PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2562

รัฐบาลผสมลุงตู่1

รัฐบาลผสม “ลุงตู่ 1”
โดย สิริอัญญา 
วันพุธที่ 27 มีนาคม 2562

คัมภีร์วิถีแห่งฟ้าบทหนึ่งระบุว่า “ผู้ใดครองตนสอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้าย่อมได้รับมงคล ผู้ใดครองตนไม่สอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้าย่อมได้รับอัปมงคล การได้รับมงคลหรืออัปมงคลเป็นเพราะการครองตนของตน อย่าว่าฟ้าบันดาลเลย” เพราะนั่นเป็นวิถีแห่งฟ้า 

คัมภีร์วิถีแห่งฟ้านี้เป็นคัมภีร์หลักคัมภีร์หนึ่งของการบริหารบ้านเมืองของจีนมาแต่โบราณกาล และนับถึงปัจจุบันนี้ก็มีผู้นำหลายประเทศที่ศึกษาค้นคว้าและนำคัมภีร์วิถีแห่งฟ้าไปใช้ 

คัมภีร์วิถีแห่งฟ้าย่อมเกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋า เพราะเชื่อมโยงกับความสมดุล โดยถือว่าความปกติสุข ความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองนั้นย่อมเกิดขึ้นเพราะความสมดุลของฟ้าดิน ฟ้าดินสมดุลเกื้อหนุนกัน แผ่นดินก็เป็นสุขร่มเย็น มีความเจริญรุ่งเรือง ดินกับฟ้าจึงแยกจากกันไม่ได้ 

ผืนดินรองแผ่นฟ้า แผ่นฟ้าก็คุ้มครองครอบคลุมแผ่นดิน เป็นความจริงที่ใคร ๆ ก็รู้เห็น แต่จะมีสักกี่คนเล่าที่จะเห็นด้วยปัญญาทัศนะอันแจ่มใสถึงธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้ และสามารถนำกฎเกณฑ์หรือวิถีแห่งฟ้ามาใช้เพื่อให้บังเกิดประโยชน์สุขแก่บ้านเมืองและราษฎรได้อย่างแท้จริง 

นับแต่เกิดกรณีอันเป็นเหตุยุบพรรคไทยรักษาชาติ มาจนถึงกรณี Hong Kong Effect ล้วนเป็นกรณีที่เหนือความคาดคิดของผู้คนทั้งปวง และย่อมส่งผลต่อความเป็นไปในบ้านเมือง รวมทั้งการเลือกตั้งดังที่รู้เห็นกันอยู่ สถานการณ์ต่าง ๆ ได้พลิกผันไปชั่วเวลาเพียงข้ามคืน นั่นก็เพราะกฎเกณฑ์ธรรมชาติอันเป็นไปตามคัมภีร์วิถีแห่งฟ้านั้น 

ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่เข้าใจวิถีแห่งฟ้า กระทำการอันก่อให้เกิดอัปมงคลแก่ตนก็ต้องได้รับผลแห่งวิบากแห่งการนั้นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สึนามิทางการเมืองนั้นทุกคนได้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว หากยังดึงดันไม่สำนึก แทนที่จะเป็นแค่สึนามิทางการเมือง ก็อาจจะไปถึงขั้นธรณีสูบก็เป็นได้ 

เพราะกฎเกณฑ์อัปลักษณ์ที่ตราไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่มีผลสำคัญที่สุดก็คือทำให้รัฐบาลอ่อนแอ ทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมือง และทำให้เกิดความสับสนจนคนทั้งหลายมีความสับสนอลหม่านว่ากฎหมายในเรื่องต่าง ๆ นั้นมีว่าอย่างไร จนกระทั่งเป็นแหล่งทำมาหากินให้คนจำพวกหนึ่งตั้งตนเป็นกฎหมายเสียเอง 

กระทำกันกระทั่งราวกับว่าแผ่นดินนี้ขาดกลุ่มคนพวกนี้ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่คนทั้งหลายก็ย่อมรู้ย่อมเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า การที่บ้านเมืองสับสนวุ่นวายและการโกงบ้านกินเมืองลุกลามขยายตัวหยุดไม่ได้ยั้งไม่อยู่นั้น ล้วนเป็นผลมาจากความอัปลักษณ์ของระบบกฎหมายทั้งสิ้น 

เพราะถ้ากฎหมายสับสน กระทั่งผู้คนไม่รู้ว่ากฎหมายมีว่าอย่างไร แม้ที่รู้ว่ามีกฎหมายแล้วก็ไม่รู้ว่ามีความหมายอย่างไร เพราะทุกเรื่องทุกราวล้วนต้องตีความทั้งสิ้น กระทั่งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ก็ยังเข้าใจผิด ตีความผิด และทำหน้าที่กันผิด ๆ ให้เห็นกันอยู่เสมอ นี่จึงเป็นต้นตอวิบัติของบ้านเมืองที่จะต้องเร่งปฏิรูปโดยไวที่สุด 

ผลจากความอัปลักษณ์ที่ทำกันไว้ จึงทำให้ผลการเลือกตั้งที่ออกมาทำให้ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร อย่าว่าถึงกับเสียงข้างมากเลย เพราะมีการวางหมาก วางกล วางเกมกันไว้ จนทำให้พรรคไหน ๆ ก็ยากที่จะมีคะแนนเสียงถึง 150 เสียง 

หมายความว่า แต่ละพรรคไม่มีทางที่จะได้เสียงถึง 251 เสียง ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยลำพังได้ จึงย่อมไม่สามารถนำนโยบายที่ได้ประกาศไว้ไปปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ เพราะต้องประสานต้องต่อรองทางนโยบายกับพรรคการเมืองอื่นที่จะต้องมาร่วมรัฐบาลด้วย 

ยิ่งคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคได้ยังห่างครึ่งหนึ่งนับร้อยเสียง ก็ยิ่งจำเป็นต้องพึ่งพาพรรคอื่นหลายพรรค จึงจะจัดตั้งเป็นรัฐบาลได้ ดังนั้นโครงสร้างของรัฐธรรมนูญนี้จึงเป็นโครงสร้างที่วางหมากกลให้ต้องเป็นรัฐบาลผสมในทุกกรณี 

และเมื่อเป็นรัฐบาลผสมที่ต้องอาศัยคะแนนเสียงจำนวนมากเกือบเท่า ๆ กับพรรคที่เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลด้วยแล้ว ก็จะก่อให้เกิดปัญหาแตกแยกภายในรัฐบาลได้ง่าย เพราะย่อมมีการต่อรองทางการเมืองกับนักการเมืองที่เป็นพรรคแกนในการจัดตั้งรัฐบาลนั้น 

ยิ่งเป็นนักการเมืองที่ดูดมาจากพรรคการเมืองอื่นหรือที่เป็นนักการเมืองรุ่นเก๋าหน้าเก่าที่แต่ละคนเปลี่ยนพรรคมานับไม่ถ้วน และล้วนมีวีรกรรมสำคัญไว้กับบ้านเมืองจนประชาชนจำหน้าได้ จำพฤติกรรมได้ไม่ลืมเลือน นักการเมืองเหล่านี้ก็จะมีการต่อรองทางการเมืองสูงกว่านักการเมืองหน้าใหม่ 

ถ้าหากถึงขั้นรวมกันแบบเสือสิงห์กระทิงแรดด้วยแล้ว ก็จะยิ่งมีความขัดแย้งภายในได้ง่าย 

และยิ่งพรรคแกนนำรัฐบาลต้องพึ่งพาคะแนนเสียงจากพรรคการเมืองอื่น ๆ หลายพรรค พรรคการเมืองและนักการเมืองเหล่านั้นก็ยิ่งมีอำนาจต่อรองทางการเมืองสูงยิ่งขึ้นไปอีก เพราะย่อมรู้ดีว่าการดำรงอยู่ของรัฐบาลผสมลักษณะนี้ต้องพึ่งพาอาศัยเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล ดังนั้นแม้พรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคจะมี ส.ส. ไม่มากนัก แต่กลายเป็นจำนวนที่ขาดไม่ได้เพราะถ้าขาดไปแล้วก็จะแพ้เสียงในสภาผู้แทนราษฎร และทำให้รัฐบาลผสมนั้นต้องล้มครืนลง 

การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้แม้จะยังไม่ประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ แต่ก็พอทราบผลเบื้องต้นได้แล้วว่า พรรคพลังประชารัฐจะได้ ส.ส. เกินกว่า 126 คน ซึ่งเมื่อรวมกับคะแนนเสียงของ ส.ว.อีก 250 คน ก็จะมีคะแนนเสียง 376 คน เกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงสามารถเลือกลุงตู่เป็นนายกรัฐมนตรีได้ตามรัฐธรรมนูญ 

แต่ลุงตู่จะบริหารราชการแผ่นดินได้โดยราบรื่นนั้นก็ต้องมีคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรให้ได้เกินครึ่งหนึ่งพอสมควร เพราะแค่ 251 เสียง อาจจะไม่เพียงพอต่อการดำเนินงานในสภาผู้แทนราษฎร ดังที่มีการกล่าวกันว่า ถ้าคะแนนเสียงอย่างนี้ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลจะไปขี้ไปเยี่ยวหรือไปไหนไม่ได้ ต้องนั่งเฝ้าห้องประชุมสภากันทั้งหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นความเป็นไปได้จึงต้องมี ส.ส. ประมาณ 275 เสียงขึ้นไป เพราะบางคนต้องไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลด้วย 

ผลการเลือกตั้งที่ยังไม่เป็นทางการปรากฎว่าพรรคเพื่อไทยและพันธมิตรมีคะแนนเสียงเกือบ 250 เสียง หรือเกือบเกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร จึงทำให้คะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยและพันธมิตรใกล้เคียงกับของรัฐบาลผสมมาก ดังนั้นจึงยิ่งเพิ่มอำนาจต่อรองให้แก่นักการเมืองในพรรคพลังประชารัฐและพรรคที่ร่วมรัฐบาลผสมอย่างหนักหน่วงมากกว่าปกติหลายเท่า 

ที่สำคัญคือแม้พรรคพลังประชารัฐจะได้เสียงจำนวนมาก แต่เมื่อมีคะแนนเสียงไม่ถึง 250 เสียง และต้องอาศัยพรรคอื่น ๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะคือต้องพึ่งพาคะแนนเสียงของพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ จึงจะทำให้มีคะแนนเสียงเกิน 250 เสียงได้ 

ดังนั้นจากตัวเลขผลการเลือกตั้งเบื้องต้นนั้นจึงเห็นได้ชัดแล้วว่า แม้พรรคประชาธิปัตย์จะปราชัยในการเลือกตั้ง และแม้พรรคภูมิใจไทยจะผงาดขึ้น มีความเหนือกว่าพรรคเก่าแก่หลายพรรค แต่ในที่สุดทั้งสองพรรคนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งและในการดำรงอยู่ของรัฐบาลผสม 

รัฐบาลพรรคพลังประชารัฐจะเกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้จึงต้องพึ่งคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะต้องจับตาดูกันต่อไปว่าทั้งสองพรรคนี้จะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งน่าจะมีการรอผลการเลือกตั้งที่ชัดเจนมากขึ้น 

ในขณะนี้แม้ยังไม่มีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีการจุดประเด็นเกี่ยวกับความไม่ปกติในการเลือกตั้งหลายประการ เช่น การจุดประเด็นว่า
ประการแรก มีบัตรเสียเกือบ 2 ล้านใบ นับเป็นจำนวนสูงมาก ทำให้พรรคการเมืองที่มีโอกาสได้คะแนนเสียงจากบัตรเหล่านี้ต้องได้รับความเสียหาย หรือทำให้ผลการเลือกตั้งผิดไปจากที่ควรจะเป็น 

ประการที่สอง มีการตั้งข้อสังเกตและนินทากันอย่างกว้างขวางว่า มีบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนเกินกว่าจำนวนผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งหลายล้านคน ซึ่งจะเป็นจำนวนเท่าใดแน่ยังไม่แน่ชัดเพราะได้หยุดการนับคะแนนไว้เสียก่อน จำนวนบัตรที่เกินมากมายขนาดนี้อาจทำให้การเลือกตั้งมีปัญหาว่าบัตรเกินนี้มาจากไหน ใครเป็นคนเอาบัตรส่วนเกินนี้ไปใส่ในหีบเลือกตั้งหรือเอามานับเป็นคะแนน เพราะเรื่องนี้ได้มีการบันทึกหลักฐานไว้อย่างละเอียด 

ประการที่สาม มีการหยุดนับคะแนนกลางคัน ซึ่งมีความเสี่ยงว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะการนับคะแนนนั้นกฎหมายบังคับให้นับคะแนนต่อเนื่องไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ 

ประการที่สี่ บัตรเลือกตั้งจากต่างประเทศถูกถือว่าเป็นโมฆะจำนวนหนึ่งเพราะมาถึงช้ากว่าเวลาปิดหีบเลือกตั้ง ในขณะที่สถานทูตไทยในประเทศที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าได้มีการส่งบัตรมาก่อนหลายวันแล้ว หีบบัตรไปช้าอยู่ที่ไหน จึงเป็นคำถามที่ก้องกระหึ่ม 

ทั้งสี่ประการนี้เป็นเรื่องที่จะต้องทำความจริงให้ปรากฏ แต่คงไม่กระทบต่อการบริหารบ้านเมืองเพราะลุงตู่ยังคงเป็นนายกต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาบริหารบ้านเมือง.

ไม่มีความคิดเห็น: