PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ลุ้นเสี่ยงแค่พอถอยได้

ลุ้นเสี่ยงแค่พอถอยได้


“เรือแป๊ะ” มันดูโคลงเคลงไป ต้องใช้ “เรือรบ” ถึงจะแน่นปึ้ก

ก็ถือว่าเป็นไปตามเป้าเข้าเหลี่ยมกระแส กับช็อต “ลงเรือรบลำเดียวกัน” ที่พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ ฉากไฮไลต์ที่ถูกจับตาคิวแรกที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ได้พบกับ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม

นับตั้งแต่มีกระแสปรับ ครม.หลัง “นายกฯลุงตู่” บอกกลางวงประชุม ครม.ขอใช้อำนาจในการตัดสินใจแต่ผู้เดียว ท่ามกลางข่าวลือแหลมๆเสียวๆเกี่ยวกับการหักดิบระหว่างพี่ๆน้องๆ

อาการขุ่นข้องหมองใจที่เว้นระยะวัดใจกันอยู่หลายวัน

แล้วก็เป็น “บิ๊กตู่” ที่ออกมายืนยันว่า พล.อ.ประวิตร รวมถึง “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยังอยู่ในคณะรัฐมนตรี ไม่มีการขยับตามกระแสข่าวลือ

ต่อเนื่องกับจังหวะที่ “น้องเล็ก” ต้องขึ้นเวทียืนยันต่อหน้าขุนทหารและสื่อมวลชนในงานสวนสนามทางเรือนานาชาติ ประกาศให้รู้โดยทั่วกันเลยว่า “พี่ใหญ่” เป็นคนสั่งสอนให้เป็นคนดี

ถ้าไม่ดีเลิกคบกันไปนานแล้ว

ประเมินแนวโน้มตามรูปการณ์ ไม่ใช่แค่อวดผู้คนทั่วไป แต่ช็อตนี้ “น้องเล็ก” ยังต้องการโชว์ให้ “พี่ใหญ่” ได้สบายอกสบายใจด้วยว่า ยังไงก็ไม่เห็นขี้ดีกว่าไส้

สุดท้ายเลยพี่น้องก็กอดคอยืนยันสัมพันธ์ 40 ปี ไม่มีใครเสี้ยมให้แตกได้

สรุป ณ ห้วงนี้ ทีมอำนาจ “บูรพาพยัคฆ์” ยังแน่น คลื่นความถี่แค่ไหนก็แทรกยาก

และจากนี้ไปคงต้องลุ้นโฉม ครม. “ประยุทธ์ 5” จะออกมาหน้าตาอย่างไร ที่แน่ๆภายใต้ เงื่อนสถานการณ์ที่พี่น้องกอดคอกันลุยไฟ ท้าทายแรงเสียดทานที่น่าจะไม่ลดระดับลงไป

ตามเงื่อนไขที่ “บิ๊กตู่” ไม่ได้โอนอ่อนตามแรงบีบของกระแส

และอาจหมายรวมถึงสัญญาณคลื่นความถี่สูงที่ลือกันหนาหูว่า “ล็อกเป้า” 3 ชื่อ

ตอกย้ำข่าวลือ จับทางจากที่ “บิ๊กตู่” พูดถึงปมคนรอบข้าง “พี่ใหญ่” ที่ชอบอ้างชื่อ ไปหาผลประโยชน์ ทำให้ “บิ๊กป้อม” เสื่อมเสีย โดยขอให้คนที่มีข้อมูลส่งตรงมาที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมเคลียร์ให้

นั่นก็เป็นอะไรที่สะท้อนว่าหัวหน้า คสช.ก็รู้ “จุดเสี่ยงตาย”

พยายามผ่องถ่ายแรงกระแทกที่พุ่งตรงเข้าใส่ “พี่ใหญ่” โจทย์ยากสุดในการปรับ ครม.รอบนี้

และนั่นก็โยงไปถึงจุดที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดเป็นเชิงออกตัว ถึงเสียงเรียกร้องให้รับผิดชอบกับโฉมหน้าการปรับ ครม.ที่ออกมาเป็นนัยว่า ตนเองแบกรับภาระความรับผิดชอบมาตั้งแต่การตัดสินใจยึดอำนาจในเดือนพฤษภาคม 2557 แล้ว

นั่นหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ก็พร้อมรับผิดชอบกับผลที่ออกมาแต่ผู้เดียว

ภายใต้เงื่อนสถานการณ์ที่ยังมีแค่ “ลุงตู่” คนเดียวที่เหมาะสุดกับสภาวการณ์ประเทศยามนี้

และนั่นก็เป็นอะไรที่สังคมทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับเงื่อนไขความจำเป็นของ “นายกฯลุงตู่” ที่แม้โดยลำพัง
ส่วนตัวจะมีคะแนนต้นทุนหน้าตักสูง กระแสการยอมรับจากสังคมอยู่ในระดับติดลมบน แต่โดยเกมอำนาจที่เสี่ยงไปโดยลำพังไม่ได้ ในเมื่อมีแก๊งวางตะปูเรือใบดักอยู่สองข้างทาง

ไม่เว้นแม้แต่แนวร่วมข้างเดียวกันเองที่จ้องเสียบทุกจังหวะ

มันจึงจำเป็นอย่างที่เรียกว่า “ขาดไม่ได้” ต้องพึ่ง “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร ผู้มากบารมี กว้างขวางในทุกวงการ คอนเน็กชั่นแน่นปึ้กทั้งในกองทัพและขุมข่ายเชื่อมโยงทางการเมือง และยังรวมไปถึง “พี่รอง” อย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย คนที่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นแท่น ผบ.ทบ.

แต่นอกจากเรื่องพี่ๆน้องๆ ต้องยอมรับว่า การขยับยกเครื่อง ครม.รอบนี้

“นายกฯลุงตู่” ก็ยอมใส่เกียร์ถอยในหลายๆจุด

อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์แบไต๋แล้วว่า การปรับ ครม.รอบนี้มีรัฐมนตรีสายทหารออกน้อยกว่าเข้า นั่นหมายถึงการทำตามกระแสสังคมที่เรียกร้องให้ลดโควตารัฐมนตรีทหารที่ไร้ผลงาน เพิ่มมือบริหารอาชีพเข้ามาช่วยเสริมงานรัฐบาล

หรือการจำใจขยับเพื่อนรักอย่าง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ออกจากจุดเดิม เปิดพื้นที่ให้กัปตันทีมเศรษฐกิจอย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ มีความคล่องตัวในการสั่งการเชื่อมประสานกับกระทรวงพาณิชย์ ในการเดินหน้าภารกิจแก้ปมพืชผลเกษตรราคาตกต่ำ แก้ลำขบวนการปลุกม็อบยางพารา ข้าว มันสำปะหลัง มาขย่มรัฐบาล

สถานการณ์ของคนกำลังโดนรุกไล่ “ลุงตู่” ต้องเดินเกมอย่างระมัดระวัง

ขืนถอยหลายก้าวพร้อมกันเดี๋ยวหงายท้อง.

ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: