PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

วัดกันใครเสี่ยงกว่า

วัดกันใครเสี่ยงกว่า



เสียงเฮลั่นทั้งประเทศ นาทีที่นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าฯเชียงราย แถลงข่าวดีทีมนักประดาน้ำและหน่วยซีลค้นพบ 13 เยาวชนและโค้ชทีม “หมูป่าอะคาเดมี” ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ยังมีชีวิตปลอดภัยครบทั้ง 13 คน (ปฏิบัติการค้นหา 13 ชีวิต ถ้ำหลวงเชียงราย)
ปรากฏการณ์ที่เรียกได้ว่า “ความสำเร็จของประเทศไทย”
แน่นอนสถานการณ์นี้เกิดขึ้นได้ด้วยพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม พระมหากรุณาธิคุณ “ในหลวงรัชกาลที่ 10” ที่ทรงห่วงใยชีวิตของพสกนิกรชาวไทยของพระองค์
ทุกคนสำคัญหมดไม่ว่าจะอยู่ห่างพระเนตรพระกรรณแค่ไหน
จากกระแสรับสั่งผ่านราชเลขาธิการถึงรัฐบาลตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ ให้เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมพระราชทานคำแนะนำเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงานเป็นระยะ พระราชทานอุปกรณ์ให้เจ้าหน้าที่ จัดตั้งครัวพระราชทานทำอาหารเลี้ยงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตลอดนับสิบวัน
13 เยาวชนทีมหมูป่าฯ รอดได้เพราะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมโดยแท้
และเหตุการณ์นี้ยังเป็นคำตอบของคำถาม “มีทหารไว้ทำไม”
สะท้อนจากภาพที่เห็น “หน่วยซีล” ทหารเรือถูกส่งเข้าไปปฏิบัติการในถ้ำหลวงฯ ปักหลักพื้นที่เสี่ยงตลอดสิบวันแทบไม่ออกมาภายนอก ขณะที่ทหารบกส่งหน่วยรบพิเศษนับร้อยนายเดินป่าไปสำรวจโพรงบนเทือกเขาหาทางเข้าถ้ำแบบไม่เจอไม่ถอนกำลัง ส่วนทหารอากาศส่งเครื่องบินลำเลียงเครื่องมืออุปกรณ์จากทุกพื้นที่ไปยังถ้ำหลวงฯได้อย่างรวดเร็วทันสถานการณ์
ถ้าไม่มีทหารงานนี้คงไม่จบสวยๆแบบนี้แน่
และก็ต้องได้เครดิตเช่นเดียวกัน รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ที่ระดมสรรพกำลังได้พึ่บพั่บเฉียบไว ประสานทั้งในและต่างประเทศ โดยมอบธงให้ผู้ว่าฯเชียงราย ในการทำสงครามสู้กับเวลานาทีเป็นนาทีตาย
ถือว่าวิกฤติได้พิสูจน์เชิงบริหารจัดการของรัฐบาล “นายกฯลุงตู่”
สำคัญเหนืออื่นใด นั่นคือพลังสามัคคีที่แฝงอยู่ในสังคมไทยที่อุบัติขึ้นโดยอัตโนมัติ ถึงจุดคับขันต่างร่วมด้วยช่วยกันไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย มันเป็นโอกาสที่จะก้าวข้ามหลุมดำ ผ่านวิกฤติขัดแย้งทางการเมืองไปสู่เป้าหมายปฏิรูปประเทศ เห็นความหวังอยู่ตรงหน้า
ปรากฏการณ์วิกฤติชีวิตของ 13หมูป่าฯ ได้สร้างโอกาสให้สังคมไทย
“ปรองดอง” เกิดได้ในสถานการณ์คับขัน
คนไทยส่วนใหญ่รักกันถ้าไม่มีปมการเมืองมาปั่นหัว
โดยสถานการณ์แบบที่กำลัง “อุ่นเตา” เขี่ยหัวเชื้อความขัดแย้งเก่าๆ สุมไฟรอบใหม่
ตามจังหวะที่นายสุชาติ ลายน้ำเงิน อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ระงับการอนุญาตให้จัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ
พร้อมทั้งดำเนินคดีและตรวจสอบกรณีกลุ่มสามมิตรที่นำโดย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา
พ่วงโยงไปถึงนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ รวมถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ร่วมดูดอดีต ส.ส.ไปร่วมพรรคพลังประชารัฐ
อ้างหลักฐาน “แคปเจอร์” ข้อความไลน์มาตีปี๊บด่าตีกินกันเนียนๆ
ตามเหลี่ยมปลุกวาทกรรม 2 มาตรฐาน แห่กระแสกองเชียร์
แต่เรื่องของเรื่อง ในจังหวะที่ขุมข่าย “นายใหญ่” เดินหมากดักทางทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” ก็ต้องย้อนไปดูฉากที่อดีตนายกฯทักษิณใช้โอกาสวันเกิดน้องสาว ส่งคลิปถึงลูกหาบเมืองไทย ประกาศไล่คนย้ายพรรค เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่เสียบแทน โวลั่นเพื่อไทยจะกวาด ส.ส.หมดอีสาน
“ทักษิณ” โชว์เพาเวอร์เป็น “สปอนเซอร์หลักอย่างไม่เป็นทางการ”
เทียบกับสถานการณ์เปิดตัวของนายสุริยะที่เคลื่อนตัวร่วมกับนายสมศักดิ์ ประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดลึกๆซักเท่าไหร่
โดยที่ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิดก็ชิ่งนิ่มๆ ดูแลเรื่องเศรษฐกิจ ไม่ได้รับผิดชอบเรื่องการเมือง ส่วนการที่ทีมสามมิตรเห็นตรงกันในการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็สนับสนุน “ลุงตู่” กันทั้งนั้น
เรื่องของเรื่อง ว่ากันตามเนื้อผ้า ยึดหลักฐานตามกฎหมาย
มันก็ประเมินกันง่ายๆ
ระหว่าง “ทำแท้ง” พลังประชารัฐ กับ “ทำหมัน” ยุบพรรคเพื่อไทย
อันไหนเข้าเงี่ยงกฎหมายชัดเจนกว่ากัน.
ทีมข่าวการเมือง