ลุ้นเสี่ยงแค่พอถอยได้

ก็ถือว่าเป็นไปตามเป้าเข้าเหลี่ยมกระแส กับช็อต “ลงเรือรบลำเดียวกัน” ที่พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ ฉากไฮไลต์ที่ถูกจับตาคิวแรกที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ได้พบกับ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม
นับตั้งแต่มีกระแสปรับ ครม.หลัง “นายกฯลุงตู่” บอกกลางวงประชุม ครม.ขอใช้อำนาจในการตัดสินใจแต่ผู้เดียว ท่ามกลางข่าวลือแหลมๆเสียวๆเกี่ยวกับการหักดิบระหว่างพี่ๆน้องๆ
อาการขุ่นข้องหมองใจที่เว้นระยะวัดใจกันอยู่หลายวัน
แล้วก็เป็น “บิ๊กตู่” ที่ออกมายืนยันว่า พล.อ.ประวิตร รวมถึง “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยังอยู่ในคณะรัฐมนตรี ไม่มีการขยับตามกระแสข่าวลือ
ต่อเนื่องกับจังหวะที่ “น้องเล็ก” ต้องขึ้นเวทียืนยันต่อหน้าขุนทหารและสื่อมวลชนในงานสวนสนามทางเรือนานาชาติ ประกาศให้รู้โดยทั่วกันเลยว่า “พี่ใหญ่” เป็นคนสั่งสอนให้เป็นคนดี
ถ้าไม่ดีเลิกคบกันไปนานแล้ว
ประเมินแนวโน้มตามรูปการณ์ ไม่ใช่แค่อวดผู้คนทั่วไป แต่ช็อตนี้ “น้องเล็ก” ยังต้องการโชว์ให้ “พี่ใหญ่” ได้สบายอกสบายใจด้วยว่า ยังไงก็ไม่เห็นขี้ดีกว่าไส้
สุดท้ายเลยพี่น้องก็กอดคอยืนยันสัมพันธ์ 40 ปี ไม่มีใครเสี้ยมให้แตกได้
สรุป ณ ห้วงนี้ ทีมอำนาจ “บูรพาพยัคฆ์” ยังแน่น คลื่นความถี่แค่ไหนก็แทรกยาก
และจากนี้ไปคงต้องลุ้นโฉม ครม. “ประยุทธ์ 5” จะออกมาหน้าตาอย่างไร ที่แน่ๆภายใต้ เงื่อนสถานการณ์ที่พี่น้องกอดคอกันลุยไฟ ท้าทายแรงเสียดทานที่น่าจะไม่ลดระดับลงไป
ตามเงื่อนไขที่ “บิ๊กตู่” ไม่ได้โอนอ่อนตามแรงบีบของกระแส
และอาจหมายรวมถึงสัญญาณคลื่นความถี่สูงที่ลือกันหนาหูว่า “ล็อกเป้า” 3 ชื่อ
ตอกย้ำข่าวลือ จับทางจากที่ “บิ๊กตู่” พูดถึงปมคนรอบข้าง “พี่ใหญ่” ที่ชอบอ้างชื่อ ไปหาผลประโยชน์ ทำให้ “บิ๊กป้อม” เสื่อมเสีย โดยขอให้คนที่มีข้อมูลส่งตรงมาที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมเคลียร์ให้
นั่นก็เป็นอะไรที่สะท้อนว่าหัวหน้า คสช.ก็รู้ “จุดเสี่ยงตาย”
พยายามผ่องถ่ายแรงกระแทกที่พุ่งตรงเข้าใส่ “พี่ใหญ่” โจทย์ยากสุดในการปรับ ครม.รอบนี้
และนั่นก็โยงไปถึงจุดที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดเป็นเชิงออกตัว ถึงเสียงเรียกร้องให้รับผิดชอบกับโฉมหน้าการปรับ ครม.ที่ออกมาเป็นนัยว่า ตนเองแบกรับภาระความรับผิดชอบมาตั้งแต่การตัดสินใจยึดอำนาจในเดือนพฤษภาคม 2557 แล้ว
นั่นหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ก็พร้อมรับผิดชอบกับผลที่ออกมาแต่ผู้เดียว
ภายใต้เงื่อนสถานการณ์ที่ยังมีแค่ “ลุงตู่” คนเดียวที่เหมาะสุดกับสภาวการณ์ประเทศยามนี้
และนั่นก็เป็นอะไรที่สังคมทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับเงื่อนไขความจำเป็นของ “นายกฯลุงตู่” ที่แม้โดยลำพัง
ส่วนตัวจะมีคะแนนต้นทุนหน้าตักสูง กระแสการยอมรับจากสังคมอยู่ในระดับติดลมบน แต่โดยเกมอำนาจที่เสี่ยงไปโดยลำพังไม่ได้ ในเมื่อมีแก๊งวางตะปูเรือใบดักอยู่สองข้างทาง
ไม่เว้นแม้แต่แนวร่วมข้างเดียวกันเองที่จ้องเสียบทุกจังหวะ
มันจึงจำเป็นอย่างที่เรียกว่า “ขาดไม่ได้” ต้องพึ่ง “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร ผู้มากบารมี กว้างขวางในทุกวงการ คอนเน็กชั่นแน่นปึ้กทั้งในกองทัพและขุมข่ายเชื่อมโยงทางการเมือง และยังรวมไปถึง “พี่รอง” อย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย คนที่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นแท่น ผบ.ทบ.
แต่นอกจากเรื่องพี่ๆน้องๆ ต้องยอมรับว่า การขยับยกเครื่อง ครม.รอบนี้
“นายกฯลุงตู่” ก็ยอมใส่เกียร์ถอยในหลายๆจุด
อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์แบไต๋แล้วว่า การปรับ ครม.รอบนี้มีรัฐมนตรีสายทหารออกน้อยกว่าเข้า นั่นหมายถึงการทำตามกระแสสังคมที่เรียกร้องให้ลดโควตารัฐมนตรีทหารที่ไร้ผลงาน เพิ่มมือบริหารอาชีพเข้ามาช่วยเสริมงานรัฐบาล
หรือการจำใจขยับเพื่อนรักอย่าง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ออกจากจุดเดิม เปิดพื้นที่ให้กัปตันทีมเศรษฐกิจอย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ มีความคล่องตัวในการสั่งการเชื่อมประสานกับกระทรวงพาณิชย์ ในการเดินหน้าภารกิจแก้ปมพืชผลเกษตรราคาตกต่ำ แก้ลำขบวนการปลุกม็อบยางพารา ข้าว มันสำปะหลัง มาขย่มรัฐบาล
สถานการณ์ของคนกำลังโดนรุกไล่ “ลุงตู่” ต้องเดินเกมอย่างระมัดระวัง
ขืนถอยหลายก้าวพร้อมกันเดี๋ยวหงายท้อง.
ทีมข่าวการเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น