PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แก๊งทักษิณดาหน้าชน เดินเกมบ่อนทำลายรัฐบาล-คสช.

คอลัมน์...จับได้ไล่ทัน

โดย...ส.วิภาวดี
(นสพ.แนวหน้า)

ในภาวะที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และรัฐบาลเฉพาะกาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.ต้องเผชิญสารพัดปัญหารุมเร้า อาทิ วิกฤติเศรษฐกิจวิกฤติภัยแล้ง บรรดาแกนนำพรรเพื่อไทยสาวกระบอบทักษิณทั้งหลายต่างดาหน้าออกมาเดินเครื่องจ้องทำลายความชอบธรรมบ่อนทำลายรัฐบาลและคสช. เพื่อปูทางให้ระบอบทักษิณกลับมายิ่งใหญ่ยึดครองประเทศอีกครั้ง

นับวันบรรดาแกนนำระบอบทักษิณจะกล้าออกมาเคลื่อนไหวท้าทายอำนาจคสช.และรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ อาทิ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย ออกมาดับเครื่องชนโจมตีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์อย่างรุนแรง โดยชี้ว่า ถึงแม้จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)ประยุทธ์ 2 ก็ไม่ทำให้บ้านเมืองดีขึ้น เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร และถึงขนาดโจมตีว่า พล.อ.ประยุทธ์  ในฐานะผู้นำรัฐบาลและบรรดารัฐมนตรีไม่มีความรู้ความสามารถและคุณสมบัติตลอดจนประสบในการบริหารประเทศ อีกทั้งใช้อำนาจเผด็จการโดยไม่ฟังเสียงประชาชน

ขณะเดียวกันแกนนำพรรคเพื่อไทยอีกหลายคนต้องออกมาโจมตีว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศล้มเหลวจนทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่ชะงักงัน ซึ่งต่างจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ที่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ก่อหนี้สาธารณะมูลค่ามหาศาลและนำพาประเทศไปสู่ภาวะรัฐล้มเหลวสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแค่โครงการรับจำนำข้าวทำให้ประเทศเป็นหนี้และขาดทุนกว่า 1 ล้านล้านบาทในช่วงเวลาแค่ 3 ปีที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารประเทศ และที่สำคัญคือมีการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬารคาดว่าเป็นมูลค่านับแสนล้านบาท  และที่เลวร้ายกว่านั้นคือโครงการรับจำนำข้าวได้สร้างความหายนะจากการก่อหนี้จนการคลังของประเทศพินาศล่มจม และทำลายวงจรข้าวของประเทศทั้งระบบมาจนทุกวันนี้

ผลพวงอัปยศจากโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดยังทำให้ข้าวล้นประเทศขายไม่ได้เพราะราคาสูงกว่าความเป็นจริงถึงเท่าตัวปริมาณถึงเกือบ 20 ล้านตันที่ต้องเสียค่าดูแลรักษาปีละหลายหมื่นล้านบาท และเสื่อมคุณภาพทำให้ขาดทุนอีกนับแสนล้านบาท และที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือ ข้าวที่ล้นประเทศทำให้ชาวนาขายข้าวไม่ได้และราคาตกต่ำ

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ทิ้งซากแห่งความหายนะไว้กับบ้านเมืองจำนวนมากทำให้รัฐบาล  พล.อ.ประยุทธ์ ต้องแบกรับภาระเข้ามาสะสางปัดกวาดจนทำให้สถานการณ์เริ่มค่อยๆดีขึ้นตามลำดับซึ่งแม้แต่วิกฤติภัยแล้งน้ำในเขื่อนหลักทั่วประเทศที่ใกล้แห้งขอดก็เป็นผลพวงอัปยศจากกรบริหารจัดการน้ำผิดพลาดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วยการระบายน้ำจากเขื่อนใหญ่ทั่วประเทศหลังเกิดมหาอุทกภัยครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2554 จนเหลือต้นทุนน้ำอยู่น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเคยเตือนว่าจะเกิดวิกฤติภัยแล้งต่อเนื่องหลายปีหลังเกิดมหาอุทกภัย  แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดึงดันระบายน้ำจากเขื่อนขนานใหญ่เพื่อรองรับโครงการรับจำนำข้าวที่ใช้น้ำมหาศาลเนื่องจากชาวนาแห่ปลูกข้าวทั่วประเทศเพิ่มขึ้นจากประมาณ 3 ล้านไร่เป็นกว่า 5 ล้านไร่ เพื่อจำนำข้าวตันละ 15,000 บาทซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาตลาดถึงเท่าตัว ผลก็คือต้นทุนน้ำในเขื่อนอยู่ในระดับวิกฤติ ซึ่งเมื่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาบริหารประเทศวิกฤติน้ำในเขื่อนอยู่ในสภาพเลวร้ายอยู่แล้ว แต่จำเป็นต้องระบายเพื่อใช้ในการเกษตรและ เพื่อการอุปโภคบริโภครวมทั้งไล่น้ำเต็มตามปกติประกอบกับเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ50 ปีทำวิกฤติน้ำในเขื่อนรุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่บริหารจัดการน้ำผิดพลาดจนต้นทุนน้ำในเขื่อนเหลือน้อยกว่าที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก วิกฤติภัยแล้งในปีนี้ก็คงไม่รุนแรงอย่างที่เห็น

ทั้งนี้ที่น่าห่วงก็คือการประเมินของผู้เชี่ยวชาญที่ชี้ว่า แม้ฝนจะตกตามฤดูกาลในปีต่อๆก็ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะต้นทุนน้ำในเขื่อนใหญ่จะกลับสู่ภาวะปกติ

ส่วนข้ออ้างที่ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นนั้น จากตัวเลขข้อเท็จจริงก็คือ  ตัวเลขหนี้สาธารณะเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้าบริหารประเทศปี 2554 อยู่ที่ 4.2 ล้นล้านบาท แต่เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์พ้นอำนาจในปี 2556 ตัวเลขหนี้สาธารณะอยู่ที่ 5.4 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้นถึง 1.2 ล้านล้านบาทในช่วงเวลาไม่ถึง 3 ปี และหนี้ครัวเรือนก็พุ่งสูงขึ้นจาก 159,432 บาทเพิ่มเป็น 188,774 บาทต่อครัวเรือนหรือเพิ่มขึ้นถึง 29,342 บาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 18.4 %

ด้านตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหรือจีดีพียุครัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้นเกิดจากการกู้เงินและทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อฟื้นฟูประเทศหลังวิกฤติมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 รวมทั้งสารพัดโครงการประชานิยมทำให้อัตราการเจริญเติบของจีดีพีเหมือนภาพลวงตาอยู่ที่ 6.5 % แต่จากนั้นก็เริ่มลดลงเรื่อยๆจนเหลือ 2.9 % ในปี 2556

ขบวนการระบอบทักษิณยังคงเดินหน้าบ่อนทำลายศรัทธาความเชื่อมั่นในรัฐบาลและคสช.แบบดับเครื่องชนเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่แผนใช้กลุ่มนักศึกษาเป็นเครื่องมือหวังจุดชนวนสุมไฟ “14 ตุลาฯโมเดล”ประสบความล้มเหลว 

ทั้งนี้เป้าหมายของระบอบทักษิณก็คือค่อยบ่อนทำลายภาพพจน์ความชอบธรรมของรัฐบาลและคสช.ไปเรื่อยๆโดยพยายามกดดันให้มีการเลือกตั้งทั่วไปตามโรดแม็พซึ่งจะเป็นโอกาสให้ระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง  ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นการปฏิรูปประเทศเพื่อล้างธุรกิจการเมืองอันชั่วร้ายและขจัดการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินจะล้มเหลวสิ้นเชิงและประเทศจะหวนกลับสู่วงจรอุบาทว์อันเลวร้ายแบบเดิมๆภายใต้ระบอบทรราชย์ในคราบประชาธิปไตยครองเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: