PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ศาลรับฟ้อง"คนสนิทหญิงอ้อ-บิ๊กสรรพากร"ช่วย"โอ๊ค-เอม"เลี่ยงภาษีหุ้นชินฯคนละ 8 พันล้านปี49


ศาลรับฟ้อง"คนสนิทหญิงอ้อ-บิ๊กสรรพากร"ช่วย"โอ๊ค-เอม"เลี่ยงภาษีหุ้นชินฯคนละ 8 พันล้านปี49
Cr:ผู้จัดการ
ศาลอาญาแผนกคดีทุจริตฯ ประทับฟ้องคดี ป.ป.ช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคนใกล้ชิดคุณหญิงพจมาน พร้อมอดีตบิ๊ก สรรพพากร ประพฤติมิชอบ เอื้อประโยชน์ให้ ลูกชาย-ลูกสาวทักษิณ ชินวัตร ประหยัดเงินคนละเกือบ 8 พันล้าน จากการไม่ต้องเสียภาษีซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ เมื่อปี 49
เมื่อเวลา 13.30 น.วานนี้ (28 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐในศาลอาญา นัดฟังคำสั่ง คดีหมายเลขดำ อท.43/2558 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร , น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย ,น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย , นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ เป็นจำเลยที่ 1 - 5 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
คดีนี้ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องแผนกคดีทุจริตฯ ในศาลอาญา เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.58 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า จำเลยที่ 1 - 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของกรมสรรพากร ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของนายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย จากการที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้น บริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งการกระทำนั้นทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการ เสียหาย
ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 - 4 ตามฟ้อง ป.ป.ช.โจทก์ มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย จึงมีมูลความผิดทางอาญา ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 ส่วนน.ส.ปราณี จำเลยที่ 5 ไม่ได้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1 - 4 ศาลจึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องคดีไว้พิจารณาเพื่อมีคำพิพากษาต่อไป
ทั้งนี้ศาล ได้มีหมายเรียกให้จำเลยที่ 1-5 มารายงานตัว และดำเนินการไต่สวนพยานครั้งแรก ในวันที่ 23 ก.พ.2559 เวลา 09.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับนางเบญจา หลุยเจริญ จำเลยที่ 1 ในคดีนี้นับเป็นคนใกล้ชิดคุณหญิงพจมาน เคยได้รับแต่งตั้งเป็นรองอธิบดีกรมสรรพากร ในปี พ.ศ. 2546 เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในปี พ.ศ. 2548 เป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง ในปี พ.ศ. 2551 เป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต ในปี พ.ศ. 2554 และตำแหน่งสุดท้ายคือ อธิบดีกรมศุลกากร ก่อนจะลาออกจากราชการเพื่อมารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556
ส่วน น.ส.โมรีรัตน์ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากรนั้น เคยถูกอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ร่วมกับนายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพพากร กับพวกซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รวม 5 คน ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบในการเรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษีอากร จากกรณีเมื่อปี 2540 ที่คุณหญิงพจมาน อดีตภริยานายทักษิณ โอนหุ้น บมจ.ชินคอร์ปฯ จำนวน 4.5 ล้านหุ้น ให้นายบรรณพต ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรม และคนใกล้ชิด แต่ภายหลังศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง น.ส.โมรีรัตน์กับพวกในคดีดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าพวกจำเลยได้ทำการวินิจฉัยและเสนอความเห็นต่อผู้บังคับบัญชาตามขั้นตอนแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น: