PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

หนามยอกเอาหนามบ่ง?



วิเคราะห์ // หนามยอกเอาหนามบ่ง?


CC 71
“นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กำลังต่อยอดโครงการช่วยเหลือประชาชนที่ถูกมองว่าเป็นประชานิยม ให้ก้าวพ้นจาก “กับดักประชานิยม” ซึ่งติดกับดักอยู่แค่หวังผลทางการเมืองเป็นเรื่องหลัก ให้กลายเป็นโครงการประชานิยมที่บันดานให้เศรษฐกิจชุมชนเติบโต และแข็งแรงอย่างยั่งยืน ซึ่งสิ่งนี้ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยทำ หากสิ่งที่นายสมคิดกำลังทำอยู่ในขณะนี้เป็นกลยุทธ์ “หนามยอกเอาหนามบ่ง” เพื่อถอนประชานิยมของทักษิณ หรือเพื่อทำให้โครงการเชิงประชานิยมเปลี่ยนสภาพมาเป็นกลไกหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชุน ก็ต้องบอกว่ากลยุทธ์ของนายสมคิดเหนือชั้นจริงๆ”
          พูลเดช กรรณิการ์

สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ – ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ออกมา “ยินดียินร้าย” กับอดีตขุนพลคู่ใจอย่าง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ได้กลับเข้าไปเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจอีกครั้ง เพราะระหว่างนายทักษิณกับนายสมคิด “มีปัญหาทางใจ” กันอย่างลึกซึ้ง โดยที่ไม่มีโอกาสปรับความเข้าใจกันเลยตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
แต่ที่มากกว่านั้นคือ ต่างฝ่ายต่างก็ถือว่าตัวเองแน่ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกัน
นายสมคิดถือว่าตัวเองเป็นดาวฤกษ์ มีแสงในตัวเอง ไม่ต้องอาศัยแสงจากทักษิณเหมือนคนอื่นที่เป็นดาวเคราะห์ จึงต้องอาศัยนายทักษิณทางการเมืองตลอดชีวิต
ส่วนทางด้านนายทักษิณนั้น ก็ถือตัวเองว่าเป็นผู้เปิดโอกาสให้นายสมคิดเกิดทางการเมือง และส่งเสริมให้นายสมคิดเติบใหญ่ทางการเมือง เรื่องอะไรที่คนอย่างเขาจะต้องไป “ปรับความเข้าใจ” กับนายสมคิดให้เสียเหลี่ยม
เมื่อปั้นนายสมคิดขึ้นมาเป็นดาวได้ นายทักษิณก็สามารถปั้นคนอื่นขึ้นมาแทนได้ ไม่ว่าจะเป็น นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หรือ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา นายทักษิณจึงแทบไม่เคยเอ่ยถึงนายสมคิดทั้งในทางดีและทางร้าย คล้ายกำลังบอกว่า “ไม่ให้ความสำคัญ”
ขณะที่ทางด้านนายสมคิดก็ไม่เคยพูดถึงนายทักษิณไม่ว่าจะทางดีหรือทางร้ายต่อสาธารณะเลยเช่นกัน เหตุผลก็เพราะ หนึ่ง นายทักษิณเป็น “นายเก่า” เป็นผู้มีบุญคุณทางการเมือง สอง นายสมคิดไม่ต้องการเป็นศัตรูกับนายทักษิณ เพราะรู้ว่าการเป็นศัตรูกับนายทักษิณย่อมไม่เป็นเรื่องดีกับตัวเอง และสาม นายสมคิดต้องการลบภาพนายทักษิณออกจากตัวเอง
อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายก็ย่อมต้องพูดถึงกันและกันในทางลับอยู่แล้วไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะทางดีและทางร้าย ตามประสาคนเคยอยู่ด้วยกัน และมีปัญหาทางใจระหว่างกัน
ทว่า แต่ที่เป็นเรื่องแปลกอย่างมากคือ นายทักษิณเงียบกริบ ไม่ออกมาพูดอะไรเลยสักคำถึงสิ่งที่นายสมคิดกำลังทำในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. นั่นคือ การที่นายสมคิดลงไปแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ประชาชนรากหญ้าและเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการนำแนวนโยบายเดียวกับที่นายทักษิณและนายสมคิดเคยทำร่วมกันมาเมื่อครั้งอยู่พรรคไทยรักไทยไปทำอีกครั้ง ซึ่งเคยสร้างความนิยมจากประชาชนให้กับนายทักษิณ นายสมคิด และพรรคไทยรักไทยมาแล้ว
CC 61
แนวนโยบายที่ว่านั้นคือ ทักษิโณมิกส์ หรือ dual track และโครงการประเภทประชานิยม
ซึ่งนายสมคิดหยิบเอาโครงการกองทุนหมู่บ้านของทักษิณมาทำต่อ
ซึ่งนายสมคิดหว่านเงินลงไปที่ชนบท ทั้งหมู่บ้านและตำบล แบบเดียวกับที่ทักษิณเคยทำ เพียงแต่ต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น
นายทักษิณเงียบกริบ ทั้งที่นายสมคิดกำลังนำแนวนโยบายของนายทักษิณไปใช้ ไม่ออกมาแสดงความเห็นด้วย เพื่อ “ยกหาง”นโยบายของตัวเอง และก็ไม่ออกมาต้าน ทั้งที่นายสมคิดกำลังเหยียบเท้าเข้าไปอย่างจริงจังที่ประชาชนรากหญ้า ซึ่งถือว่าเป็นฐานประชาชนของทักษิณ เป็นฐานพลังทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของทักษิณ และเป็นการเหยียบเท้าเข้าไปในนามรัฐบาลของ คสช. ผู้ซึ่งยึดอำนาจจากรัฐบาลน้องสาวของทักษิณ
ซึ่งการเหยียบเท้าลงสู่รากหญ้าของนายสมคิด มันอาจหมายถึง “หนามยอกเอาหนามบ่ง” คือ เอาประชานิยมโดยคนที่เคยทำประชานิยมร่วมกับนายทักษิณ ลงไปทำประชานิยมแข่งกับทักษิณ เพื่อสลายความนิยมของนายทักษิณ      ความเงียบของทักษิณต่อเรื่องที่สำคัญที่สุดเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องผิดปกติมากๆ ทั้งในบริบทการถูกรุกทางการเมือง ในเรื่องที่เป็นความเป็นความตายของระบอบทักษิณก็ว่าได้ หรือในบริบทที่เคยมีปัญหาทางใจกับนายสมคิด กรณี “วัดรอยเท้า” รวมทั้งตามนิสัยของทักษิณที่ไม่ยอมให้ใครมาลูบคม หรือทำอะไรข้างเดียว แม้ว่านายทักษิณจะออกมา “ชน” กับ คสช.หลายครั้งในช่วงหลังมานี้ ในเรื่องการถอดยศ การร่างรัฐธรรมนูญ และเรื่องอื่นๆ แต่นายทักษิณกลับไม่ชนกับนายสมคิด คสช. และนโยบายประชานิยม แปลกมากๆ
ท่าทีแปลกๆของทักษิณต่อเรื่องนี้ จึงเป็นสิ่งที่ปล่อยผ่านไปไม่ได้ แต่จำเป็นต้อง “รู้เขา” และ “รู้เรา” เพราะนี่อาจเป็นชนวนของสงครามการเมืองครั้งใหม่ได้ หรืออาจเป็นการกำจัดระบอบทักษิณออกไปอย่างสิ้นซาก
หนึ่ง ทักษิณเงียบเพราะรู้ว่าหากออกมาพูดอะไรที่เป็นการต่อต้านการหว่านเงินลงไปที่รากหญ้าของรัฐบาล ก็จะเข้าตัวทักษิณ เพราะนโยบายนี้เป็นของทักษิณ นอกจากนี้ การออกมาต้านเงินที่กำลังเข้ากระเป๋าประชาชน ไม่เป็นผลดีต่อทักษิณ ดังนั้น ทักษิณจึงเงียบ ปล่อยให้ประชาชนมีเงินใช้ดีกว่า และประชาชนก็จะนึกถึงเองว่าเป็นเพราะนโยบายของทักษิณเป็นนโยบายที่ดี รัฐบาลของ คสช.และนายสมคิดจึงนำมาใช้
สอง นายทักษิณยังประเมินไม่ออกว่าการที่นายสมคิดนำนโยบายของนายทักษิณมาใช้ เป็นเพราะต้องการเปิดศึกทำสงครามประชาชนเป็น “ตัวแทน” ของ คสช.รบกับทักษิณ หรือเป็นเพราะนายสมคิดต้องการส่งสัญญาณเป็นมิตรมาถึงทักษิณว่า “ผมยังเป็นคนเดิม”
ทักษิณจึงต้องเงียบไว้ก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ให้แน่ใจเสียก่อนว่าอะไรเป็นอะไร เพราะตอนนี้นายสมคิดกลับมามี “ความหมาย”สำหรับทักษิณไม่น้อย ไม่ว่าอยากจะใช้บริการหรือใช้เป็นหมากก็ตาม
สัญญาณจากนายสมคิดตอนนี้ยังไม่แน่ใจ สัญญาณบวกก็มี จากการที่นายสมคิดไม่เคยพูดถึงทักษิณทางลบ และล่าสุดจากการที่นายสมคิดเชิญนักการเมืองจากพรรคไทยรักไทยร่วมงานวันแต่งงานบุตรชายนายสมคิดมากหน้าหลายตา ซึ่งแสดงว่านายสมคิดไม่ลืมและไม่รังเกียจเพื่อนเก่า
สัญญาณบวกเหล่านี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นการจูนปัญหาทางใจระหว่างกันในอนาคตก็ได้ หรืออาจจูนกันแล้วก็ได้ไม่มีใครรู้ นายทักษิณจึงเงียบกริบ
แต่ถึงนายทักษิณจะมองว่าเป็นสัญญาณลบ โดยมองว่านายสมคิดกำลังเปิดศึกกับทักษิณ ทักษิณก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องยอมให้รากหญ้ามีเงินในกระเป๋าไปก่อน หลังจากนั้น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะออกมา “ตีกิน” ปิดเกมบุกของนายสมคิดและ คสช.ที่ทำมาทั้งหมดในไม้เดียว
สาม ทักษิณอาจมองว่าการเก็บนายสมคิดไว้ในตอนนี้ย่อมเป็นประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ ตราบใดที่นายสมคิดยังไม่ก้าวลงไปลึกมากนักจนสะเทือนฐานรากหญ้าของทักษิณ โดยอาจต่อสายเจรจาต่อรองตกลงกับ พล.อ.ประยุทธ์ ผ่านทางนายสมคิด ซึ่งดูจะให้ผลมากกว่าผ่านคนอื่น เพราะตอนนี้นายสมคิดเป็นคนที่ พล.อ.ประยุทธ์วางใจมากที่สุด ขณะเดียวกันการที่นายสมคิดคุมเศรษฐกิจทั้งหมด ยังเป็นผลดีต่อเครือข่ายธุรกิจของทักษิณ ที่อาจแทรกตัวเข้าไปพึ่งบารมีของนายสมคิดได้
อย่างไรก็ดี ก็ต้องจับตาดูต่อไปว่า นายทักษิณจะเงียบต่อไป หรือตัดสินใจอย่างไร เมื่อนายสมคิดจะต่อยอดนโยบายเศรษฐกิจฐานรากที่ได้ขับเคลื่อนลงไปสู่ประชาชนรากหญ้าแล้วด้วย 3 แพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะต่อยอดไปสู่มิติทางสังคม ในวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายนนี้ ภายใต้ชื่อปฏิบัติการ “แนวคิดสานพลังประชารัฐ เพื่อเศรษฐกิจฐานราก” โดยนำภาคประชาสังคมและเอกชนมาร่วมขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาลที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ ซึ่งนี่จะเป็นการรุกลงสู่รากหญ้าอย่างเป็นระบบด้วยมิติทางสังคมที่จะต้องมีผลต่อมิติทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งต่อทักษิณและระบอบทักษิณ ทั้งต่อ คสช.และรัฐบาล และทั้งต่อตัวนายสมคิดเอง
นี่ต่างหากเป็นสิ่งที่ทักษิณจะต้องประเมิน เพราะปฏิบัติการนี้เป็นปฏิบัติการเก่าของทักษิณที่ทักษิณรู้ว่ามีความสำคัญอย่างไร? แต่ทักษิณไม่เคยทำ เพราะก้าวไม่พ้น “กับดักประชานิยม” แต่วันนี้นายสมคิดกำลังลงมือทำ!!

วิเคราะห์ // หนามยอกเอาหนามบ่ง?
โดย – พูลเดช กรรณิการ์
17 กันยายน 2558
10.41 น.

ไม่มีความคิดเห็น: