PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2561

ประเดิมปีจอ “แกะรอย” คสช.เปิดไต๋ต่อท่ออำนาจ : เก็งหวยประยุทธ์ มุดช่องการเมือง

ประเดิมปีจอ “แกะรอย” คสช.เปิดไต๋ต่อท่ออำนาจ : เก็งหวยประยุทธ์ มุดช่องการเมือง


เปิดศักราชปีจอ พ.ศ.2561

ซึ่งแค่เริ่มต้นมา เรื่องหมาๆก็ทำวุ่นตั้งแต่ต้นปี

ควันหลงต่อเนื่องจากปลายปีที่ผ่านมา กับช็อตที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
หัวหน้า คสช. ควักกระเป๋าเงินส่วนตัวซื้อลูกสุนัขพันธุ์บางแก้ว 3 ตัว ให้ตัวเอง 1 ตัว อีก 2 ตัวที่เหลือแจกให้ “บิ๊กนมชง” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ กับ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย

สนนราคาตัวละ 6,000 บาท โดยที่ “บิ๊กตู่” ควักจ่ายไป 25,000 บาท

และนั่นก็พลาดเข้าเหลี่ยม “นักร้อง” ขาประจำอย่างนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ลากปมเข้าประเด็นปัญหาทางกฎหมาย ที่เข้าข่ายเป็นการให้หรือรับของขวัญที่เป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดมูลค่าเกินกว่า 3,000 บาท

ตีปี๊บให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบ

“บิ๊กตู่” ต้องตอบนักข่าวที่จี้ถามรายวัน ถึงขั้น โบ้ยจะขายต่อกันให้วุ่นวาย เรื่องขี้หมูขี้หมากลายเป็นแรงกระแทก ทำให้ผู้นำทหาร คสช.เสียหลักเสียอาการทรงตัว

เพราะมันเป็นจังหวะสถานการณ์นัวเนียต่อเนื่อง จากคิวที่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อวยพรปีใหม่เป็นนัยเตือนผู้นำรัฐบาล คสช.

“ตู่” ใช้กองหนุนไปหมดแล้ว

แนวโน้มตามรูปการณ์เหมือน “ป๋าเปรม” เขี่ยลูกให้ขบวนการหมั่นไส้ โดยเฉพาะแนวร่วมฝั่งที่โค่นระบอบทักษิณมาด้วยกัน ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรฯ ทหารเฒ่าสายลูกป๋าได้โอกาสโหนกระแส

แห่วาทะเจ้าบ้านสี่เสาฯสอยปลายคางผู้นำรัฐบาลและทีมงาน คสช.

ล่อเป้ากันแบบมันมือมันปาก

ถือโอกาสทวงแค้นคิดบัญชีทบต้นทบดอกจากอาการไม่พอใจการแชร์อำนาจและผลประโยชน์

พล.อ.ประยุทธ์โดนตุ้บตั้บซ้ายขวา มึนไปหมด

อย่างไรก็ตาม ก็มีการชี้แจงในภายหลังจากเจ้าตัว “บิ๊กตู่” ยืนยันว่า ตัวเองและคณะรัฐมนตรีที่ไปอวยพรปีใหม่ เข้าใจคำว่า กองหนุน หมายความว่าเราได้เอาทุกคนมาช่วยขับเคลื่อนประเทศไปแล้ว

พล.อ.เปรม คงไม่ได้มีเจตนาอะไรที่จะมองในเรื่องไม่ดี

แต่มันบังเอิญไปเข้าเหลี่ยมนักการเมืองอาชีพฉวยโอกาสตีกินกระแสไปเต็มๆ

ตามเกมแห่กระแสขาลงรัฐบาล

อย่างไรก็ดีสถานการณ์เริ่มต้นปีใหม่ 2561 มา ประเมินเสียงจากฝ่ายคุมเกมอำนาจ คสช.ทั้ง
พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ก็ยังยืนยันการเลือกตั้งตามโรดแม็ป เหลือแค่รอกระบวนการจัดทำกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อย

นั่นจะถึงเวลากดปุ่มปล่อยไฟเขียวเลือกตั้ง

แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีกระแสอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่ชัวร์ เพราะกลัวเหตุการณ์คาดไม่ถึง

โดยเฉพาะกฎหมายลูกเลือกตั้ง ส.ส. และที่มา ส.ว. ถ้ามีอันสะดุดหรือถูกคว่ำในสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ (สนช.) การเลือกตั้งก็ต้องยื้อออก ไปตามเงื่อนไขที่เลี่ยงไม่ได้

ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ออกตัวไว้แล้ว เป็นสถานการณ์เหนือการควบคุม

หัวหน้า คสช.กดปุ่มคอนโทรล สนช.ไม่ได้

พูดง่ายๆ “นายกฯ ลุงตู่” ไม่ผูกมัดตัวเอง ไว้กับปัจจัยการเลือก ตั้งที่อาจพลิกผัน เพราะนั่นจะยิ่งทำให้เสี่ยงกับวิกฤติความน่าเชื่อถือในตัวผู้นำ

ถึงเวลาหากมีเหตุจำเป็นให้การเลือกตั้งต้องยื้อออกไป

แต่ในขณะที่กำหนดการเลือกตั้งยังลงวันเวลาไม่ได้ มันกลับมาช็อตไฮไลต์ที่เรียกเสียงฮือฮา เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับแบบเต็มปากเต็มคำเลยว่า

“เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหารมาก่อน”

พร้อมประกาศเสียงเข้ม ขอรับผิดชอบหน้าที่นี้ด้วยความจำเป็นเท่าชีวิต

โดยถือฤกษ์ประเดิมศักราชปีหมา เลือกจังหวะประกาศหลังการประชุม ครม.นัดแรกของปี 2561 เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการที่ พล.อ.ประยุทธ์แสดงตัวแสดงตน เป็นนักการเมืองอย่างเต็มตัว

จากที่ตั้งแง่รังเกียจ แสดงอาการเกลียดกลัวนักเลือกตั้งอาชีพมาตลอด

แน่นอนมันคงมาถึงช็อตสำคัญที่ “บิ๊กตู่” ต้องเล่นตามเชิงยุทธศาสตร์

ประกาศให้รับรู้โดยทั่วกัน

เป็นจังหวะการตั้งลำ เริ่มเดินหมากกระดานอำนาจที่วางไว้ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ

ตามเส้นทางที่สะกดรอยตามกันมาตั้งแต่ร่องรอยในคำถามพ่วงประชามติ ต่อเนื่องมาถึงการตั้ง 10 คำถามให้ประชาชนตอบ เป็นทำนองโยนหินหยั่งกระแส

ถึงเวลาเฉลย พล.อ.ประยุทธ์แบไต๋ต่อท่ออำนาจชัดเจนแล้ว

และตามแนวโน้มสถานการณ์หลังจากผู้นำ คสช.ประกาศท่าทีทางการเมือง มันก็หนีไม่พ้นต้องตามแกะรอยต่อไปถึงเส้นทางการเข้าสู่สถานะผู้นำอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่าน

อ่านกันตามประตูที่รัฐธรรมนูญเปิดช่องไว้ก็มีอยู่ 2 ทาง

เส้นทางลัด รอเทียบเชิญใส่คานหาม เป็น “นายกรัฐมนตรีคนนอก”

หรือเส้นทางแบบตรงไปตรงมาตามถนนสาย ประชาธิปไตย เป็นนายกรัฐมนตรีคนใน พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องมีพรรคการเมืองเป็นฐานสนับสนุนในสภาฯ และมีชื่ออยู่ในบัญชีที่เสนอเป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่ “บิ๊กตู่” จะเป็นหัวหน้าพรรคเองหรือไม่เป็นก็ได้ และไม่จำกัดว่าจะต้องลงสมัคร ส.ส.

แน่นอน กรณีที่ “บิ๊กตู่” ต้องมีพรรคการเมืองเป็นฐานสนับสนุนในสภาฯ ไม่ได้มองแค่การโหวต เลือกนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่มองข้ามช็อตไปถึงสถานการณ์บริหาร

ถ้าผู้นำ คสช.ไม่มีเสียง ส.ส.ในมือ มีหวังโดน นักการเมืองต้อนตายคาเขียงแน่

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าประเมินจากอาการที่ พล.อ.ประยุทธ์ แบะท่าในงานเลี้ยงปีใหม่กับสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล พูดเป็นเชิงรัฐธรรมนูญเปิดช่องนายกฯคนนอกไว้

ที่ไม่พูดชัด เพราะไม่ปิดทางตัวเอง

เบื้องต้นน้ำหนักของ “นายกรัฐมนตรีคนนอก” มากกว่า “นายกรัฐมนตรีคนในลิสต์พรรคการเมือง”

เรื่องของเรื่อง ไม่ว่านายกรัฐมนตรีคนนอกหรือนายกรัฐมนตรีคนใน ว่ากันตามเงื่อนไขไฟต์บังคับในการบริหาร พล.อ.ประยุทธ์ ก็จำเป็นต้องมีพรรคการเมืองเป็นต้นทุนหน้าตัก พรรคทหาร พรรคนอมินี ต้องมีอะไหล่สำรองไว้

ป้องกันไม่ให้โดนไล่ต้อนในสภา

แต่ก่อนอื่นเลย เมื่อ พล.อ. ประยุทธ์ประกาศตัวแสดงตนเป็นนักการเมืองชัดเจน มันก็เป็นอะไรที่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับแรงเสียดทานที่ยกระดับขึ้นตามธรรมชาติ

รายการรับน้องจากขาใหญ่เจ้าถิ่น ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย จัดเต็มแน่จากนี้ไป

ไม่ต้องเกรงใจสถานะนายกฯอำนาจพิเศษกันแล้ว

แนวโน้มแบบที่เห็นกัน แค่เรื่องลูกหมาแท้ๆ ยังเล่นเอา “บิ๊กตู่” เสียอาการทรงตัว

ต้องเคลียร์กระแสกันเหงื่อตก

สถานะของผู้นำรัฐบาลทหารช่วยอะไรไม่ได้เลย

และก็เดาพล็อตเรื่องล่วงหน้าได้ จากนี้ไปประเด็นเกี่ยวกับพฤติกรรม วีรกรรมของเพื่อนพ้องน้องพี่ โดยเฉพาะคนนามสกุล “จันทร์โอชา” ที่ส่อไปในทางลบ

จะถูกลากเอามาประจาน โยงเข้าหา “นายกฯลุงตู่” ทุกกรณี

กระตุกเสียง “ยี้” ผู้นำทหาร

ยิ่งในยุคโซเชียลมีเดียทรงอิทธิพล สังคมสว่างไสว ไม่มีจุดมืดให้ทำอะไรลับๆล่อๆ

“ลุงตู่” ส่อต้องโดนสะเก็ดระเบิดจากคนรอบข้างอีกหลายแผล.

“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: