PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560

วงค์ ตาวัน : การเมืองเรื่องธรรมกาย

เป็นที่สงสัยกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง ว่าเหตุใดการจับกุมธัมมชโยและการตรวจค้นวัดธรรมกาย จึงได้ดำเนินการกันอย่างเอาเป็นเอาตายทุ่มเทกำลังหน่วยปฏิบัติการอย่างเกินปกติ ถึงขั้นที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. โดดลงมาเล่นเอง ด้วยการเซ็นคำสั่งใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อประกาศให้พื้นที่ธรรมกายและรอบๆ เป็นพื้นที่ควบคุม
จนเปรียบกันว่า ราวขี่ช้างจับตั๊กแตน
จะจับธัมมชโยคนเดียว แต่เสมือนเปิดยุทธการกวาดล้างกันทั้งวัด
แถมนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะปฏิวัติ เปิดหน้าออกมาชนเอง
“ดังนั้น งานนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแค่ล่าผู้กระทำผิดฐานรับของโจร ฟอกเงิน รุกป่า และข้อหาอื่นๆสารพัดเท่านั้นแล้วกระมัง!?”
อันที่จริงอาจจะพอเห็นคำตอบอยู่ หากย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงก่อม็อบชัตดาวน์ เพื่อทำทุกอย่างให้สถานการณ์ถึงทางตัน เพื่อเปิดทางให้ทหารเข้ามาปฏิวัติ
ตอนนั้นเหล่าผู้นำม็อบ มีความอาฆาตแค้นในเจ้าหน้าที่ตำรวจหนึ่ง และพระอีกหนึ่ง
ตำรวจนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นหน่วยกำลังที่ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยให้กับบ้านเมือง ตามคำสั่งของรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างเข้มแข็ง จนทำให้แผนล้มประชาธิปไตยไม่บรรลุง่ายๆ ยืดเยื้อยาวนานหลายเดือน กว่าจะถึงจุดที่ทหารยอมออกมายึดอำนาจ
“พอรัฐบาลประชาธิปไตยโดนล้มสำเร็จ ฝ่ายที่ถือว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ ก็พุ่งเป้าจะต้องจัดการกับองค์กรตำรวจให้สาสมให้ได้ ต้องผ่าตัดลดทอนให้กลายเป็นหน่วยเล็กลง ไร้กำลังอำนาจให้ได้”
เช่นเดียวกับพระ
โดยเฉพาะกรณีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง วัดปากน้ำภาษีเจริญ ซึ่งขณะที่กำลังชัตดาวน์กันนั้น ท่านดำรงฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช แล้วได้ออกคำแถลงขอบิณฑบาตทุกฝ่าย ให้ถอยกลับไปยังที่ตั้ง เพื่อให้บ้านเมืองเข้าสู่ความสงบ และเป็นไปตามระบบปกติ
นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่ง ที่แกนนำม็อบนกหวีดบางราย จดจำไม่ลืมเลือน และจะต้องชำระสะสางให้ได้เมื่อเป็นผู้ชนะ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า เมื่อมีสภาแต่งตั้งเกิดขึ้น บรรดาผู้มีบทบาทในการก่อม็อบจนนำมาสู่การปฏิวัติรัฐประหาร ได้เข้ามามีบทบาทกันพร้อมหน้า
“พร้อมกับเดินหน้าปฏิรูปตำรวจและปฏิรูปสงฆ์อย่างฉับพลันทันที!!”
ราวกับว่าทั้งประเทศ มี 2 วงการนี้เท่านั้น ที่จะต้องเร่งปฏิรูปให้ได้

ถือว่าเป็นเรื่องที่ติดพันฝังแค้นมาจากการต่อสู้เพื่อล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นเอง

การปฏิรูปสงฆ์นั้น ดำเนินไปพร้อมกับการโหมคดีรถโบราณที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่สมเด็จช่วง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สังฆราช เป็นเจ้าอาวาสอยู่ โดยกลไกรัฐที่เดินเครื่องเรื่องนี้อย่างสุดตัวก็คือ ผู้มีอำนาจในกระทรวงยุติธรรม และกรมสอบสวนคดีพิเศษ หน่วยงานทรงอำนาจของรัฐมนตรีกระทรวงนี้
เดินหน้าสอบคดีรถโบราณอย่างอึกทึกครึกโครม ซึ่งแน่นอนมีผลกระทบต่อสมเด็จช่วง
“จากนั้นกระบวนการชำระสะสางวงการสงฆ์ ก็ขยายวงไปยังวัดธรรมกาย เพราะเป็นที่รู้กันว่าวัดปากน้ำภาษีเจริญ คือต้นธารของวัดธรรมกาย”
ขณะเดียวกัน ภายในหมู่แกนนำ คสช. นั้น มีแกนนำบางรายที่มีแนวทางสายเหยี่ยว พุ่งเป้ากวาดล้างขั้วการเมืองตรงข้ามแบบไม่มีปรานีปราศรัย ได้ระดมทีมสืบสวนเพื่อจะเอาผิดกับธัมมชโยและวัดธรรมกาย ตั้งแต่หลังยึดอำนาจเสร็จสิ้นไม่นานแล้ว
จึงจะเห็นได้ว่า กระบวนการล้มรัฐบาลประชาธิปไตย และแกนนำ คสช. บางคน มองธัมมชโยและวัดธรรมกาย เป็นเป้าหมายที่จะต้องจัดการอยู่โดยตลอด
“รวมทั้งยังเชื่อกันว่าวัดธรรมกาย เป็นฐานกำลังอีกส่วนหนึ่งของขั้วการเมืองที่เป็นศัตรู!”
เราจึงเห็นได้ว่า เมื่อทันทีที่รัฐบาล คสช. ลงมือจัดการกับธัมมชโย คนที่ดาหน้าออกมาสนับสนุนและรุมถล่มธรรมกาย ล้วนแต่กลุ่มฝ่ายขวาฝ่ายแนวคิดอนุรักษนิยมการเมืองที่เกลียดชังทักษิณทั้งสิ้น
กระแสในโซเชียลมีเดีย หากเป็นฝ่ายนกหวีด ฝ่ายขวาจัด
“จะมาแนวเดียวกันโดยพร้อมเพรียง นั่นคือ ถล่มธัมมชโยและธรรมกายไม่มียั้ง สนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ให้จัดการให้สิ้นซาก ถึงขั้นเรียกร้องให้สลายลัทธิธรรมกายให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด”
ยิ่งมองเห็นได้ชัดว่า ปฏิบัติการล่าธัมมชโยและจัดการกับธรรมกาย ถูกกำหนดด้วยเป้าหมายทางการเมือง
เป้าหมายที่จะต้องกวาดล้างขั้วการเมืองขั้วนี้ให้หมดสิ้นไปให้ได้
การจัดการกับเรื่องนี้ จึงมุ่งไปยังประเด็นใหญ่เกินกว่าปกติ ผิดเพี้ยนไปตั้งแต่แรกเริ่ม

เพราะมีธงการเมืองเรื่องธรรมกายเป็นตัวกำหนด!


ความจริง ธรรมกายนั้นมีปัญหาไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมจำนวนมากมายาวนาน ในประเด็นการบิดเบือนหลักธรรม การเน้นเงินทองและสิ่งปลูกสร้างใหญ่โต การขยายสำนักสาขา ที่ขัดแย้งกับคนท้องถิ่น และน่าสงสัยเรื่องการรุกป่า
แต่ธัมมชโยและธรรมกายเอง ก็มีสาวกที่เลื่อมใส อยู่มากมายเช่นกัน เป็นจำนวนนับล้านคน
การตรวจพบเรื่องเงินบริจาคจากการทุจริตในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ทำให้ธัมมชโยต้องโดนข้อหารับของโจร ฟอกเงิน เป็นคดีที่ทั่วสังคมไม่ประหลาดใจ
เพราะธัมมชโยนั้นเน้นเรื่องเงินทองก้อนโตอยู่แล้ว อีกทั้งเมื่อเกิดการทุจริตเงินของประชาชนที่เป็นเหยื่อในสหกรณ์ดังกล่าว
“ยิ่งทำให้ผู้ได้รับความเสียหายจากการเป็นสมาชิกสหกรณ์ สนับสนุนให้ดำเนินคดีกับธัมมชโยอย่างจริงจัง”
แต่หากเริ่มต้น ด้วยการเดินหน้าคดีฟอกเงิน รับของโจรนี้ อย่างเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย ทุกอย่างน่าจะง่ายกว่านี้
“หรือเมื่อพบว่า มีการเข้าไปบุกรุกป่า แล้วถูกดำเนินคดีไปตามเนื้อผ้า ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องลุกลามบานปลาย”
แต่เพราะฝ่ายผู้มีอำนาจบางคน มีเป้าหมายทางการเมือง มีอคติเรื่องขั้วการเมืองตรงข้าม และมองว่าสำนักนี้เป็นพวกเดียวกับศัตรูใหญ่ทางการเมือง
กระบวนการจัดการกับผู้ต้องหาฟอกเงิน และรุกป่า จึงไม่เป็นไปตามปกติ
“เรื่องเล็กจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่”
ขณะเดียวกัน หลังจากพยายามเข้าตรวจค้นเพื่อจับกุมตัวในวัด ไม่สำเร็จหลายครั้ง กลายเป็นหนังยาวข้ามปี
จนในที่สุดได้มีปฏิบัติการหนล่าสุด แถมหัวหน้า คสช. เซ็นคำสั่งเปิดตัวออกมาเล่นเอง
“คราวนี้เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่และประหลาดในสายตาประชาชน”
ด้านหนึ่งคงเพราะ ก่อนหน้านี้ตำรวจรายงานตลอดว่า จากการส่งสายเข้าไปหาข่าวในวัด สรุปได้ว่า มีการปิดลับเรื่องตัวธัมมชโยอย่างสูงสุด ยากที่จะไปค้นหาตัว
แต่ต่อมามีหน่วยข่าวอีกหน่วย รายงานเรื่องการเข้าไปตรวจสอบโรงครัว ยืนยันว่ามีการจัดอาหารเมนูพิเศษให้ธัมมชโยอยู่ทุกวัน เชื่อว่าต้องอยู่ในวัดเป็นแน่
“นี่อาจเป็นที่มาของปฏิบัติการบุกใหญ่หนนี้ แถมยังดึงทหารกองทัพภาค 1 เข้ามาร่วมปฏิบัติการด้วย คงมุ่งหวังให้จริงจังจบสิ้นเสียที”
ที่แน่ๆ อีกประการ คนใน คสช. บางคนยังคาดหวังว่า ในช่วงขาลง ที่รัฐบาลกำลังประสบปัญหาหลายด้าน จนคะแนนนิยมตกวูบ
ถ้าได้ผลงานชิ้นนี้สักชิ้น มีปฏิบัติการที่เป็นข่าวใหญ่ดึงดูดความสนใจของประชาชนได้หลายวันต่อเนื่อง

ถือว่าจำเป็นต้องลุยกับธัมมชโยและธรรมกายอย่างคึกคักโครมครามเช่นนี้เอง!
ที่มา: https://www.matichonweekly.com/in-depth/article_26365

ไม่มีความคิดเห็น: