PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หน้าผาการคลังสหรัฐ ขย่มตลาดเงิน-ทุนโลก


บารัก โอบามา
บารัก โอบามา

วิกฤติการคลังสหรัฐกำลังสร้างความวิตกให้กับตลาดเงินทั่วโลก แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ในอดีตที่ส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดคือความขัดแย้งเรื่องเพดานหนี้ มีประเด็นดังนี้
การเผชิญหน้าระหว่างนักการเมืองสหรัฐที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือนในเรื่องงบประมาณและเพดานหนี้ มาพร้อมกับกำหนดเส้นตาย 2 ครั้งในวิกฤติการคลังของประเทศ
เส้นตายแรก นักการเมืองสหรัฐต้องบรรลุข้อตกลงด้านงบประมาณกันให้ได้ก่อนวันที่ 30 ก.ย. 2556 หากไม่สามารถตกลงกันได้ หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐอาจต้องปิดทำการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.
เส้นตายที่สอง สมาชิกสภาคองเกรสต้องลงมติอนุมัติการปรับเพิ่มเพดานหนี้ภายในวันที่ 17 ต.ค. 2556 เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ
ที่ผ่านมา สมาชิกพรรครีพับลิกันได้ท้าทายประธานาธิบดี บารัก โอบามา โดยจะยอมอนุมัติให้มีการขึ้นเพดานหนี้ของสหรัฐ แต่ต้องการให้มีการเลื่อนเวลาออกไปอีก 1 ปีในการนำกฎหมายโอบามาแคร์มาบังคับใช้อย่างเต็มที่ในสหรัฐ นอกจากนี้ ยังต้องการพ่วงมาตรการภาษี ร่างกฎหมายพลังงาน ข้อเสนอด้านกฎระเบียบ และมาตรการตัดงบรายจ่ายอื่นๆ เข้าไปในร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ด้วย
แต่ประธานาธิบดีโอบามา ยืนยันมาโดยตลอดว่าจะไม่เจรจาต่อรองใดๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้
ความขัดแย้งในการจัดสรรงบประมาณในครั้งนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความขัดแย้งทางการเมืองรอบถัดไปที่จะมีความรุนแรงมากกว่า ซึ่งได้แก่การพิจารณาร่างกฎหมายเพิ่มอำนาจการกู้ยืมของรัฐบาลกลางสหรัฐ โดยถ้าหากสภาคองเกรสไม่เพิ่มเพดานหนี้สหรัฐจากระดับ 16.7 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในวันที่ 17 ต.ค. รัฐบาลสหรัฐก็จะผิดนัดชำระหนี้ในบางรายการ
เหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก
อย่างไรก็ดี ทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันต่างก็ไม่ต้องการเป็นผู้ลงคะแนนเสียงในขั้นสุดท้ายที่จะนำไปสู่การปิดหน่วยงานรัฐบาล โดยผลสำรวจความเห็นประชาชนหลายฉบับแสดงให้เห็นว่าชาวสหรัฐเบื่อหน่ายกับความขัดแย้งทางการเมืองและคัดค้านการปิดหน่วยงานรัฐบาล
สภาคองเกรสและทำเนียบขาวไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะมีการเจรจาต่อรองกันในนาทีสุดท้ายเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งในครั้งนี้ โดยในช่วงนี้สมาชิกพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต่างใช้เวลาไปกับการกล่าวโทษอีกฝ่ายหนึ่ง
ภาวะทางตันในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามมาเป็นเวลานาน 3 ปีของฝ่ายอนุรักษนิยมในการยกเลิกโอบามาแคร์ ซึ่งเป็นโครงการช่วยเหลือชาวสหรัฐหลายล้านคนที่ไม่มีประกันสุขภาพให้ได้ทำประกันสุขภาพ
สมาชิกพรรครีพับลิกันกล่าวว่า โอบามาแคร์ถือเป็นการแทรกแซงวงการทางการแพทย์ครั้งใหญ่โดยไม่มีความจำเป็นจากฝ่ายรัฐบาล และการแทรกแซงนี้จะส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันพุ่งสูงขึ้น และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การดำเนินงานส่วนสำคัญภายใต้โครงการโอบามาแคร์จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค.นี้
ถ้าหากความขัดแย้งเรื่องโอบามาแคร์ส่งผลให้สภาคองเกรสไม่สามารถเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐในช่วงใกล้ถึงกำหนดเส้นตายในช่วงกลางเดือนต.ค. ตลาดหุ้นสหรัฐก็อาจร่วงลงอย่างหนัก
ในช่วงที่เกิดความขัดแย้งเรื่องเพดานหนี้สหรัฐในปี 2554 นั้น ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทได้ทรุดตัวลงราว 2,100 จุดในช่วงระหว่างวันที่ 21 ก.ค.-9 ส.ค. 2554 และต้องใช้เวลาอีก 2 เดือนก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้
ถ้าหากสหรัฐเริ่มปิดหน่วยงานรัฐบาลในวันที่ 1 ต.ค. เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางกว่า 1 ล้านคนก็จะถูกสั่งพักงานชั่วคราว แต่ขนาดของผลกระทบจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการปิดหน่วยงานรัฐบาล
ถึงแม้มีการปิดหน่วยงานรัฐบาล แต่หน่วยงานที่มีความจำเป็นก็จะยังคงเปิดดำเนินการต่อไป ซึ่งรวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคงแห่งชาติ, หน่วยงานด้านความปลอดภัยของประชาชน, โครงการประกันสุขภาพสำหรับคนชรา (เมดิแคร์) และโครงการจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญ
อย่างไรก็ดี พนักงานจำนวนมากของรัฐบาลกลางจะต้องหยุดพักงานเป็นการชั่วคราว ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ประมวลผลแบบฟอร์ม, เจ้าหน้าที่ด้านกฎระเบียบ,เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ในกรุงวอชิงตันดีซี
รัฐบาลสหรัฐเคยปิดหน่วยงานครั้งสุดท้ายในวันที่ 16 ธ.ค. 2538-6 ม.ค. 2539 โดยเป็นผลจากความขัดแย้งด้านงบประมาณระหว่างประธานาธิบดีบิล คลินตันจากพรรคเดโมแครต กับนายนิวท์ กิงริช ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน
ในครั้งนั้น พรรครีพับลิกันได้รับผลกระทบทางการเมืองอย่างมาก เพราะประธานาธิบดีคลินตันสามารถชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่ออีกสมัยด้วยคะแนนเสียงถล่มทลายในเดือนพ.ย. 2539

ไม่มีความคิดเห็น: