PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2561

ที่สุดแห่งปี 2560 ในแวดวงการเมือง

ที่สุดแห่งปี 2560 ในแวดวงการเมือง


พัฒนาการทางการเมืองไทยหยุดชะงักมาหลายปี แต่ทว่ารอบปฏิทินปีระกา 2560 กลับเริ่มมีความเคลื่อนไหวให้คนในแวดวงการเมืองคอยเฝ้าจับตา
นับตั้งแต่กติกาว่าด้วยเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่ การทำคลอดกฎหมายลูกต่างๆ ตลอดจนแนวทางบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลทหาร ที่เป็นสัญญาณบอกทิศทางแห่งวิถีประชาธิปไตย ว่าจะเป็นไปได้ตามโรดแม็ปจริงหรือไม่
โดยเฉพาะรอบใหม่ของปีจอที่กำลังจะมาถึง จะเดินหน้าไปตามวิถี หรือสะดุดอยู่กับที่ในเกมยื้ออย่างที่นักประชาธิปไตยหวั่นเกรงกัน
ปรากฏการณ์ทางการเมือง “ที่สุดแห่งปี 2560” จะเป็นข้อมูลให้คอการเมืองเห็นภาพช็อตต่อไปได้ชัดเจนทีเดียว...
ปักหมุดวันเลือกตั้ง

นับตั้งแต่เปิดศักราชปี 2560 ภารกิจที่ได้คืบหน้าเห็นผลมีหลายประการ
รัฐบาลนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ที่ยังคงกุมบังเหียน สะกดเหล่านักการเมืองตัวพ่อที่หมั่นทวงถาม “ขอปลดล็อก” เพื่อผ่อนคลายให้พรรคการเมืองได้ทำกิจกรรมเตรียมลงสนามเลือกตั้ง หลังรัฐธรรมนูญใหม่และกฎหมายพรรคการเมืองประกาศใช้
เจ้าตัวได้แต่ออกลีลาติ๊ดชึ่ง อ้างถึงแต่สถานการณ์ที่ยังไม่สงบ
หากทว่า เรื่องกลับไปจบตรงที่รัฐบาลขยันเดินสาย “ครม.สัญจร” ลงพื้นที่ต่างจังหวัด ขึ้นเหนือ–ล่องใต้ อีสาน ภาคกลาง ตามงานตรวจ เยี่ยมชาวบ้าน แถมจัดโปรโมชั่นใหม่ตามสไตล์ “ประชานิยม”
ถึงคราวทำแบบสำรวจผลโพลทุกระยะ คะแนนนิยมเลยพุ่งนำโด่งแซงหน้า “กลุ่มเจ้าเก่า” ไปไกลลิบ ปลายปีหยิบคำถาม 4 บวก 6 เช็กเรตติ้ง พร้อมชิงไหวชิงพริบตอบโต้ข่าวคว่ำร่างกฎหมายลูกหวังยื้อ เวลาเลือกตั้ง
กลุ่มที่ระแวงแคลงใจย่อมไม่พ้น “นัก การเมือง” ผลัดหน้ากันทวงหาความชัดเจนจากปาก “ผู้นำท็อปบู๊ต”
ท้ายสุด บินลัดฟ้าเยือนสหรัฐอเมริกา เข้าทำเนียบขาว กระทบไหล่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ลั่นคำมั่น “จะประกาศวันเลือกตั้งให้ชัดเจนในปีหน้า” ทั้งที่บทสนทนาไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองไทย
แถมก่อนกลับกลุ่มคนไทยที่ส่งเสียงเชียร์ ว่าหากเลือกตั้งจะบินไปเทคะแนนให้ นายกฯประยุทธ์รับคำสั้นๆ “จ้ะ” แต่ก็ทำสะดุ้งมาถึงกลุ่มคนไทยอีกซีกโลก
พร้อมกลับมาประกาศเปรี้ยง การเลือกตั้งจะมีขึ้นเดือน พ.ย.2561!!!
จัดทัพใหม่

ขยับอีกก้าวก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง จากที่เคยปรับ ครม.หวังเพื่อแค่สอดรับต่อการบริหารงานแผ่นดิน
แต่ก่อนสิ้นปี มีสัญญาณบวกถึงนักการเมืองทั้งเก่าและใหม่ให้เตรียมลงสนาม
การปรับคณะรัฐมนตรีหนนี้ จึงไม่ได้จบเพียงแค่งานประจำ แต่ต้องทำแบบ “เชิงรุก-บุกหนัก” นับตั้งแต่วันรับตำแหน่ง เพราะยังต้องแข่งขัน ต่อสู้กับปมปัญหา และความท้าทายทุกสถานการณ์ที่จะตามมา
“ครม.ประยุทธ์ 5” จึงปรับขุนพลขนานใหญ่ จัดทัพให้ตรงตามสเปก ไม่หวังแค่เรียกความเชื่อมั่น แต่เป็นปัจจัยชี้ชะตา คสช.และรัฐบาล
วันประชุม ครม.นัดสุดท้ายก่อนปรับทัพ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ต้องแจงเหตุผลกับขุนพลทีมเก่าให้เข้าใจ
“จำเป็นต้องปรับเพื่ออนาคต ขออย่าโกรธเคือง น้อยใจ ยึดความเหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่เช่นนั้นทุกอย่างที่ทำมาจะเสียของ และการปรับ ครม.ครั้งนี้ เสียใจมากกว่าใคร”
ยิ่งปรับ ครม.ครั้งใหญ่ ต้องยอมให้ถอนขุนพลลดหั่นโควตาท็อปบู๊ต เสริมทัพด้านงานเศรษฐกิจ แก้โจทย์ยาก–จุดบอด ทั้งปัญหาปากท้อง ราคาพืชผลการเกษตร
ส่วนทัพใหญ่ฝ่ายความมั่นคง ไม่แตะต้อง เพื่อนพ้องน้องพี่ กอดคอ กันต่อไป
ศกหน้าชี้ชะตา ศึกเดิมพันอนาคตทั้งรัฐบาลและ คสช.!!!
เครื่องสะดุด
บอกว่าคนเก่า-ระบบเก่าไม่เข้าท่า “บิ๊กท็อปบู๊ต” เลยขันอาสาเข้ามายกเครื่อง ทั้งเรื่องคนและระบบงาน
เดินเครื่องมา 3 ปี ยังมีอาการกระตุกให้เห็นอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะฟันเฟือง “เหล่าขุนพล”
ใช่ว่าจะไร้ผลงานหรือบริหารราชการไม่เข้าตา แต่ยังปัญหาในรูปแบบเดิม
รายแรกคือ “พี่ใหญ่” ขุนพลข้างกายของ “ท่านผู้นำ” จะทำอะไรก็ไม่พ้น เป็นเป้านิ่ง ยิ่งรอบปีระกา “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม
ถูกโจมตีหลายระลอก ทั้งเรื่องจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ในหลายลอต ช็อตให้สัมภาษณ์กรณีการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร ถูกวิจารณ์ขรมเพราะพลั้งปากว่า “ผมก็เคยโดนซ่อมเกินกำลังจะรับได้ จนสลบเหมือนกัน แต่ผมไม่ตาย” สุดท้าย “พี่ใหญ่” ต้องยอมออกมาขอโทษ
แต่ที่โหดหน่อยคือ กรณี “แดดส่องตา” เลยได้โชว์นาฬิกาสุดหรูบนข้อมือกับแหวนเพชรเม็ดโตอย่างไม่ตั้งใจ จนโดนร่ายยาว แถมโดนสาวไปถึงรายการ “ยื่นทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.”
ส่วนอีกราย “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ก็เจองานเข้าหนักไม่แพ้กัน
ทั้งปมร้อนปล่อยให้เอกชนขาใหญ่เข้าใช้พื้นที่ป่าชุมชน กระแสค้านกระหึ่มจนต้องยกเลิก
ส่งท้ายปียังร้อนฉ่า ปมปัญหาอนุมัติงบประมาณให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพา สนน ราคา 573 ล้านบาท ทั้งที่ไม่มีหน้าที่ตรวจจับ กับข้อครหาว่าแพงเกิน!!!
บิ๊กขุนพลอีกราย “พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ” เพิ่งย้ายสลับไปนั่งเป็นรองนายกฯ แทนตำแหน่ง รมว.เกษตรฯ กับเหตุผลง่ายๆ ทำอย่างไร ราคายางพาราก็ยังต่ำ ไม่ดีขึ้นสักที
ที่ว่ายกเครื่อง ชูเรื่องปฏิรูป แต่ทุกรูปแบบปัญหาก็ยังวนมาให้เห็นเช่นเดิม!!!
ช็อปกระจาย

ขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐบาลทหาร บริหารประเทศมา 3 ปี โดนเสียดสีในยามจัดซื้ออาวุธเป็นเรื่องธรรมดา
โดยเฉพาะรอบปีล่าสุด “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. แจกโบนัสเหล่าทัพไม่อั้น จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เต็มสตีม
ยกเหตุผลเพื่อรองรับธีมการปฏิรูปโครงสร้างกองทัพ เสริมศักยภาพกำลังรบให้พร้อมเผชิญภัยคุกคาม
ดูตามลิสต์ ดีลที่ฮือฮามากที่สุด คือกองทัพเรือซื้อเรือดำน้ำรุ่น yuan class S26T จำนวน 1 ลำ จากจีนด้วยงบฯ 13,500 ล้านบาท
อ้างความจำเป็นและความมั่นคงทางทะเล แม้จะมีเสียงวิจารณ์ถึงภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง บวกกับปัญหาปากท้องของประชาชน แต่รัฐบาลกลับไม่สะทกสะท้าน
งานเข้าอีกหน กองทัพบก ส้มหล่นเร่งจัดซื้ออาวุธลอตใหญ่ทั้งรถถัง VT–4 จากจีน เม็ดเงิน 7,002 ล้านบาท เฮลิคอปเตอร์ Mi 17VS จากรัสเซียมูลค่ากว่า 5,083 ล้านบาท
แถมผูกพันงบฯปี 61-63 อีก 2.28 หมื่นล้านบาทเพื่อซื้อเฮลิคอปเตอร์ Black Hawk เสริมทัพอีก 4 ลำเม็ดเงิน 3,000 ล้านบาท ซื้อรถยานเกราะ VN 1 จำนวน 34 คัน 2,300 ล้านบาท รถถังแบบเอ็ม 41 อีก 2,000 ล้านบาท
ฟากทัพฟ้าเองก็ใช่ย่อย ปีนี้ของบฯเบาะๆ 8,997 ล้านบาท ซื้อเครื่องบินฝึกขับไล่จากเกาหลีใต้อีก 8 ลำ
คำนวณเบ็ดเสร็จ ปีเดียวกองทัพควักกระเป๋าซื้ออาวุธไปเกือบ 30,000 ล้านบาท
ตลอดศก กองทัพยกพาเหรด ช็อปกันกระจาย!!!
รูดม่านมหากาพย์

“การดำเนินนโยบายสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประเทศ แต่กลับถูกกระทำเช่นนี้ คิดว่าไม่มีใครต้องรับชะตากรรมที่หนักหนามากกว่าดิฉันอีกแล้ว” คำแถลงปิดคดีโครงการรับจำนำข้าวของ “อดีตนายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มรสุมทางการเมืองลูกใหญ่ลูกนี้ ย้อนกลับไปกว่า 2 ปี กับการต่อสู้อันร้อนแรงและยืดเยื้อ จากการตั้งแท่นของ ป.ป.ช. จนถึงมืออัยการสูงสุดที่มีความเห็นยื่นฟ้องต่อศาล ฎีกาฯ เอาผิดฐานปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต คู่ขนานไปกับคำสั่ง ทางปกครองต้องชดใช้ค่าเสียหาย 3.5 หมื่นล้านบาท
สถานการณ์อดีตนายกฯหญิงร้อนระอุ กดดันขึ้นเรื่อยๆ ต้องโชว์ตัวออกงาน เปิดบ้าน เลี้ยงกระแสกองเชียร์ เดินสายไปวัด มีน้ำตาให้เห็นเกือบทุกครั้ง
แม้จะวิจารณ์กันแซดว่า “ยิ่งลักษณ์” มีโอกาสหนีสูง เพราะดูแล้วไม่น่าจะหลุดคดี แต่พฤติการณ์ที่เดินทางไปศาลทุกนัด ยืนยันหนักแน่นว่าไม่ไปไหน ทำให้น้ำหนักเทไปที่การยืนหยัดต่อสู้จนถึงยืดอกเดินเข้าเรือนจำ
แต่แล้ว 25 ส.ค. ถึงวันพิพากษา อดีตนายกฯหญิง หายตัวไร้ร่องรอย ศาลออกหมายจับ ริบเงินประกัน 30 ล้านบาท
ขณะที่วันเดียวกัน ศาลอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตระบายข้าว จีทูที โดยตัดสินจำคุก “บุญทรง เตริยาภิรมย์” อดีต รมว.พาณิชย์ 42 ปี “ภูมิ สาระผล” อดีต รมช.พาณิชย์ 36 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ต่อมา 27 ก.ย. ศาลพิพากษาจำคุก “ยิ่งลักษณ์” 5 ปี ไม่รอลงอาญา
ชะตาชีวิต “ยิ่งลักษณ์” จบที่ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศเหมือนพี่ชาย “ทักษิณ ชินวัตร” ปิดฉากมหากาพย์จำนำข้าว พร้อมพี่น้องอดีตนายกฯ ตระกูล “ชินฯ”!!!
วิบากกรรมพรรคการเมือง

รอบปีนี้ พรรคเพื่อไทยเจอปัญหาประเดประดัง จากคดีจำนำข้าวพ่นพิษทำเสียศูนย์ แถมด้วยข้อหาหนักหน่วงรับของโจร-ฟอกเงิน คดีทุจริตแบงก์กรุงไทย ที่ประเคนให้ “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชาย หัวแก้วหัวแหวนของ “ทักษิณ ชินวัตร” สั่นสะเทือนจนออกอาการเป๋ไปไม่เป็น
ควานหาคนถือธงเดินนำ โดดเด่นกว่าใครชั่วโมงนี้ “หญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่ กทม. ที่ออกแอ็กชั่นชัดเป๊ะ นั่งหัวโต๊ะประชุมบ่อยครั้ง คล้ายนายใหญ่ส่งสัญญาณ ส่วนสปอตไลต์อีกดวงส่องไปที่ “เจ๊แดง เยาวภา” จะหาญกล้าผลักดัน “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” เป็นนายกฯอีกสมัยหรือไม่
ต้องจับตาดูแผนกู้วิกฤติจากแดนไกล
อีกฟากพรรคประชาธิปัตย์ สภาพภายในพรรคง่อนแง่นไม่แพ้กัน ไหนจะเจอคำถามจุดยืนพรรค ขาดน้ำเลี้ยงจนต้องปรับตัวอยู่ในสภาพแบ่งมุ้ง แบ่งพื้นที่ให้รองหัวหน้าแต่ละภาคดูแล
คะแนนนิยมของพรรคและผู้นำอย่าง “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลดฮวบ สวนทางกับบารมีของ “นายหัว” ชวน หลีกภัย ประธานสภาพรรค จนเกิดข่าวสองพรรคใหญ่จับมือชู “นายหัวชวน” ขึ้นนำขบวน
ด้าน “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ แม่ทัพ กปปส. ซุ่มหารือพรรคพวกรอการตั้งพรรคการเมืองที่มีฐาน “มวลมหาประชาชน” รักษาสถานภาพไม่ให้เพลี่ยงพล้ำถูกรุกไล่บนเวทีประชาธิปัตย์ยามนี้ เจอวิบากกรรมพรรคมืออาชีพที่รอการปรับเปลี่ยนในยุคปฏิรูป
คลอดรัฐธรรมนูญ คสช.

หลังรอคอยมานานเกือบ 3 ปี ในที่สุด รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 20 ก็ประกาศใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 6 เม.ย.เบ็ดเสร็จ 279 มาตรา
เป็นหนังยาวยืดเยื้อ จากที่ระดมบุคลากรผู้เชี่ยวชาญถึง 2 ชุด กว่าจะบัญญัติกติกาสูงสุดสำเร็จอีกทั้งยังต้องลุ้นประชามติจากประชาชนเจ้าของประเทศ
ถึงจะนานก็มีดีให้โชว์ ผู้ร่างอย่าง กรธ.คุยฟุ้งว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง” เสริมใยเหล็กสร้างกลไกป้องปรามเข้มข้น ติดดาบ องค์กรอิสระมีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ
แต่ที่โดนถล่มเละ หนีไม่พ้นระบบการเลือกตั้ง ส.ส.บัตรใบเดียว กับการเลือกไขว้ ส.ว.ที่ทำให้เกิดความสับสนเข้าใจคลาดเคลื่อน
หนักหนาสาหัสกว่านั้น 5 ปีแรกให้หัวหน้า คสช.เป็นคนเลือก ส.ว.250 คน แถม ส.ว.มีอำนาจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ส่อสืบทอดอำนาจชัดเจน
ส่วนไม้กายสิทธิ์ มาตรา 44 “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังสามารถกวัดแกว่งแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ยาวไปจนกว่า คสช.จะสิ้นสุดอำนาจ!!!
กฎหมายลูกเจ้าปัญหา

ขั้นตอนการร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญทั้ง 10 ฉบับ ของ กรธ.ดำเนินไปท่ามกลางเสียงอื้ออึงว่าจะถูกคว่ำในท้ายที่สุดโดย สนช. หวังยืดโรดเเม็ปเลือกตั้งสืบอำนาจเอื้อ คสช.อยู่ยาว
ตามเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ ถ้ากฎหมาย 4 ฉบับทั้ง “กฎหมายลูก ส.ส.-ส.ว.-พรรคการเมือง- กกต.” เสร็จไม่ทันตามกรอบ 240 วัน หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ สนามเลือกตั้งเปิดไม่ได้
ร่างตุ๊กตาของ กรธ.เเต่ละฉบับ ถูกถล่มยับเยินข้อหารับงาน คสช.เขียนกติกาบอนไซพรรคการ เมืองเก่า เอื้อพรรคเล็ก–พรรคทหาร
ล็อกสเปกด้วยบัตรใบเดียว หมายเลขต่างเขต ต่างเบอร์ แต่ได้ผลลัพธ์คะเเนนทูอินวันทั้ง ส.ส.เขต และบัญชีรายชื่อ เฉลี่ยเสียงประชาชนเห็นใจผู้แพ้ สกัดพรรคเสียงข้างมากชนะถล่มทลาย เข้ามาคุมสภาเบ็ดเสร็จแบบในอดีต
ไม่เว้นแม้องค์กรอิสระที่ต่างถูกกฎหมายลูกใหม่ล้างบาง โวยวายกันยกใหญ่ เกิดสงครามน้ำลายทิ้งทวน “สองมาตรฐานเขียนกติกาทำลายล้าง”
ส่วนกฎหมายลูก ป.ป.ช.ก็ไม่ต้องสืบค้น คนในเครือข่ายพี่ใหญ่ ถูกส่งตัวเข้ามาคัดท้ายกฎหมาย
วันนี้ประกาศใช้กฎหมายลูกไปแล้ว 2 ฉบับ เหลืออีก 2 ฉบับสุดท้าย กฎหมายลูก ส.ส. และกฎหมายลูก ส.ว. ลากตั้ง 250 คนใน 5 ปีแรก
ช่วงโค้งสุดท้าย เส้นตายกฎหมายลูก เปราะบางยากจะคาดเดาบทสรุป
สองมาตรฐาน?

หลัง สนช.ยกมือตีตราประทับผ่านร่างกฎหมายลูกองค์กรอิสระออกมาครบทุกองค์กร ผลกลับกลายเป็นสร้าง “มาตรฐานปลาสองน้ำ” ขึ้นมาทันใด
บางองค์กรโดนเซ็ตซีโร่ไม่ทันตั้งตัว แต่บางองค์กรลอยลำอยู่ต่อ ภายใต้รัฐธรรมนูญเดียวกัน
หนักสุด กกต.โดนเชือดโละยกแผงรายแรก ต้องสรรหา 7 เสือเข้ามาเสียบแทน
ตามด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ที่ดาหน้าแสดงอาการรับไม่ได้กับเหตุผลที่ถูกตัดสินให้เก็บของกลับบ้าน แค่ให้อยู่รักษาไปจนกว่าจะมีชุดใหม่

แต่หันไปมองที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ให้ตุลาการผู้ที่มีคุณสมบัติ “ไม่ครบ” อยู่ต่อไปจนครบวาระ และให้ตุลาการที่อายุครบเกณฑ์ 70 ปี ก่อนหน้านี้ทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะกรรมการสรรหาจะเลือกตุลาการเข้ามาทำหน้าที่แทน
ด้านผู้ตรวจการแผ่นดิน ก็ให้อยู่ต่อไปจนครบวาระ อ้างว่ามาจากรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยถูกต้อง ไม่ควรไปรอนสิทธิ์
แล้วจะไม่ให้คนโดนเทช้ำใจได้อย่างไร “สมชัย ศรีสุทธิยากร” กกต. โวยดังๆ เขม่นหรือไม่ชอบใจใครรึเปล่าถึงต้องโละกันแบบนี้ “ซือแป๋” มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. โต้หนักแน่นไม่ได้กลั่นแกล้งเกลียดชังใครทั้งสิ้น
ไม่ต้องถามหามาตรฐาน ตามสไตล์ไทยแลนด์โอนลี่!!!
ทีมการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: