การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 30 มกราคม 2557 01:00
กาแฟดำ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เกาะติดวิกฤติทางการเมืองบ้านเราเองยังไม่พอ ต้องเหลียวหลังแลหน้า การประท้วงยืดเยื้อเคียงคู่กับของไทย คือ ที่ ยูเครน และ กัมพูชา พร้อมกันไปด้วย
เพราะว่ามีทั้งบทเรียน ประสบการณ์ และความคิดคำนึงที่ควรจะแลกเปลี่ยนกันในหมู่ประชาชน เพื่อแสวงหา “ทางออก” ให้บ้านเมือง ในยามที่ผู้คนออกมาต่อต้านรัฐบาลกันอย่างกว้างขวางเกือบทุกมุมโลก
ข่าวล่าสุดจากยูเครนและกัมพูชา ไม่ต่างจากไทย ตรงที่เกิดความรุนแรงเมื่อเจ้าหน้าที่บุกเข้าปะทะกับผู้ประท้วง ความรุนแรงกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก หากผู้กุมอำนาจไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว เพราะว่ากลัวจะสูญเสียอำนาจ ขณะที่ฝ่ายต่อต้านมองไม่เห็นทางออกของบ้านเมือง หากไม่มีการปฏิรูปบ้านเมือง
ประธานาธิบดีวิคเตอร์ ยานูโควิช เจรจากับผู้นำฝ่ายค้านแล้วยอมถอยก้าวเล็กๆ หนึ่งก้าว นั่นคือ ยอมยกเลิกกฎหมายที่ห้ามกิจการเดินขบวนหลายอย่าง รวมถึงจับคนที่เข้ายึดที่ทำการราชการเข้าคุก และห้ามคนเดินขบวนใส่หน้ากากและสวมหมวกกันน็อค
อีกทั้งยังเสนอตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับฝ่ายค้าน เพื่อแลกกับการเลิกการประท้วง แต่ฝ่ายค้านบอกปัดทันที เพราะหากยอมรับข้อเสนอเช่นนั้น ก็เท่ากับเป็นการหักหลังประชาชนที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลทำข้อตกลงร่วมมือกับสหภาพยุโรป แทนที่จะกลายเป็นสหายของรัสเซีย ที่หลายคนมองว่าต้องการจะครอบงำยูเครนมากเกินไป
ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว รัฐมนตรียุติธรรมของรัฐบาล ขู่ว่า ถ้าการเดินขบวนที่ยืดเยื้อมากว่าสองเดือน (เริ่มต้นใกล้ๆ กับการประท้วงของ “มวลมหาประชาชน” ที่กรุงเทพฯ ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน) จะมีการประกาศ “ภาวะฉุกเฉิน”
เรียกว่าเดินตามแบบของประเทศไทยกันเลยทีเดียว
ยิ่ง นายกรัฐมนตรีมีโคลา อะซารอฟ ลาออกจากตำแหน่งไม่กี่ชั่วโมงก่อน ที่รัฐสภาจะเตรียมลงมติถอดถอนเขา ก็กลายเป็นการเมืองอลหม่านเพิ่มขึ้น
สรุปว่าสถานการณ์การเมืองที่ยูเครน ยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงได้ ตรงกันข้ามการประท้วงได้กระจายตัวไปทางจังหวัดด้านตะวันตกอย่างกว้างขวางขึ้น เพราะเป็นบริเวณที่ชาวยูเครนมีความสนิทชิดเชื้อกับสหภาพยุโรป ขณะที่จังหวัดทางตะวันออกจำนวนไม่น้อยยืนอยู่ข้างรัฐบาล เพราะอยู่ใกล้กับรัสเซียมากกว่า
ที่ กัมพูชา ผู้ประท้วงถูกสารวัตรทหารบุกเข้าสลายหน้ากระทรวงข่าวสาร เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทำให้มีคนบาดเจ็บอย่างน้อย 10 คน
ตำรวจใช้ทั้งระเบิดควันและกระบองไฟฟ้ากับฝูงชน
ผู้ประท้วงกลุ่มนี้ ไม่ได้มาจากกลุ่มประท้วงใหญ่ ที่ผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี เป็นแกนนำ หากแต่นำโดยผู้จัดรายการวิทยุอิสระ ที่นำคนประมาณ 1,000 คน ไปประท้วงรัฐบาลที่ไม่ยอมเปิดกว้างให้รายการวิทยุรับใช้ประชาชนคนทั่วไป
แต่จริงๆ แล้ว นักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายฝ่าย ได้เข้าร่วมการประท้วง เพื่อเรียกร้องให้ นายกฯ ฮุนเซน จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพราะว่าการหย่อนบัตรเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม มีการโกงกันอย่างมโหฬาร
ฮุนเซน สั่งตำรวจเข้าสลายการชุมนุมระหว่างวันที่ 2-4 มกราคม ที่ผ่านมา ห้ามผู้ประท้วงเข้าไปในสวนสาธารณะ ที่ชื่อ “สวนเสรีภาพ” กลางเมืองพนมเปญ เกิดการปะทะกันจนเกิดความวุ่นวาย
แม้ว่าการเดินขบวนที่กัมพูชาจะซาลง แต่บรรยากาศความตึงเครียดยังคุกรุ่น และตราบใดที่ผู้กุมอำนาจยังไม่ยอมฟังเสียงของผู้ไม่พอใจในแวดวงต่างๆ ความรุนแรงก็ยังเป็นปรากฏการณ์ที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
วัดดีกรีของความดุเดือดเลือดพล่านกันแล้ว สถานการณ์ในไทยของเราอ่อนไหวที่สุด และมีโอกาสจะระเบิดเป็นสงครามกลางเมืองมากกว่ายูเครนและกัมพูชา
สวดมนต์ให้ประเทศไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น