กระแสหักไม่ลงง่ายๆ

ตามภาพที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ยกคณะชุดใหญ่ ทั้ง “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ขึ้นเครื่องบิน ซี 130 ของกองทัพอากาศ บินตรงจังหวัดแม่ฮ่องสอน
พื้นที่ไกลปืนเที่ยงที่คนจนมากสุดลำดับต้นๆของประเทศไทย
เบื้องต้นเลย มันก็สะท้อนว่า “ลุงตู่” ลุยแบบถึงลูกถึงคน ไม่ใช่แค่พูดหรูๆอยู่บนหอคอยงาช้าง
อย่างน้อยก็เป็นการแสดงให้เห็นการสร้างเนื้องานเป็นรูปธรรม โชว์เชิงปฏิบัติแข่งกับการสร้างกระแสลอยๆในห้วงที่รัฐบาล คสช.กำลังตกอยู่ในภาวะตั้งรับ “ไซเบอร์วอร์”
เครือข่ายฝ่ายต่อต้านเปิดสงคราม ยกระดับการปลุกกระแสถล่มในโซเชียลมีเดีย
อัพข้อมูลด้านลบ จริงบ้าง เท็จบ้าง เบิ้ลบลัฟทีมงาน “นายกฯลุงตู่” แบบนาทีต่อนาที
ถึงขั้นใช้บริการบริษัทเอเจนซีมืออาชีพเดินข่าวสร้างกระแสอย่างเป็นระบบ จี้จุดสลบของรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะการมุ่งเป้าเขย่าขาค้ำยัน “ลุงตู่” ทั้ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ต่อเนื่องกับคิวของ “จอมยุทธ์กวง” กัปตันทีมเศรษฐกิจ
เจออิทธิฤทธิ์โซเชียลฯกระหน่ำ นั่งไม่ติดไปตามๆกัน
แต่อย่างไรก็ดีมันก็เกิดปรากฏการณ์แบบที่ “นักวิชาการ” คนดังที่ถูกมองว่าอิงแอบกับกลุ่มเสื้อแดง ได้แชร์โพสต์ของแฟนคลับ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” หวังประจาน “อาจารย์น้อง” รศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี หิ้วกระเป๋าหรูแอร์เมสราคาหลักล้าน
แต่ต้องหน้าแหกเพราะของจริงกลายเป็นกระเป๋าของศูนย์ศิลปาชีพ
โดนโห่ โดนฮา ถูกรุมด่าเสียผู้เสียคนไป
นี่คือดาบสองคมของโซเชียลฯที่ไม่ได้ทำลายแค่ “นายกฯลุงตู่” แต่พวกที่จ้องเบิ้ลบลัฟทำลายล้างรัฐบาล คสช. รวมถึงชาวบ้านที่มีอารมณ์คล้อยตามกระแสก็ต้องตั้งหลักดีๆ
เผลอแห่มั่วๆไป อาจเป็นเหยื่อของเพจ “ดักควาย” ง่ายๆ
เช่นเดียวกับอาการฉวยกระแสรุกไล่รัฐบาลทหาร คสช.ที่เสี่ยงกับกระแสตีกลับ
ตามอาการขยับของเครือข่ายภาคประชาชน 20 กว่าเครือข่าย เคลื่อนไหวกดดันให้ยกเลิกประกาศและคำสั่งของ คสช.ที่มีเนื้อหาขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย
โฟกัสส่วนใหญ่ก็คนหน้าคุ้นๆทั้งนายจอน อึ๊งภากรณ์ และแกนนำเอ็นจีโอหน้าเดิมๆ แถมยังมีการขยับร่วมวงจากนักการเมืองอาชีพค่ายเพื่อไทยจ่อยื่นหนังสือคัดค้านคำสั่ง คสช.
นั่นก็เลยกระตุกเสียงของประชาชนอีกจำนวนไม่น้อยที่สนับสนุนคำสั่ง คสช.ทำให้ประเทศสงบ ปลอดจากม็อบป่วนเมือง เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เดือดร้อน นอกจากพวกที่มีวาระแฝงทางการเมือง
ย้อนถามเลยว่าถ้ายกเลิกคำสั่ง คสช.แล้ววุ่นวาย จะรับผิดชอบยังไง
แสดงว่าจุดขายของรัฐบาล “ลุงตู่” และทีม คสช.ก็ยังอยู่ที่การคุมความสงบให้ประชาชนอุ่นใจ
คำตอบสุดท้าย ยังไง คสช.ก็ถือแต้มต่อฝ่ายต้าน
แม้ในสถานการณ์แบบที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พยายามเปรียบเทียบมาตรฐานกับยุครัฐบาลตัวเองที่รีบเคลียร์รัฐมนตรีที่มีปัญหาไม่ให้เป็นตัวถ่วงนายกฯ หรือการที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย โยงสถานการณ์ “บิ๊กป้อม” เหมาเข่งรวมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นเชิงว่า ถ้า ป.ป.ช.สายตรง “พี่ใหญ่” ยังอยู่ได้ คสช.ก็ส่อพัง
ในจังหวะที่เซียนการเมืองอาชีพประเมินแล้ว ถึงจุดกระแสสุกงอม รุมเขย่า “บิ๊กป้อม” ให้ร่วงให้ได้
แต่อีกมุมก็ต้องไม่ลืมว่า ยุคนี้ไม่ใช่รัฐบาลเลือกตั้ง แต่เป็นช่วงอำนาจพิเศษ
ความจำเป็นของ พล.อ.ประวิตร ไม่ใช่แค่เป็นขาค้ำยันด่านหน้ารับแรงกระแทกแทน “บิ๊กตู่” เท่านั้น
แต่จุดที่สำคัญกว่ายังเป็นสถานการณ์ความเชี่ยวกรากในด้านความมั่นคง แบบที่ล่าสุด พล.อ.ประวิตร เปิดเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับการจับกุมชาวปากีสถานที่ลักลอบทำหนังสือเดินทางปลอม โดยยอมรับว่ามีการปลอมวีซ่า และหนังสือเดินทางเพื่อรองรับให้กับกลุ่มไอเอส มีความพยายามที่จะนำคนจาก
ตะวันออกกลางเข้ามาในประเทศไทย แต่ในเวลานี้ยังไม่มีใครเข้ามา
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ “พี่ใหญ่” ยังเป็นตัวหลักของด่านคุมความมั่นคงในทุกมิติ
ลำพังกระแสการเมืองคงหักไม่ลงง่ายๆ.
ทีมข่าวการเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น