PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

นักวิเคราะห์ต่างชาติเตือนความโหดร้ายป่าเถื่อนของสหรัฐและระบอบทักษิณ และเผยเอกอัครราชทูตสหรัฐคนใหม่

Worathat Rattanaphan ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 3 ภาพ
นักวิเคราะห์ต่างชาติเตือนความโหดร้ายป่าเถื่อนของสหรัฐและระบอบทักษิณ และเผยเอกอัครราชทูตสหรัฐคนใหม่ อาจร่วมมือกับระบอบทักษิณถล่มไทยให้เป็นเหมือนซีเรีย-ลิเบีย-ยูเครน
เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ภายหลังจากเกิดเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ นายโทนี่ คาร์ตาลุซซี่ (Tony Cartalucci ) นักเขียนจาก บล้อคแลนด์ เดสทรอยเยอร์ รีพอร์ต (LD landdestroyer. blogspot)ได้เขียนบทวิเคราะห์เรื่อง “ความป่าเถื่อนของสหรัฐเข้าเยือนลิเบีย, ซีเรีย, ยูเครน,ขณะนี้กำลังมาเยี่ยมชมกรุงเทพฯ (US Savagery Visited Upon Libya, Syria, Ukraine, Now Visits Bangkok )
บทวิเคราะห์ได้รายงานเบื้องต้นถึงสถานการณ์การเมืองของไทยที่ระบุว่าได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐให้ก่อการร้าย เช่นฆ่าผู้บริสุทธิ์นับตั้งแต่เหตุการณ์ส่งคนของ นปช.หรือ “เสื้อแดง” 300 คนออกเผชิญหน้ากับทหารของกองทัพบกบริเวณถนนราชดำเนินเมื่อปี 2010 (2553) เหตุการณ์ครั้งนั้นจบลงด้วยมีผู้เสียชีวิติเกือบ 100 คนและบาดเจ็บอีกจำนวนมาก
ต่อมาในปี 2013-2014 กลุ่มติดอาวุธเหล่านี้ได้เข้าโจมตี,ก่อการร้ายและสังหารกลุ่มเดินขบวนต่อต้านรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (หมายถึงกลุ่ม กปปส.) ซึ่งเป็นน้องสาวของนายทักษิณ หลังเหตุการณ์มีผู้ถูกฆ่ากว่า 30 คน ในจำนวนนี้มีทั้งผู้หญิงและเด็กที่ถูกสังหารด้วยระเบิด
การทำรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2014 ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องพ้นไปนั้นสร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐเป็นอย่างยิ่ง ดังได้เกิดระเบิดตามจุดต่างๆอาทิเช่นระเบิดศาลอาญา (ซึ่งพล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ลูกผู้พี่ของทักษิณยอมรับว่ารู้จักกับ 1 ในผู้ถูกจับที่มาขอเรี่ยไรเงินจากตน) ,ระเบิดบริเวณสยามพารากอน,ระเบิดที่เกาะสมุยและล่าสุดที่แยกราชประสงค์ อันเป็นจุดสำคัญทางเศรษฐกิจและเป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งสิ้น
นายคาร์ตาลุซซี่ เขียนไว้ว่าการที่รัฐบาลสหรัฐแต่งตั้งนาย กลิน เดวีย์ มาเป็นเอกอัครราชทูตประจำกรุงเทพฯตนได้เตือนไว้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมแล้วว่า
“การมาประเทศไทยของเขาครั้งนี้จะนำมาซึ่งการบ่อนทำลายประเทศไทยและมีความรุนแรงเกิดขึ้น เหมือนกับที่เกิดขึ้นที่ ลิเบีย ซีเรีย ยูเครน ประเทศเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีสหรัฐหนุนหลังอยู่ทั้งสิ้น”
นายคาร์ตาลุซซี่กล่าวว่าหากมองด้านการศึกษาของนายกลิน เดวีส์ จะต้องขีดเส้นใต้ไว้เลย เพราะเขาเป็นศิษย์เก่าจากวิทยาลัยการสงครามของสหรัฐ ( The National War College ) กรุงวอชิงตัน ผู้ที่มีสิทธิ์เรียนได้ต้องเป็นนายทหารระดับสูงหรือเจ้าหน้าที่จากกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐที่ถูกรัฐบาลสหรัฐคัดเลือกเข้าเรียน
กลิน เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยคนใหม่
สำหรับเนื้อหาการเรียนเป็นทุกเรื่องเพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆโดยเฉพาะพลเรือนอย่างนายกลิน จะเน้นเรื่อง “The Non-Military Instruments of Power” หรือ“อำนาจที่ไม่ได้มาจากการทหาร” นั่นคือการใช้สงครามข้อมูลข่าวสาร การปลุกปั่น ปลุกระดม การแทรกแซง การทำลายทางเศรษฐกิจ การรณรงค์เพื่อบ่อนทำลายประเทศนั้นๆด้วยวิธีการต่างๆจนทำให้ประเทศดังกล่าวไม่สามารถตั้งตัวรับมือได้
การเดินทางมารับหน้าที่ของนายเดวี่ส์ ถ้าคาดการณ์อย่างเลวร้ายที่สุด อาจจะเป็นเหมือนกรณีของนายรอเบิร์ต เอส. ฟอร์ด เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำซีเรีย ในปี 2011 ปีที่เกิดการปฏิวัติโลกอาหรับ (อาหรับสปริงส์) หรือการเรียกร้องประชาธิปไตยตามแบบสหรัฐในคราบของการก่อการร้าย
“ในกรณีของประเทศซีเรีย นายฟอร์ด สนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายอย่างเปิดเผยเพื่อโค่นล้มรัฐบาลประธานาธิบดีบาร์ซา อัล อัซซาด จนเกิดสงครามกลางเมืองในซีเรีย จนประเทศซีเรียพังยับเยินไม่สามารถกลับไปเหมือนเดิมได้”นายคาร์ตาลุซซี่กล่าว
กล่าวโดยสรุปปฎิบัติการของสหรัฐไม่ใช่ การปฎิวัติโลกอาหรับ(Arab Spring) แต่กลายเป็นการผลิดอกของโลกก่อการร้าย (Terrorist Spring)
บทวิเคราะห์ชี้ว่า หลังจากนายเดวี่ย์ เข้ารับตำแหน่งในประเทศไทย เขาจะเดินหน้าสร้างสัมพันธ์วางแผนกับแกนนำระบอบทักษิณ เพื่อถล่มประเทศไทยด้วยยุทธการก่อการร้ายทำลายเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศไทย โดยใช้มุกเดิมๆว่า เป็นผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ตัวอย่างเหล่านี้มีให้เห็นแล้วทั้งสิ้นจากปรากฎการณ์ อาหรับสปริงส์ ทั้งในซีเรีย และ ลิเบีย ที่สหรัฐสร้างกลุ่มผู้ก่อการการร้ายในนามของนักเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อโค่นล้มรัฐบาลประเทศนั้น
นอกจากนี้นายเดย์วีส์จะทำงานร่วมกับ กลุ่มนักวิชาการ/NGO/ สื่อมวลชน ขายชาติที่รับเงินจากสหรัฐ ดิสเครดิตประเทศไทยในด้านต่างๆ โดยอ้างว่าทำงานเรื่อง “สิทธิมนุษยชน”และ“ประชาธิปไตย”
ดังนั้นมาถึงจุดนี้ ประเทศไทย มี 2 ทางเลือกเท่านั้นคือ
หนึ่งจะทำประเทศให้ไร้เดียงสา เดินตามความต้องการของต่างชาติหรือพวกตะวันตก ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลชุดนี้จะทำดีแค่ไหน เขาก็ “ไม่ปลื้ม”อยู่ดี ดังนั้นไทยจำเป็นที่ต้องสนใจชาติเหล่านี้อีกต่อไปหรือไม่ เพราะถ้ายังสนใจ ยังให้ความสำคัญ ให้ความเกรงอกเกรงใจ สหรัฐก็จะทำลายความมั่นคงของประเทศไทยต่อไป เหมือนที่ทำไว้กับ ลิเบีย ซีเรีย ยูเครน ประเทศไทยจะเลือกทางนี้หรือไม่
อีกหนึ่งทางเลือกที่ประเทศไทยทำได้ คือการถอนรากถอนโคน คนพวกนี้อย่างจริงจัง เหมือนที่ประเทศอิยิปต์ทำ จับกุมแกนนำการเมือง ผู้ก่อการร้าย ผู้สนับสนุนต่างๆตั้งแต่ระดับกลางถึงระดับหัว ให้ตัดสินประหารชีวิตหรือไม่ก็จำคุกตลอดชีวต ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย เพราะอย่าลืมว่าไม่ว่ารัฐบาลชุดนี้จะเลือกทางไหน รัฐบาลก็ตะวันตกก็ “ไม่นิยม/สนับสนุน” รัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติอยู่ดี
ต่อมาวันที่ 18 สิงหาคม นายคาร์ตาลุซซี่ยังได้เขียนตอบโต้บทความของสำนักข่าว BBC ในหัวข้อ Bangkok Blast: Who the Liars Say Did It, Says it All เป็นการชี้ให้บีบีซีเห็นข้อเท็จจริงในสิ่งที่นำเสนอ โดยข้ามขั้นตอนในยุคที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและรัฐบาลต่อๆมาที่อยู่ในอาณัติของทักษิณกระทำ แต่บทความของบีบีซีมาจับเอาเฉพาะหลังการรัฐประหาร 2014 รวมทั้งพยายามเบี่ยงเบนออกไปถึงเรื่องอุยกูร์
นายคาร์ตาลุซซี่เชื่อว่าการระเบิดแยกราชประสงค์ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐหนุนหลังระบอบทักษิณให้ดำเนินการโดยตรง หรือการใช้กลุ่มก่อการร้ายจากภาคใต้ที่ซาอุดิ อาระเบียหนุนให้ตั้งรัฐอิสลาม(ที่สหรัฐให้การหนุนหลังซาอุฯอีกทอด)ก็ตาม
“การวางระเบิดที่ราชประสงค์ มีการวางแผนเพื่อก่อการร้ายคนไทย เป้าหมายอยู่ที่การทำลายเศรษฐกิจของไทย และทำลายความสัมพันธ์ที่เป็นไปด้วยดีระหว่างไทย-จีน”บทวิเคราะห์กล่าว
นายคาร์ตาลุซซี่สรุปว่า การวางระเบิดเพื่อ “ก่อการร้าย”ที่แยกราชประสงค์ มีการวางแผนอย่างดีและทำให้เกิดความสำเร็จ เรื่องนี้ไม่ใช่จุดประสงค์ของกลุ่มแยกดินแดนทางภาคใต้ แต่เป็นแรงจูงใจทางการเมืองอย่างแน่นอน
พร้อมกันนั้นนายคาร์ตาลุซซี่แนะนำว่าประเทศไทยจะรับมือกับกรณีนี้ได้จะต้องมองไปยังประเทศที่ประสบความสำเร็จในการรับมือและได้รับชัยชนะ นั่นคือรัสเซียและจีนทีเข้าใจและป้องกัน การทำสงครามยุคที่ 4 (สงครามที่ไม่ต้องใช้ทหาร)
ทั้งนี้รัสเซียได้ใช้เครื่องมือทางสื่อสารมวลชนชี้แจงคนของตนและให้ต่างประเทศรับรู้ถึงการ“ข่มขู่คุกคาม”แบบใหม่ ประเทศไทยก็จะต้องให้ข้อมูลแก่คนไทยถึงการข่มขู่นี้พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันรวมทั้งจะต้องทำอะไรบ้างที่จะทำให้ได้รับชัยชนะ
“สรรเสริญ” โยงกลุ่มการเมืองที่เสียประโยชน์เบื้องหลังระเบิด พบเฟซบุ๊ก “สื่อเสื้อแดง” โพสต์เตือนเหตุใน กทม.ล่วงหน้าตั้งแต่ 13 ส.ค. อีกทั้งเมื่อจับผู้ต้องหาวางระเบิดได้ ทนายของเสื้อแดง ก็รีบเข้ามาทำคดี ทั้งๆ ยังไม่มีการติดต่อประสานงานจากผู้ต้องหา ยังไม่มีการติดต่อจากสถานทูต ทำให้หลายฝ่ายสงสัยว่าการวางระเบิดครั้งนี้มีความเกี่ยวพันอย่างไรกับทักษิณ การส่งทนายเข้ามาเพื่อมาคอยควบคุมรูปคดีให้ตัดตอนไม่ถึงตนหรือไม่
CR ข้อมูลบทความบางส่วนจาก paisano

ไม่มีความคิดเห็น: