
ตามคิวที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. แสดงอาการมึนตึง หลีกเลี่ยงการขึ้นโพเดียมตอบคำถามสื่อมวลชน ภายหลังเหลือบเห็นคำถามกรณี ซีอีโอเฟซบุ๊ก “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” ปฏิเสธข่าวไม่มีแผนเดินทางมาเยือนประเทศไทย
สวนทางการตีปี๊บที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประโคมข่าวเจ้าพ่อเฟซบุ๊กจะมาประเทศ ไทยปลายเดือนตุลาคมนี้ เพื่อเข้าพบ “บิ๊กตู่” หารือทิศทางการขยายตัวเฟซบุ๊กในภูมิภาคอาเซียน
สุดท้ายกลายเป็นเรื่องหน้าแหกของรัฐบาล แม้แต่ “บิ๊กตู่” ยังหลงร่วมทึกทักจะมีการมาหารือเรื่องแสวงหาความร่วมมือการป้องกันแก้ไขปัญหาผลกระทบอาชญากรรมข้ามชาติ
ยังไม่รวมเรื่องที่หลอกคนจนดีใจเก้อก่อนหน้านี้ กรณี นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ออกมาให้ข่าว รัฐบาลเตรียมเพิ่มวงเงินบัตรคนจนจากเดือนละ 200-300 บาท เป็น 700-800 บาทต่อเดือน
แต่สุดท้ายกลายเป็นเรื่องไม่จริง จนทีมงานโฆษกรัฐบาลต้องแถลงข่าวชี้แจง รัฐบาลยังไม่มีนโยบายดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เพราะยังอยู่แค่ในชั้นศึกษาความเป็นไปได้เท่านั้น
ถึงขั้นที่นายกรัฐมนตรีออกมาตำหนิปลัดกระทรวงการคลังในวง ครม. ที่ให้ข่าวโดยไม่มีการหารือกับ รมว.คลัง กลายเป็นประเด็นบานปลาย ถูกขยายความกลายเป็นเรื่องการเมือง
เปิดช่องให้รัฐบาลถูกโจมตีเป็นการเพิ่มวงเงินหวังเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใหญ่ขายสินค้าได้เพิ่ม อีกทั้งในระดับนโยบายยังไม่รู้ว่า จะไปเอาเงินเพิ่มมาจากไหนในภาวะที่งบประมาณรัฐบาลมีอยู่อย่างจำกัด
ถูกฝ่ายการเมืองฉวยจังหวะตีกินเล่นงาน ฉุดโครงการบัตรคนจนที่กำลังติดลมบนเสียเครดิต
เรือแป๊ะเจอคลื่นกระแทกพุ่งใส่โดยไม่จำเป็น ในช่วงที่กำลังตั้งลำสั่งสมผลงาน และยังมีแนวโน้มต้องเตรียมตั้งรับแรงกระเพื่อมที่ตั้งเค้าเข้ามาถี่ขึ้นหลังจากนี้
อย่างที่เห็นจากกรณีความโปร่งใสการก่อสร้างร้านค้าและห้องน้ำ อุทยานราชภักดิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ วงเงิน 15 ล้านบาท ที่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาหลอนรัฐบาลอีกรอบ
จน “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ต้องออกมาการันตีความถูกต้อง พร้อมสั่งให้กองทัพบกเร่งชี้แจงรายละเอียดในโครงการทั้งหมด
รวมถึงกรณีที่ ครม.อนุมัติให้จัดซื้อ เครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพา 849 เครื่อง วงเงิน 573 ล้านบาท แบบเงียบๆตามที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เสนอมา เพื่อป้องกัน และลดอุบัติเหตุบนท้องถนน
เบ็ดเสร็จตกราคาเครื่องละ 600,000 กว่าบาท ก็ถูกทักท้วงยังเป็นการจัดซื้อในราคาสูงเกินจริง ซึ่งอธิบดี ปภ. ต้องออกมาชี้แจงว่า ยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการเตรียมการ ยังไม่มีการจัดซื้อจริง
การันตีจะมีการประกวดราคาแข่งขันตามระเบียบราชการอย่างเคร่งครัด โปร่งใส เป็นธรรม และใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า
สองเรื่องร้อนๆที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างทั้งโครงการอุทยานราชภักดิ์ และการจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็ว ถูกแหย่ให้เป็นเรื่องฉาวในช่วงนี้ ตั้งท่าดิสเครดิต ปั่นกระแสให้ระแวงรัฐบาลทหารเรื่องการใช้งบประมาณ
กระแสจ้องจับผิดรุมเร้ารัฐบาล ในช่วงที่ “ลุงตู่” กำลังทำแต้มเร่งสปีดผลงาน นั่งหัวโต๊ะเร่งเครื่องให้คณะกรรมการชุดต่างๆโชว์ผลงานให้เข้าตาประชาชน
นั่นก็ย่อมเป็นธรรมดาตามธรรมชาติการเมืองแบบไทยๆที่ต้องถูกอีกฝ่ายเตะตัดขา ไม่ให้ตีกินทำคะแนนได้ง่ายๆในภาวะที่กำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง เดือนพฤศจิกายน 2561
แต่ที่ดูเหมือนจะระวังตัว ไม่ให้พลาดเป็นพิเศษคือ มติ ครม.ล่าสุดที่สั่งให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ไปหาทางผ่อนปรนกฎเหล็ก ร่างมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ที่จะบังคับใช้ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี รมต. ส.ส. ส.ว. รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
เนื่องจากมีการกำหนดเกณฑ์จริยธรรมกว้างเกินไป ตามปมหวาดเสียวที่รัฐบาลทหารเป็นห่วงเรื่องการกำหนดข้อห้ามในร่างมาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าวสวนทางกับธรรมชาติการทำงานของฝ่ายการเมือง
อาทิ การกำหนดข้อห้ามรับของที่มีผู้ให้เนื่องในโอกาสงานประเพณี สวนทางกฎหมาย ป.ป.ช.ที่ให้รับของขวัญได้ไม่เกิน 3,000 บาท หากเป็นกรณี ครม.ลงพื้นที่มีคนเอาผ้าขาวม้ามาผูกเอว นำกระเช้าดอกไม้มาให้ แม้ราคาไม่ถึง 3,000 บาท อาจเข้าข่ายผิดร่างมาตรฐานจริยธรรมดังกล่าวได้
หากไปเจอพวกจอมร้องเรียนยื่นตีความ นายกฯและ รมต.ในอนาคตก็มีสิทธิ์กระเด็นตกเก้าอี้ได้ง่ายๆ
เงื่อนไขหมิ่นเหม่ สั่นคลอนเสถียรภาพตัวเองในอนาคต อำนาจพิเศษผวาสะดุดขาตัวเอง
ไม่อยากตายน้ำตื้นในกติกาที่สร้างขึ้นมากับมือ.
ทีมข่าวการเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น