PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พลิกไพล่ ย้อนแย้ง ภายใน ภาวะ ยอมจำนน กลายเป็น การต่อสู้


2พฤศจิกายน 2558


เหมือนกับในแนวรบว่าด้วย"โครงการรับจำนำข้าว" น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพวก อยู่ในสภาพถูกรุกไล่ถอยร่นแทบไม่เป็นขบวน

ไม่เพียงแต่ถูก "ถอดถอน"

และกระบวนการถอดถอนด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นจากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นั้นเองทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเข้าลักษณะ

ถอยจนหมดทางถอย ถอยจนติดกระดาน

เพราะไม่ว่าใน "ร่าง" รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะบัญญัติให้ผู้ต้องโทษทางการเมืองมีสิทธิหรือไม่มีสิทธิในเวทีทางการเมือง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็หมดสิ้นหนทางแล้ว

เนื่องจาก "ถอดถอน" ก็เท่ากับ "ตัดสิทธิ"

ยิ่งกว่านั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังต้องเดินขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และอยู่ระหว่างการดำเนินคดีทางแพ่ง

เรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท

ศัพท์แสงที่เหมาะสมที่สุดต่อชะตากรรมทางการเมืองอัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรต้องประสบจึงไม่มีคำใดสอดรับยิ่งไปกว่า

คำว่า "ร่อแร่" อยู่ในสภาพ "จะตายมิตายแหล่"



ถามว่าเมื่อตกอยู่ในชะตากรรมอย่างนี้ท่าทีและท่วงทำนองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำเนินไปอย่างไร ในสายตาของ "สังคม"

เหมือนกับจะเป็นการ "ยอมรับ"

เป็นการยอมรับด้วยการเล่นไปตามบท ภายใต้กรอบซึ่งกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมจะเอื้ออำนวยให้

ให้ขึ้นศาลก็ขึ้นศาล ไม่มีการแข็งขืน

สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร หมดสิทธิในทางการเมือง จะติดคุกหรือไม่ก็ก้ำกึ่ง จะถูกอายัดและยึดทรัพย์หรือไม่ ก็ก้ำกึ่ง

สมควรจะทำอย่างไร

มีบางฝ่ายคาดหมายว่าน่าจะหนี ก็ไม่หนี มีบางฝ่ายคาดหมายว่าน่าจะปลุกระดมคนสนับสนุนให้ออกมาให้กำลังใจด้วยการสวมใส่เสื้อแดง เธอก็แถลงปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เคยมีแนวความคิดแบบนี้ ใครอยากให้กำลังใจใส่เสื้อสีอะไรก็ได้

ไม่จำเป็นต้องเป็นสีแดง ไม่จำเป็นต้องมีการชุมนุม

อย่างเก่งที่พอจะทำได้คือตระเวนไปตามวัดวาอารามหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไหว้พระ อธิษฐานขอพรขอให้แคล้วคลาด

เป็นท่วงทำนองของ "พุทธศาสนิก" สำแดงอาการ "ยอมรับ" ไม่แข็งขืน


ทําไปทำมาการแสดงออกในเชิง "ยอมรับ" ในเชิง "ยอมจำนน" ไปบนหนทางพระ ไปบนหนทางธรรม กลับกลายเป็นพลังอย่างหนึ่ง

แม้ว่าจะดำเนินไปในแนวทางพุทธ แต่ก็ไปพ้องกับแนวทางของศาสนาอื่น

เห็นได้จากการสอดรับกับคำกล่าวอันเลื่องลือในบางพระคัมภีร์ที่ว่า หากเขาตบแก้มซ้ายของเจ้า ขอให้หันแก้มขวาไปให้เขาตบ

เหมือนกับเป็นการยอมรับ เหมือนกับเป็นการยอมจำนน

นี่คือการสำแดงออกของคนที่รู้ในชะตากรรมของตนเป็นอย่างไร หมดสิ้นหนทางที่จะสัประยุทธ์ในแบบ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" แบบโบราณอย่างสิ้นเชิง

สิ่งที่จะได้เป็นการตอบแทนดำเนินไปใน 2 แนวทาง

แนวทาง 1 เห็นอกเห็นใจ สงสารในชะตากรรมที่ถูกลงโทษ รุกไล่ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งตัดสิทธิ เอาความผิดในทางอาญา และขยายผลไปกระทั่งอาจมีการอายัดทรัพย์และสินทรัพย์ตามมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท

จากที่เคยเป็น "นายกรัฐมนตรี" ก็กลายเป็นคน "น่าสงสาร"

ขณะเดียวกัน แนวทาง 1 เห็นว่าการสำแดงออกในเชิงยอมรับของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คือการแข็งขืน เรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ เรียกร้องความสงสาร

นี่คือลักษณะ "พลิกไพล่" และ "ย้อนแย้ง" อย่างยิ่งยวด



ทั้งหมดนี้มิได้เป็นไปในกระบวนการแก้ต่างให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หากเสมอเป็นเพียงการทำความเข้าใจ

ทำความเข้าใจต่อท่วงทำนองซึ่งเหมือนกับเป็นการยอมจำนน ไม่ต่อสู้ แต่ในทางตรงกันข้าม กลับกลายเป็นพลานุภาพ กลับกลายเป็นเหมือนกับเป็นการต่อสู้ ไม่ยอมแพ้อย่างหมอบราบคาบแก้ว

การ "ไม่สู้" กลับกลายเป็น "การต่อสู้" ไปจนได้

ไม่มีความคิดเห็น: