มติชน วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 08:00:18 น.

|

ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานสัมมนา "Second Half of 2015 Economic Outlook & Fund Investment" ว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยขณะนี้เข้าขั้นวิกฤติ เพราะส่งออกหดตัว ธุรกิจต่างๆ ขาดทุน โดยเฉพาะเอสเอ็มอีทยอยล้ม ขณะที่หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสถาบันการเงินปรับตัวสูงขึ้น โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ถือว่าต่ำมาก โดยภาวะเศรษฐกิจมีลักษณะเป็น U shape ก้นยาวไปถึงสิ้นปีนี้ หลังจากเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุด
“คงยังไม่ฟื้นตัวไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากดีมานด์ยังไม่กลับมา และเศรษฐกิจโลก เช่น สหรัฐฯ แม้ฟื้นตัวมาบ้างแล้ว แต่คงยังไม่ค่อยดี ประกอบกับราคาพลังงานปรับตัวลงมาก ทำให้ธุรกิจอื่นตกลงไปด้วย ส่วนเศรษฐกิจยุโรปยังไม่ฟื้นตัว เพราะหลายประเทศมีปัญหาเรื่องหนี้สิน ขณะที่ญี่ปุ่นคาดการณ์ได้ยาก เพราะภาคอุตสาหกรรมย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศค่อนข้างมากแล้ว”
สำหรับทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาลคงทำได้แค่ประคับประคองเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดไปกว่านี้เพราะข้อเท็จจริงปรากฏอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่อยากให้ตั้งความหวังกับการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจสูงนัก เพราะอาจผิดหวังได้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจต้องไปตามกระแสเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เพราะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และเชื่อว่าไม่มีใครที่จะฝืนได้ คงทำได้แค่ประทังไปสักพักเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลควรลงทุนให้มากขึ้น
ทั้งนี้ได้แนะนำให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ปรับปรุงประสิทธิภาพ ด้วยการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเทคโนโลยีให้ทันสมัย เพราะอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ย 60% ในปัจจุบันถือว่าน้อย เครื่องจักรส่วนใหญ่ใช้มาแล้ว 18 ปี ถือว่าเก่า การแข่งขันก็ไม่ได้ ช่วงนี้เป็นโอกาสที่ปรับเปลี่ยนการลงทุน
อย่างไรก็ตาม การที่ภาครัฐจะสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมปรับเปลี่ยนเครื่องจักรก็อาจจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นและตลาดทุน เพราะการเปลี่ยนเครื่องจักร และการเปลี่ยนเทคโนโลยี ต้องมีการระดมทุนค่อนข้างมาก แต่ภาวะตลาดหุ้นอย่างนี้จะระดมทุนได้ยาก ไม่ว่าจะอย่างไร มองว่า การระดมทุนผ่านตลาดของบริษัทจดทะเบียนจะเกิดขึ้นแน่นอน แต่การลงทุนเพื่อไปปรับเปลี่ยนเครื่องจักรนั้น เชื่อว่าทุนน่าจะมาจากต่างประเทศมากกว่า
ส่วนราคาพลังงานที่ปรับตัวลง ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลงตามไปด้วย ได้แก่ ยางพารา แป้งมันสำปะหลัง น้ำตาล ข้าว ข้าวโพด เป็นเหตุให้รายได้ครัวเรือนภาคเกษตรที่คิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศนั้นปรับตัวลง
“สถานการณ์เช่นนี้จะดำรงต่อไปตลอดช่วงครึ่งหลังปี 58 และอาจจะซึมๆ ต่อไปถึงปี 59 จนกว่าจะมีการลงทุนใหม่เกิดขึ้น ซึ่งก็ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไร ซึ่งทิศทางค่าเงินบาท มองว่ามีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้อีก เพราะเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งขึ้น เพราะคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราว่างงานต่ำสุดในรอบ 20 ปี และต่ำกว่าเป้าหมาย”
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น