PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เกิดอะไรขึ้นในพลังประชารัฐ

สนิมเกิดแต่เนื้อในตน...

คงจะมาอีหรอบนี้แหละครับ...ปัญหาขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ แต่คงไม่ถึงขั้นที่จะแยกตัวออกไปจากพรรค

เพราะคงไม่คิดสั้นถึงขนาดไม่ร่วมรัฐบาล

จะไปทางไหนจะไปเป็นฝ่ายค้านก็คงจะเสียค่าโง่หนักเข้าไปอีก เนื่องจากจะไปร่วมงานกับเพื่อไทย อนาคตใหม่นั้นคงจะเข้ากันไม่ได้

การต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมานั้น โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่ผ่านมาห้ำหั่นกันแบบเอาเป็นเอาตายมาแล้ว

แต่คงเป็นปัญหาขัดแย้งภายในมากกว่ายิ่งฟังเสียงนายอนุชา นาคาศัย กรรมการบริหารพรรค ที่มีข่าวว่าจะหลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรี

มันบ่งบอกหรือชี้เบาะแสว่าเกิดอะไรขึ้น

“มีกลุ่มการเมืองบางกลุ่มในพรรคคอยรังแกพวกตนอยู่ตลอดเวลาที่เรียกพวกตนว่ากลุ่มสามมิตร ทั้งๆที่เป็นคนของพรรคและเป็นลูกน้องของนายกฯเหมือนพวกเขา ยังคอยรับใช้พวกคุณทำงานให้ทุกเรื่องที่พวกคุณต้องการ ยังคอยรับใช้ให้ทุกเรื่องที่พวกคุณต้องการ”

“จนประสบความสำเร็จให้พวกคุณทุกเรื่อง”

“แต่ก็ยังรังแกให้ร้ายโจมตีต่อผู้ใหญ่ ใช้สื่อโจมตีเสนอแต่เรื่องไม่ดีไม่จริงให้นายกฯและผู้ใหญ่ที่น่านับถือฟังเสียจนพวกตนเป็นคนที่น่ารังเกียจ คิดว่าถ้าพวกคุณรักนายกฯ หรือผู้ใหญ่ที่น่านับถือจริง ขอได้โปรดหยุดการกระทำเหล่านั้นนับแต่บัดนี้”

“พวกคุณอาจลืมว่าเคยใช้อะไรผมไว้บ้าง ทิ้งอะไรไว้ที่ผมบ้าง ถ้าผมโดนรังแกจนทนไม่ได้พวกผมจะให้พวกคุณมีข่าวดังระดับชาติเป็นแน่แท้ ผมเอาแน่ถ้ายังรังแกพวกผมอีก”

“พวกผมจะไม่ทน และตอนนี้...จะทนไม่ไหวแล้ว”

แม้นายอนุชาจะเปิดอกเปิดใจอีกหลายเรื่องหลายประเด็น แต่ที่ยกตัวอย่างแค่นี้ก็พอจะมองเห็นภาพปัญหาขัดแย้งภายในพรรคได้อย่างแจ่มชัด

ว่าที่จริงแล้วเท่าที่ติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นมีปัญหามาตลอด เพียงแต่ยังไม่มีใครนำมาพูดถึง

จนกระทั่งมาถึงเหตุการณ์การถูกเปลี่ยนกระทรวง หลุดโผรัฐมนตรี นั่นแหละคงไม่ทนเก็บเอาไว้ได้แล้ว

นี่จึงเป็นเรื่องที่ “นายคนเดียวกัน” คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และในฐานะผู้นำพรรคโดยปริยายที่จะต้องเร่งสะสางก่อนที่ความเป็น “เอกภาพ” จะล้มละลายไปเสียก่อน

ก็ด้วยความเป็นมาของพรรคพลังประชารัฐนั้นด้วยวัตถุประสงค์และเป้าหมายเพื่อเอาชนะเลือกตั้ง

ลงลึกมากไปกว่านั้นก็คือล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” ให้ได้

การระดมนักการเมืองทั้งจากรุ่นเก่า รุ่นใหม่จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง หรือแม้แต่ศิษย์เก่าจากฝ่ายตรงข้ามก็ยังจำเป็น ต้องกระทำ

เพื่อให้ตั้งพรรคได้ผลก็เลยกลายเป็นว่าแมวขาว แมวดำ แมวเทา ก็เอาทั้งนั้น เพราะมิฉะนั้นไม่มีทางชนะเลือกตั้งได้

เมื่อมารวมกันในลักษณะนี้จึงเกิดปัญหาอย่างเลี่ยงไม่พ้น

ระดับแกนนำในระดับหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค จากกลุ่ม 4 รัฐมนตรีนั้นก็เป็นเพียงเพื่อก่อให้เกิดพรรคเท่านั้น

แต่ไม่มีอำนาจตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด เพราะผู้ตัดสินใจได้ก็มีเพียงแค่ พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เท่านั้น

เป็นความจริงทางการเมืองในพลังประชารัฐแกนนำรัฐบาล.

“สายล่อฟ้า”

ไม่มีความคิดเห็น: