PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561

กระแสหักไม่ลงง่ายๆ

กระแสหักไม่ลงง่ายๆ


ฉากแอ็กชั่น สงครามกวาดล้างความยากจน

ตามภาพที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ยกคณะชุดใหญ่ ทั้ง “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ขึ้นเครื่องบิน ซี 130 ของกองทัพอากาศ บินตรงจังหวัดแม่ฮ่องสอน

พื้นที่ไกลปืนเที่ยงที่คนจนมากสุดลำดับต้นๆของประเทศไทย

เบื้องต้นเลย มันก็สะท้อนว่า “ลุงตู่” ลุยแบบถึงลูกถึงคน ไม่ใช่แค่พูดหรูๆอยู่บนหอคอยงาช้าง

อย่างน้อยก็เป็นการแสดงให้เห็นการสร้างเนื้องานเป็นรูปธรรม โชว์เชิงปฏิบัติแข่งกับการสร้างกระแสลอยๆในห้วงที่รัฐบาล คสช.กำลังตกอยู่ในภาวะตั้งรับ “ไซเบอร์วอร์”

เครือข่ายฝ่ายต่อต้านเปิดสงคราม ยกระดับการปลุกกระแสถล่มในโซเชียลมีเดีย

อัพข้อมูลด้านลบ จริงบ้าง เท็จบ้าง เบิ้ลบลัฟทีมงาน “นายกฯลุงตู่” แบบนาทีต่อนาที

ถึงขั้นใช้บริการบริษัทเอเจนซีมืออาชีพเดินข่าวสร้างกระแสอย่างเป็นระบบ จี้จุดสลบของรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะการมุ่งเป้าเขย่าขาค้ำยัน “ลุงตู่” ทั้ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ต่อเนื่องกับคิวของ “จอมยุทธ์กวง” กัปตันทีมเศรษฐกิจ

เจออิทธิฤทธิ์โซเชียลฯกระหน่ำ นั่งไม่ติดไปตามๆกัน

แต่อย่างไรก็ดีมันก็เกิดปรากฏการณ์แบบที่ “นักวิชาการ” คนดังที่ถูกมองว่าอิงแอบกับกลุ่มเสื้อแดง ได้แชร์โพสต์ของแฟนคลับ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” หวังประจาน “อาจารย์น้อง” รศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี หิ้วกระเป๋าหรูแอร์เมสราคาหลักล้าน

แต่ต้องหน้าแหกเพราะของจริงกลายเป็นกระเป๋าของศูนย์ศิลปาชีพ

โดนโห่ โดนฮา ถูกรุมด่าเสียผู้เสียคนไป

นี่คือดาบสองคมของโซเชียลฯที่ไม่ได้ทำลายแค่ “นายกฯลุงตู่” แต่พวกที่จ้องเบิ้ลบลัฟทำลายล้างรัฐบาล คสช. รวมถึงชาวบ้านที่มีอารมณ์คล้อยตามกระแสก็ต้องตั้งหลักดีๆ

เผลอแห่มั่วๆไป อาจเป็นเหยื่อของเพจ “ดักควาย” ง่ายๆ

เช่นเดียวกับอาการฉวยกระแสรุกไล่รัฐบาลทหาร คสช.ที่เสี่ยงกับกระแสตีกลับ

ตามอาการขยับของเครือข่ายภาคประชาชน 20 กว่าเครือข่าย เคลื่อนไหวกดดันให้ยกเลิกประกาศและคำสั่งของ คสช.ที่มีเนื้อหาขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย

โฟกัสส่วนใหญ่ก็คนหน้าคุ้นๆทั้งนายจอน อึ๊งภากรณ์ และแกนนำเอ็นจีโอหน้าเดิมๆ แถมยังมีการขยับร่วมวงจากนักการเมืองอาชีพค่ายเพื่อไทยจ่อยื่นหนังสือคัดค้านคำสั่ง คสช.

นั่นก็เลยกระตุกเสียงของประชาชนอีกจำนวนไม่น้อยที่สนับสนุนคำสั่ง คสช.ทำให้ประเทศสงบ ปลอดจากม็อบป่วนเมือง เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เดือดร้อน นอกจากพวกที่มีวาระแฝงทางการเมือง
ย้อนถามเลยว่าถ้ายกเลิกคำสั่ง คสช.แล้ววุ่นวาย จะรับผิดชอบยังไง

แสดงว่าจุดขายของรัฐบาล “ลุงตู่” และทีม คสช.ก็ยังอยู่ที่การคุมความสงบให้ประชาชนอุ่นใจ
คำตอบสุดท้าย ยังไง คสช.ก็ถือแต้มต่อฝ่ายต้าน

แม้ในสถานการณ์แบบที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พยายามเปรียบเทียบมาตรฐานกับยุครัฐบาลตัวเองที่รีบเคลียร์รัฐมนตรีที่มีปัญหาไม่ให้เป็นตัวถ่วงนายกฯ หรือการที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย โยงสถานการณ์ “บิ๊กป้อม” เหมาเข่งรวมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นเชิงว่า ถ้า ป.ป.ช.สายตรง “พี่ใหญ่” ยังอยู่ได้ คสช.ก็ส่อพัง

ในจังหวะที่เซียนการเมืองอาชีพประเมินแล้ว ถึงจุดกระแสสุกงอม รุมเขย่า “บิ๊กป้อม” ให้ร่วงให้ได้
แต่อีกมุมก็ต้องไม่ลืมว่า ยุคนี้ไม่ใช่รัฐบาลเลือกตั้ง แต่เป็นช่วงอำนาจพิเศษ

ความจำเป็นของ พล.อ.ประวิตร ไม่ใช่แค่เป็นขาค้ำยันด่านหน้ารับแรงกระแทกแทน “บิ๊กตู่” เท่านั้น

แต่จุดที่สำคัญกว่ายังเป็นสถานการณ์ความเชี่ยวกรากในด้านความมั่นคง แบบที่ล่าสุด พล.อ.ประวิตร เปิดเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับการจับกุมชาวปากีสถานที่ลักลอบทำหนังสือเดินทางปลอม โดยยอมรับว่ามีการปลอมวีซ่า และหนังสือเดินทางเพื่อรองรับให้กับกลุ่มไอเอส มีความพยายามที่จะนำคนจาก
ตะวันออกกลางเข้ามาในประเทศไทย แต่ในเวลานี้ยังไม่มีใครเข้ามา

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ “พี่ใหญ่” ยังเป็นตัวหลักของด่านคุมความมั่นคงในทุกมิติ

ลำพังกระแสการเมืองคงหักไม่ลงง่ายๆ.

ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: