PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

‘วิษณุ’แย้มปมสังฆราช ปัญหาเพียบ ยอมรับแทงกั๊กดูข้อมูล

‘วิษณุ’แย้มปมสังฆราช
ปัญหาเพียบ
ยอมรับแทงกั๊กดูข้อมูล
เตือนสติบรรดากองเชียร์
ถ้ารักใครอย่ารักหมดใจ
‘ไพบูลย์’เชื่อสมเด็จช่วง
ยอมถอย-หากด่างพร้อย
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 17 มกราคม ถึงกรณีมติของสมาคมเถรสมาคม(มส.) ที่เสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(สมเด็จช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เพื่อทูลเกล้าฯ โปรดสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่มาถึงตน นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯเป็นรัฐมนตรีเจ้าสังกัด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ที่รับมติจาก มส.
ส่วนการพิจารณาประเด็นทักท้วงมติดังกล่าวนั้น ตนในฐานะกำกับดูแล นายสุวพันธุ์ อาจปรึกษาเรื่องนี้กับตนได้ แต่ยังไม่ได้มาปรึกษา เพียงแต่โทรศัพท์มาบอกว่าได้รับมติ มส.แล้ว ขอเวลาศึกษาข้อเท็จจริง ขนบธรรมเนียมประเพณีก่อน อย่างไรก็ตาม ตนไม่เห็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงเรื่องนี้ และนายกฯเองก็ไม่ได้ว่าอะไร
ต้องเรียกหารือทีละฝ่าย
นายวิษณุ กล่าวอีกว่า เมื่อเรื่องส่งมาถึงตน คงจำเป็นต้องเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือกันคนละทีก่อน ถ้าข้อมูลที่ได้ไม่เหมือนกันก็คงต้องเรียกมาคุยพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่เห็นความจำเป็นที่ตนจะต้องหารือกับ มส. เพราะเมื่อ มส.ส่งมติถึง พศ.แล้วถือว่าจบภารกิจส่วนนั้น ถ้ามีอะไรตนต้องคุยกับ พศ. แล้วให้ไปคุยต่อ แต่วันหนึ่งอาจจำเป็นต้องหารือ มส.ขึ้นมาก็ได้ เนื่องจากตนกับพระก็ไม่ใช่คนแปลกหน้ากัน จึงไม่แปลกที่จะคุยกันเป็นการส่วนตัว แต่คงไม่ใช่การเชิญ มส.มาสอบแน่นอน ทั้งนี้ ตนบอกไปแล้ว ก่อนเรื่องมาถึงตน อาจจะพูดอะไรได้เยอะแยะ ตามประสาคนที่ไม่ต้องรับผิดชอบ พอเรื่องมาถึงตน ตนต้องรับผิดชอบ ต้องระมัดระวัง เพราะพูดอะไรไป มันจะมีการแปลขึ้นมาทันที
“เหมือนหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลง ฝ่ายนี้ว่าอย่างนั้น ฝ่ายโน้นว่าอย่างนี้ ถือชายจีวรคนละฝ่าย ส่วนนายวิษณุ แทงกั๊ก คือถ้าความเป็นกลางแปลว่าแทงกั๊ก ผมก็ยอมแทงกั๊ก แทงกั๊กไม่ได้ผิดอะไร แต่คุณไปตั้งหลักว่ามีสองฝ่าย แล้วพยามผลักคนให้ไปอยู่ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ สังคมไทยที่มันทะเลาะกันไม่ปรองดอง ก็เพราะเราไปนึกว่ามีสองฝ่าย ทำไมถึงไม่นึกว่ามีฝ่ายที่สามที่สี่บ้าง ทำไมถึงคิดว่ามีเหลืองกับแดง ทำไมถึงมีแต่ฝ่ายชอบทักษิณสุดลิ่มทิ่มประตู กับฝ่ายเกลียดทักษิณโดยไม่ลืมหูลืตา ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ทำไมจึงไม่มีฝ่ายอื่น พระพยอมท่านพูดดี รักใครก็อย่ารักจนหมดใจ เกลียดใครอย่าเกลียดจนหมดใจ เผื่อไว้ซักนิดนึง เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ถ้าบอกว่ามีสองฝ่ายเท่านั้น ใครไม่อยู่ฝ่ายนี้ก็ถือว่าอยู่ฝ่ายนี้ เหมือนที่อดีตประธานาธิบดีบุช ของสหรัฐฯ รบกับอัฟกานิสสถาน ใครไม่อยู่ฝ่ายเรา ก็อยู่ฝ่ายอัฟกันฯ ทำไมมันอย่างนั้นล่ะ ทำไมถึงไม่มีฝ่ายที่มันไม่ดีทั้งคู่ ผิดทั้งคู่ หรือถูกทั้งคู่บ้างเหรอ” นายวิษณุ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า รองนายกฯ เองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์นั้นหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ว่ารัฐบาลไหน สมัยไหน เอาตนมาเป็นรองนายกฯ เพื่อให้อยู่ในสถานการณ์อย่างนี้
ยอมรับต้องแทงก๊กไว้ก่อน
เมื่อถามว่า ข้อมูลที่ต้องหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีอะไรบ้างที่นายกฯ จำเป็นต้องรู้ นายวิษณุ กล่าวว่า ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีการกล่าวหาเกิดขึ้นมา ก็ต้องมาพูดกันในสิ่งเหล่านี้ว่า เรื่องราวเป็นอย่างไร บางเรื่องตนเคยรู้ บางเรื่องที่พูดๆ กันตนก็ไม่รู้ หนังสือคัดค้านสมเด็จช่วง เป็นพระสังฆราช ของพระพุทธอิสระที่ยื่นถึงนายกฯ จนวันนี้ก็ยังไม่เห็น
เมื่อถามว่า รองนายกฯ พูดถึงแต่เรื่องกฎหมาย ทำไมไม่พูดถึงเรื่องความเหมาะสมบ้าง นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่มีหน้าที่ ที่แทงกั๊กก็เพราะอย่างนั้น จะไปพูดอย่างอื่นไม่ได้ ในเมื่ออยู่ตรงนี้ก็มีความรับผิดชอบ ถ้าไม่ยึดกฎหมายไว้ตนตายเลย จึงจำเป็น คนอื่นจะยึดอย่างอื่นก็ว่าไป มันก็ต้องมีคนอย่างตนนี้ ที่เขาเรียกเนติบริกร
ย้ำมียังปัญหาอีกเพียบ
นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่เคยพูดว่าถ้ายังขัดแย้งกันอยู่จะไม่นำเรื่องนี้ขึ้นทูลเกล้าฯ แต่ตนบอกว่าถ้ามีความขัดแย้งกันคนนั้นว่าอย่างนี้ คนนี้ว่าอย่างนั้นไม่เป็นไร ต่อต้านคัดค้านก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าขัดแย้งแล้วนำไปสู่ความความรุนแรง หรือมีการฟ้องร้องอย่างนี้มันไม่ได้แล้ว อย่าว่าแต่ตำแหน่งสำคัญอย่างนี้เลย ตำแหน่งอื่นก็เถอะ ก็ต้องคิดแล้วว่าเราจะนำเรื่องทูลเกล้าถวายได้อย่างไร เมื่อถามอีกว่า มีปัจจัยอื่นอีกหรือไม่ ที่จะไม่นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ นายวิษณุ กล่าวว่า มี แต่ไม่บอก
ไพบูลย์สับกองเชียปากน้ำ
นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เปิดเผยว่า การที่เครือข่ายองค์กรชาวพุทธ และพระสงฆ์ออกมาขู่จะก่อม็อบหากรัฐบาลดองเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชนั้น มองว่าหากพระสงฆ์ออกมาเคลื่อนไหว ก็จะยิ่งทำให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นสมเด็จพระสังฆราชมัวหมอง และอยากให้เครือข่ายดังกล่าวช่วยตีความคำว่า “ดองเรื่อง” หน่อย ให้ระบุเวลาให้ชัดว่านานแค่ไหนถึงเรียกได้ว่าดองเรื่อง เพราะเรื่องการเสนอชื่อแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชผ่านมาเพียงไม่กี่วัน จะเป็นการดองเรื่องได้อย่างไร หากมองกลับกันกลุ่มที่สนับสนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ออกมาเร่งรัด คุกคาม และข่มขู่ ให้สถาปนาสมเด็จพระสังฆราชอย่างเร่งด่วน อยากถามว่าเรื่องใหญ่แบบนี้รออีกหน่อยไม่ได้หรือ ส่วนคนที่ต้องเป็นฝ่ายเร่งรัดคือตนต่างหาก ที่ต้องเร่งสะสางคดีที่เกี่ยวพันกับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ให้ท่านพ้นมลทิน ก่อนได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
“ผมมองว่าตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เป็นตำแหน่งสำหรับสังฆบิดรผู้มีพระจริยวัตรงดงาม มีความสง่า และไม่มีมลทิน และเป็นตำแหน่งที่ปกครอง ทั้งพระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ดังนั้น การที่ผมออกมาเรียกร้องให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์สะสางมลทินนั้น ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล และไม่ใช่เรื่องระหว่างนิกาย เพราะสมเด็จพระราชคณะในมหาเถรสมาคม (มส.) ทั้ง 8รูปไม่มีรูปใดเป็นอาจารย์ของผม แต่ผมทำเพื่อความถูกต้อง และรักษาพระพุทธศาสนาเท่านั้น ย้ำว่าผมทำด้วยจิตที่ว่างเปล่า ไม่มีอคติใดๆ ต่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ และผมเชื่อว่าหากท่านมีมลทินจริง ท่านคงออกมาแสดงเจตจำนงไม่รับตำแหน่งเอง” นายไพบูลย์กล่าว
หลวงปูเผยสงฆ์แตกแยก
วันเดียวกัน เฟซบุ๊กหลวงปู่พุทธอิสระ ระบุข้อความว่า ท่านผู้นำทำถูกแล้ว 17มกราคม2559 เหตุเกิด ณ ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและรายการคืนความสุขให้คนในชาติ
“วันนี้คนไทยมีความสุดโต่ง อะไรก็ทำไม่ได้ ทำให้การบริหารงานเป็นไปได้ยาก มีความแตกแยกทั้งคน และพระสงฆ์ ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลจะตัดสินอย่างไรก็เหมือนจะผิดทุกทาง อย่างพระสงฆ์องค์หนึ่งตนไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย แค่เคยรู้จักตอนที่เป็นทหารและเคยทำบุญร่วมกัน แต่นักข่าวก็บอกว่าพระองค์นั้นเป็นพระอาจารย์ของสาม ป.ซึ่งพระองค์นั้นได้ลงทุนด้วยการออกเงินให้เรียนหนังสือเพื่อจะมาช่วยเหลือรัฐบาล ถ้าเช่นนั่นก็คงเป็นการวางแผนล่วงหน้าเป็น30ปีนี่ถือว่าเป็นการช่างเขียน ก็เขียนกันไปเรื่อยเปื่อยเหมือนนิยายประโลมโลก”
“เรื่องศาสนาวันนี้เริ่มขัดแย้งกันอีกแล้ว กล่าวหาว่าข้างนั้น ข้างนี่ ไม่สนใจ เพราะเป็นชาวพุทธ เคารพในพระสงฆ์เสมอมา ในคำสอนพระพุทธเจ้าเสมอมา ไม่สนใจผู้นำแต่ละฝ่ายว่าเป็นใคร ทุกคนก็อาจจะมีความปรารถนาดี แต่อย่าลืมว่าเป็นความขัดแย้งที่รุนแรง ในสมัยก่อนจำได้ไหม โลกใบนี้รบกันเรื่องของศาสนากันมากมาย สงครามศาสนาตายกันทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นรัฐบาลเป็นห่วงเรื่องนี้ เป็นห่วงประชาชนที่ให้ความเคารพนับถือ ภายใต้การนำของแต่ละฝ่ายมากกว่า ใครผิดใครถูกยังไม่กล่าวถึงตรงนั้น เพราะฉะนั้นไปหาทางออกให้ได้ หากยังใช้อารมณ์ ใช้ความรู้สึก กฎหมายอยู่ตรงไหนไม่รู้ อีกกลุ่มบอกว่าต้องรีบทำ อีกกลุ่มบอกว่าทำแล้วทำไมไม่โปร่งใส แล้วจะไปทางไหนต้องการความสงบสุขของบ้านเมือง ต้องการดำรงความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธและพระสงฆ์
วันนี้อย่าทะเลาะกันอีกเลยเรื่องแบบนี้ หยุดซะเถิดวันเวลาที่เหมาะสมเป็นเรื่องของรัฐบาลจะดำเนินการ ไม่ต้องมาบังคับ ไม่อย่างนั้นทุกเรื่องใครก็แล้วแต่ก็วางระเบิดเวลาทุกที่ไป ทุกเรื่อง ทุกงาน ไว้ให้ คสช. ไว้ให้รัฐบาลเหยียบกับระเบิดทุกวัน จะปฏิรูปได้อย่างไร จะแก้ปัญหาประเทศได้อย่างไร ไปแก้ปัญหากันมาให้ได้ ไม่ได้เข้าข้างใคร”

ไม่มีความคิดเห็น: