PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ล้างมาเฟียให้สิ้นซาก เชื่อสิ! เรื่องจริงไม่ใช่นิยาย?

ล้างมาเฟียให้สิ้นซาก เชื่อสิ! เรื่องจริงไม่ใช่นิยาย?
โดย ผู้จัดการรายวัน    
12 มีนาคม 2559 06:28 น.

 ล้างมาเฟียให้สิ้นซาก เชื่อสิ! เรื่องจริงไม่ใช่นิยาย?
“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

        ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ออกลีลาท่าทางขึงขังแต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าอีเวนต์ล้างมาเฟียให้หมดไปจากแผ่นดินไทย เป็นเพียงหนังโฆษณาคั่นเวลาของมหากาพย์ทำคลอดหรือทำแท้งรัฐธรรมนูญฯ

ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ยังไม่แน่ลูกผีลูกคน และมาเฟียที่ล็อกเป้าเข้าไปทำลายล้างคราวนี้ก็เชื่อขนมกินได้เลยเช่นกันว่าจะมีแต่ขาใหญ่ใต้ร่มเงานักการเมืองเป็นหลัก
     
       ส่วนมาเฟียมีสีที่เป็นทหารนั้น จะถูกฟันแรงไม่เลี้ยงอย่างที่ “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และเลขาธิการ คสช. ส่งเสียงขู่หรือไม่ คำตอบไม่ได้ล่องลอยในสาย

ลมแต่ชัดเจนทั่วไทยอยู่แล้ว ไม่งั้น “บิ๊กหมู”จะต้องสั่งแล้วสั่งอีกทำไมให้ทหารที่ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลเลิกประพฤติตัวเป็นมาเฟียเสียที พี่ขอร้องอีกครั้ง นี่จะเอาจริงแล้วนะ
     
       จะว่าไปคงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า การปราบมาเฟียที่ล้มเหลวมาตลอดทุกยุคทุกสมัย และทำได้เพียงลูบหน้าปะจมูกก็เพราะคนปราบและคนถูกปราบล้วนแต่เป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันและ

เป็นคนกันเองทั้งนั้น เป็นคนกันเองที่มีทั้งสีเขียว สีกากี และนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล ที่รู้ๆ กันอยู่ว่าใครเป็นใคร ในการลงมือปราบแต่ละครั้งจึงขึ้นอยู่กับว่าใครจะถูกเลือกเป็นเป้าเข้าลุยล้างสร้าง

ภาพเชือดไก่ให้ลิงดู ก็เท่านั้น
     
       คราครั้งนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ซุ้มนครปฐม เจอแจ๊กพ็อตเข้าให้ เพราะใครๆ ก็รู้ว่านี่เป็นถิ่นของขาใหญ่เพื่อไทย พรรคการเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศไทยที่ไม่ยอมทำตัวเป็น “เด็กดี” อยู่ใน

โอวาทของคสช.แถมยังชอบปล่อยให้ลิ่วล้อออกมาวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญฯ ให้บิ๊ก คสช.อารมณ์เสียอยู่เรื่อย และไม่ใช่แค่ซุ้มนครปฐมเท่านั้น อดีตส.ส.เถื่อนถ่อยระดับตัวพ่อของพรรคเพื่อไทย

“เก่ง- การุณ โหสกุล” แห่งทุ่งดอนเมือง ก็มีชื่ออยู่ในบัญชีที่จะเจอดีพร้อมกับ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือเสธ.ไอซ์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพบก และเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับนาย

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามที่มีชื่อหลุดออกมาด้วย ก่อนที่บิ๊ก คสช. จะปฏิเสธในภายหลังว่าไม่มี ไม่มี ไม่ได้ขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพล “เก่ง-การุณ”กับ “เสธ.ไอซ์” และร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า

ทหารนอกราชการ แต่อย่างใด
     
       “ไม่มี ไปเอามากันจากไหน” พล.อ.ธีรชัย กล่าวปฏิเสธในการตอบคำถามผู้สื่อข่าว
     
       หากนับตั้งแต่ยึดอำนาจบริหารประเทศ คสช.ได้ชิมลางลุยล้างอิทธิพลมาแล้วในหลายพื้นที่หลายวงการตามนโยบายจัดระเบียบสังคม ทั้งหวย บ่อน ซ่อง วินมอเตอร์ไซค์ รถตู้ แท็กซี่ ทางเท้า ฯลฯ

ซึ่งมีทั้งสำเร็จและล้มเหลว ได้ทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ มีทั้งเสียงสรรเสริญและก่นด่า ละเว้นพวกเดียวกันบ้าง เคาะกะลาบ้าง กระชับอำนาจสร้างฐานบารมีของกลุ่มอำนาจใหม่บ้าง ผลงานด้านการจัด

ระเบียบสังคมปราบมาเฟียที่ออกมาจึงเป็นแบบครึ่งๆ กลางๆ ไม่สุดซอย จนต้องเรียกความเชื่อมั่นว่าคราวนี้เอาจริงแบบเข้มข้นแน่ แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่วันก็แผ่วตามท่าทีที่คล้ายแข็งกร้าวแต่ผ่อนปรน

เหมือนการแสดงปาหี่ที่กลับไปกลับมาของบิ๊ก คสช.
     
       ดูจาก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ทำท่าขึงขังรายชื่อผู้มีอิทธิพลที่มีทุกจังหวัดทุกอำเภอได้ส่งรายชื่อไปแล้ว แต่ละพื้นที่ก็

จะดำเนินการ ยืนยันเจ้าหน้าที่จะดำเนินการหมด ไม่ว่าจะเป็นสีไหน ข้าราชการฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือน ตำรวจ ก็ว่ากันไป ใครทำให้ประชาชนเดือดร้อน เข้าข่าย 16 ฐานความผิดสำหรับผู้มีอิทธิพล

หมด ยืนยันว่าจำนวนรายชื่อผู้มีอิทธิพลทั้ง6,000 รายชื่อ ที่ออกมานั้น มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน และไม่ได้เจาะจงไปยังกลุ่มหัวคะแนนของนักการเมือง
     
        แต่เมื่อถามถึงคนที่คุณก็รู้ว่าใครอย่าง พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต(เสธ.ไอซ์) อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพบก พล.อ.ประวิตร กลับอ้อมๆ แอ้มๆ ว่า “ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำเรื่องอะไร เมื่อไหร่ บางที

อาจจะไม่ผิด หรือว่าผิดนิดหน่อย บางทีตัวเขาอาจจะไม่ได้ทำอาจจะเกี่ยวพันกับลูกน้องเขา เดี๋ยวคงมีการออกมาชี้แจงเอง...”
     
       ส่วนเส้นตายที่ “บิ๊กป้อม” บอกว่า รัฐบาลจะพยายามปราบผู้มีอิทธิพลให้หมดภายใน 2 เดือน ก็แบ่งรับแบ่งสู้ต่อว่าแต่หากทำไม่สำเร็จก็จะต้องขยายเวลาออกไปแต่จะเร่งรัดให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

และไม่จำเป็นต้องตักเตือน เพราะทุกคนต้องวางมือจากการกระทำทั้งหมดอยู่แล้ว
     
       เป็นท่าทีเช่นเดียวกันกับ “บิ๊กหมู”พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่บอกว่า การจัดการกับผู้มีอิทธิพลจากนี้จะมีความ

เข้มข้นมากขึ้นในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ แต่ไม่ได้มีการตั้งกรอบเวลาว่าจะต้องเสร็จสิ้นภายในกี่เดือน
     
       “เราจะทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมด เพียงแต่จะเน้นให้มีความเข้มข้นในช่วง 6 เดือนตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงระบุ แต่ไม่ใช่ว่าครบ 6

เดือนแล้วจะหยุด เพราะเราจะทำต่อเนื่องเพื่อให้ผู้มีอิทธิพลหมดไปจากประเทศนี้....” “บิ๊กหมู” บอกเล่าความฝันกลางวันในหน้าแล้ง และยืนยันว่าการปฏิบัติในทุกพื้นที่และทุกหน่วย ไม่มีแบ่งฝ่าย

ตามที่ฝ่ายการเมืองโจมตี และไม่เจาะจงว่าต้องเป็นการเมือง หรือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลที่อยู่กับฝ่ายการเมือง
     
       ส่วนที่สั่งการให้ทุกหน่วยไปตรวจสอบกำลังพลที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลนั้น “บิ๊กหมู” ได้เน้นย้ำไปแล้ว หากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะทหารจะไม่มีเตือน แต่จะดำเนินการ

แบบแรงทันทีเพราะสั่งการไปหลายครั้งแล้ว ในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยงานอื่นได้ส่งรายชื่อไปต้นสังกัดเรียบร้อยแล้ว
     
       สำหรับบัญชีรายชื่อผู้มีอิทธิพล นอกจากจะอยู่ในมือ “บิ๊กป้อม” 6,000 รายชื่อแล้ว ยังมีอยู่ในมือของ “บิ๊กต๊อก” อีกจำนวนหนึ่ง
     
       ถามว่า กระทรวงยุติธรรม มีบัญชีรายชื่อผู้มีอิทธิพลหรือไม่ “บิ๊กต๊อก” ตอบว่า ก็ต้องบอกว่า มี เพราะเขาทำกันไว้ก่อนหน้านี้ เป็นฐานข้อมูลเดิม เพราะทำกันมานานแล้ว แต่จำนวนตัวเลขเท่าไหร่

ยังไม่ทราบ อีกทั้งยืนยันไม่ได้ว่าตัวเลข 3,000 รายชื่อ ถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าถามว่ามีรายชื่อกลุ่มผู้มีอิทธิพลหรือไม่ ก็ตอบได้ว่ามี
     
       การจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีอิทธิพลในส่วนของกระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ ได้สั่งให้ดำเนินการตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยเป็นกลุ่มที่อยู่ในอำนาจหน้าที่

การทำงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มฐาน

ความผิดเกี่ยวกับการบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติ ยาเสพติดในเรือนจำ การลักลอบหนีภาษี หนี้นอกระบบ และกลุ่มต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว
     
       พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะกำกับดูแลปัญหาอาชญากรรมพิเศษ ให้รายละเอียดว่า รายชื่อผู้มีอิทธิพลได้มีการรวบรวมรายชื่อมีมาเป็นปีแล้ว จากหน่วยงานที่เกี่ยว

ข้องของกระทรวงยุติธรรม คือ ดีเอสไอ ป.ป.ท. และ ป.ป.ส.โดยจำแนกออกเป็น 5 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีรายชื่อผู้มีอิทธิพลมากน้อยต่างกันไป เชื่อว่า รายชื่อที่กระทรวงยุติธรรม ไม่ซ้ำกับหน่วยงาน

อื่นที่มีอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลในการดำเนินชั้นความลับสูง ไม่จำเป็นต้องส่งให้ใครไปดำเนินการ เนื่องจากหน่วยงานของเรามีศักยภาพตามกฎหมายอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องมีการใช้มาตรานั้นมาตรานี้มา

จัดการ เพราะในกลุ่มเหล่านี้มีการกระทำความผิดที่ชัดเจนอยู่แล้ว
     
       ขณะที่ความเคลื่อนไหวฟากฝั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ก็ไม่ยอมน้อยหน้า เด้งรับนโยบายปราบมาเฟียอย่างคึกคัก โดย “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

พร้อมกับ “บิ๊กปู” พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. รับผิดชอบงานฝ่ายความมั่นคง พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา ที่ปรึกษา (สบ.10) นำทีมประชุม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9

ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนใต้ (ศชต.)กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยขีดเส้นภายใน 2 เดือน กลุ่มผู้มีอิทธิพล จะต้องลดลง 60-70 เปอร์เซ็นต์
     
        ตามมาตรการปราบมาเฟียของ สตช.จะมีคณะกรรมการคัดเลือกรายชื่อบุคคลที่เข้าข่ายกระทำความผิดเข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลราว 1,000 - 6,000 คน โดยจัดอยู่ในกลุ่มฐาน 16 ความผิด ประกอบ

ด้วย 1.ยาเสพติด2.ฮั้วประมูลงาน 3.การเรียกรับผลประโยชน์จากโรงงานและสถานบริการ 4.คิวมอเตอร์ไซค์ รถรับจ้างที่ผิดกฎหมาย 5.ลักลอบขนสินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน 6.บ่อนการพนัน หวยใต้

ดิน 7.ลักลอบค้าหญิงและเด็ก 8.หลอกลวงคนไปทำงานต่างประเทศ9.ลักลอบนำเข้า-ออกประเทศ 10.หลอกลวงต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว 11.มือปืนรับจ้าง12.ทวงหนี้ ข่มขู่ 13.ค้าอาวุธ 14.บุกรุกที่ดิน

สาธารณะ15.เรียกค่าคุ้มครองในที่สาธารณะ เส้นทางหลวงหรือเก็บส่วย16.นายทุนปล่อยกู้นอกระบบ โดยพื้นที่เป้าหมายที่กำหนดเป็นโซนสีแดงที่ต้องจับตามากที่สุดคือ เขตภาคกลางที่จัดว่ามีกลุ่ม

ผู้มีอิทธิพลมากที่สุด
     
       “.... การปราบปรามจะต้องเห็นผล ไม่เพียงแต่ปราบปรามผู้มีอิทธิพลอย่างเดียว แต่ตำรวจก็ต้องปัดกวาดถูบ้านของตัวเองด้วย” “บิ๊กแป๊ะ”สารภาพชัด คล้ายจะบอกต่อสังคมว่าตำรวจไม่ได้

ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เท่านั้น แต่มีงานพาร์ตไทม์ที่ทำรายได้ดีกว่างานประจำเสียอีกคือเป็นผู้มีอิทธิพลด้วย เป็นคำสารภาพเดียวกันกับที่ บิ๊ก คสช. ที่ว่าถึงเวลาทหารต้องเลิกเข้าไปยุ่ง

เกี่ยวหรือทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลได้แล้ว
     
       เป็นคำสารภาพต่อสังคมว่า คนในเครื่องแบบสีกากี สีเขียว นี่แหละคือ กลุ่มผู้มีอิทธิพล ที่ล้างเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด
/////////
วันที่ 31 มีนาคม 2559 | เปิดดู 4,753 ครั้ง  
ทหารปราบมาเฟีย : อำนาจครอบจักรวาล
พิกัดข่าวเช้า
กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางสำหรับคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 13/2559 ที่ให้อำนาจทหารตั้งแต่สัญญาบัตร ลงไปจนถึงประทวน และอาสาสมัครทหารพราน มีอำนาจหน้าที่ในการปราบมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล แม้นโยบายนี้จะมีความสำคัญและโดนใจพี่น้องประชาชน แต่การให้อำนาจทหารแบบครอบจักรวาลผ่านกฎหมายถึง 27 ฉบับ จะแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ ไปติดตามได้จากรายงานพิเศษของทีมพิกัดข่าว NOW26

คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 13/2559 เรื่อง การป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทําลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ // ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ไม่ใช่คำสั่งฉบับแรกที่ คสช.ให้เจ้าหน้าที่ทหาร เข้ามามีอำนาจตรวจค้น จับกุมบุคคล และตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอาญาได้
เพราะเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2558 ก็เคยมีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงแห่งชาติ ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารเสมือนเป็นตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในร่างเดียวมาครั้งหนึ่งแล้ว
ครั้งนั้นชัดเจนว่าเป็นการคงอำนาจของฝ่ายทหารให้คงอยู่ต่อไปภายหลังจากยกเลิกกฎอัยการศึกทั่วประเทศ จากที่ประกาศไว้ในวันที่ คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครอง
คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เป็นการให้อำนาจทหารชั้นสัญญาบัตร ยศร้อยตรี เรือตรี และเรืออากาศตรี ขึ้นไป เป็นเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย ส่วนทหารยศต่ำกว่านั้น หรือที่เรียกว่า “ชั้นประทวน” เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย
ขณะที่คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 13/2559 ที่เพิ่งประกาศล่าสุด ให้อำนาจทหารชั้นสัญญาบัตรเป็น “เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม” ส่วนทหารชั้นประทวน เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม
คำสั่งหัวหน้า คสช.ทั้ง 2 ฉบับ ยึดหลักการเดียวกัน คือให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหาร ทำการเหมือนตำรวจ และฝ่ายปกครอง คือ สืบสวน สอบสวน เรียกตัว จับกุม คุมตัว ตรวจค้น และยึดทรัพย์ได้
แต่ความต่างก็คือ อำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่มอบให้กับเจ้าหน้าที่ทหาร มีมากน้อยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง // โดยคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ให้อำนาจทหารปฏิบัติการได้ในความผิดเพียง 4 ฐาน คือ ความผิดต่อสถาบันเบื้องสูง // ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร // ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธสงคราม // และความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง คสช.
พิจารณาแล้วก็พอยอมรับได้ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ด้านการรักษาความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเป็นงานของทหาร
แม้ต่อมา คสช.จะออกคำสั่งเพิ่มอำนาจให้ทหารจัดการกับขบวนการบุกรุกป่า ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และขบวนการค้ายาเสพติด แต่อำนาจหน้าที่ที่มอบให้ก็ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่บ้าง
แต่สำหรับคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 13/2559 แม้จะอ้างว่ามุ่งจัดการกับมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล ตามที่ระบุไว้ในเหตุผลของการออกคำสั่งก็ตาม // แต่การกำหนดฐานความผิดอาญาแนบท้ายคำสั่ง ประกอบด้วยกฎหมายมากมายถึง 27 ฉบับ ไม่เว้นแม้กระทั่งกฎหมายว่าด้วยโรงรับจำนำ // ทางหลวง // พระราชบัญญัติรถยนต์ // การขนส่งทางบก // หรือแม้แต่พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต และศุลกากร // ทำให้มองได้ว่านี่เป็นการมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ทหารชนิดที่เรียกว่า “ครอบจักรวาล” ถึงขนาดไม่ต้องมีหน่วยปกติรับผิดชอบการทำงานแล้วก็ได้
ขณะที่ผู้ช่วยเจ้าพนักงานที่เป็นทหารชั้นประทวน ก็ครอบคลุมไปถึงระดับ “อาสาสมัครทหารพราน” กันเลยทีเดียว
ที่สำคัญการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างครอบจักรวาลนี้ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายปกครอง และไม่ต้องรับผิดทั้งแพ่งและอาญา หากกระทำโดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และพอสมควรแก่เหตุ
เรียกว่าปิดช่องฟ้องกลับแทบทุกกรณี และไม่มีองค์กรใดตรวจสอบถ่วงดุลได้!
เมื่อไล่เรียงดูอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะคนที่รู้กฎหมาย ล้วนแสดงความวิตกต่อการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารมากมายขนาดนี้
ที่สำคัญเมื่อย้อนดูผลจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ที่มุ่งปราบปรามแก๊งหมิ่นสถาบัน และกลุ่มที่เคลื่อนไหวกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ // จะพบว่าแม้ทหารจะได้อำนาจในการจัดการแบบเฉียบขาด // แต่การดำเนินการกับกลุ่มที่กระทำผิดกฎหมาย ก็ไม่ได้ปรากฏผลสำเร็จเป็นรูปธรรมชัดเจนแต่อย่างใด
และที่น่าวิตกไปกว่านั้นก็คือ ดีกรีความขัดแย้งของคนในชาติแทบไม่ลดน้อยลงเลย // เพราะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเองก็ยังบ่นผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติอยู่แทบทุกสัปดาห์
คำถามที่ทุกฝ่ายต้องนำไปขบคิดก็คือ นี่เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่ถูกต้องแล้วจริงหรือ?
     

ไม่มีความคิดเห็น: