PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

ตีตั๋วต่อท่ออำนาจ : “ประยุทธ์” ปั้นแบรนด์เจาะฐานคนรุ่นใหม่

ตีตั๋วต่อท่ออำนาจ : “ประยุทธ์” ปั้นแบรนด์เจาะฐานคนรุ่นใหม่



นับเป็นนักการเมืองอีกคนที่มีบทบาทโดดเด่นในสนามการเมืองใหญ่และการเมืองภาคประชาชน
มาวันนี้ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคดีอาญาจ่อคอหอยอยู่ เพราะถูกกล่าวหาในสมัยเป็นแกนนำ กปปส.
ปัจจุบันกระแสของรัฐบาลปลายเทอมตกต่ำ ปัจจัยสำคัญอะไรถึงกล้าตัดสินใจทิ้งพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อรับตำแหน่งนี้ นายพุทธิพงษ์ เปิดใจให้เห็นเส้นทางเข้าล่มหัวจมท้ายกับ พล.อ.ประยุทธ์
โดยบอกถึงประสบการณ์ทางการเมืองตลอดเกือบ 20 ปี เช่น เคยเป็นกรรมการคัดสรรผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์พบว่า คนรุ่นใหม่มีโอกาสริบหรี่จะลงสมัคร
เมื่อสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป มันย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง เปิดให้คนรุ่นใหม่ๆได้ลงสมัครบ้าง
ผมเห็นด้วยที่คนในพรรคเสนอให้สมาชิกได้เลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค
ประชาชนต้องการเปลี่ยนพรรคให้เป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็ง ยิ่งรัฐธรรมนูญมีการเปลี่ยนแปลง สิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นถึงความแตกต่างนอกจากความเป็นพรรคการเมือง คือมีคนรุ่นใหม่อยากเข้าวงการเมืองเยอะ แต่ทุกเขตเลือกตั้งมีเจ้าของพื้นที่เดิม วางเครือข่ายหัวคะแนนไว้เรียบร้อยและยังมีผู้ใหญ่ในพรรคอีก
พรรคการเมืองเดิมๆ ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ แทบไม่เปิดช่องให้คนรุ่นใหม่ได้ลงสมัคร
3 ปีที่ผ่านมาผมไม่ได้สังกัดพรรคไหน ก็ไปเรียนหลักสูตรต่างๆ มีเพื่อนฝูงอยู่ในทุกหน่วยงาน เลยซึมซับอะไรมากมายจากการพูดคุย
“เริ่มมีแนวคิดว่าการเมืองต้องเปลี่ยน หากมีพรรคใหม่ คนรุ่นใหม่ย่อมมีโอกาสแจ้งเกิดทางการเมืองได้ เช่น พรรคอนาคตใหม่ ถ้าไม่มีในบางเรื่อง ผมว่าเขามีวิธีคิด ความตั้งใจก็น่าสนใจมาก”
ถ้าถามว่าทำไมผมรับตำแหน่งนี้ ที่ผ่านมาทีมของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เคยทาบทามให้ไปเป็นประธานบอร์ดแห่งหนึ่งเกี่ยวกับการท่องเที่ยว แต่ไม่ใช่เส้นทางของเรา ก็ปฏิเสธไป
ผมก็กลับไปทำงานตามปกติ อยู่มาวันหนึ่งมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับท่านสมคิด ติดต่อมาว่า ขณะนี้การเมืองเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงไม่เปิดโอกาสหรือเปิดใจรับแนวคิดที่รัฐบาลทำมาตลอด 4 ปี และยังมีผลงานอะไรบ้างที่ได้ทำ แต่ไม่มีการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจว่า รัฐบาลทำงานให้ประชาชนเยอะมาก
และยังพูดถึงสถานการณ์การเมือง จะเป็นการเมืองแบบใหม่ มีคนรุ่นใหม่มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 6 ล้านคนทั่วประเทศ ถือเป็นตัวแปรการเลือกตั้ง เมื่อเปรียบเทียบฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์
คนเหล่านี้สื่อสารกันด้วยสมาร์ทโฟน เล่นโซเชียลมีเดีย ระบบหัวคะแนนแบบเดิมเข้าไม่ถึง
ถ้าสามารถรณรงค์ให้ออกมาใช้สิทธิแค่ 3-4 ล้านคน จะทำให้การเลือกตั้งเปลี่ยนและการเมืองจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
อันนี้เป็นโจทย์การเมืองใหม่ที่น่าสนใจมาก ประกอบกับนายกฯทราบถึงข้อเขียนของผมที่บอกถึงแนวคิดของคนรุ่นใหม่ ผมคิดว่าคนรุ่นใหม่อาจจะไม่เลือกทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ตอนนี้มีเพียงแค่พรรคอนาคตใหม่
ฉะนั้นเราคิดว่าต้องมีตัวเลือกมากกว่า 1 ทาง จุดหนึ่งที่น่าจะดึงนิวโหวตเตอร์ได้ จะต้องสื่อสารด้วยถ้อยคำง่ายๆให้ปังและโดนบนเนื้อหาสาระที่ใช่ ผ่านโซเชียลมีเดีย เชื่อว่าในอนาคตจะเป็นการต่อสู้แบบไร้ข้อจำกัด
ผมคิดว่าท่านนายกฯสนใจคนรุ่นใหม่ เลยให้คนทาบทามมาช่วยงาน รวมถึงช่วยด้านการสื่อสารการเมือง เมื่อมาช่วยงานรัฐบาลแล้วคงไม่กลับไปพรรคประชาธิปัตย์อีก คนรุ่นใหม่ในพรรคก็จะมีจังหวะได้ขยับเข้ามาทดแทน
การเดินออกจากพรรคไม่ได้มีปัญหาหรือทะเลาะกับใคร ในช่วงให้ยืนยันความเป็นสมาชิกพรรค ยังพาชาวบ้านเขตเลือกตั้งเดิมใน กทม. ไปยืนยันความเป็นสมาชิกพรรค ได้พูดคุยกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้ใหญ่ในพรรคอีกหลายคนตามปกติ ก่อนจะมาช่วยงานรัฐบาลยังไปลาหัวหน้าพรรค
จะเป็นสะพานเชื่อมหัวใจของคนรุ่นใหม่กับ คสช.ได้อย่างไร นายพุทธิพงษ์ บอกว่า ขณะนี้ได้นำผลงานของรัฐบาลที่มีเยอะมาก เร่งสื่อสารให้เข้าใจง่ายถึงประชาชนและคนรุ่นใหม่ เช่น การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เกี่ยวข้องกับพวกมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล ขูดรีดดอกเบี้ยโหดแพงหูฉี่ รัฐบาลนี้ตั้งใจเร่งแก้จนสำเร็จ ชาวบ้านก็มีความสุขมาก
ในฐานะเป็นนักการเมืองเต็มตัวอยู่ในทำเนียบรัฐบาล ก็จะทำงานด้านการเมืองด้วย แต่ตอนนี้ต้องระมัดระวัง เป็นเรื่องของอนาคต ท่านยังไม่ได้ตัดสินใจชัดเจน ถ้าจะประสานอะไรที่เป็นประโยชน์ได้ผมก็ยินดี
มีชื่อจะเข้าพรรคพลังประชารัฐ นายพุทธิพงษ์ บอกว่า ไม่มีเงื่อนจะต้องไปอยู่พลังประชารัฐ
“วันนี้ผมสนใจมาอยู่กับท่าน ในอนาคตถ้าท่านตัดสินใจจะไปเป็นบัญชีของพรรคไหน เป็นสมาชิกของพรรคไหน ตามมารยาทเมื่อมาทำงานกับท่าน ผมก็พร้อมไปกับท่าน แต่วันนี้ท่านยังไม่ได้บอกว่าจะไปไหน
พลังประชารัฐอาจจะมีตัวตนขึ้นมา อาจจะมีท่านสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ (รมว.พาณิชย์) ท่านอุตตม สาวนายน (รมว.อุตสาหกรรม) ไปก็ไม่มีปัญหา ยังคุยกันได้ แต่ผมต้องดูนายกฯประยุทธ์เป็นหลัก 6 เดือนนับจากนี้ต้องติดตามสถานการณ์ทุกมิติ”
การรับตำแหน่งนี้ทำให้ถูกมองว่า กปปส.เคลื่อนไหวรู้กับกองทัพให้เข้ามายึดอำนาจ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายพุทธิพงษ์ บอกว่า ใครจะมองมุมนี้ก็ได้ ไม่ปฏิเสธ แต่ช่วงชุมนุมกว่า 200 วัน ผมเป็น 1 ใน 9 แกนนำ ประชุมทุกวันไม่เคยมีการติดต่อจากทหารเข้ามาช่วยเรา
จนถึงวันยึดอำนาจพวกผมก็ไม่รู้และยังถูกจับขึ้นรถไปอยู่ในค่ายทหาร เจอพี่ๆเพื่อนๆจากพรรคเพื่อไทย วันนั้นถึงวันนี้ไม่ได้สิทธิพิเศษอะไร แถมโดนคดีอาญาข้อหาร้ายแรง อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล
ภาพมันตอกย้ำเมื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. ผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย และนายถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และแกนนำ กปปส. ต่างมีท่าทีสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ เหมือนแยกกันเดิน เพื่อกลับมารวมกันทีหลัง นายพุทธิพงษ์บอกว่าไม่ได้คิดอะไรลึกขนาดนั้น
นายสุเทพไปตั้งพรรคโดยไม่มี กปปส.ไปอยู่ด้วยแม้แต่คนเดียว เหตุที่นายสุเทพสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเป็นคนเดียวที่ไว้ใจว่าจะปฏิรูปประเทศและบ้านเมืองสงบสุข ส่วนนายถาวรกลับไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อต้องการปฏิรูปพรรคก่อนปฏิรูปด้านอื่นๆ ในส่วนของผมมาอยู่ตรงนี้ เพราะมีอุดมการณ์ต้องการปฏิรูปประเทศ
ทีมข่าวการเมือง ถามว่า ในช่วงต้นบอกว่าสถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยน รัฐธรรมนูญเปลี่ยน นิวโหวตเตอร์เปลี่ยน จะนำพาประเทศไปสู่อะไร นายพุทธิพงษ์ บอกว่า หลังเลือกตั้งไม่มีพรรคไหนชนะเด็ดขาด
ผมไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะถล่มทลาย เพราะการสื่อสาร กระบวนการเข้าถึงประชาชนมันเปลี่ยนไป
วันนี้เป็นเวลาของคลื่นลูกใหม่ ใจเย็นๆคิดว่าต้องมีทางเลือกให้คนรุ่นใหม่
แนวคิดของ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการเห็นนิวโหวตเตอร์ ไปตรงกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเปิดเวทีให้คนรุ่นใหม่เข้ามามากๆ ทำไมแนวคิดถึงตรงกัน นายพุทธิพงษ์ บอกว่า แนวโน้มเทรนด์การเลือกตั้งของโลกเป็นอย่างนั้นจริงๆ
แม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยยังมีกระแสข่าวจะส่งนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ลูกเขยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นผู้นำพรรค
ถ้าพรรคไหนไม่คิดแบบนี้เตรียมตัวแพ้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ หรือผมหรือใครก็ตาม
ที่สำคัญเมื่อคิดแล้วจะทำได้หรือไม่ ใครจะไปหาตัวเลือกคนรุ่นใหม่เก่งๆ จนเป็นกระแสให้เห็นว่าเลือกคนกลุ่มนี้เพื่ออนาคตของประเทศ
ผมมีความตั้งใจมากเรื่องหนึ่ง โดยไปรวบรวมคนรุ่นใหม่ 30-50 คน โปรไฟล์ดี ดีกรีนักเรียนทุนจบท็อปสกูลระดับโลก บางคนทำงาน 5-7 ปีอยู่ต่างประเทศ ถ้าไม่ชวนเขากลับบ้านเกิด ทำงานภาคเอกชนก็รับเงินเดือนเป็นแสน รับงานพิเศษเงินเดือนก็เฉียดล้านบาท วันนี้ถึงเวลาคนรุ่นใหม่กลับมารับใช้แผ่นดิน
แล้วใช้ความเป็นนักการเมืองอธิบายให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งเป็นโอกาสของคนรุ่นใหม่ คนเหล่านี้เป็นคนดี มีความรู้ ความสามารถ
อาจจะลง ส.ส.เขต หรือ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่ไม่แน่ใจจะลงสมัครครั้งนี้ทันหรือไม่
ขอให้ช่วยกันคิดจะทำอะไรให้คนรุ่นใหม่เลือกพวกคุณ เข้ามาบริหารประเทศเพื่ออนาคตลูกหลานของเรา

บนหลักการจะเลือกใครต้องคิดว่า ประเทศจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร

ใครจะเป็นคนรับไม้ต่อในอนาคตลูกหลานเราถึงอยู่ได้อย่างมั่นคง
และถ้าประเทศไม่สงบก็ไม่มีทางนำไปสู่การแก้ปัญหาได้เลย.
ทีมการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: