PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ขี่หลังเสือ-ควบ ผบ.ทบ.-ต่ออายุ ไฟต์บังคับ ของ "นายกฯ ประยุทธ์"

ขี่หลังเสือ-ควบ ผบ.ทบ.-ต่ออายุ ไฟต์บังคับ ของ "นายกฯ ประยุทธ์"
รายงานพิเศษ มติชนสุดสัปดาห์ 26 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม 2557
ขี่หลังเสือ-ควบ ผบ.ทบ.-ต่ออายุ ไฟต์ บังคับ ของ "นายกฯ ประยุทธ์" เมื่อดวงไฟฉายส่อง "บิ๊กตู่" กับ "ลุงกำนัน" กับปฏิบัติการ "ไลน์ ล้มรัฐบาล"
หากดูจากผลโพล สำรวจความคิดเห็นประชาชน ของหลายสำนัก ที่ออกมาในช่วงครบ 1 ขวบเดือน คสช. ที่ต่างพอใจผลงาน ในการแก้ปัญหาต่างๆ แบบให้คะแนน 8 เต็ม 10 นั้น ดูจะยิ่งเป็นการ ปูทาง ให้ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และหัวหน้า คสช. ขึ้นขี่หลังเสือ นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ได้แบบสบายๆ
เพราะบางโพลก็มีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นเต็งหนึ่ง ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เลยทีเดียว
แต่เจ้าตัว ก็ดูจะยังไม่อาจยิ้มได้เต็มที่ เพราะในใจของเขายัง สะกิดตัวเองอยู่เสมอว่า อาจเพราะเป็นช่วงฮันนีมูน หรือไม่ ทางเดินสาย คสช. นี้จึงโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ
อีกทั้งสื่อมวลชนที่ชื่นชมชงเชียร์เขาอยู่ในเวลานี้ ก็เพราะเขามีกฎอัยการศึก และมีการใช้อำนาจเข้มข้นจึงไม่มีใครกล้าเขียนติติง หรือตำหนิ อีกทั้งเป็นความพึงพอใจของ พล.อ.ประยุทธ์ เองด้วยที่ควบคุมและจัดระเบียบสื่อได้ถึงขั้นนี้
แต่ทว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่อาจยั้งใจตัวเองให้แอบยินดีไม่ได้ ที่ประชาชนขานรับแนวทางของ คสช. และชื่นชมในตัวเขา
จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่เพียงพอกับคะแนนนิยมแค่นี้ เขาจึงสั่งการให้ทุกคนใน คสช. และทหารในกองทัพ เดินหน้าในการแก้ปัญหาต่างๆ ให้ประชาชน แบบรวดเร็วมากขึ้น แต่ก็ไม่วาย ที่จะออกตัวว่า สิ่งที่เขากระทำไปนั้น ไม่ใช่ "ประชานิยม"
เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ มีเวลาอีกราว 2 เดือน ในการตัดสินใจเลือกทางเดินในบั้นปลายแห่งชีวิต อีกครั้ง หลังจากที่ตัดสินใจ ก่อการรัฐประหาร ก่อนที่จะเกษียณราชการ แค่ 4 เดือนเท่านั้น มาแล้วว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีตามเสียงเรียกร้องหรือไม่
หากแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องมองให้ทะลุปรุโปร่งด้วยว่า เสียงเชียร์นั้นมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ เป็นเสียงเชียร์ในช่วง ฮันนีมูน พีเรียด หรือความกลัวเกรงต่ออำนาจของเขา และ คสช. หรือไม่ เป็นเสียงชมเชียร์ด้วยความจริงใจหรือไม่
เพราะในเวลานี้ ในกองทัพเองก็เกิดความหวาดหวั่นกันไปทั่วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะต่ออายุราชการ เพื่อที่จะเป็น หัวหน้า คสช. และเป็น ผบ.ทบ. ต่อด้วย เพื่อที่จะมีอำนาจในการคุมการแก้ปัญหาประเทศต่อไป และยังกลัวด้วยว่า จะมีการต่ออายุให้ ทั้ง ผบ.สส. ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ. ที่เป็นรองหัวหน้า คสช. ด้วย
หากเป็นเช่นนั้น น้องๆ ในกองทัพก็คงจะเซ็ง เพราะไม่ได้ขยับขึ้น เพราะอย่าลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์ นั้นเป็น ผบ.ทบ. มา จะ 4 ปีแล้ว จนนายทหารรุ่นติดๆ กันรอไม่ไหว เกษียณกันไปก่อนแล้วก็เยอะ
กระแสความเชื่อที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะต่ออายุราชการยิ่งโหมแรงขึ้น เมื่อ บิ๊กต๊อก พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผช.ผบ.ทบ. และหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ยอมเกษียณราชการ หากบ้านเมืองยังไม่สงบ
อันตรงกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยพูดกับกลุ่มนักธุรกิจ หัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ในวันแรกที่เขาประกาศใช้กฎอัยการศึก ด้วยนั่นเอง
อย่าลืมว่า พล.อ.ไพบูลย์ นั้นได้ชื่อว่าเป็นนายทหาร "น้องรัก" ของ พล.อ.ประยุทธ์ อีกคนหนึ่ง ที่มีบทบาทสำคัญเบื้องหลังการรัฐประหารครั้งนี้
โดยเฉพาะเมื่อเขาออกมาเปิดเผยว่า "คสช. ไม่ใช่มนุษย์วิเศษที่จะสามารถบันดาลสิ่งใดก็ได้ แต่ คสช. มีพลังที่จะทำให้ปัญหาหมดไปได้ เราอาจจำเป็นต้องทิ้งมิติประชาธิปไตยไปสักระยะ เพื่อแก้ปัญหาประเทศ เพราะหากทำไม่สำเร็จจะเกิดผลกระทบมหาศาล คสช. ถือเป็นองค์กรเดียวที่จะแก้ไขได้ งานนี้ไม่ใช่เรื่องของคนเก่ง แต่เป็นเรื่องของคนกล้า ผมบอก ผบ.ทบ. ว่าเราต้องกล้า ทำให้สำเร็จ ถ้าทำไม่สำเร็จแล้วเกษียณไปอาจจะมีความสุขกับลูกกับเมีย แต่ปัญหาจะคงอยู่กับประเทศนี้"
โทนเสียงของ พล.อ.ไพบูลย์ จึงเสมือนการสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต่ออายุราชการ แม้ว่าเขาจะเป็นแคนดิเดตในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ด้วยก็ตาม
แต่นั่นถูกมองว่า อาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่า พล.อ.ไพบูลย์ อาจรู้ตัวว่า เขาอาจจะไม่ได้เป็น ผบ.ทบ. เพราะเต็งหนึ่งของ บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. นั่นเอง แม้ว่ากระแสความแรงของเขาพุ่งสูง หลังการรัฐประหารก็ตาม
ด้วยเพราะในระยะหลังๆ นี้ พล.อ.ประยุทธ์ มักมอบหมายให้ พล.อ.อุดมเดช รับงานสำคัญๆ เพราะนอกจากจะเป็น เลขาฯ คสช. ที่เป็นแม่บ้าน ที่ดูทุกเรื่อง และเป็นหัวหน้าส่วนงานหน่วยขึ้นตรง หัวหน้า คสช. คุม กอ.รมน. สภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักข่าวกรองแห่งชาติแล้ว ยังมาคุมการแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้อีกด้วย รวมทั้งการมอบหมายให้ประชุมต่างๆ แทน
แต่จะเห็นได้ว่า ยิ่งกระแสความแรงของ พล.อ.ไพบูลย์ ที่จะมาแรงแซงโค้งยึดเก้าอี้ ผบ.ทบ. ไปเชี่ยวกรากเท่าใด ก็จะได้เห็นความสงบ นิ่ง สุขุม ของ พล.อ.อุดมเดช มากขึ้นเท่านั้น
เพราะอย่างน้อย พล.อ.อุดมเดช ก็คือ สายเลือดแห่งทหารเสือราชินี ที่เติบโตด้วยกันมา ใน ร.21 รอ. กับทั้ง บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยนั่นเอง
ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ ที่แม้จะสนิทสนมกับ พล.อ.อนุพงษ์ มาในยุครัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในฐานะที่เป็น น้องรักของ บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. และหัวหน้า คมช. ในยุคนั้น จนกลายเป็นน้องรักในสายวงศ์เทวัญของ พล.อ.อนุพงษ์ มาก่อนก็ตาม
แต่แน่นอนว่า มีความพยายามในการสะกิดใจ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงสายสัมพันธ์เพื่อน ตท.14 ของ พล.อ.อุดมเดช กับนายทหารที่ถูกจัดให้เป็นนายทหารในสายชินวัตร ทั้ง บิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกลาโหม และ บิ๊กแมว พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาฯ สมช.
อย่างไรก็ตาม หากในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการล้างทุกอาถรรพ์แห่งการรัฐประหาร ด้วยการเลือกที่จะนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีเอง คนในกองทัพก็เชื่อกันว่า พล.อ.อุดมเดช จะเป็น ผบ.ทบ. คนต่อไป เพราะความชอบธรรมทั้งอาวุโสและรุ่น รวมทั้งเส้นทางที่เดินมาก็สง่างาม
แต่ที่สำคัญ แรงยุในกองทัพ และมวลชนบางกลุ่ม มีถึงขั้นหนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นทั้งนายกรัฐมนตรี ควบ รมว.กลาโหม และต่ออายุราชการ ควบเก้าอี้ ผบ.ทบ. ต่อ เพื่อให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพื่อมีอำนาจคนเดียวในการเดินหน้าแก้ปัญหาชาติ
แต่ก็มองได้ว่า คนที่เชียร์แบบนี้ น่าจะเป็นการเชียร์ให้พังมากกว่า เพราะการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียว แม้จะเป็นผลดีในการแง่การสั่งการ แต่ทว่าก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลายเป็นเป้าของทุกฝ่าย
แน่นอนว่าบรรดาน้องในกองทัพคงแค่อยากเชียร์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น นายกรัฐมนตรี เท่านั้น ไม่ต้องควบ ผบ.ทบ. ด้วย แล้วปล่อยให้น้องๆ ในกองทัพได้เติบโต โดยไม่ต้องกลัวว่าน้องๆ จะหักหลัง หรือก่อการปฏิวัติซ้อนขึ้น
เพราะนาทีนี้ นายทหารในกองทัพ ต่างเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีทางเลือก นอกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีโอกาสที่จะยอมเกษียณราชการ จาก ผบ.ทบ. แล้ว นั่งเป็น หัวหน้า คสช. เท้าลอยพ้นจากอำนาจ แล้วตั้งคนอื่นเป็นนายกรัฐมนตรีแน่
แต่ที่สำคัญคือ ในเวลานี้มีนายทหารหลายคนอดอิจฉา พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ เพราะจากที่เชื่อกันว่า เขาไม่กล้า ก่อการรัฐประหาร ด้วยหลากหลายสาเหตุ แล้วถ้ารัฐประหารแล้วต้องย่ำแย่อยู่ไม่ได้แน่นั้น ก็กลับกลายเป็นที่ชื่นชอบของประชาชน ถึงขั้นมีเสียงเรียกร้องให้เป็นนายกรัฐมนตรี แบบที่เรียกว่า หักล้าง สูตรอำนาจต้องห้ามของการรัฐประหาร ทุกครั้งที่ผ่านมาเลยทีเดียว
ก็ต้องรอดูกันแบบยาวๆ ว่าในปลายทาง จะเป็นเช่นไร โดยเฉพาะช่วงฮันนีมูนนี้จะยาวนานแค่ไหน
เพราะในขณะที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปอย่างสวยงาม จู่ๆ ลุงกำนัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ออกมาเปิดเผยเบื้องหลังการรัฐประหาร
ในการพูดในงานการกุศล "ทานข้าวกับ ลุงกำนัน" เปิดเผยว่า เขาและ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มีการพูดคุยหารือกันมาตลอด ในการที่จะแก้ปัญหาชาติในการกำจัดคอร์รัปชั่น และระบอบทักษิณ ตั้งแต่หลังปี 2553 เรื่อยมาเลยทีเดียว
ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า 3 ป. แห่งบูรพาพยัคฆ์ คือทั้ง พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นสนิทสนมใกล้ชิดกับนายสุเทพมาตั้งแต่เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และร่วมกันปราบปรามคนเสื้อแดง ในปี 2553 มาด้วยกัน
จนทำให้การเคลื่อนไหวของนายสุเทพในการล้มรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ครั้งนี้ ถูกมองว่า มี 3 ป. นี้หนุนหลังอยู่ มาตลอด
แต่เมื่อนายสุเทพระบุว่า ก่อนที่จะมีการประกาศกฎอัยการศึกนั้น เขาได้มีการพูดคุยผ่านข้อความกับ พล.อ.ประยุทธ์ เสมอๆ จนที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ส่งข้อความมาถึงเขาว่า "คุณสุเทพ คุณและมวลชน กปปส. เหนื่อยกันมามากแล้ว ต่อไปนี้กองทัพ จะรับไม้ต่อเอง"
จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องปฏิเสธคำกล่าวอ้างนี้ของนายสุเทพทันใด โดยยืนยันว่า เขาไม่เคยพูดคุยหรือสื่อสารเป็นการส่วนตัวกับนายสุเทพในลักษณะนั้นเลย เพราะการพูดคุยก็จะมีแค่เมื่อครั้งที่ได้รับมอบหมายจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในเวลานั้น ให้ประสานกับนายสุเทพเพื่อพูดคุยเจรจา รวมถึงการขอให้ควบคุมดูแลมวลชน ไม่ให้ทำผิดกฎหมาย หรือใช้ความรุนแรง
เป็นการติดต่อในเรื่องงาน ในฐานะที่ ผบ.ทบ. ดูแลงานความมั่นคง เท่านั้น
พล.อ.ประยุทธ์ ให้ พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษ กทบ. ออกมาชี้แจงยืนยัน อีกครั้ง ว่าเป็นความเข้าใจ และเป็นข่าวที่คลาดเคลื่อน แต่ก็ทำให้ภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เคยถูกสงสัยว่า มีความเกี่ยวโยงกับนายสุเทพนั้นถูกมองอย่างมีน้ำหนัก โดยเฉพาะเมื่อ แนวทางของ คสช. หลายอย่างก็คือ แนวคิดของนายสุเทพที่เคยประกาศมาก่อนหน้านี้
ส่งผลให้ภาพพจน์ของ คสช. และการรัฐประหารครั้งนี้กลายเป็นปฏิบัติการภาคต่อของนายสุเทพ และ กปปส. ไปในทันใด ทั้งๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็พยายามที่จะระวังอย่างยิ่ง
ท่ามกลางความสงสัยว่า ระหว่าง นายสุเทพ และ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นควรจะเชื่อใคร แล้วทำไมนายสุเทพจึงออกมาพูดเช่นนี้ หรือเพราะต้องการต่อรองโควต้า ในเรื่องการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูป และคณะรัฐมนตรี หรือไม่ แม้ว่าตัวเขาจะประกาศไม่เล่นการเมืองอีกแล้วก็ตาม
แต่ทว่า ก็ไม่มีเหตุผลใดที่นายสุเทพจะพูดเรื่องไม่จริง จึงไม่แปลกที่บรรดาคนเสื้อแดงและกลุ่มต่อต้าน คสช. จะขานรับข่าวนี้ และพากันเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ และนายสุเทพ คือทีมเดียวกัน
แม้ว่าการส่งข้อความระหว่าง นายสุเทพ กับ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นอาจจะเป็นแค่แมสเสจทางโทรศัพท์ แต่มันก็ถูกเข้าใจว่า เป็น การผ่านไลน์ จนเป็นที่มาของคำว่า "ไลน์ล้มรัฐบาล"
แน่นอนว่า ย่อมทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่แฮปปี้นัก...
เพราะในห้วงไล่เลี่ยกัน 24 มิถุนายน นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีต รมว.มหาดไทย ก็เปิดตัวองค์กร "เสรีไทย" องค์กรต่อต้านรัฐประหาร ด้วยการออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 ประกาศต่อต้านระบบเผด็จการทหาร และ คสช. ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ที่ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ อารมณ์เสีย
ท่ามกลางการจับตามองว่า ความเคลื่อนไหวของนายจารุพงศ์ที่ถูกเชื่อว่า คงมีแกนนำพรรคเพื่อไทยหรือแม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังหรือไม่นั้น แม้จะไม่ได้ถึงขั้น เป็น "รัฐบาลพลัดถิ่น" ก็ตาม แต่ก็อาจจะกลายเป็นข้ออ้างให้ คสช. ต้องคงอยู่ในอำนาจต่อไปยาวนานกว่าเดิมก็ได้ เพราะมองว่าสถานการณ์ยังไม่สงบ มีการต่อต้านอย่างชัดเจน อาจทำให้การปฏิรูปต่างๆ ไม่อาจสำเร็จได้ ก็จะยิ่งทำให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นช้าลง
นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตัดสินใจในการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ด้วยก็เป็นได้...
แต่ก็มีคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะยอมเกษียณราชการไปตามปกติไม่ได้หรือ แล้วตั้งนายทหารที่ตนเองไว้วางใจที่สุด มาเป็น ผบ.ทบ. เพื่อที่จะเป็นฐานอำนาจให้ตนเอง ในการเป็นหัวหน้า คสช. ต่อไป
แต่หากไม่คุมอำนาจเอง ก็มีคนสะกิดว่า ต้องระวังการ "ปฏิวัติซ้อน" ล้มล้างอำนาจของ หาก ผบ.ทบ.คนใหม่ และ ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ ต้องการนำพาประเทศไปในอีกแนวทางหนึ่ง แต่โอกาสก็เกิดขึ้นได้น้อยมาก เพราะ พล.อ.อุดมเดช หรือ พล.อ.ไพบูลย์ นั้นถือเป็นนายทหารที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไว้วางใจทั้งคู่
เพราะหากกระแสประชาชนที่พึงพอใจ

ไม่มีความคิดเห็น: