"นิติธร" ยันสังหาร "เอกยุทธ" ไม่ใช่แค่ชิงทรัพย์ จับพิรุธเจ้าหน้าที่ทำงานไม่รัดกุมหลายอย่างส่งผลทำคดีเบี่ยงเบน แนะญาติร้องกรมสอบสวนกลาง - คณะกรรมการสิทธิฯ พร้อมทั้งดึง "หมอพรทิพย์" เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ชี้ทำเพื่อช่วยประเทศชาติให้หลุดพ้นจากรัฐตำรวจ เชื่อประชาชนจะร่วมส่งกำลังใจให้มหาศาลเพราะเอือมตำรวจเต็มทน

...วันที่ 13
มิ.ย. 2556 นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความที่รับว่าความคดีเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานภาครัฐ ได้กล่าวในรายการ "คนเคาะข่าว"
ทางเอเอสทีวี ถึงคดีอุ้มฆ่านายเอกยุทธ ว่า
ได้มีโอกาสเข้าร่วมการสอบสวนนายสันติภาพ เพ็งด้วง
ซึ่งกรณีต้องชมพล.ต.ท.คำรณวิทย์
ธูปกระจ่าง ( ผบช.น.) ที่เปิดโอกาสให้ทนายความและผู้เสียหายเข้าร่วม
ในระหว่างนั้นตนได้สอบถามตำรวจที่ทำเรื่องเกี่ยวกับโทรศัพท์ เราก็เห็นหลายจุดเลยถามว่ากรณีที่เซลล์ไซต์ใช้ในจุดนี้ ได้ตรวจสอบเบอร์ที่ใช้เซลล์ไซต์ใกล้เคียงกันหรือไม่
เพราะไม่มีใครใช้เบอร์ปกติหรอก
แต่ตำรวจก็บอกทำไม่ได้ ตนเห็นว่าแค่เรื่องเบอร์ก็ทำงานไม่รัดกุมเพียงพอ
ถ้าทำรัดกุมจะได้หลักฐานอีกหลายอย่าง
นอกจากนี้การเข้าขุดศพ
ภายในคืนนั้นตำรวจไม่เข้าอ้างว่าฝนตก ซึ่งทางคดีต้องเข้าทันที
เพราะสันนิษฐานตรงกันว่านายสันติภาพไม่ได้ทำคนเดียว
ตอนนั้นเป้าชัดเจนว่าเราต้องการเข้าไปค้นหาศพ
ถ้าทอดเวลาไปจะต้องมีคนในกระบวนการฆ่าเข้าไปทำลายศพแน่ ฉะนั้นไม่มีเหตุว่าฝนตกแล้วไม่เข้า
แล้วคนที่เข้าไปควรเป็นนิติเวช
แม้เจ้าหน้าที่กู้ภัยเสียสละทำหน้าที่
แต่ถ้าต้องการหลักฐานต้องไม่ทำงานแบบนี้
เพราะต้องกั้นพื้นที่เก็บร่องรอยทั้งหมด
ส่วนหลักฐานในรถ
อาจบังเอิญก็ได้ เพราะพอเราไปถึง รถก็ถูกส่งไปตรวจพอดี
ตอนนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะมีเรื่องอื่นสำคัญกว่าส่งคนไปตรวจรถ แต่ก็ทำให้เห็นนัยบางอย่าง เพราะพนักงานสอบสวน
ผู้เสียหาย และทนาย ต้องทำร่วมกัน
ไม่ควรทำเพียงคนใดคนหนึ่ง
แล้วคดีนี้เริ่มต้นที่กองปราบ ส่วนสน.วังทองหลางเป็นเพียงการแจ้งลงประจำวันไว้ว่าติดต่อนายเอกยุทธไม่ได้
แต่กรณีนี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้น
ไม่เห็นว่ามีการประสานงานกองปราบให้เข้ามาร่วม
จะเห็นว่ามีอะไรหลายอย่างที่เบี่ยงเบนต่อผลคดีทั้งนั้น
นายนิติธร
ยังกล่าวด้วยว่า ตนตั้งข้อสังเกตว่านายสันติภาพ ตั้งใจให้โดนจับเพื่อปิดคดี เพราะรถติดจีพีเอส
ไม่มีใครโง่ขับรถตะลอนไปทั่ว
นายสันติภาพบอกว่าติดหนี้พนันบอล
4-5 แสนบาท เทียบกับเงิน 5 ล้านบาท มันไม่สมดุลย์กัน
แล้วบอกว่าแค้นที่แฟนโดนไล่ออกจากงาน
มันไม่มีใครรู้สองคนนี้เป็นแฟนกันจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นก็ไม่กี่เดือน
รักกันถึงขนาดต้องทำขนาดนี้หรือเปล่า แล้วถ้าเราเป็นนายเอกยุทธ
ไล่พนักงานออกแล้วยังจะเอาแฟนเขาไว้อีกหรือ
ความเห็นตนคือหลังจากนายสันติภาพส่งนายเอกยุทธที่ร้านอาหารแล้ว
ได้เอารถไปรับคนให้เข้าไปในรถ
แล้วเปลี่ยนที่จอด โดยถอยหลังจอดพร้อมออกทันที ตนมองว่าเรื่องนี้กะทันหันมาก อาจมีการเตรียมการมานาน แต่ไม่มีจังหวะทำ
แต่ตอนนั้นมีจังหวะพอดี จึงมีกระบวนการต่างๆเพิ่มเข้ามา ทั้งการทอดเวลาเพื่อเอาเงิน คือถ้าทำไม่สำเร็จก็กลายเป็นนายสันติภาพทำ
ถ้าได้เงินไปด้วยก็เป็นการปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์
คิดกะทันหันบนพื้นฐานว่าต้องหาแพะให้ได้ก่อน
ถ้าทีมเตรียมการได้ตัวนายเอกยุทธแล้วไปทันทีมันจะตัดตอนไม่ได้ เมื่อดำเนินภารกิจเสร็จ
จึงขับรถตะลอนไปพัทลุง แล้วรอดพ้นด่านตรวจได้อย่างไร เว้นแต่คนพิเศษ
มีอำนาจพิเศษที่ทำได้
ดูแรงจูงใจของนายสันติภาพ เพื่อประสงค์ต่อเงิน 5
ล้านบาท ดูแล้วไม่มีเลย หากเทียบกับเรื่องโฟร์ซีซั่นส์ มัลดีฟส์
และกรณีมีคดีพิพาทกับพล.ต.ท.คำรณวิทย์ด้วย
แบบนี้จะไม่ให้สงสัยเป็นไปไม่ได้
รวมถึงตอนสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ก็เกิดการอุ้มฆ่าทนายสมชาย กรือเซะ ฆ่าตัดตอนยาเสพติด
แล้วขณะนี้รัฐบาลก็อยู่ในรากระบอบทักษิณ
เกิดขึ้นในสภาวะที่ตำรวจกระจายไปทุกหน่วยงาน
ดีเอสไอก็เป็นรากหนึ่งของตำรวจตอนนี้แทบไม่เหลือสภาพแล้ว ตามบอร์ดหน่วยงานต่างๆก็มีตำรวจไปนั่ง มันเหมือนรัฐตำรวจไปแล้ว
จะให้คนไม่สงสัยเป็นไปไม่ได้
การที่บ้านเมืองเป็นแบบนี้จะเป็นวัฏจักรวน เช่น เมื่อครั้งที่ พล.ต.อ.เผ่า
ศรียานนท์ ทำรัฐตำรวจขยายอำนาจจนเกิดรัฐประหาร สมัยพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ
ตำรวจขยายอำนาจก็เกิดวงจรรัฐประหาร พอมาถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
รัฐตำรวจมีอำนาจ ก็นำไปสู่รัฐประหาร เพราะถ้าตำรวจชั่วทุกอย่างจบหมด
นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้ตรวจดูตำรวจที่ทำคดีนายเอกยุทธว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ใครเดินทางไปต่างประเทศ ทำอะไร
เป้าหมายคืออะไร มันจะมองเห็นภาพชัดเจนขึ้น
นายนิติธร
ได้กล่าวแนะนำว่า ญาตินายเอกยุทธควรร้องกรมสอบสวนกลาง
ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชากองปราบอีกที ให้ร่วมทำคดี
ร้องคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้เข้ามาร่วม
และเปิดโอกาสให้หน่วยงานนิติเวชเข้ามาทำงาน
เอาแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์
โรจนสุนันทน์ ที่สังคมยอมรับเข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ถึงจะจัดการกับคนพวกนี้ได้
เรื่องนี้หากประนีประนอมเหมือนเรายอมจมอยู่กับอำนาจนี้ ซึ่งตนเชื่อว่าถ้าให้กรมสอบสวนกลางทำคดี ข้อมูลจะละเอียดกว่านี้
คดีเปลี่ยนแน่
ตอนนี้ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ของญาตินายเอกยุทธโดยตรง แต่ทำเพื่อประเทศชาติ
สำคัญกว่าการทำอะไรเพื่อให้เป็นอณุสรณ์ให้นายเอกยุทธด้วยซ้ำ อีกทั้งนายเอกยุทธมีอุดมการณ์ในเรื่องนี้ ถ้าคนข้างหลังจะทำให้เขา
เชื่อว่ามีจะกำลังใจมหาศาลจากประชาชน
เพราะทุกวันนี้คนได้รับผลกระทบจากตำรวจหนักหนาสาหัสมากพอแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น