PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การเมืองกัมพูชาพลิก : ฮุนเซนสิ้นอำนาจเบ็ดเสร็จ

กาแฟดำ 

30ก.ค.2556

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


    สัญญาณเตือนภัยสำหรับนายกฯ ฮุนเซน ของกัมพูชา มีมาให้เห็นตั้งแต่ผลการเลือกตั้ง ของสิงคโปร์และมาเลเซีย

    ตลอดปีที่ผ่านมาแล้ว เพียงแต่ว่าผู้นำเขมรไม่เคยคิดว่าคนกัมพูชาจะกล้าลงคะแนนให้ฝ่ายค้านได้มากมายเพียงนี้

    ผลการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ของกัมพูชาตอกย้ำอีกครั้งว่า ผู้นำที่กุมอำนาจเกือบเบ็ดเสร็จผ่านพรรคการเมืองพรรคเดียวมายาวนานนั้น กำลังจะหมดความสามารถที่จะครอบงำประชาชนชนชั้นกลาง และคนรุ่นใหม่ที่ใช้ social media เพื่อสื่อสารและสะท้อนความต้องการ ความเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัดขึ้นอย่างปราศจากความสงสัยแล้ว

    ความเปลี่ยนแปลงผ่านการหย่อนบัตรเลือกตั้งในประเทศเอเชียอาคเนย์ (ที่เกิดขึ้นแล้วที่อินโดนีเซียและพม่า เช่นกัน) ไม่เหมือนรูปแบบการปรับเปลี่ยนรุนแรงเหมือน Arab Spring ที่ประชาชนผู้หงุดหงิดงุ่นง่านออกมาเดินขบวนกลางถนนเพื่อกดดันให้เปลี่ยนผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จยาวนาน

    กระบวนการเลือกตั้งของเอเชีย ก็สะท้อนความต้องการที่จะเปลี่ยนทั้งตัวบุคคล และระบบการปกครองได้โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง ญี่ปุ่น ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เพิ่งสะท้อนให้เห็นเช่นกัน

    พรรค “ประชาชนกัมพูชา” หรือ Cambodian People’s Party (CPP) ของฮุนเซนได้ที่นั่งครั้งนี้เพียง 68 ต่อ 55 ของพรรคฝ่ายค้านที่มีชื่อ “พรรคกู้ชาติ” หรือ Cambodian National Rescue Party (CNRP) ที่มี สม รังสี เป็นแกนนำ
    เป็นครั้งแรกใน 15 ปีที่พรรคของฮุนเซน สูญเสียเสียง 2 ใน 3 ในรัฐสภา เพราะก่อนหน้านี้ CPP เคยมีที่นั่ง 90 และฝ่ายค้านมีเพียง 29 เท่านั้น
    พรรค FUNCINPEC ที่เคยเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมี 2 ที่นั่ง คราวนี้ไม่ได้แม้แต่ที่นั่งเดียว
    การที่ ฮุนเซน เสียที่นั่งไปถึง 22 ที่นั่งครั้งนี้ ตอกย้ำว่าคนเขมรรุ่นใหม่ตัดสินใจที่จะไม่เอาพรรค CPP ที่ปกครองประเทศด้วย “กำปั้นเหล็ก” ตั้งแต่การเลือกตั้งที่สหประชาชาติเป็นผู้บริหารเมื่อปี 1993
    และที่น่าสังเกตอย่างยิ่ง คือ จำนวนที่นั่งที่พรรครัฐบาลเสียไปคราวนี้ 12 ที่นั่งอยู่ในเขตเลือกตั้งในเมืองหลวงพนมเปญเสียด้วย นั่นย่อมแปลว่าคนเมืองและปัญญาชนเริ่มจะเอาตัวออกห่างจากฮุนเซนแล้วอย่างชัดเจน
    ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน ก็คือ พรรคฝ่ายค้านชนะพรรครัฐบาลในสี่จังหวัดสำคัญ นั่นคือ พนมเปญ, กัมปงจัม, เปรเวียง และ คันดัล
    อีกทั้งยังสามารถเจาะเข้าไปในฐานเสียงสำคัญๆ ของพรรค CPP ได้ทุกเขตเลือกตั้งทีเดียว
    ต้องไม่ลืมว่า 1 ใน 3 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งนี้ มีอายุต่ำกว่า 30 ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในระบอบประชาธิปไตยอย่างมีความหมายในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง
    นี่ขนาดมีรายงานการฉ้อฉลและกลโกงการหย่อนบัตรในหลายๆ เขตเลือกตั้ง ซึ่งแปลว่า หากการเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมจริงๆ ฮุนเซน อาจจะกลายเป็นฝ่ายค้านไปแล้วก็ได้
    คณะกรรมการเลือกตั้งของกัมพูชา แม้จะเป็น “อิสระ” ตามกฎหมาย แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าคนสำคัญๆ ขององค์กรนี้ มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับคนในรัฐบาลนั่นเอง
    ณ คูหาเลือกตั้งบางแห่ง ความรุนแรงระเบิดขึ้น เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งประท้วงว่ามีการนำเอาชาวเวียดนาม เข้ามาใช้สิทธิ มีการกล่าวหาเรื่อง "บัญชีผี" และ "ไพ่ไฟ" ไม่ต่างอะไรกับที่เราเคยพบเห็นในการเลือกตั้งของไทยเช่นกัน
    ผลการเลือกตั้งออกมาให้ฝ่ายค้านได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นนั้น เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี ถูกห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง ด้วยข้ออ้างว่าเขากลับประเทศไม่ทันเส้นตายการลงทะเบียนผู้สมัคร หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ เพียงสองสัปดาห์ก่อนการหย่อนบัตร
    หากว่า สม รังสี เป็นหัวหอกในบัญชีรายชื่อผู้สมัครของพรรคกู้ชาติกัมพูชา ก็น่าสงสัยว่าผลการเลือกตั้งจะยิ่งทำให้พรรครัฐบาลอ่อนปวกเปียกกว่าที่ออกมาหรือไม่
    การที่ฝ่ายค้านได้ที่นั่งถึง 55 จากจำนวนที่นั่งในสภาทั้งหมด 123 นั้น เกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ทั้งหลายโดยสิ้นเชิง เหตุหนึ่งเป็นเพราะความเสื่อมทรุดของฮุนเซน เอง ที่ถูกกล่าวหาว่ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ปล่อยให้มีเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงในรัฐบาลอย่างกว้างขวาง และอัตราคนว่างงานของคนหนุ่มคนสาวที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในระยะหลัง
    อีกทั้งชาวบ้านเขมรที่ถูกหน่วยงานรัฐบาลแย่งและยึดที่ดินทำกิน และมีการเวนคืนที่อย่างไม่เป็นธรรม ทำให้เกิดการประท้วงกันอย่างกว้างขวางในหลายๆ จังหวัด
    ดังนั้น คำประกาศเรียกร้องให้ “Change” ของผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี ที่ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศถึง 4 ปี หลังจากถูกศาลตัดสินจำคุก 11 ปี ด้วยข้อหาสร้างความแตกแยกและให้ข้อมูลบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศนั้น จึงอาจจะเป็นเสียงเรียกร้องของคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางเขมรอย่างชัดเจนอีกด้วย
    จากวันนี้...เป็นต้นไป การเมืองเขมร จะไม่เหมือนเดิมอีก...อย่างแน่นอน

    ไม่มีความคิดเห็น: