ธนาธร” ถึงไทย แฟนคลับแห่รับแน่นสุวรรณภูมิ เจ้าตัวไร้กังวล ยันใบส้มไม่เกี่ยวปมหุ้น วอนกกต.ยุติธรรม หวั่นทำสังคมกังขา จี้ ยึดสูตรปาร์ตี้ลิสต์ตามหลักการ ปลุกกองเชียร์ป้องประชาธิปไตย
เมื่อเวลา 20.05 น. วันที่ 25 เมษายน ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่(อนค.) เดินทางถึงประเทศไทย ภายหลังต้องจบภารกิจการเยือนประเทศในทวีปยุโรปอย่างกะทันหัน เพื่อกลับมารับทราบและชี้แจงข้อกล่าวหา กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)มีมติแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธร กรณีถือครองหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด เข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามรับสมัคร ส.ส. ทั้งนี้ บรรยากาศการต้อนรับเป็นไปอย่างคึกคัก มีแกนนำพรรค สมาชิกพรรค และผู้สนับสนุนมารอต้อนรับประมาณ 100 คน ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยทันทีที่นายธนาธรมาถึงจุดนัดพบ บริเวณประตู 7 อาคารขาเข้าระหว่างประเทศ ผู้สนับสนุนพรรคต่างโห่ร้องแสดงความยินดี ตะโกน “ธนาธรสู้ๆ” พร้อมชูสามนิ้ว และมอบดอกไม้ให้กำลังใจ รวมถึงชูป้ายที่มีสัญลักษณ์พรรคอนาคตใหม่และข้อความว่า “Stand with Thanathorn” ซึ่งมีความหมายว่า “อยู่ข้างธนาธร”
นายธนาธรกล่าวว่า ขอบคุณทุกคนที่มาต้อนรับวันนี้กำลังใจของพรรคอนาคตใหม่ยังดีอยู่ ตนเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรต้องกังวล โดยจากนี้จะต้องขอดูเอกสารจากกกต.ก่อน เนื่องจากกกต.ให้เวลา 7 วันในการชี้แจงข้อกล่าวหา ยืนยันว่าก่อนหน้านี้ตนยังไม่ได้ถูกกกต.เชิญให้เข้าไปชี้แจง แต่เป็นการส่งทนายความเข้าไป ซึ่งหนังสือที่ส่งมาเชิญให้ไปชี้แจงครั้งนั้น ส่งมายังมารดาของตน ซึ่งทนายความได้เข้าไปชี้แจงในนามของมารดา แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ตนได้เข้าไปชี้แจงกับกกต.ด้วยตนเอง ยืนยันว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด กระบวนการโอนหุ้นทุกอย่าง ถูกต้องตามกฎหมายและเรียบร้อยไปตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาแล้ว
“ต้องให้กำลังใจกกต. มีเจ้าหน้าที่กกต.จำนวนมากที่หวังดีต่อประเทศ และต้องการเห็นประเทศเดินไปข้างหน้า และตระหนักดีถึงการทำหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม หวังว่ากกต.จะมองเห็นว่าการทำงานที่บริสุทธิ์จะนำประเทศไปสู่ทางออกได้ แต่ถ้ากกต.ทำงานอย่างไม่บริสุทธิ์ และไม่ยุติธรรม สร้างข้อกังขาให้กับประชาชน จะนำไปสู่ความวุ่นวาย เพราะประชาชนตั้งความหวังกับการเลือกตั้งครั้งนี้ไว้มาก” นายธนาธรกล่าว
นายธนาธรกล่าวว่า ขอบคุณทุกคนที่มาต้อนรับวันนี้กำลังใจของพรรคอนาคตใหม่ยังดีอยู่ ตนเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรต้องกังวล โดยจากนี้จะต้องขอดูเอกสารจากกกต.ก่อน เนื่องจากกกต.ให้เวลา 7 วันในการชี้แจงข้อกล่าวหา ยืนยันว่าก่อนหน้านี้ตนยังไม่ได้ถูกกกต.เชิญให้เข้าไปชี้แจง แต่เป็นการส่งทนายความเข้าไป ซึ่งหนังสือที่ส่งมาเชิญให้ไปชี้แจงครั้งนั้น ส่งมายังมารดาของตน ซึ่งทนายความได้เข้าไปชี้แจงในนามของมารดา แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ตนได้เข้าไปชี้แจงกับกกต.ด้วยตนเอง ยืนยันว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด กระบวนการโอนหุ้นทุกอย่าง ถูกต้องตามกฎหมายและเรียบร้อยไปตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาแล้ว
“ต้องให้กำลังใจกกต. มีเจ้าหน้าที่กกต.จำนวนมากที่หวังดีต่อประเทศ และต้องการเห็นประเทศเดินไปข้างหน้า และตระหนักดีถึงการทำหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม หวังว่ากกต.จะมองเห็นว่าการทำงานที่บริสุทธิ์จะนำประเทศไปสู่ทางออกได้ แต่ถ้ากกต.ทำงานอย่างไม่บริสุทธิ์ และไม่ยุติธรรม สร้างข้อกังขาให้กับประชาชน จะนำไปสู่ความวุ่นวาย เพราะประชาชนตั้งความหวังกับการเลือกตั้งครั้งนี้ไว้มาก” นายธนาธรกล่าว
นายธนาธร กล่าวต่อว่า ในกรณีของการแจกใบส้มนั้น ให้อำนาจชี้ขาดสุดท้ายอยู่ที่กกต. ซึ่งตนมั่นใจว่าใบส้มบังคับใช้กับกรณีของตนไม่ได้ ส่วนกรณีที่บอกว่าตนเดินทางกลับจากจ.บุรีรัมย์มาโอนหุ้นที่กรุงเทพฯไม่ทันเวลานั้น เรื่องดังกล่าวไม่มีใครมีหลักฐานอะไรเลย ว่าในช่วงบ่ายวันนั้นตนอยู่ที่ไหน ถ้ามีหลักฐานว่าตนยังอยู่ที่จ.บุรีรัมย์ในช่วงบ่าย ต้องมีรูปภาพหลุดออกมาบ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนชี้แจง ขณะที่เรื่องที่จะเอาผิดตนกรณีลงนามรับรองส.ส.ที่ขาดคุณสมบัตินั้น ผู้สมัครส.ส.ของพรรคเกือบ 500 คน เราไม่สามารถรู้ได้ว่าคนไหนมีประวัติอะไรมาบ้าง ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้กังวลใจ เชื่อว่าหัวหน้าพรรคการเมืองอื่นก็เป็นเหมือนกัน เชื่อมั่นว่าคำวินิจฉัยจะไม่ออกมาทางลบ เพราะตนไม่มีความผิด ไม่มีข้อหาอะไรที่จะมาเอาผิดได้
“เชื่อว่ามีแรงกดดันเข้ามาที่กกกต. จะเห็นได้ว่าประธานอนุกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสอบสวนเรื่องของผมได้ลาออกไปแล้ว ส่วนตัวผมไม่อยากทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องของธนาธร และเชื่อว่าคนที่มาต้อนรับผมในวันนี้ ไม่ได้ให้กำลังใจธนาธรเพราะเป็นธนาธร แต่ให้กำลังใจประชาธิปไตย ต้องการให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นในประเทศไทย นี่คือหลักการที่เราเห็นร่วมกัน” นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร ยังกล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องที่กกต.ยื่นตีความการคำนวณบัญชีรายชื่อส.ส.ว่า ฝากกกต.ให้รับทราบถึงความต้องการของประชาชน การจะเลือกวิธีการคำนวณแบบใดแบบหนึ่งก็แล้วแต่ อาจส่งผลถึงอนาคตของประเทศ ขอให้การตัดสินใจของกกต.ตั้งอยู่บนหลักของกฏหมาย หลักการที่ถูกต้องจะเป็นการปกป้องตัวท่านเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น