บ้านเมืองนี้สงบสุขได้ พวกเราไม่เชื่อว่าพวกนักการเมืองและพรรคการเมือง จะทำให้สถาบันปลอดภัยได้ จะสามารถปราบปรามการโกงกินทุจริตคอรัปชั่นได้ จะปฏิรูปการศึกษาได้สำเร็จ จะสามารถปราบธุรกิจสีเทาที่แพร่ขยายไปทุกหย่อมหญ้า
พวกเราไม่เคยเชื่อว่าพวกนักการเมือง จะสามารถปฏิรูปบ้านเมืองในทุกมิติได้ จะไม่มากินรวบประเทศไทย พรรคการเมืองและนักการเมืองจะกำจัดลัทธิกินรวบอาณาจักรและศาสนจักรได้
และพวกเราก็ไม่เคยเชื่อว่าพวกนักการเมือง จะบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่มีข้อยกเว้น
แต่ 2 ปีกว่าที่ผ่านมา รัฐบาลคสช.พิสูจน์ให้พวกเราได้เห็นถึงความจริงใจ ความตั้งใจ ความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่หมักหมมมานานด้วยน้ำมือของพวกนักการเมืองและข้าราชการกระทำไว้ 2 ปีกว่าที่ผ่านมา รัฐบาลคสช.ได้ทำให้พวกเราอุ่นใจ ปลอดภัย และไว้วางใจ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยของพวกนักการเมืองมีอำนาจ 2 ปีกว่าที่ผ่านมาพวกเราเชื่อว่ารัฐบาลคสช.เขาตั้งใจที่จะทำเพื่อบ้านเมืองและอนาคตของลูกไทยหลานไทยอย่างแท้จริง 
เช่นนั้นรัฐธรรมนูญจะผ่านก็ช่าง ไม่ผ่านก็ได้แต่ขอให้รัฐบาลคสช.อยู่ต่อเพื่อทำการปฏิรูปในทุกมิติอันเป็นภารกิจหลักที่ต้องวางรากฐานอนาคตของประเทศให้แก่คนในชาติจนสำเร็จแล้วจึงคืนอำนาจสู่ประชาชน 
แต่ถ้าหากจะต้องมีการเลือกตั้งจริงๆ ก็ขอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก เพื่อสานต่อภารกิจที่คั่งค้างให้แล้วเสร็จ อำนาจของประชาชนอยู่ในมือของนักการเมืองมา 83 ปีแล้ว แต่ก็มิได้ทำให้ประชาชนอุ่นใจ ปลอดภัย มั่นคงได้เท่ากับรัฐบาลคสช.ที่อยู่มาแค่ 2 ปีกว่าเลย 
พวกเราจึงใคร่ขอร้องพวกกระหายประชาธิปไตยอยากเลือกตั้งทั้งหลายว่า ขอเวลาให้รัฐบาลคสช.เขาได้ทำหน้าที่ของลูกไทยหลานไทย ผู้มีหัวใจกตัญญูต่อแผ่นดินเกิดไปก่อนจนกว่าจะปฏิรูปสำเร็จเถิด หรือไม่ก็ให้คุณประยุทธ์กลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้งเพื่อทำการปฏิรูปให้แล้วเสร็จ ไม่เช่นนั้นการเสียสละชีวิตเลือดเนื้อของพี่น้องที่เจ็บที่ตายอยู่บนถนนจะสูญเปล่า พวกเราเบื่อและเหนื่อยกับการต้องออกไปสู้บนถนนอีกแล้ว พุทธะอิสระจึงขอเรียกร้องให้คนไทยทุกหมู่เหล่าออกไปใช้สิทธิลงคะแนน รับหรือไม่รับร่างตามแต่จะเห็นสมควรโดยไม่ให้ใครมาชี้นำ

ภรรยาแอนดรูว์ ได้รับการปล่อยตัวแล้ว เผยตำรวจให้ตักเตือนสามีเรื่องการโพสต์เนื้อหาหมิ่นสถาบัน

ภรรยาแอนดรูว์ ได้รับการปล่อยตัวแล้ว เผยตำรวจให้ตักเตือนสามีเรื่องการโพสต์เนื้อหาหมิ่นสถาบัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าน.ส. นพวรรณ บรรลือศิลป์ ภรรยาของนายแอนดรูว์ แม็คเกรเกอร์ มาร์แชล ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหลังได้รับการปล่อยตัว ว่าสาระสำคัญของการสอบถามของเจ้าหน้าที่ตำรวจวันนี้เป็นเรื่องของการโพสต์ข้อความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันกษัตริย์ของไทย ซึ่งนายมาร์แชลได้โพสต์ต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี และจากการโพสต์ภาพของสมาชิกชั้นสูงของราชวงศ์ซึ่งถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Bild ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ของเยอรมันีวานนี้ ก็ถึงเวลาที่ควรจะเรียกภรรยามาพูดคุย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอให้ น.ส. นพวรรณตักเตือนสามีโดยหวังว่านายมาร์แชลจะเชื่อฟัง

น.ส. นพวรรณระบุว่า หลังจากนี้อาจจะมีการพูดคุยกับแอนดรูว์ว่าให้หยุดพฤติกรรมลักษณะนี้
พล.ต.ท. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางให้สัมภาษณ์ว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่ออยู่แล้วว่า น.ส. นพวรรณไม่ได้มีพฤติกรรมที่มีความผิด การค้นบ้านและเชิญตัวมาพูดคุยครั้งนี้ก็เพื่อพิสูจน์ว่า น.ส. นพวรรณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิดจริงๆ ส่วนหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ของเยอรมันซึ่งเป็นต้นทางในการเผยแพร่ภาพสมาชิกราชวงศ์ของไทยเป็นที่แรก และนายมาร์แชลนำรูปมาโพสต์ต่อนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีการดำเนินคดี และคิดว่าการเรียกตัวภรรยานายมาร์แชลมาพูดคุยก็เพียงพอแล้ว

สำหรับอุปกรณ์ที่ยึดไปตรวจสอบนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คืน ไอแพด ไอโฟน แฟลชไดรฟ์ และหนังสือเดินทาง แต่ยังคงยึดคอมพิวเตอร์แมคบุ๊กไว้ตรวจสอบเพิ่มเติม

เช้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามราว 20 นาย ได้ถือหมายศาลเข้าค้นบ้านในช่วงเช้าและควบคุมตัวมาสอบปากคำต่อที่กองปราบฯ จนถึงเวลาประมาณ 15.30 น. พร้อมยึดหลักฐานเป็นอุปกรณ์สื่อสารและหนังสือเดินทางมาตรวจสอบ โดยระหว่างสอบถามข้อมูลจาก น.ส. นพวรรณ เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ทนายเข้าร่วมฟังและให้คำปรึกษาโดยอธิบายว่าเป็นเพียงการเชิญตัวมาสอบถาม ไม่ใช่การจับกุมหรือตั้งข้อหา จึงไม่ต้องหารือทนาย
นายมาร์แชล รายงานสถานการณ์ผ่านเฟซบุ๊กของเขาว่า ภรรยาได้รับการปล่อยตัวแล้ว และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ของไทยที่ดำเนินการตามหลักกฎหมาย และปล่อยตัวภรรยา โดยเขายืนยันว่าภรรยาไม่มีส่วนในการกระทำผิดกฎหมายใด ๆ และเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่พบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด และเขาหวังว่าจะไม่มีการคุกคามภรรยาและครอบครัวของภรรยาอีก

DSI สรุปเบนซ์ 'สมเด็จช่วง' ผิดกฎหมายจ่ายภาษีไม่ครบ


21 ก.ค.2559 เมื่อเวลา 11.00 น.ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้มีการแถลงผลตรวจสอบรถเบนซ์ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช  
พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี DSI ระบุว่า พบพยานหลักฐานชัดเจนว่าการได้มาของรถดังกล่าวมีการกระทำผิดกฏหมาย  ตั้งแต่การนำเข้าเครื่องยนต์ผิดกฏหมาย  ใช้เอกสารปลอม  แจ้งเท็จในการขอจดทะเบียน   โดยมีการปลอมลายมือชื่อ  แสดงมูลค่ารถยนต์เสียภาษีไม่ครบถ้วน  ตั้งแต่ ขอชำระภาษีสรรพสามิต ราคา 570,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าความเป็นจริงที่รถมีการซื้อขายกันที่ราคา 4 ล้านบาท  จึงเป็นการจ่ายภาษีไม่ครบถ้วน
นอกจากนี้ยังพบการกระทำผิดในขั้นตอนขอจดทะเบียนที่แจ้งว่าซื้อขายรถกันที่ราคา 1 ล้านบาท ทั้งที่ราคาจริง 4 ล้านบาท ทำให้รัฐได้อากรไม่ครบ ถ้วน ส่วนกลุ่มผู้ครอบครองรถ  พบการกระทำผิดเกี่ยวกับการครอบครองรถที่เสียภาษีไม่ครบถ้วน ซึ่งผู้ครอบครองมีการร่วมกันครอบครอง ต่อเนื่อง ตั้งแต่การประกอบรถยนต์ เสร็จสิ้นจนถึงปัจจุบัน  โดยพยานหลักฐานเชื่อว่าผู้ครอบครองย่อมรู้ว่ารถดังกล่าวเป็นรถที่ได้มาโดยไม่ชอบตามกฎหมาย จึงเข้าข่ายความผิดใน 2 ข้อหา ได้แก่ ร่วมกันครอบครอง ซึ่งสินค้าที่รู้ว่าไม่เสียภาษี หรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน ผิด พ.ร.บ.สรรพสามิต 2527 มาตรา 161 (1) และกฏหมายอาญามาตรา 83 มีโทษปรับ 2-10 เท่าของค่าภาษีที่ต้องเสียต่อกรมสรรพสามิต และข้อหาที่ 2  ร่วมกันแจ้งข้อความเท็จลงในเอกสารราชการและแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานผู้กระทำตามหน้าที่  ผิดกฏหมายอาญามาตรา 137 และมาตรา267 ประกอบมาตรา 83  มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ซึ่ง DSI จะร่วมกับกรมสรรพสามิตดำเนินการแจ้งข้อหาต่อไป
 
นอกจากนี้ อธิบดี DSI ได้แถลงผลตรวจสอบรถยนต์ของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาส วัดไผ่ล้อม พบเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีตั้งแต่ต้น โดยรถทะเบียน กก 1177 ของหลวงพี่น้ำฝน  มีการจดทะเบียนรถทั้งคันยี่ห้อ  PANTHER  ที่สหรัฐอเมริกา จากนั้นซื้อขายต่อกันโดยคนไทยในสหรัฐ  ซึ่งพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำแล้ว และเมื่อหลวงพี่น้ำฝนมีการซื้อขายรถดังกล่าว  ได้ถอดแยกชิ้นส่วน นำเข้ามาประกอบใหม่เป็นคันเดิม แต่แจ้งเป็นยี่ห้อจากัวร์ แทน จึงมีความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีอากร  ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ประกอบกับมาตรา 6 พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาเรียกเก็บอากรในส่วนที่ขาด จากกรมศุลกากร เมื่อได้รับผลแล้วจะได้ดำเนินการเรียกผู้ต้องหามาแจ้งข้อหาต่อไป
สำหรับรถหลวงพี่น้ำฝน นั้น ความผิดตั้งแต่การจงใจเลี่ยงภาษีมีโทษสูงสุดจำคุก 10 ปี ส่วนผู้ครอบครองมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี

สุวพันธุ์ ปัดตอบปมดีเอสไอ-สมเด็จช่วง

ขณะที่ สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานกำกับดูแลสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณี DSI แจ้งข้อข่าวหาสมเด็จช่วง เลี่ยงภาษีกรณีครอบครองรถหรูว่า ตนยังไม่ทราบรายละเอียด จึงไม่สามารถพูดได้ จึงต้องขอดูรายละเอียดก่อน
ต่อกรณีคำถามว่าการถูกแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวจะนำไปประกอบการพิจารณาก่อนเสนอชื่อแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ต่อนายกรัฐมนตรีหรือไม่  สุวพันธุ์ กล่าวว่า “ผมขอเรียนว่าขณะนี้ยังไม่เห็นรายละเอียดอะไรทั้งหมด จึงไม่สามารถตอบอะไรได้สมบูรณ์ ต้องเห็นรายละเอียดก่อนแล้วจะมีคำตอบให้” ถามย้ำว่า การที่บุคคลถูกแจ้งข้อกล่าวจะต้องสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุหรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า “ผมไม่ได้จบกฎหมายก็ไม่รู้จะตอบยังไง แล้วพระธัมชชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ขาดจากความเป็นพระไหม ไม่รู้จะถามทำไม ก็ถามอย่างนี้นายกฯถึงโกรธ”

มท.พร้อมหนุน กกต.เปิดเวทีดีเบต แต่เป็นเวทีปิด-ห้ามอัดเสียง-ถ่ายคลิปเกรงทำปชช.สับสน

“บิ๊กป๊อก” ชี้ มท.พร้อมหนุน กกต.เปิดเวทีดีเบต แต่เป็นเวทีปิด-ห้ามอัดเสียง-ถ่ายคลิปเกรงทำปชช.สับสน
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 22 กรกฎาคม ที่กระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุให้ กกต.และผู้ว่าฯ เป็นผู้ดำเนินการเปิดเวทีแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ได้มอบหมายให้ กกต.ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยสนับสนุน ทั้งนี้ ทราบว่าการเปิดเวทีแสดงความคิดเห็นดังกล่าว จะเป็นเวทีปิด ไม่มีการบันทึกเทปและไม่มีการอัดเสียง เข้าใจว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ ทาง กกต.จะเป็นผู้พิจารณา ขณะที่กระทรวงมหาดไทยพร้อมให้การสนับสนุน
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่เริ่มมีการฉีกและเผาบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติในพื้นที่ภาคใต้นั้น ถ้าบุคคลใดกระทำผิดกฎหมาย ก็ต้องดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม ส่วนคนที่ฉีกหรือเผาจะมีนัยยะสำคัญหรือไม่ อย่างไร หรือมีเจตนาอะไรหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบเพราะไม่มีข้อมูล และไม่อยากวิพากษ์ให้เป็นประเด็น แต่เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นสังคมจะพิจารณาเองได้

ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหาย 2,300ล้าน

ในช่วงข้ามคืนที่ผ่านมา ม.44 ถูกใช้อย่างต่อเนื่องผ่านคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 42/2559 และ 43/2559
โดยคำสั่งที่ 42/2559 นั้นเป็นการแก้ปัญหาการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ล่าช้า โดยมีเนื้อหาสาระให้ยกเลิกข้อบังคับตาม พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 เพื่อเจรจาแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินกับเอกชนผู้รับสัมปทาน และหาเอกชนรายใหม่เข้ามาดำเนินการต่อ
โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่มีปัญหาความล่าช้าคือ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง - บางแคและช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ระยะทาง 27 กม. ใช้งบ 82,000 ล้านบาท แต่กลับประสบปัญหาการก่อสร้างล่าช้า และหาเอกชนมาเดินรถไม่ได้ เนื่องจากมีปัญหาการเวนคืนที่ดิน
ทำให้เอกชนที่รับก่อสร้างขอเลื่อนเวลาก่อสร้างออกไป 2-3 ปี พร้อมเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 2,300 ล้านบาท ยังไม่รวมความเสียหายที่ยังไม่ได้ประเมินเป็นตัวเงินจากความล่าช้าในการก่อสร้าง
คำถาม คือ การใช้ ม.44 ให้คณะกรรมการดำเนินการโครงการต่อขยายดังกล่าวไม่ต้องรับผิดทางแพ่ง อาญา และวินัย เท่ากับว่าเป็นการนิรโทษกรรมใช่หรือไม่? แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหาย 2,300 ล้านบาทที่เอกชนฟ้องร้อง รวมถึงค่าเสียหายจากความล่าช้าอื่นๆ???
http://www.ispacethailand.org/%E0%B8%81%E0%B8%B2%…/9121.html